[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
30 เมษายน 2567 01:10:26 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม  (อ่าน 30092 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2556 18:00:57 »

.

ของขลัง
เรียกทรัพย์ มหาลาภ มหานิยม
ของขลัง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า ของที่มีอํานาจศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่าอาจบันดาลให้สําเร็จได้ดังประสงค์

คนไทยมีความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังมาตั้งสมัยโบราณกาลนับพันปีมาแล้ว และประวัติเครื่องรางของขลังไม่ได้มีเฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น ชนชาติอื่น ๆ ก็มีเครื่องรางใช้กันมานานแล้ว โดยเชื่อกันว่าของสิ่งนี้จะสามารถปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายต่าง ๆ ให้ได้ รวมทั้งมีพลังอิทธิฤทธิ์ในเรื่องให้โชคลาภ ความโชคดี  ความมีเสน่ห์เมตตามหานิยม ทั้งหลายทั้งปวง
 
เครื่องรางของขลัง จึงนับเป็นเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่มีอยู่คู่กับมนุษย์ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ จนถึงทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า เครื่องรางของขลังก็ยังเป็นที่นิยมและมีความเชื่อถือ ว่าสามารถดลบันดาลโชคลาภ เมตตามหานิยม ให้บังเกิดแก่ผู้กราบไหว้บูชา  ในที่นี้จะกล่าวถึงที่มาหรือตำนานของขลังที่ผู้คนนิยมบูชาในเรื่องให้โชคลาภ ความโชคดี และมหานิยม โดยลำดับดังนี้


 ๑. นางกวัก

นางกวัก เทพีแห่งโชคลาภ เป็นเครื่องรางของคลังและวัตถุมงคลที่คนไทยรู้จักและนับถือมาเป็นเวลาช้านาน มีความหมายในทางทำมาหากินคล่องเจริญก้าวหน้า

ตำนานการสร้างรูปนางกวัก ที่มาในการสร้างรูปนางกวักไว้บูชา มีอยู่ ๒ กระแส ดังนี้

ตำนานที่อ้างคติทางพุทธ กล่าวว่า นางกวักนั้นมีที่มาจากนางสุภาวดี  บุตรีของสุจิตพราหมณ์ และนางสุมณฑา   มีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองมิจฉิกาสัณฑ์  ประกอบอาชีพค้าขาย ต่อมานางสุภาวดีมีโอกาสได้พบกับพระมหากัสสปเถระ ได้ฟังธรรมและได้รับพรจากท่าน ทำให้ครอบครัวมีกิจการรุ่งเรืองยิ่งขึ้น  เท่านั้นยังไม่พอ นางยังมีโอกาสได้ฟังธรรมและรับการประสาทพรจากพระสีวลีเถระ  มหาสมณะผู้เป็นเอตทัคคะในด้านมีลาภมาก  ดังนั้น ครอบครัวของนางจึงมั่งคั่งร่ำรวยยิ่งนัก บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินนานา เมื่อนางสิ้นอายุขัย จึงมีการสร้างรูปของนางไว้บูชาเพื่อขอโชคลาภ และต่อมาได้แพร่หลายออกไปโดยพวกพราหมณ์

ตำนานอ้างคติทางพราหมณ์ มีที่มาจากเรื่องรามเกียรติ์ในช่วงท้ายในตอน “ศึกท้าวอุณาราช” หรือท้าวกกขนาก  ซึ่งในตำนานเก่าของเมืองลพบุรีก็อ้างถึงเรื่องนี้ด้วย  ท้าวอุณาราชนั้นถูกพระรามแผลงศรทำจากต้นกกตามคำทูลของพระฤษีโคศภ จนร่างติดตรึงอยู่กับหินผา (“เขาวงพระจันทร์” ของตำนานลพบุรี) ให้ทรมานอยู่แสนโกฏิปี  โดยมีไก่แก้วและนนทรีเฝ้าไว้ เมื่อใดที่ศรจะหลุดก็ให้ไก่แก้วขันบอกและนนทรีเอาค้อนตอกไว้อย่าให้หลุดได้

แต่ตำนานไทยพื้นบ้าน  แยกย่อยต่อไปอีกว่า พระรามได้สาปไว้ว่าศรจะหลุดได้ก็ต่อเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยเสด็จมาโปรดสัตว์ และนางประจัน ธิดาของท้าวอุณาราชทอจีวรจากใยบัวมาถวายพระศรีอาริยเมตไตรย  บุญกุศลของนางจึงจะช่วยบิดาได้ ซึ่งตำนานเหล่านี้แยกย่อยแตกต่างไปอีกมากมาย เช่น เรื่องที่มีไก่แก้วคอยเฝ้านั้นบ้างก็ว่าเพื่อขันบอกหนุมานให้มาตอกศร และตำนานลพบุรียังมีอีกว่าเคล็ดวิธีแก้ให้ศรหลุดนั้นคือต้องเอาน้ำส้มสายชูมารดที่ศร ทำให้ยุคสมัยหนึ่งไม่มีการขายน้ำส้มสายชูในลพบุรี เพราะเกรงว่านางประจันจะแอบมาซื้อไปช่วยพ่อ

และที่มาของนางกวักในเรื่องนี้คือ เมื่อนางประจันจำต้องมานั่งทอจีวรจากใยบัวเพื่อช่วยพ่ออยู่เช่นนี้ทำให้ได้รับความทุกข์ยากอย่างมาก ปู่เจ้าเขาเขียว หรือ พระพนัสบดี ซึ่งเป็นสหายของท้าวกกขนากจึงได้ส่งธิดาคือนางกวักมาอยู่เป็นเพื่อนนางประจัน  ซึ่งด้วยบุญญามหานิยมของนางกวัก จึงได้มีผู้คนนำทรัพย์สินสิ่งของอุปโภคบริโภคมามอบให้อย่างมากมาย กลายเป็นที่มาของการบูชารูปนางกวัก
จะเห็นได้ว่าในตำนานดังกล่าว พุทธและพราหมณ์กลมกลืนกันจนแยกไม่ออก



http://images03.olxthailand.com/ui/11/91/32/1301290908_181758932_1----40.jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
 ๒. พญาเต่าเรือน

