.ชาวมลายูเรียกพระนเรศวรเป็นเจ้าว่า
พระอัคนิราชหมายถึง
ไฟ อันไฟนั้นย่อมมีทั้งความร้อน มีพลังงาน และมีแสงสว่าง
พระบรมราชกฤษฎาภินิหารของพระนเรศวรก็เป็นดังนั้น
แสงสว่างอันเจิดจ้านั้นก็ยังส่องออกมาให้เห็น ปรากฏแก่ตาแก่ใจคนจนได้...
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ในพระราชอิริยาบถประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาทรงสุวรรณภิงคาร
หลั่งน้ำทักษิโณทกลงเหนือพื้นพสุธาดล ประกาศอิสรภาพจากพม่า
ประดิษฐานที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในพระราชวังจันทน์ พระราชวังจันทน์ เป็นที่ตั้งศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย พระองค์ได้กอบกู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก และได้ทรงแผ่อำนาจของราชอาณาจักรไทย อย่างกว้างใหญ่ไพศาล ตลอดพระชนมชีพได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อบ้านเมือง รักษาแผ่นดินจนตกมาถึงพวกเราในปัจจุบัน พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒) พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘) แห่งราชอาณาจักรศรีอยุธยา และองค์ที่ ๒ ของราชวงศ์สุโขทัย ที่ได้ครองกรุงศรีอยุธยา (พระองค์ที่ ๑ สมเด็จพระมหาธรรมราชา) ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชและสมเด็จพระวิสุทธิกษัตริย์ ราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กับสมเด็จพระศรีสุริโยทัย แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ประสูติที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก เมื่อปีเถาะ พ.ศ.๒๐๙๘ ชาวเมืองพิษณุโลกและชาวต่างประเทศเรียกพระนามพระองค์อย่างสามัญว่า พระองค์ดำ ส่วนสมเด็จพระอนุชาเรียกว่า พระองค์ขาว ในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าถูกต้องที่สุดนั้น เรียกพระนามของพระองค์ว่า “สมเด็จพระนารายณ์บพิตรเป็นเจ้า”
ขณะทรงพระเยาว์ ประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก จนถึงปี พ.ศ.๒๑๐๗ พระชนมายุ ๙ พรรษา พระเจ้าหงสาวดีมีพระราชสาส์นทูลขอช้างเผือกจากกรุงศรีอยุธยา ๒ ช้าง (ขณะนั้นมีช้างเผือกอยู่ทั้งหมด ๗ ช้าง) สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกทรงมีพระบรมราชโองการไม่ประทานช้างเผือก พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงถือเป็นเหตุยกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยา (เรียกกันว่า สงครามช้างเผือก) โดยยกทัพผ่านมาทางสุโขทัย แล้วเลยมาล้อมเมืองพิษณุโลกเอาไว้ พระมหาธรรมราชาซึ่งครองเมืองพิษณุโลกเห็นจะสู้พม่าซึ่งมีกำลังพลมหาศาลไม่ได้จึงยอมอ่อนน้อมต่อพม่า พระเจ้าบุเรงนองได้ให้สมเด็จพระมหาธรรมราชายกกองทัพลงไปตีกรุงศรีอยุธยาด้วย ผลของสงคราม ทำให้ไทยต้องยอมเป็นไมตรี และยอมถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงนำไปเป็นตัวประกัน ณ กรุงหงสาวดี ตามประเพณีการปกครองเมืองขึ้นของไทยและของพม่ามาแต่โบราณ
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเรื่องนี้ไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปเป็นตัวประกันที่กรุงหงสาวดีจนพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชจึงได้ถวายพระสุพรรณกัลยาไปแลกเปลี่ยน และเมื่อเสด็จกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว พระราชบิดาจึงแต่งตั้งให้ขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลก
