[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 02:50:48 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ  (อ่าน 28058 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 ธันวาคม 2556 19:03:21 »

.


วิญญาณสุดเฮี้ยน ผีตายทั้งกลม

เมื่อเวลา  01.09 น. วันที่ 20 ก.พ.  ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากนายสนม  ผิวบาง อายุ 67 ปี หัวหน้าเจ้าหน้าที่กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ว่ากำลังจะไปรับศพหญิงสาวตายท้องกลมที่วัดเกศทอง ต.ราษฎรพัฒนา อ.สามโก้ จ.อ่างทอง เพื่อนำมาทำพิธีผ่าท้องนำทารกในครรภ์ออกจากศพ หลังจากรับแจ้งจึงรีบไปตรวจสอบที่ศูนย์กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ หมู่ที่ 9 ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ
 
เมื่อไปถึงพบว่านายสนม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ จำนวนหนึ่ง กำลังขุดหลุมฝังศพทารก จากนั้นได้ขับรถไปยังวัดเกศทอง เพื่อรับศพหญิงสาวมาทำการผ่าท้องที่ศูนย์กู้ภัย  พบว่าบรรยากาศบนศาลาการเปรียญเป็นไปอย่างเงียบเหงา มีเพียงญาติของ น.ส.จุฑารัตน์  สุขคล้าย อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27 หมู่ 5 ต.ราษฎรพัฒนา อ.สามโก้ จ.อ่างทอง ที่ตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน แต่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ยืนรอเจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
 
จากการสอบถามนางสัมฤทธิ์  สุขคล้าย อายุ 70 ปี มารดาผู้ตาย กล่าวว่า ขณะลูกสาวได้ตั้งท้องหลานคนที่สอง ได้เพียง 5 เดือน ได้ขี่ จยย.ประสบอุบัติเหตุชน จยย. เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา จากนั้นได้นำศพมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเกศทอง ต่อมาประสบปัญหาเกี่ยวกับศพ เนื่องจากลูกของตนถือว่าเป็นผีตายท้องกลม โบราณเขาถือว่าเฮี้ยน และที่สำคัญทางวัดก็ไม่ยอมให้เผาศพด้วย อีกทั้งชาวบ้านก็ต่างหวาดผวา เกรงกลัวจนไม่ค่อยมีใครมาร่วมฟังสวดศพ ที่สำคัญ มีเสียงร่ำลือว่ามีคนเห็นลูกสาวมายืนอยู่จุดเกิดเหตุ ทำให้ชาวบ้านต่างหวาดผวามากยิ่งขึ้น ตนและญาติจึงปรึกษากับนายสนม เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ ซึ่งก็เปรียบเสมือนเป็นญาติคนหนึ่ง ได้ข้อสรุปว่าจะต้องจะต้องผ่าท้องศพลูกของตน เพื่อนำเด็กในท้องออกมาฝัง จากนั้นจึงเผาศพลูกสาว ในตอนแรกจะผ่ากันที่วัดแต่พระกลัวไม่อนุญาต ตนจึงต้องให้นายสนมนำศพไปผ่าที่ศูนย์กู้ภัยวิเศษฯแทน
 
นายสนม กล่าวต่อว่า ตนเคยผ่าท้องศพเพื่อนำเด็กออกมาฝังหลายศพแล้ว โดยจะฝังศพเด็กไว้ที่บริเวณพื้นที่รอบ ๆ ศูนย์กู้ภัยนี้ และศพทารกคนนี้ถือว่าเป็นศพที่ 27 แล้ว ซึ่งในการทำการผ่าศพนั้น จะต้องมีพิธีกรรมด้วย โดยจะต้องเตรียมเครื่องไหว้ได้แก่ดอกไม้ ธูป เทียน พวงมาลัย เหล้าขาว บุหรี่ และเงินอีก 12 บาท รวมทั้งต้องมีเสื้อผ้าเด็กอ่อน ถุงมือสำหรับเด็ก ของใช้เด็กไม่ว่าจะเป็นแป้ง สบู่ ผ้าอ้อม ขวดนม นม และน้ำ สำหรับฝังรวมไว้ในหลุมให้เด็กด้วย และเมื่อฝังศพเด็กแล้ว ก็ต้องนำศพแม่กลับไปคืนยังวัดเพื่อทำพิธีเผาศพต่อไป
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่นายสนมได้รับศพออกมาจากวัด และนำมาไว้ที่ศูนย์กู้ภัยแล้ว  ได้ทำพิธีไหว้ครูพร้อมทั้งทำน้ำมนต์สำหรับใช้ในพิธี จากนั้นก็มาไหว้ขอขมาศพ แล้วใช้มีดหมอ มาผ่าท้องศพ ก่อนนำศพเด็กออกมาจากท้อง จากนั้นก็ได้ทำการเย็บปิดแผลให้กับศพนางสาวจุฑารัตน์ และนำศพเด็กที่ผ่าออกมาซึ่งพบว่าเป็นเพศชาย น้ำหนักประมาณครึ่งกิโล ลำตัวยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ไปฝังยังหลุมที่เตรียมไว้ สำหรับศพเด็กได้ตั้งชื่อว่า ”น้องอุทิศ”

- http://www.dailynews.co.th/Content/regional

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 พฤษภาคม 2558 09:02:17 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 26 ธันวาคม 2556 04:58:44 »