พญาเต่าเรือน (พญาเต่าเลือน)  พญาเต่าเรือนนั้นเป็นยอดด้านโชคลาภ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม ทั้งยังคุ้มครองป้องกันภัยได้ด้วย ถึงขนาดที่ว่า หากมีการบำเพ็ญเพียรสูงพอ เมื่อภาวนาคาถาหัวใจพญาเต่าเรือน (นาสังสิโม) แล้วไปเขกหัวคนอื่นให้ดังโป๊ก!  เขายังหันมายิ้มให้ ไม่มีโกรธ

ตำนานพญาเต่าเรือนนั้น มาจากพุทธชาดก เมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ โดยเสวยชาติเป็นพญาเต่าอยู่ที่ยอดเขาบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง ต่อมามีสำเภาอับปางในละแวกนั้น เหล่าบรรดาผู้คนบนเรือได้ว่ายน้ำมาติดอยู่บนเกาะ ทว่าขัดสนด้วยภักษาหารอย่างสาหัส พญาเต่าเห็นดังนั้นจึงได้สละชีวิตตนเองเพื่อเป็นอาหารแก่มนุษย์  โดยปล่อยให้ตนเองร่วงหล่นจากยอดเขาลงมากระทบพื้นเบื้องล่างถึงแก่ชีวิต เหล่าชาวเรือจึงได้อาศัยเนื้อเต่ายังชีพจนกระทั่งมีเรือผ่านมาช่วยเหลือ

คำว่าเต่าเรือนนั้น สันนิษฐานกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าหมายถึงพญาเต่าที่ร่างใหญ่โตเท่าบ้านเรือน บ้างก็ว่าหมายถึงอาการที่เต่าเลื่อนร่างกายหล่นลงมาจากยอดเขา บ้างก็ว่าหมายถึงลบเลือน เลอะเลือน หรือที่วิเคราะห์ไปทางอื่นก็มี

พญาเต่าเรือนนั้นมีสร้างบูชากันหลายแบบ เป็นแผ่นยันต์ เป็นรูปหล่อ รูปปั้น หรือแกะสลักเป็นเต่า เป็นเหรียญโลหะรูปเต่าก็นิยมทำกันมาก




 ๓. ชูชก

ชูชก คงจะรู้จักกันดีอยู่แล้วว่าชูชกนั้นปรากฏอยู่ในพระเวสสันดรชาดก เคล็ดความสำคัญของชูชกคือการเป็นยอดนักขอ ขออะไรก็ได้ดั่งใจ แม้แต่ลูกกษัตริย์ก็ยังขอเอามาเป็นข้ารับใช้ได้สำเร็จ (ไม่ชูการเป็นนักกิน เพราะกินจนท้องแตกตายนี่ไม่ดีแน่)  การบูชาชูชกก็เพื่อให้ขออะไรได้สมหวัง มีลาภสักการะเข้ามาไม่ขาด ทำมาค้าขึ้นเงินทองไหลมาเทมา มักทำเป็นรูปหุ่นชูชก เป็นแผ่นยันต์ก็มีบ้าง


จาก หนังสือต่วย'ตูน ฉบับพิเศษ โดย "เตียวกง" และวิกิพีเดีย

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 สิงหาคม 2556 19:13:15 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2556 06:33:21 »

.

http://images.thaiza.com/172/172_20130320155222..jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
  ๔. เจ้าเงาะ

เจ้าเงาะมาจากเรื่องสังข์ทอง จับเคล็ดเอาตรงที่พระสังข์มีมหาจินดามนต์เรียกเนื้อเรียกปลาได้ ก็แน่นอนว่าย่อมเรียกทรัพย์ได้ดุจกัน  ดังนั้น จึงมีการทำรูปเจ้าเงาะป่าเป็นเครื่องรางไว้บูชาเพิ่มโชคลาภ



http://imageshack.us/a/img35/7567/56486135.jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
  ๕. ลอบ ไซ แห

ลอบ ไซ แหเรียกทรัพย์  เครื่องมือจับปลา ดักปลา แต่โบราณเหล่านี้ ถูกนำมาสร้างเป็นเครื่องรางเพื่อดักจับเอาโชคลาภทรัพย์สิน  มีที่มาจากวิถีชีวิตคนโบราณโดยแท้ และเครื่องมือจับสัตว์น้ำเหล่านี้ยังมีคำโบราณเรียกกันว่า “ท้าวพันตา พญาพันวัง”  ยกให้เป็นของขลังคุ้มภัยได้ โดยคำว่าพันตานั้น หมายถึงตาข่ายของแหที่มีมากมายนับพัน ส่วนพันวังก็คือการที่เครื่องมือเหล่านี้สามารถนำไปใช้จับปลาได้เป็นพันวังน้ำ 
 
มีนิทานเก่าเล่าว่าชายหาปลาผู้หนึ่งได้เดินทางไปหาปลายังที่ห่างไกลแปลกถิ่น  ขณะที่พักค้างแรมอยู่นั้นได้ยินเสียงภูตผีโหยหวนอยู่รายล้อม  ตัวเองก็ไม่มีวิชาของขลังอะไรสักอย่าง จะหนีไปทางไหนก็คงไม่พ้น จึงนำพวกเบ็ดราว เครื่องมือหาปลาต่างๆ มาล้อมรอบที่พักเป็นอาณามณฑล เอาแหขึ้นไปแขวนกางคลุมด้านบนเป็นเพดาน  แล้วอธิษฐานภาวนาขอพึ่งบารมีท้าวพันตา พญาพันวัง ปรากฏว่าภูตผีที่รายล้อมนั้นไม่สามารถเข้ามากล้ำกรายได้เลย และชื่อท้าวพันตา พญาพันวังนี้ก็ยังปรากฏในนิทานเรื่อง ไกรทอง  โดยเป็นชื่อของพญาจระเข้ ๒ ตัว ที่ต่อสู้กับท้าวโคจร พ่อของพญาชาละวัน จนตาย  และยังปรากฏอยู่ในตำนานของเมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) อีกด้วย
 


http://board.postjung.com/data/642/642455-img-1353289216-1.jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
  ๖. การลงนะหน้าทอง

นะหน้าทอง หรือเรียกสั้นๆ ว่าการลงนะ  เป็นยอดวิชาสร้างเสน่ห์เมตตามหานิยม เสริมสิริมงคล ที่คนในวงการบันเทิงการค้า หรือการให้บริการต่างๆ นิยมทำกันมาก เพราะเชื่อว่าจะทำให้คนรักใคร่นิยมชมชอบ ทำมาค้าขึ้น แต่ต่างจากการทำเสน่ห์ยาแฝดฝังรูปฝังรอยที่เป็นไสยดำ เป็นบาปเป็นกรรม เป็นอันตรายทั้งตัวผู้ทำและผู้ถูกกระทำ  วิชานะหน้าทองนี้แต่โบราณมาพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านก็ร่ำเรียนและลงนะให้ญาติโยมได้ ต่างจากการทำเสน่ห์ฝังรูปฝังรอยที่พระท่านจะไม่ทำเลย