เรื่องการเสด็จกลับเมืองไทยของสมเด็จพระนเรศวรนี้ หลักฐานทางพงศาวดารไทยไม่ชัดเจน มีปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่าและหนังสือคำให้การขุนหลวงหาวัด* (* สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระนามเดิมเจ้าฟ้าดอกเดื่อ) ซึ่งเป็นพงศาวดารที่ไทยแปลมาจากภาษารามัญ กล่าวว่า...เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชสวรรคตนั้น สมเด็จพระนเรศวรยังประทับอยู่ที่กรุงหงสาวดี ขุนนางเชื้อพระวงศ์ได้อัญเชิญสมเด็จพระเอกาทศรถขึ้นครองราชย์สมบัติ แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอม ทรงพอพระทัยที่จะดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชอยู่อย่างเดิม แต่ปกครองบ้านเมืองด้วยสิทธิขาดของพระองค์เอง
และในเอกสารคำให้การชาวกรุงเก่าและคำให้การขุนหลวงหาวัด ได้กล่าวถึงเรื่องสมเด็จพระนเรศวรชนไก่กับพระมหาอุปราชา ทำให้มีความอาฆาตพระมหาอุปราชา ต่อมาจึงทรงดำริว่า “เราจะมานั่งลอยหน้าอยู่ในเมืองให้เขาดูหมิ่นอย่างนี้ไม่ควร” จึงจะคิดอุบายหนีไปให้จงได้ ต่อมาจึงได้เสด็จเข้าไปชวนพระสุพรรณกัลยาหนีกลับกรุงศรีอยุธยา แต่พระพี่นางตรัสตอบว่า พระองค์ท่านมีบุตรด้วยพระเจ้าหงสาวดีแล้วจะหนีไปอย่างไรได้ สมเด็จพระนเรศวรจึงรวบรวมไพร่พลจำนวน ๖๐ คน หนีออกจากกรุงหงสาวดี ผ่านมาทางด่านเจดีย์ ๓ องค์ ฝ่ายพม่าให้พระมหาอุปราชายกกองทัพติดตาม เกิดการสู้รบตั้งแต่บริเวณพระเจดีย์ ๓ องค์ สมเด็จพระนเรศวรสู้ไม่ไหวจึงถอยไปตั้งที่เมืองสุพรรณบุรี
ที่สุพรรณบุรีนี้เอง สมเด็จพระเอกาทศรถทราบข่าว ได้ยกกองทัพไปช่วยจนสามารถเอาชนะพม่าได้ จากนั้นพระองค์จึงเสด็จหนีไปตั้งมั่นที่เมืองพิษณุโลก โดยมิได้เข้าไปกราบถวายบังคมพระราชบิดาที่กรุงศรีอยุธยาเรื่องที่สมเด็จพระนเรศวรหนีพม่ามาน่าเชื่อถือมาก ในจดหมายเหตุของวัน วลิต กล่าวว่า “เมื่อพระนเรศร์เสด็จหนีจากกรุงหงสาวดีมาเข้าเฝ้าพระราชบิดา ณ กรุงศรีอยุธยานั้น พระราชบิดาทรงตกพระทัยและโศกาดูร ทรงห่วงใยศึกพม่าเพราะบ้านเมืองยังขาดแคลน ราษฎรก็อดอยากยากแค้น รี้พลก็มีน้อย จึงอยากจะรักษาพระราชไมตรีกับพม่าต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อการเป็นไปแล้วก็ต้องปล่อยไป จึงส่งสมเด็จพระนเรศวรขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลกใน ปี พ.ศ. ๒๑๑๔ ขณะนั้นพระชนม์ได้ ๑๗ พรรษา
ขณะที่พระองค์ประทับที่เมืองพิษณุโลกได้สะสมฝึกปรือพละกำลังพล เช่นเดียวกับทางกรุงศรีอยุธยาก็บำรุงไพร่พลเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะมีกองทัพของกัมพูชายกเข้ามารุกรานหลายครั้ง บางครั้งเป็นเวลาที่สมเด็จพระนเรศวรเสด็จลงไปเฝ้าสมเด็จพระราชบิดาก็ได้ร่วมกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ทำสงครามขับไล่กองทัพกัมพูชาให้ถอยกลับไป ส่วนกองทัพเมืองพิษณุโลกนั้นได้แสดงความสามารถในสงครามปราบเมืองรุมเมืองคังเมืองของไทยใหญ่ ซึ่งแข็งข้อกับพม่า สงครามครั้งนั้นทำให้สมเด็จพระนเรศวรมีพระเกียรติยศเกรียงไกร เป็นที่เกรงขามต่อพม่าอันเป็นสาเหตุนำไปสู่การวางแผนลอบปลงพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๑๒๗ โดยจะลงมือขณะที่สมเด็จพระนเรศวรยกไปช่วยพระเจ้าหงสาวดีปราบเมืองอังวะที่แข็งเมือง
