[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 11:42:41 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พลศักดิ์ พูดจากลับกลอกเรื่องอัตตา อนัตตาหรือเปล่า?  (อ่าน 1802 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 กันยายน 2553 14:13:21 »

อัตตา = อนัตตา ในจุดที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวน เพราะไม่มีอารมณ์กิเลสอยู่


owner board : คุณพลศักดิ์นี้พูดจาวกวน กลับกลอกอยู่เสมอ อย่างเช่นครั้งนี้...
   
คือตอนแรกยอมรับว่า "เมื่อเป็นสิ่งปรุงแต่ง มันก็ไม่เที่ยง ต้องทนอยู่ และเป็นอนัตตา "
   
แต่ตอนหลังกลับมากลับคำใหม่ว่า " สิ่งปรุงแต่ง ที่มันเที่ยง อยู่เป็นอมตะ และเป็นอัตตา มันมีนะครับ "

   
   ตอบ
   
" สิ่งปรุงแต่ง มันก็ไม่เที่ยง ต้องทนอยู่ และเป็นอนัตตา "  = สิ่งปรุงแต่งที่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลง = สังขตธาตุ
   
" สิ่งปรุงแต่ง ที่มันเที่ยง อยู่เป็นอมตะ และเป็นอัตตา มันมีนะครับ " = สิ่งปรุงแต่งที่ไม่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลง  สิ่งปรุงแต่งเหล่านี้อยู่ในเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตร เรียกว่า "สัมโภคกาย หรือธรรมกาย(เถรวาท)" = อสังขตธาตุ

สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง เที่ยง และอมตะ ไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา ก็มีเช่นกัน คือ มันอยู่ตรงกลาง = พุทธภาวะเบื้องต้น ที่เป็นแสงสุกสกาว เรียกว่า "ธรรมกาย(ตามความหมายของมหายาน)" หรือนิพพานจิต หรือ พระเจ้า หรือพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม ซึ่งเป็นผู้ทำให้เกิดทั้งสังขตธาตุ และอสังขตธาตุ

เลือกกันเอาเองว่า คุณอยากเป็นสิ่งปรุงแต่งที่เที่ยงหรือไม่เที่ยง หรือเป็นสิ่งไม่ปรุงแต่ง ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างสิ่งปรุงแต่งที่เที่ยงและไม่เที่ยง

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
   
  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"
   
มนุษย์มีอายุสั้นลงเรื่อยๆ  ก็เพราะไปปรุงแต่งด้วยอารมณ์โลภ โกรธ หลง   เมื่อมนุษย์เริ่มทำความดี รักษาศีล และปฎิบัติธรรมกัน  การคิดปรุงแต่งด้วยอารมณ์โลภ โกรธ หลงก็ค่อยๆลดลง   เป็นเหตุให้อายุคนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 10ปี ก็เป็น 20ปี เป็น 100ปี เป็นพันปี เป็นหมื่นปี เป็นแสนปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนไปถึงอสงขัยปี  -  พวกที่อายุยืนถึงอสงขัยปี  ด้วยเหตุที่ใจของเขาไม่มีอารมณ์ราคะ โทสะ โมหะ นั่นเอง
   
พระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทแก่พระเจ้า ปเสนทิโกศล ว่า:
   
“คนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา รู้จักประมาณในการบริโภค ย่อมมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า ครองอายุอยู่ได้นาน”
   
คนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา = พระอรหันต์ ที่วิปัสสนาตลอด หรือ พระอรหันต์วิปัสสโก  นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ด้วยว่า:
   
“อานนท์ ผู้อบรมอิทธิบาท ๔ มาอย่างดีและทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ หากปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง ๑ กัลป์ (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้”

ซึ่งก็คือ พระอรหันต์ที่ทำทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน แต่สมถะแบบไหนผมไม่รู้  เพราะมีหลายวิชามากมาย  อาจจะเป็นพระอรหันต์ที่มีวิชาต่อธาตุขันธ์(ดิน น้ำ ลม ไฟ)หรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่รู้ ไม่ได้ไปค้นคว้า
   