นอกจากคาถา อักขระ เลขยันต์ต่างๆ แล้ว  สิ่งสำคัญของการลงนะหน้าทองก็คือ ต้องใช้แผ่นทองคำเปลว ที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ โดยผู้ทำพิธีจะเสกแผ่นทองให้หายเข้าไปในร่างกายของผู้ที่ต้องการลงนะบางสายวิชากล่าวว่าสามารถเสกแผ่นทองคำให้ลอยผ่านอากาศพุ่งเข้าไปในร่างกายของผู้เข้าพิธีได้เลย  จำนวนแผ่นทองที่ใช้นั้นก็ต่างกันไปตามแต่สายวิชาของผู้ประกอบพิธี และระดับความเข้มขลังที่ต้องการ  ซึ่งในยุคก่อนนั้นครูบาอาจารย์ท่านใช้จำนวนแผ่นทองไม่มากนัก เช่น ๑ แผ่น ๓ แผ่น ๕ แผ่น หรือ ๙ แผ่น  แต่ในยุคหลังๆ บางสำนักใช้ทองกันเป็นร้อยแผ่นก็มี  ซึ่งดูจะเป็นอุปเทห์ในการเรียกแรงศรัทธาเสียมากกว่า ตำแหน่งหลักที่ใช้ในการลงนะหน้าทองนั้นคือหน้าผาก แต่บางครั้งก็อาจลงเพิ่มที่เปลือกตา แก้ม กราม คาง ท้ายทอย กระหม่อม ติ่งหู และลิ้น  ซึ่งยังแยกออกไปเป็นวิชาสาลิกาลิ้นทอง ดังจะได้เล่าถึงต่อไป



http://i709.photobucket.com/albums/ww95/neonerohero/003.jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
  ๗. การลงนะสาลิกาลิ้นทอง

สาลิกาลิ้นทอง  เป็นวิชามหาเสน่ห์ทางด้านการพูดจาพาที เจรจาธุรกิจ ซื้อขาย หว่านล้อม โน้มน้าวในคนได้ดีนักแล  โดยยึดโยงเอานกสาลิกามาเป็นสัญลักษณ์  สาลิกาเป็นนกที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่เป็นนิจ และมีการกำหนดเป็นตัวยันต์ขึ้นมา  การลงสาลิกาลิ้นทองนั้นจะลงกันที่ลิ้น  บางสำนักอาจลงที่ฟันหน้าด้วย มีเกร็ดเล่ากันว่าบางอาจารย์นั้น ท่านให้ทำปะรำพิธีเครื่องบัตรพลีตั้งอาณามณฑลกันในป่าช้า ผู้ประกอบพิธีต้องลงไปนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ในโลงผีตายโปง  ร่ายคาถาจนนกสาลิกาบินมาจับโลง จึงจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการลงสาลิกาลิ้นทองได้

นอกจากการลงอักขระที่ลิ้นแล้ว  วิชาสาลิกาลิ้นทองยังใช้ทำเป็นเครื่องรางของขลังด้วย โดยนำไม้อาถรรพ์ หรือไม้มงคล เช่น ไม้รักตายพราย ไม้มะยมตายพราย  ไม้กาฝาก มาแกะเป็นรูปนกสาลิกา มีทั้งแกะเป็นนกคู่และนกเดี่ยว หรือที่หลอมสร้างจากโลหะก็มี ปลุกเสกลงอักขระคาถา บางตำราก่อนจะตัดกิ่งไม้มาทำนั้นท่านว่าต้องตั้งปะรำพิธีบริกรรมคาถาจนมีนกสาริกาบินมาจับไม้นั้นจึงจะตัดไม้นั้นมาใช้การได้ รูปหุ่นนกสาลิกานี้บางสำนักเรียกว่าสาลิกาหลงรัง สาลิกาคืนรับก็มี

บางสำนักก็ใช้วิชาสาลิกาลิ้นทองนี้ในการปลุกเสกของขลังอื่นด้วย เช่น ทำตะกรุดสาลิกา หุงสีผึ้งสาลิกา ซึ่งล้วนแต่ให้คุณด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นหลัก

ผู้ที่ลงนะหรือสาลิกาลิ้นทองมาแล้วนั้น จะมีข้อห้ามประพฤติคล้ายกับผู้ที่สักยันต์ แต่จะต่างกันออกไปตามแต่ครูจะกำหนด เช่น ห้ามด่าทอบุพการี ห้ามกินอาหารเหลือจากผู้อื่น ห้ามดื่มน้ำร่วมแก้วกับผู้อื่น ห้ามกินของเซ่นไหว้ ห้ามกินอาหารในงานศพ ห้ามบ้วนน้ำลายลงในโถส้วมหรือที่โสโครก ฯลฯ
บางท่านกล่าวว่า ผู้ลงนะที่ฟันมาแล้ว ถ้าบ้วนน้ำลายลงในที่โสโครก ฟันจะถึงกับแตกเลยทีเดียว
เรื่องของการลงนะนี้มีสำนักต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย บางสำนักมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลอกลวงเอาเงินทองเป็นหลัก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงต้องระวังให้ดี ได้ยินมาว่าบางแห่งให้เปลือยกายเพื่อลงนะ

ขอเตือนว่า...อย่าใช้เสน่ห์จากไสยศาสตร์ให้มากจนเกินไป  เสน่ห์จากการประพฤติดีประพฤติชอบมีอัธยาศัยน้ำใจไมตรีดีงามนั้นสำคัญกว่า เพราะหากท่านไปพบอาจารย์ทุศีลเข้าแล้ว นอกจากจะต้องเสียเงินเสียทอง อาจจะถึงกับต้องเสียตัว เพราะถูกเขาหลอกไปลง “นะหน้าท้อง” ก็เป็นได้!


จาก หนังสือต่วย'ตูน ฉบับพิเศษ โดย "เตียวกง"
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2556 14:11:54 »

.