เมื่อเสด็จไปถึงเมืองแครงก็ทรงทราบแผนร้ายของพม่า จึงทรงหลั่งอุทกธาราลงเหนือพื้นพสุธาดล ออกพระโอษฐ์ตรัสประกาศเอกราชจากพม่าหลังประกาศเอกราชแล้ว พม่าก็ได้ยกกองทัพมาโจมตีไทยอีกหลายครั้ง ทำให้สมเด็จพระนเรศวรต้องถ่ายเทผู้คนจากหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด ๑๗ หัวเมือง ลงไปรวมกำลังต้านทานพม่าที่กรุงศรีอยุธยา
จนถึงเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. ๒๑๓๔ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรซึ่งที่จริงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยการปกครองมาแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติอย่างสมบูรณ์ ขณะนั้นมีพระชนมายุ ๓๖ พรรษา
ความที่พระองค์โปรดพระอนุชา เพียงจะทรงตั้งให้เป็นพระมหาอุปราช ไม่เพียงพอพระราชหฤทัย จึงทรงสถาปนาพระเอกาทศรถ พระอนุชาที่ตามเสด็จเข้าร่วมศึกสงครามเคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จพระบรมเชษฐา เป็นสมเด็จพระมหาอุปราช ถวายพระราชอิสริยยศเยี่ยงพระเจ้าแผ่นดินคู่กัน นับว่าในแผ่นดินนี้มีพระมหากษัตริย์ ๒ พระองค์ (Second King) และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย
และต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงเอาเป็นแบบอย่าง ทรงแต่งตั้งพระอนุชาเป็นพระมหาอุปราชและถวายพระเกียรติยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดิน เรียก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากครองราชย์ไม่นาน พม่าได้แต่งตั้งให้พระมหาอุปราชยกทัพใหญ่มาตีกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ สงครามคราวนี้สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถยกกองทัพไปต่อสู้นอกกรุงศรีอยุธยาถึงสุพรรณบุรี นับเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของชนชาติไทย ศึกครั้งนี้ได้กระทำยุทธหัตถี ทรงสามารถเอาชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาของพม่า เมื่อวันจันทร์ เดือน ๒ แรม ๒ ค่ำ จุลศักราช ๙๕๔ ตรงกับวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕
การยุทธหัตถีครั้งนี้กล่าวกันว่าเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ และเป็นวีรกรรมครั้งสำคัญที่ทำให้พระเกียรติยศของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเลื่องลือไปไกลถึงกรุงปักกิ่งและนานาประเทศทางยุโรป ทรงเป็นมหาราชที่ชาวต่างประเทศรู้จักและยกย่องมากที่สุด
หลังจากนั้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าไม่มีข้าศึกใดกล้ายกทัพมารุกรานสยามประเทศเป็นเวลาถึง ๑๕๐ ปีวัน วลิต พ่อค้าชาวฮอลันดาที่เข้ามาพำนักในกรุงศรีอยุธยาหลังจากสมเด็จพระนเรศวรสวรรคตไปเพียง ๒๐ ปีเศษ ได้บันทึกเรื่องราวยุทธหัตถีที่ชาวกรุงศรีอยุธยาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดและยกย่องชื่นชมยิ่งว่า “พระนเรศร์ประสบชัยชนะครั้งนี้ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๓๒ พรรษา พระองค์สามารถปกป้องพระราชอาณาจักรของพระราชบิดาไว้ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นได้ และนับแต่นั้นมาพระเจ้าแผ่นดินสยามก็ไม่ขึ้นกับพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดในโลกนี้อีกเลย”