ตอนนี้owner board ก็มีอายุน้อยลง 3 วัน เพราะอารมณ์โกรธ ไม่พอใจผม   ส่วนผมมีอายุยืนขึ้น 3 วัน เพราะไม่มีอารมณ์โกรธ และไม่มีอารมณ์ไม่พอใจท่านowner board  ไว้ผมอายุ 125 ปี จะไปเยี่ยมคารวะหลุมศพหลวงพี่ หรือถ้าผมพบวิธีการในพระไตรปิฎกว่าต้องทำกรรมฐานแบบไหน อายุจะได้ยืนถึงอสงขัยปี  ผมจะไปเยี่ยมท่านowner board  ตอนอายุ 2000 ปี 1 ครั้ง ไปเยี่ยนตอนอายุ 3000 ปี อีก 1 ครั้ง

สรุป

อนัตตา = ไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวน เปรี่ยบเสมือนเป็นเส้นโค้งที่โค้งไปโค้งมา
อัตตา   = เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวน  อัตตา คือ อนัตตาในจุดหรือภาวะอารมณ์ปรุงแต่งด้วยกิเลสเป็น 0 เปรียบเหมือนเป็นเส้นตรงที่เรียบตลอด   ความจริง เส้นตรง = เส้นโค้งในจุดที่แบนราบ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 23 กันยายน 2553 23:49:25 »

พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสแบบที่หลวงพี่กำลังบอกนะครับว่า "สิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย ไม่เที่ยง ต้องทนอยู่ และไม่ใช่อัตตา"
เริ่มต้นสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายมันไม่ติดอวิชชา ไม่หลงกลกิเลสตัณหา มันจึงเที่ยง ไม่ทุกข์ และเป็นอัตตา  สิ่งนี้เป็นจิตประภัสสร   อย่างไรก็ตาม หลังจากจิตประภัสสรมันหลงกลกิเลสตัณหา อวิชชา  ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดขึ้น

สังขาร  หรือสิ่งปรุงแต่งที่มีกิเลสอวิชชา  กิเลสอวิชชา เปรียบเสมือนโคลนตมที่หมักหมมเน่าเปื่อยอยู่ในจิตปภัสสร  ทำให้เกิดความไม่เที่ยง ความทุกข์ และอนัตตา  เมื่อเราถอนกิเลสอวิชชาออกหมดจากสังขารแล้ว จิตเราจึงจิตปภัสสรขึ้นมาใหม่  แล้วจิตปภัสสรนั้น ก็จะปรุงแต่ง สร้างอายตนะที่เที่ยง ที่เรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือธรรมกาย ขึ้นมารองรับ

แต่เพราะว่าเดิมเริ่มต้น จิตเราเป็นปภัสสรอยู่แล้ว  เราจึงมีอายตนะนิพพานอยู่แล้วนั่นเอง  แต่พวกเราดันเสือกทะลึ่งไปติดกิเลสอวิชชา   เราเลยต้องลงมาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับอายตนะที่ไม่เที่ยง คือ ขันธ์ 5


"สิ่งปรุงแต่งนั้นจะดีหรือเลวจะมีกิเลสตัณหาหรือไม่มีกิเลสตัณหาก็ตาม ก็ต้องตกอยู่ภายใต้ความไม่เที่ยง ต้องทนอยู่และไม่ใช่อัตตาทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้น"

ผมก็สอนหลวงพี่มาหลายครั้งแล้ว  นำพุทธพจน์มาลงเป็นสิบๆครั้ง  แต่หลวงพี่ก็ไม่เคยอ่านสักที  คราวนี้ช่วยอ่านช้าๆนะครับ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
   
  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"


สังขาร  หรือสิ่งปรุงแต่งชนิดนี้แหละที่ไม่มีกิเลสอวิชชา(โลภ-โกรธ หลง)  มันจึงเที่ยง ไม่ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือไม่ใช่อนัตตา แต่เป็นอัตตา


   " ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ที่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีเลย อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็มิใช่ โลกนี้ก็มิใช่ โลกอื่นก็มิใช่ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้งสองก็มิใช่ อนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวเลยซึ่งอายตนะนั้นว่าเป็นการมา เป็นการไป เป็นการยืน เป็นการจุติ เป็นการเกิด อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นั่นแลที่สุดแห่งทุกข์ "

นี่คือ....อายตนะหรือสิ่งปรุงแต่งที่ไม่มีกิเลสอวิชชา(โลภ-โกรธ-หลง) อยู่
เรียกแบบเถรวาท  = ธรรมกาย(อายตนะนิพพาน)แต่ละท่าน อูย่ในเมืองพระนิพพาน
เรียกแบบมหายาน = สัมโภคกายแต่ละท่าน อยู่ในพุทธเกษตร

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.237 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 15:08:20