 ๘. ผีซิ่ว (貔貅)

ผีซิ่ว (ภาษาจีนกลาง หรือปี่เซียะ ในสำเนียงแต้จิ๋ว  จะขอเรียกว่าปี่เซียะก็แล้วกัน เพราะไทยเราส่วนใหญ่คุ้นกับสำเนียงแต้จิ๋วมากกว่า)  ปี่เซียะ หรือกวางสวรรค์ ตามตำนานกล่าวว่าเป็นลูกสุดท้องตัวที่ ๙ ของพญามังกร  รูปลักษณ์ของปี่เซียะนั้น ผสมสัตว์หลายชนิดเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งเป็นการผสานรวมเบญจธาตุตามคติจีน  กล่าวคือ มีศีรษะเป็นมังกร (ธาตุไม้)  ลำตัวเป็นกวาง (ธาตุน้ำ) กรงเล็บดุจสิงโต (ธาตุทอง)   มีปีกดั่งอินทรี (ธาตุไฟ) และมีหางเหมือนแมว (ธาตุดิน)

ลักษณะประการสำคัญของปี่เซียะคือไม่มีทวาร จึงไม่มีการขับถ่าย นั่นหมายถึงการรับทรัพย์ลูกเดียว ไม่มีไหลออก  แต่เดิมนั้นเชื่อกันว่าปี่เซียะมีอำนาจในการกำราบภูตผีปีศาจ ป้องกันคุณไสยมนต์ดำ กำจัดสิ่งชั่วร้าย

ในสมัยราชวงศ์โจวตอนปลาย  มีการนำปี่เซียะมาเป็นสัญลักษณ์บนธงที่ใช้ออกรบ แสดงถึงความกล้าหาญ การปกป้องคุ้มภัยและชัยชนะ  นอกจากคุ้มภัยในการรบแล้ว ในสมัยโบราณยังเชื่อกันว่าปี่เซียะจะช่วยพิทักษ์รักษาทรัพย์สมบัติได้อีกด้วย สังเกตได้จากการสร้างรูปปั้นหรือรูปสลักปี่เซียะไว้บริเวณหน้าท้องพระโรง บนหลังคาสิ่งปลูกสร้าง ในพระราชวัง หน้าประตูบ้านคหบดี สุสานประจำตระกูล ฯลฯ

การบูชาปี่เซียะนั้นมีทั้งแบบเดียวและเป็นคู่ หากบูชาเป็นคู่ผู้รู้ท่านว่าให้ตั้งตัวเมียไว้ด้านขวา ตัวผู้ไว้ด้านซ้าย  วิธีดูว่าตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมียก็คือ ตัวที่ก้าวเท้าขวาออกมาข้างหน้าคือตัวเมีย ส่วนตัวผู้นั้นก้าวท้าวซ้าย มักนิยมตั้งให้หันหน้าแยกห่างจากกันเล็กน้อยและหันด้านท้ายเข้าหากัน คล้ายรูปตัววี (v)  ทั้งนี้การจัดตั้งควรคำนึงถึงหลักฮวงจุ้ยของสถานที่นั้นๆ ด้วย

ผู้บูชาปี่เซียะต้องเอาใจใส่ดูแล ทำความสะอาด บางท่านให้อาบน้ำเกลือ จัดหาน้ำและเครื่องเซ่น  ลูบหัวลูบหางลูบท้องดุจดั่งสัตว์เลี้ยงของตน แต่ห้ามลูบปากและลิ้น จะทำให้เก็บทรัพย์ไม่อยู่ และปี่เซียะนี้เมื่อบูชาแล้วห้ามยกให้แก่กัน เพราะเท่ากับยกโชคลาภให้คนอื่นไปหมดสิ้น



จาก หนังสือต่วย'ตูน ฉบับพิเศษ โดย "เตียวกง"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กรกฎาคม 2556 14:13:25 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2556 06:27:39 »

.

http://webiz.co.th/files/photos/0/61/09/610954/1391941.jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
๙. เซียมซู้ หรือ เซียมซู้ซากิมจี๊ หรือ ฉางฉุ

เซียมซู้ หรือ เซียมซู้ซากิมจี๊ หรือ ฉางฉุ เรียกง่ายๆ แบบไทยๆ เราก็คือคางคกสามขา  

มีตำนานที่มาแตกออกเป็นหลายกระแส บ้างก็ว่ามาจากตำนานเซียนในลัทธิเต๋านามว่า หลิวไห่ฉาน ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นเซียนแห่งการให้ทาน ท่านเป็นชาวเมืองเอี้ยนซาน ในสมัยอู่ใต้ มีนามเดิมว่าหลิวเชา  มีฉายาว่าไห่ฉานจื่อ อันแปลว่า คางคกทะเล  ท่านรับราชการเป็นขุนนางจนเกิดความเบื่อน่ายในทางโลก จึงหันมามุ่งแนวทางพรต ออกบำเพ็ญเพียร จนได้พบกับเซียนฮั่นจงหลี (บางตำนานก็ว่าเป็นเซียนลื่อท่งปิน)  หนึ่งในโป๊ยเซียน  ช่วยชี้แนะมรรคาแห่งเต๋าให้หลิวไห่ฉานสามารถบรรลุมรรคผลจนสำเร็จเป็นเซียน

เซียนหลิวไห่ฉาน มีสัตว์คู่บารมีเป็นคางคกที่มีขาเพียงสามขา คางคกวิเศษตัวนี้จะคาบเหรียญไว้ในปาก เมื่อคางคกสามขากระโดดตามเซียนหลิวไห่ฉานไปที่ใด เงินทองก็ร่วงจากปากคางคกมามากมายไม่มีวันหมด  

บางตำนานก็เล่าว่าหลิวไห่ฉาน มีชื่อเดิมว่าหลิวเจ๋อ เป็นชาวเมืองกว่างหลิง ในยุคราชวงศ์โห้วเหลียง รับราชการเป็นถึงเสนาบดี ต่อมาท่านได้สนทนาธรรมกับนักพรตเจิ้งหยางจื่อ ซึ่งนำไข่ไก่ ๑๐ ฟองมาวางเรียงซ้อนกันเป็นรูปเจดีย์  โดยมีเหรียญ ๑๐ เหรียญวางคั่นระหว่างไข่ไก่แต่ละฟอง  หลิวไห่ฉานร้องเตือนว่า ระวังไข่ไก่จะร่วงแตกลงมา แต่นักพรตกลับหัวเราะแล้วบอกว่า “ตำแหน่งที่ท่านดำรงอยู่ ต้องพึงระวังยิ่งกว่าไข่ไก่เหล่านี้เสียอีก”  คำกล่าวนี้ทำให้หลิวไห่ฉานฉุกใจคิด จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ และบวชเป็นพรต ใช้ฉายาว่าไห่ฉานจื่อ (คางคกทะเล)  ออกเดินทางแสวงหาสัจธรรมไปทั่วแผ่นดินจนได้พบผู้วิเศษช่วยชี้แนะให้ไปบำเพ็ญเพียรที่จงหนานซาน ท่านจึงบรรลุมรรคผลได้ในที่สุด