นอกจากนี้ วัน วลิต ยังได้บรรยายถึงเหตุการณ์ตอนจะกระทำยุทธหัตถี ว่า ช้างของสมเด็จพระนเรศวร เจ้าพระยาไชยานุภาพนั้น รูปร่างเล็กกว่าพลายพัธกอช้างทรงของพระมหาอุปราชมากนัก เมื่อประจันหน้ากัน ช้างเล็กกว่าก็ตกใจกลัวถึงกับเบนหัวจะถอยกลับ สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสปลุกปลอบพระยาช้างต้น ซึ่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แปลออกมาเป็นภาษาไทยที่ไพเราะกินใจไว้ในหนังสือกฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้ มีความว่า...พระเจ้าหงสาวดียกทัพอันมีกำลังใหญ่หลวงมายังกรุงศรีอยุธยา พระนเรศวร์ยกทัพมาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง (ซากวัดร้างนั้นยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้) เรียกว่าเครงหรือหนองสาหร่าย เพื่อปะทะทัพมอญ เมื่อกองทัพทั้งสองมาประจัญกันเข้า พระนเรศวร์และพระมหาอุปราชา (ต่างองค์ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ และประทับบนพระคชาธาร) ต่างทอดพระเนตรเห็นกันเข้า ต่างองค์ก็มีพระทัยฮึกเหิม เสด็จออกจากกองทัพ ขับพระคชาธารโดยปราศจากรี้พลเข้าหากันประดุจว่าเสียพระจริต แต่พระคชาธารที่พระนเรศวร์ทรงอยู่นั้นเล็กกว่าพระมหาอุปราชามากนัก เมื่อกษัตริย์ทั้งสองพระองค์มุ่งเข้าหากัน ช้างที่เล็กกว่าก็ตกใจกลัวช้างที่ใหญ่กว่า ถึงกับเบนหัวจะถอยกลับอยู่ท่าเดียว พระนเรศวร์ก็ตกพระทัยจึงตรัสกับเจ้าพระยาช้างต้นว่า
“พ่อเมืองเอย ถ้าท่านละทิ้งเรา ณ บัดนี้ ก็เท่ากับว่าท่านละทิ้งตัวท่านเองและลาภยศของท่านทั้งปวง เราเกรงว่าแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านจะไร้ยศศักดิ์ หากษัตริย์มาทรงท่านมิได้ ขอให้คิดดูเถิดว่าขณะนี้พระชาตาของกษัตริย์สองพระองค์ขึ้นอยู่กับท่าน และท่านสามารถจะสู้ให้เราชนะศึกได้ ขอให้ท่านดูราษฎรผู้ยากไร้ของเรา คิดดูเถิดว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้และกระจัดพลัดพรากถึงปานไฉน ถ้าหากว่าเราทั้งสองหนีสมรภูมิ แต่ถ้าหากเราทั้งสองยืนหยัดอยู่ไซร้ ด้วยความกล้าหาญของท่านและกำลังของเรา เราก็อาจเอาชนะข้าศึกได้ และเมื่อได้ชัยชนะแล้วเราก็จะได้เกียรติยศร่วมกันสืบไป"
"ขณะที่พระองค์ตรัสแก่พระยาช้างต้นนั้น ก็ทรงพรมน้ำเทพมนต์ซึ่งพราหมณ์ได้ทำถวายสำหรับโอกาสนี้ลงบนศีรษะช้างสามครั้ง ขณะนั้นน้ำพระอสุชลก็ไหลลงตกต้องงวงพระคชาธาร พระยาช้างผู้ชาญฉลาดนั้น เมื่อได้รับน้ำเทพมนต์และน้ำพระอสุชล และได้ยินพระราชดำรัสของวีรกษัตริย์ก็มีใจฮึกเหิม ชูงวงขึ้นประณตแล้วเบนหัวสู่ข้าศึก พลันวิ่งสู่กษัตริย์มอญดุจเสียสติ อำนาจของพระยาช้างต้นในการสู้รบครั้งนี้แลดูน่ากลัวและน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”
สงครามยุทธหัตถีครั้งนั้น คงเป็นเรื่องที่ชาวกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงด้วยความปราบปลื้มภาคภูมิใจมิรู้ลืมเลือน แม้ วัน วลิต จะเข้ามาสู่กรุงศรีอยุธยาหลังจากนั้นหลายปี ก็ยังสามารถเล่าให้ชาวต่างประเทศฟังอย่างละเอียดลออ
พระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรอีกประเด็นที่มีคนสนใจกล่าวถึงคือ พระมเหสีของพระองค์
สมเด็จพระนเรศวรเป็นพระเจ้าแผ่นดินไทยพระองค์หนึ่งซึ่งไม่มีพระราชโอรสธิดา ในพระราชพงศาวดารไทยฉบับต่างๆ ไม่มีกล่าวถึง มีเฉพาะในหนังสือคำให้การของขุนหลวงหาวัดกล่าวว่า เมื่อทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเศกนั้น “อัครมหาเสนาบดีและมหาปุโรหิตทั้งปวงจึงถวายอาณาจักรเวนพิภพ จึงถวายเครื่องเบญจกกุธภัณฑ์ทั้งห้า แล้วฝ่ายกรมในจึงถวายพระมเหสีพระนามชื่อนั้นพระมณีรัตนา แล้วถวายพระสนมกำนัลทั้งสิ้น”