ยามใดที่เซียนหลิวไห่ฉานแสดงธรรม ก็มักจะนำเอาปริศนาธรรมเรื่องไข่ไก่และเหรียญมาถ่ายทอด ผู้คนจึงได้เล่าขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นเรื่องของการให้พรร่ำรวยและบริจาคทานเงินทองไปในที่สุด

ยังมีตำนานอีกแบบหนึ่งว่า เซียมซู้คางคกสามขานั้นเป็นตัวยาอมตะ กินแล้วไม่เจ็บ ไม่ตาย รักษาโรคได้สารพัด ทำให้ผู้คนออกตามล่าหาตัวเซียมซู้มากิน บรรดาเซียมซู้ทั้งหลายจึงได้หนีจากโลกมนุษย์ไปอาศัยอยู่บนดวงจันทร์  ต่อมามีชายยากจนผู้หนึ่งนามว่าเหล่าไฮ้ มีบุญได้พบเซียมซู้ จึงนำมาเลี้ยงดูแลอย่างดี  เซียมซู้จึงทำให้เหล่าไฮ้เปลี่ยนฐานะจากคนเข็ญใจกลายเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาล

ตำนานคางคกสามขานี้มีเยอะมาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับดวงจันทร์   ผู้เขียนเห็นว่าสนใจดี จึงพยายามเก็บมาเล่ามากสักหน่อย  ลองมาดูตำนานต่อไปกันดีกว่า

จีนโบราณนั้นมีตำนานว่าแต่เดิมมีพระอาทิตย์ถึง ๑๐ ดวง ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันส่องแสงมายังโลกมนุษย์ แต่แล้วพระอาทิตย์ทั้ง ๑๐ ดวงซึ่งเป็นโอรสของเง็กเซียนฮ่องเต้ จักรพรรดิสวรรค์กลับนึกสนุกขึ้นมา พากันมาส่องแสงพร้อมๆ กันทุกดวง ทำให้มนุษย์ สัตว์ และพืชได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส จากแสงอาทิตย์ที่รุมเร้าแผดเผาจนแม่น้ำแห้งขอด ผืนดินแตกระแหง สิ่งมีชีวิตถูกเผาไหม้ตายไปมากมาย

ในยามนั้นโฮ่วอี้ เทพขมังธนูซึ่งถูกส่งตัวจากสวรรค์มาช่วยเหลือมวลมนุษย์จึงขึ้นไปบนยอดเขาคุนหลุน แล้วยิงดวงอาทิตย์ตกลงมา ๙ ดวง ช่วยโลกให้พ้นภัยร้อนได้ แต่การกระทำครั้งนี้ทำให้เทพเจ้ากริ้วอย่างมาก จึงบัญชาให้โฮ่วอี้และฉางเอ๋อเทพธิดาผู้เป็นภรรยาไม่สามารถกลับขึ้นไปยังสวรรค์ได้อีก ต้องกลายเป็นมนุษย์อาศัยอยู่บนโลกตลอดไป  ต่อมาโฮ่วอี้ได้รับยาวิเศษซึ่งกินแล้วจะทำให้กลับสวรรค์ได้ จากเจ้าแม่ชีหวังหมู่   ฮองเฮาสวรรค์ที่ประทับอยู่ ณ เขาคุณหลุน แต่ทว่าเจ้าแม่ประทานยานี้ให้มาเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น หากโฮ่วอี้กินเข้าไปเมื่อได้กลับสวรรค์ ก็ต้องจากภรรยา หากยกให้ภรรยากิน ตนเองก็ต้องอยู่บนโลกมนุษย์อย่างเดียวดาย จึงยังเก็บยานี้ไว้กระทั่งถึงคืนเพ็ญเดือน ๘ (วันไหว้พระจันทร์) ฉางเอ๋อซึ่งทนอยู่ในสภาพมนุษย์ธรรมดาไม่ได้ จึงแอบกินยาวิเศษเข้าไปทำให้ร่างกายของนางเบาและล่องลอยขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ ส่วนโฮ่วอี้นั้นภายหลังถูกเผิงหมงลูกศิษย์ของตนเองลอบทำร้ายจนตายด้วยความริษยา (บางตำนานเล่าว่าฉางเอ๋อจำใจต้องกินยาวิเศษเพื่อหลบหนีจากเผิงหมงที่มาชิงยาวิเศษ)

ตำนานทั่วไปจนเล่ากันว่าฉางเอ๋อต้องอยู่บนดวงจันทร์ด้วยความเงียบเหงา เพราะบนนั้นมีเพียงผู้เฒ่าตัดไม้และกระต่ายน้อยที่คอยตำยาเท่านั้น แต่ก็มีบางตำนานเล่าว่า เมื่อฉางเอ๋ยขึ้นไปถึงบนดวงจันทร์ ผลจากการกินยาวิเศษนอกจากทำให้ตัวเบาแล้วยังมีอาการข้างเคียงคือ เธอได้อาเจียนออกมาเป็นกระต่ายตัวหนึ่ง และคางคกสามขาอีกตัวหนึ่ง

นี่ก็คือที่มาของการมีคางคกสามขาอยู่บนดวงจันทร์และตำนานนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในที่มาของการไหว้พระจันทร์ด้วยคือ เมื่อถึง ๑๕ ค่ำเดือน ๘ วันเทพธิดาฉางเอ๋อจะปรากฏกายออกมา ผู้คนจึงพากันสักการบูชาขอพรให้มีความงามและเยาว์วัยเช่นเดียวกับฉางเอ๋อ

อีกตำนานหนึ่ง ซึ่งก็คือเรื่องของคนตัดไม้ที่อยู่บนดวงจันทร์นั่นแหละ ชายผู้นี้มีนามว่าอู๋กัง ชาวเมืองชีเหอ มีความใฝ่ฝันอยากเป็นเซียนจึงไปแสวงหาวิธีที่จะเป็นเซียนให้ได้ ทิ้งให้นางหยวนฟูผู้เป็นภรรยาอยู่อย่างเปล่าเปลี่ยว นางจึงลักลอบเป็นชู้กับป๋อหลิง   ซึ่งป๋อหลิงคนนี้ก็ไม่ธรรมดา เป็นถึงหลานชายของเทพเหยียนตี้ และมีบุตรด้วยกันถึง ๓ คนคือ กู๋, ซู และเหยียน เมื่ออู๋กังกลับมาบ้านทราบความเข้า ด้วยความแค้นที่ถูกหยามจึงฆ่าป๋อหลิงชายชู้จนตายระบายแค้น แต่การกระทำของเขาทำให้เหยียนตี้กริ้วขึ้นมา จึงจับเขาไปไว้บนดวงจันทร์ และให้ทำหน้าที่โค่นต้นกุ้ย (ต้นอบเชย) ขนาดยักษ์เป็นการชดใช้ความผิด ถ้าโค่นสำเร็จเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงจะได้รับอิสรภาพ แต่อบเชยยักษ์ต้นนี้โค่นเท่าไหร่ก็ไม่ล้ม  เพราะทุกครั้งที่เหวี่ยงขวานฟันลงไป เนื้อไม้เปลือกไม้ก็จะงอกใหม่มาปิดแผลเดิมอย่างรวดเร็ว อู๋กังจึงต้องตัดไม้อยู่เช่นนั้นตลอดมา

นางหยวนฟูรู้สึกสำนึกผิด จึงได้ส่งบุตรของนางขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อน โดยเมื่อบุตรชื่อกู๋ ขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ ก็กลายร่างเป็นคางคกสามขา ส่วนบุตรชื่อซูกลายร่างเป็นกระต่ายขาว ส่วนเหยียนนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงไว้

ตำนานเกี่ยวกับดวงจันทร์ของชาวจีนนั้นมีแตกแขนงแยกย่อยเสริมแต่งกันมากมาย ที่ผู้เขียนนำมาเล่านี้ก็คงแตกต่างจากตำนานจากแหล่งอื่นไปบ้าง ขอให้อ่านกันแบบนิทานก็แล้วกัน เพราะเรื่องเล่าแบบปากต่อปากมานานเป็นพันปีในหลากหลายท้องถิ่นนั้นย่อมเปลี่ยนแปรไปตามกาลเวลา

ขอย้อนกลับมาถึงการให้คุณของคางคกสามขา เซียมซู้นั้นนิยมนำมาตั้งไว้ในบ้าน หน้าบ้านหรือที่เก็บเงิน เพื่อความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภ เรียกทรัพย์สินเงินทอง โดยการจัดวางนั้นก็ควรวางให้ต้องตรงตามหลักฮวงจุ้ยด้วยจึงจะได้ผลดี กล่าวกันว่าตัวเซียมซู้นี้ไม่ถึงขึ้นเป็นของขลังศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นสิ่งเสริมฮวงจุ้ยในบ้านหรือสถานประกอบการให้มั่นคงขึ้นได้


จาก หนังสือต่วย'ตูน ฉบับพิเศษ โดย "เตียวกง"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กรกฎาคม 2556 06:30:33 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2556 06:18:24 »

.

๑๐. มะเนะคิเนะโกะ (แมวกวัก) 

มะเนะคิเนะโกะ (แมวกวัก)  เอ่ยถึงเครื่องรางเรียกทรัพย์ ถ้าจะไม่พูดถึงเจ้าแมวกวักจากญี่ปุ่นก็เห็นจะไม่ได้ แม้ว่าคนไทยเราจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ในเรื่องตำนานที่มานั้นมีแยกย่อยออกไปหลายแขนงและน่าสนุกดี จึงมีความน่าสนใจสมควรจะนำมาเล่าสู่กันฟัง

ตำนานแรก กล่าวกันว่าในยุคเอะโดะ มีหญิงชรายากจนเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง นางรักมันมาก แต่ด้วยความยากจนอดมื้อกินมื้อนางจึงจำใจต้องนำมันไปปล่อยตัวด้วยความเสียใจอย่างที่สุด คืนนั้นหญิงชราฝันว่าแมวของนางมาบอกให้ปั้นรูปแมวจากดินเหนียวแล้วจะโชคดี หญิงชราจึงปั้นรูปแมวดินเหนียวขึ้นตามความฝัน  ชั่วเวลาไม่นานก็มีคนมาขอซื้อตุ๊กตาแมวดินเหนียวตัวนั้นไป นางก็ปั้นขึ้นใหม่อีก ก็มีคนมาซื้อไปอีก หญิงชราจึงปั้นตุ๊กตาแมวดินเหนียวออกมาเรื่อยๆ ซึ่งก็มีคนมาซื้อหาไปมิได้ขาด ฐานะของหญิงชราจึงดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถนำแมวที่นางรักกลับมาเลี้ยงได้อีกครั้ง

ตำนานต่อมา โอยรัน (โสภีณีชั้นสูง) นามว่าอุสุงุโมะ ที่อาศัยอยู่โนโยชิวาระ (ย่านเริงรมย์) ได้เก็บแมวตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้ กระทั่งคืนหนึ่งขณะที่เธอจะไปรับแขก เจ้าแมวได้เข้ามายื้อยุดชุดชายกิโมโนของเธอไว้ ในตอนแรกเธอก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่เจ้าแมวตัวนั้นก็ยังพยายามทำเช่นเดิมจนเจ้าของสถานเริงรมย์เห็นเข้า และเชื่อว่าเป็นแมวปิศาจจึงได้ฆ่าแมวด้วยการตัดหัว หัวแมวที่ถูกตัดกระเด็นขึ้นไปบนเพดาน แต่กระนั้นหัวแมวก็ได้กัดงูที่หลบอยู่บนเพดานหล่นลงมาด้วย ทำให้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าแมวน้อยพยายามช่วยปกป้องเจ้านายของมัน ความโศกเศร้าของอุสุงุโมะทำให้ลูกค้ารายหนึ่งเกิดความสงสาร เขาจึงมอบแมวแกะสลักให้เธอเป็นของขวัญปลอบใจ จากนั้นจึงได้มีการนิยมมอบรูปแมวจำลองให้แก่กันขึ้นมา

ตำนานนี้ บางแห่งก็กล่าวว่าผู้ที่ฆ่าแมวนั้นคือซามูไรลูกค้าที่มาติดพันโอยรัน และลงลาบตัดหัวแมวด้วยความชำนาญ