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงพระมเหสีของสมเด็จพระนเรศวรเอาไว้ในหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖ ว่า พระมเหสีมณีรัตนา ทรงมีพระชนม์ยืนยาวมาถึงแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ มีครั้งหนึ่งจมื่นศรีสรรักษ์มหาดเล็กมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับพระยาแรกนา เรื่องนี้ทำให้สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพิโรธมากถึงกับให้จับตัวไปลงโทษขังคุก จมื่นศรีสรรักษ์ถูกจองจำอยู่ ๕ เดือน เจ้าขรัวมณีจันทร์ หรือพระมเหสีมณีรัตนา มีพระทัยเมตตาจึงเสด็จเข้ามาทูลขอโทษ สมเด็จพระเอกาทศรถ ก็ทรงพระราชทานอภัยโทษให้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระมเหสีมณีรัตนานั้นจะต้องเป็นบุคคลที่สมเด็จพระเอกาทศรถทรงเคารพรัก จึงทรงกล้าหาญที่จะเสด็จเข้าไปขอพระราชทานอภัยโทษให้ใครได้ ด้วยพระเมตตาในครั้งนี้จมื่นศรีสรรักษ์ในกาลต่อมาจึงได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
สมเด็จพระนเรศวรทรงครองราชย์สมบัติจนถึงปี พ.ศ. ๒๑๔๘ เสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสาละวินไปตีเมืองตองอูของพม่า เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ เมื่อข้ามแม่น้ำแล้ว เดินทางไปได้ไม่ไกล ก็ล้มประชวรไข้อย่างหนักเพราะมีพระยอด (ฝี) ที่พระศอ
คราวนั้น พระเอกาทศรถมิได้ตามเสด็จไปด้วย เมื่อม้าใช้มากราบทูลก็รีบเสด็จไปเฝ้าพระเชษฐา เสด็จไปถึงไม่กี่วันสมเด็จพระนเรศวรก็สวรรคต เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๑๔๘ พระชนมายุได้ ๕๐ พรรษา ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา ๑๕ ปี
พระเอกาทศรถเชิญเสด็จพระบรมศพพระมหาวีรราชเจ้ากลับกรุง และได้ทรงครองราชย์สมบัติแทน
พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนเรศวรนั้น ได้รับการกล่าวถึงอย่างละเอียดพิสดาร เพราะชาวไทยใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาเรื่องราวของพระองค์ด้วยความสนใจและชื่นชม พระราชกรณียกิจทั้งปวงล้วนเกี่ยวกับการทำสงคราม
นับแต่การประกาศเอกราชที่เมืองแครง สงครามชิงเมืองรุม เมืองคัง สงครามคราวพระแสงดาบคาบค่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามครั้งยุทธหัตถี นอกจากนั้นก็เป็นสงครามปราบปรามข้าศึกให้เกรงพระบรมเดชานุภาพ ปราบพระยาละแวกของกัมพูชา โจมตีพม่า ขยายอำนาจเข้าปกครองอาณาจักรล้านนาไทย เป็นต้น
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงกันไม่มากนัก คือ เรื่องการเสด็จชายทะเลเมืองราชบุรี เพชรบุรี เพื่อสร้างกองทัพเรือให้เข้มแข็งเกรียงไกร ในพระราชพงศาวดารกล่าวเพียงว่าเสด็จประพาสทางทะเลเท่านั้น แต่ในหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕ ได้กล่าวถึงจดหมายเหตุของจีนในสมัยราชวงศ์เหม็ง แผ่นดินพระเจ้าสินจงฮ่องเต้ ในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ ญี่ปุ่นได้ยกกองทัพเรือไปตีดินแดนเกาหลีของจีน ในปีนั้นเอง สมเด็จพระนเรศวรกษัตริย์เสียมหลอก๊ก ได้ให้ราชทูตนำสิ่งของในพื้นประเทศมาถวาย กับมีพระราชสาส์นกำกับมาด้วยว่าจะยกกองทัพเรือลอบไปตีญี่ปุ่นเพื่อตัดกำลัง แต่เมื่อทางจีนปรึกษาหารือกันแล้ว ผู้สำเร็จราชการเมืองกวางตุ้งคัดค้าน ขออย่ายอมให้ชาวเสียมหลอก๊กยกทัพไปตีญี่ปุ่น พระเจ้าสินจงฮ่องเต้ก็ทรงเห็นด้วย จากบันทึกของจีน ซึ่งเป็นหลักฐานที่หนักแน่นชัดเจนนี้ แสดงว่า พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวสองพระองค์ มิได้เสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลธรรมดา แต่เสด็จเพื่อทอดพระเนตรการฝึกกองทัพเรือให้เข้มแข็งเกรียงไกรเป็นที่ทราบกันในนานาประเทศ ถึงขั้นฮ่องเต้ของจีนไม่กล้าให้ยกกองทัพไปทำสงครามกับญี่ปุ่น ซึ่งบางทีอาจจะเป็นอันตรายต่อจีนในโอกาสต่อไปข้อมูล : - หนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดพิษณุโลก,