ตำนานสุดท้าย เป็นตำนานของวัดโกโตคุจิ ทางตะวันตกของโตเกียว แต่เดิมวัดแห่งนี้ยากจนชำรุดทรุดโทรมมาก จนพระชราที่เลี้ยงดูแมวชื่อทามะไว้รำพึงถึงความยากแค้นให้มันได้ยินบ่อยๆ กระทั่งวันหนึ่งมีชายผู้หนึ่ง มาหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้วัดแห่งนี้ เขาได้เห็นแมวในวัดยกเท้าขึ้นกวักคล้ายจะเรียกให้เข้าไปในวัด  ชายผู้นั้นจึงเดินเข้าไปตามการเรียกหานั้น เดินไปได้ไม่เท่าไร ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมายังต้นไม้ที่เพิ่งจะผละออกมา เท่ากับว่าเขารอดตายได้เพราะแมวกวัก ด้วยความสำนึกในบุญคุณและเห็นว่าวัดทรุดโทรมมากเขาจึงได้บูรณะและอุปถัมภ์วัดแห่งนั้นด้วยความเต็มใจ ในกาลต่อมาเมื่อแมวตัวนั้นตายลง ก็ยังได้ฝังศพอย่างดีและสร้างรูปของแมวตัวนั้นไว้ด้วยความสำนึกในบุญคุณจนเป็นที่มาของรูปแมวกวักในชั้นหลัง ซึ่งว่ากันว่าชายผู้ได้รับการช่วยเหลือจากแมวกวักนั้นแท้จริงแล้วคือท่าน อีนะโอะซุเกะ ผู้ครองเมืองฮิโกะเนะ ซึ่งต่อมาได้รับตำแหน่งไทโร (คล้ายกับผู้สำเร็จราชการแทนโชกุน) และสุสานของท่านก็อยู่ที่วัดแห่งนี้ด้วย

แต่บางกระแสก็เชื่อกันว่า แท้จริงแล้วที่มาของแมวกวักนั้นไม่ได้มีตำนานมากมายอะไรเลย แต่มีต้นกำเนิดมาจากความเชื่อของชาวญี่ปุ่นว่า ถ้าเห็นแมวทำความสะอาดหน้า แสดงว่าจะแขกมาหา ซึ่งหากเป็นคนค้าขาย ก็หมายถึงจะมีลูกค้ามาเข้าร้านนั่นเอง

ในปัจจุบันมีการขยายความเชื่อเกี่ยวกับแมวกวักออกไปอีกมากมาย เช่น รูปปั้นแมวกวักยกขาข้างซ้ายใช้เรียกลูกค้า รูปปั้นยกขาข้างขวาใช้เรียกเงินทองและโชคลาภ รวมทั้งสีของแมวกวักก็ส่งผลต่อผู้ครอบครองด้วยเช่นกัน อาทิ สีทองให้ความร่ำรวย สีแดงให้การคุ้มครอง สีดำขับไล่สิ่งชั่วร้ายและช่วยให้สุขภาพดี แมวสามสีให้โชคลาภ สีเขียวให้ผลดีด้านการศึกษา แม้กระทั่งแมวกวักสีชมพูให้ความสำเร็จในเรื่องความรักก็มีการนิยมกันในยุคหลังนี้


จาก หนังสือต่วย'ตูน ฉบับพิเศษ โดย "เตียวกง"
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2556 19:11:01 »

.

กล่าวกันว่าไสยเวทมีด้วยกัน 2 สาย คือ ไสยขาวและไสยดำ เครื่องรางจำพวกสาลิกา ขี้ผึ้ง ตะกรุด ปลัดขิก พระขุนแผน เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องรางของขลังที่ให้ฤทธิ์ธามหาเสน่ห์จัดอยู่ในจำพวกไสยเวทขาว  ไสยขาวทั่วไปที่พบเห็น ผู้บูชาสามารถหาเช่าได้ในตลาดพระเครื่อง ขณะที่เครื่องรางไสยเวทดำ มีน้อยคนที่จะรู้จักและถือบูชา
        
ว่ากันว่าเครื่องรางของขลัง หรือ มนต์คาถา ที่ว่าด้วยเรื่องเสน่ห์ หญิงรักชายหลง นั้น  “หมอเขมร” เป็นหมอไสยเวทที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุด ความเฮี้ยน ความแรง ยังคงเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่สมัยโบราณกาลจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ หากเอ่ยถึง “ไสยเขมร”  ทุกคนต่างล้วนหวาดกลัว และยกนิ้วให้เขมรเป็นที่หนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขา เรียกได้ว่าหากสงสัยว่าผู้ใด "โดนกระทำ" เป็นต้องทึกทักโทษ “เขมร” ไว้ก่อนแทบทั้งสิ้น
      
เขมรเป็นแหล่งกำเนิดไสยเวทย์อาคมที่แรงที่สุด และในบรรดาของขลังเขมร "พระงั่งเขมร” จัดเป็นของขลังที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด ที่มาของการสร้างพระงั่งเขมร ปรากฏหลักฐานจากคัมภีร์ใบลาน กล่าวถึง ฤาษี ผู้มีอภิญญาญาณ สร้างพระงั่งให้มีชีวิตจิตใจ ช่วยดลบันดาลให้ผู้บูชามีโชคลาภ เงินทองไหลมาเทมา  ให้คุณด้านเมตตามหาเสน่ห์แก่ผู้เป็นเจ้าของ ตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ จนมาถึงช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาตอนปลายซึ่งนับเป็นยุคสุดท้ายที่สร้างโดยฤาษี ต่อมาวิชาสร้างพระงั่งได้ถูกประยุคต์ใช้ในรุ่นต่อมา จากอาจารย์หลากหลายแขนงจนมาถึงยุคปัจจุบัน

มาดูกันที่ของขลัง ที่ให้คุณด้านเสน่ห์มหานิยม ตามหลักใหญ่ใจความคงจะมีไว้เพื่อสำหรับเป็นตัวดึงดูดให้เพศตรงข้ามมารัก มาหลง แม้การกระทำนั้นจะเป็นสิ่งผิดศีลผิดธรรมก็ตามที 

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010153203.JPEG
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม

1. เป๋อ

หนึ่งในสุดยอดเครื่องรางมหาเสน่ห์ กล่าวกันว่า แม่เป๋อ
ให้ผลทั้งด้านเสน่ห์ และอำนาจในตัว
ผู้บูชาที่เป็นสตรีจะมีฤทธิ์ทำให้ผู้ชายอยู่ในการควบคุม รักเดียวใจเดียว
ถ้าเป็นบุรุษจะทำให้ผู้บูชามีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามเด่นกว่าใครๆ



http://www.pralanna.com/img/id/0dsc06663.jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม

2. พระงั่ง

พ่องั่ง มีทั้งแบบศาสตร์ไทยและเขมร ให้อิทธิฤทธิ์ทางเสน่ห์ลุ่มหลงชนิดหัวโงหัวไม่ขึ้น
หญิงรัก ชายหลง ใครที่บูชาการันตีได้ว่าถ้าหัวกระไดไม่แห้ง
ก็ต้องมีอันต้องเลิกบูชาเพราะเหนื่อยกับการสับรางไม่ให้ชนกัน




3. อิ่น

เครื่องรางสร้างผัวเมียสายล้านนา คนล้านนาเชื่อว่าหากบูชาอิ่นไว้ที่ตัว
จะทำให้มีเสน่ห์ มีคนเมตตารักใคร่
หากมีไว้ที่บ้านทำให้คนในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวซึ่งกันและกัน




4. น้ำมันพราย

ในบรรดาอาถรรพ์ด้านทำเสน่ห์ด้วยไสยศาสตร์
"น้ำมันพราย" ถือว่าเป็นสุดยอดของมนต์ดำสายล่างที่เข้มขลังและน่ากลัวที่สุด
น้ำมันพรายจะมีสองชนิด หนึ่งคือใช้ทำเสน่ห์ให้คนรัก คนหลง
ชนิดที่สองคือใช้เพื่อทำให้เป็นบ้า เลื่อนลอย เสียสติเพราะฤทธิ์พรายเข้ากระแสเลือด




5. ขี้ผึ้ง
ใช้สำหรับสีปากก่อนเจรจาว่าความต่างๆ ก็จะได้สิ่งนั้นตามประสงค์
สรรพคุณของสีผึ้งให้ผลทางเมตตามหาเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น หนุนดวงชะตาผู้ใช้
และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สมหวังในความรัก หากนำไปใช้ในทางผิดศีลธรรมว่ากันว่าอานุภาพจะเสื่อม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 สิงหาคม 2556 06:01:38 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 21 มกราคม 2557 18:52:54 »

.
... สร้าง...เคียวเกี่ยวทรัพย์พญาไก่
...ปริศนาธรรม "หลวงพ่อคูณ" O OO O


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/01/11/395263/o4/420.jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
  เคียวเกี่ยวทรัพย์ฯบูชา.
เคียว....ลักษณะของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เป็นอุปกรณ์ที่เก็บเกี่ยวข้าวเลี้ยงคนทั้งโลกมาตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ ปัจจุบันการใช้งานลดท่าล่าถอยลงเนื่องจากชาวนาหันมาใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีแทน การนำมาเป็นปัจจัยกับเครื่องรางของขลังนี้ จึงมีความหมายที่สำคัญมากในพลานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะเกี่ยวเอาทรัพย์สินเงินทองโชคลาภเข้ามาไว้ในตัว

ส่วน “ไก่” นั้น สัญลักษณ์นักษัตรของปีระกา โดยเฉพาะศักราชนี้ (2557) ถือว่าเป็น ปีชง หากมีไว้บูชาจะได้แก้อาถรรพณ์ต่างๆอันจะเกิดขึ้นให้บางเบาหรือสลาย และอีกประเด็น ไก่มีนิสัยรักเพื่อน เผื่อแผ่พวกพ้อง

ซึ่ง....ตรงกับความต้องการ ของ “หลวงพ่อคูณ” ที่เน้นนักเน้นหนา.....คือ ให้มีความสามัคคี...!!


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2014/01/11/395263/o5/420.jpg
ของขลังเรียกทรัพย์ เมตตา มหานิยม
  เคียวเกี่ยวทรัพย์ฯ ห้อยคอ

อีกทั้ง.....ไก่ก็มีความสำคัญผูกพันพุทธตำนานภัทรกัปพระเจ้า 5 พระองค์ ในชาติของ พระกกุสันโธ ซึ่งมี แม่เลี้ยงเป็นพญาไก่ โดย ทั้งที่ตัวเองไม่รู้ว่าแม่จริงนั่นคือกา วันหนึ่งขณะออกคุ้ยเขี่ยหาอาหาร

พลันเหยี่ยวบินโฉบลงมาเพื่อจับกิน เป็นอาหาร พระกกุสันโธตกใจมากจึงร้องขอความช่วยเหลือ ณ ที่นั่นแม่กาเกาะอยู่ เมื่อได้ยินเสียงจึง มองจากยอดกิ่งไม้ลงมาเบื้องล่างแต่ก็มิเห็นพระกกุสันโธ เพราะทันทีทันใดพญาไก่จึงกางปีกหุบเอาไว้ให้รอดพ้นกับภัย

กาลเวลาต่อมา เมื่อพระกกุสันโธได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัปป์นั้น ศาสนาของพระองค์เจริญรุ่งเรืองมาก เหล่ามนุษย์มีอายุยืน ไม่มีมาร ไม่มีการเบียดเบียน กันเลย

     O O O

ทุกค่ำเช้าพระองค์จะชุมนุมเหล่าบริวารบอกสอนให้รู้จักมีสามัคคีธรรม มีสัมมาอาชีพอันสุจริต แบ่งปันเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน...อันเป็นหนึ่งใน ปริศนาธรรมที่บ่งชัดถึงคุณธรรมของไก่

วัตถุมงคลรุ่นนี้เป็นการเอาพลังแห่งเคียวกับพญาไก่เข้ามาผสมผสาน เป็น “เคียวเกี่ยวทรัพย์พญาไก่” ตามคำแนะนำของ หลวงพ่อคูณ

และเมื่อ “กูให้มึง” แล้วก็สำแดงความเมตตาอย่างเต็มที่ พอแล้วเสร็จ เมื่อ 15 สิงหาคม 2556 จึงให้เข้าพิธีกรรมพุทธาภิเษก ณ วัดบ้านไร่ โดย หลวงพ่อคูณ นำพระเกจิอาจารย์ 90 รูปบริกรรมคาถา เป็นวาระแรก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2557 18:54:33 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.392 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 12 เมษายน 2567 16:56:49