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร จัดพิมพ์เผยแพร่
- หนังสือเจ้าชีวิต, พระนิพนธ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์
- หนังสือกฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แปลจากบันทึกของฝรั่งชาวฮอลันดา
ชื่อ Jeremial Van Vliet (วัน วลิต) ผู้ซึ่งเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง
- นิตยสารศิลปากร, ปีที่ ๕๕ ฉบับที่ ๓ และ ฉบับที่ ๔, สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร จัดพิมพ์เผยแพร่
- หนังสือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช โดย ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ราชบัณฑิตประเภทประวัติศาสตร์
- คู่มือท่องเที่ยวพิษณุโลก องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จัดพิมพ์เผยแพร่
- ข้อมูลจากเว็บไซต์ วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
ภาพพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลกสมเด็จพระนเรศวร (King Naresuan) )ทรงพระราชสมภพและทรงพระเจริญวัย
ณ พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก พ.ศ.๒๐๙๘-๒๑๐๖
พระเจ้าบุเรงนอง (
King Bu-reng-nong) ทรงขอสมเด็จพระนเรศวร
เป็นพระราชบุตรบุญธรรม (องค์ประกัน) และเสด็จไปกรุงหงสาวดี พ.ศ.๒๑๐๖
สมเด็จพระนเรศวรทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก พ.ศ.๒๑๑๔
สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นแม่กองงาน
ในการบูรณะพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก พ.ศ.๒๑๑๔-๒๑๑๘
สมเด็จพระนเรศวรทรงคัดเลือกบุตรหลานข้าราชการมาฝึกทำการรบสมัยใหม่ด้วยพระองค์เอง
นับเป็นกำลังสำคัญในการกอบกู้อิสรภาพของชาติในเวลาต่อมา
สมเด็จพระนเรศวรทรงนำทหารมานมัสการพระพุทธชินราช และสวดชยมงคลคาถาก่อนการรบ
และภายหลังการรบได้นำศัตราวุธมาถวายเป็นพุทธบูชาทุกครั้ง
สมเด็จพระนเรศวรทรงนำทัพไทยเข้าตีเมืองคัง
และสามารถจับกุมตัวเจ้าฟ้าเมืองคังได้ พ.ศ.๒๑๒๑
สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิศรภาพ โดยหลังทักษิโณทกเหนือแผ่นพสุธา
ด้วยพระสุวรรณภิงคาร ณ เมืองแครง พ.ศ.๒๑๒๗
สมเด็จพระนเรศวรทรงสังหารลักไวทำมู แม่ทัพพม่าด้วยพระแสงทวน
ที่ทุ่งลุมพลี พ.ศ.๒๑๒๙
สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะพระมหาอุปราชา
ณ หนองสาหร่าย เมืองสุพรรณบุรี พ.ศ.๒๑๓๕
สมเด็จพระนเรศวรทรงขอให้สมเด็จพระเอกาทศรถนำทัพไปตีเมืองอังวะ
โดยไม่ต้องห่วงพระองค์ที่ทรงประชวรหนัก ณ เมืองหาง พ.ศ.๒๑๔๘
หลวงพ่อโต พระประธานพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก
ความรู้เพิ่มเติมกรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี "เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล" อนุสรณ์แห่งชัยชนะศึกยุทธหัตถีกดดูที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษสีเทาด้านล่างนี้ค่ะ
http://www.sookjai.com/index.php?topic=64059.0เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล พระนครศรีอยุธยา