ผีใส่บาตร

"ดาลัด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านตรงข้าม

ดิฉันเคยได้ยินผู้ใหญ่ชอบพูดว่า คนตายมักจะมีจิตผูกพันอยู่กับญาติสนิทมิตรสหาย หรือคนที่ตัวเองเคยรักใคร่และสนิทสนม ถ้าวิญญาณเฮี้ยนมากๆ ก็จะมาเอาชีวิตของผู้นั้นไปอยู่โลกหน้าด้วย

เรื่องนี้คล้ายๆ กับความเชื่อของคนเอเชียมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะค่ะ คือวิญญาณผีตายโหงจะต้องสิงสู่อยู่ที่แดนตายของตัว ไม่ว่าจะตามถนนหรือแม่น้ำลำคลอง แม้แต่ในเรือกสวนไร่นา หรือป่าเขาก็ตาม ต้องรอคอยจนกว่าจะได้คนชะตาขาดมาตายแทนที่ ตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที

ดิฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้หรอกค่ะ คิดว่าเป็นความเชื่อเก่าๆ ที่อ่อนเหตุผลเอาการเพราะเคยได้ยินเรื่องถนนผีสิง ทางรถไฟมรณะ ฯลฯ ว่ามีผู้พบเห็นภูตผีมาหลอกหลอนมากมายไม่ใช่มีแต่วิญญาณดวงเดียว จริงไหมคะ?

ส่วนเรื่องที่ผู้ตายมาเยี่ยมคนที่รักนั้น ค่อนข้างน่าคิดค่ะ!

ในซอยบ้านที่ราชวิถี มีสามีที่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากเผาศพไปแล้วก็มาปรากฏที่บ้าน บ่อยๆ ภรรยาเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง ตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อนัก แต่ผ่านไปไม่ถึงเดือนเธอก็หัวใจวายบนเตียง ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งสามสิบต้นๆ ร่างกายยังสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคร้ายประจำตัวเลย

คราวนี้เชื่อกันว่าวิญญาณสามีมาหา และรับวิญญาณของภรรยาที่รักไปอยู่โลกหน้าด้วยกันจริงๆ

แต่การมาเยี่ยมเยียนคนที่รักของผู้ที่จากไปสู่โลกหน้า โดยไม่ได้มารับวิญญาณไปอยู่ด้วยก็มีค่ะ...จะเป็นเพราะดวงแข็ง หรือชะตายังไม่ถึงฆาตก็ไม่ทราบเหมือนกัน

เรื่องน่าขนหัวลุกเกิดที่บ้านตรงข้าม ค่อนข้างเยื้องๆ กับบ้านดิฉันเอง!

น้าแอ๋วเป็นม่ายสามีตาย อยู่กับลูกสาวคนเดียวชื่ออ้อย ในบ้านมีญาติผู้ใหญ่อยู่ด้วยอีกสองคน น้าแอ๋วเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินและบ้านเรือนทั่วไป นิสัยเป็นคนใจบุญสุนทาน ตอนเช้าๆ จะเห็นร่างผอมสูง แต่งตัวเรียบร้อยออกมาใส่บาตรที่หน้าประตูบ้านเป็นประจำ บางวันก็พาลูกสาวออกมาใส่บาตรด้วย

ดิฉันเห็นสองแม่ลูกใส่บาตรพระวันละสองรูป ไม่ใช่ใส่คนละรูปนะคะ แต่น้าแอ๋วกับอ้อยจะจับทัพพีด้วยกัน ตักข้าวในขันเงินใส่บาตรคล้ายๆ หนุ่มสาวที่ถือคติ "ทำบุญร่วมชาติ - ตักบาตรร่วมขัน" นั่นแหละค่ะ

วันไหนไม่เห็นน้าแอ๋วใส่บาตร ก็เดาได้เลยว่าเธอไปต่างจังหวัดไกลๆ เกี่ยวกับธุรกิจ และอ้อยก็ไม่เคยออกมาใส่บาตรคนเดียว!

ตอนปิดเทอม น้าแอ๋วมักจะพาลูกสาวออกไปต่างจังหวัดด้วย ไม่รู้ว่าเป็นห่วงลูกหรืออ้อยอยากไปเที่ยวกับแม่กันแน่...แต่เมื่อตอนต้นปีนี้เอง สองแม่ลูกกลับจากภาคเหนือก็ปรากฏว่าอ้อยเป็นไข้อาการหนัก ถึงกับต้องไปอยู่ห้องไอซียูที่โรงพยาบาลเอกชนทางฝั่งธนบุรี

ดิฉันกับเพื่อนบ้านไปเยี่ยมก็ใจหาย เพราะอ้อยโคม่า นอนไม่ได้สติแล้ว น้าแอ๋วร้องไห้จนนัยน์ตาบวมช้ำ พวกเราก็ช่วยกันปลอบโยน ให้ความหวัง ว่าวันหนึ่งอ้อยจะต้องฟื้นขึ้นแน่ๆ แต่คงไม่ได้ผล หรอกค่ะ

น้าแอ๋วเล่าว่าลูกสาวเป็นไข้ป่า อาการหนัก คืนหนึ่งอาการทุดฮวบเลยรีบไปบอกพยาบาล แต่แพทย์มาช้าเกินไป...สมองตาย! มีอาการของ "เจ้าหญิงนิทรา" อ้อยโคม่าอยู่ราวครึ่งเดือนก็เสียชีวิต

มีการฟ้องร้องโรงพยาบาล...แต่เรื่องสำคัญคือเหตุการณ์น่าขนหัวลุก หลังจากเผาศพอ้อยไปได้อาทิตย์เดียว!

เช้านั้นดิฉันอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องนอนชั้นบน กำลังจะลงไปทานอาหารเช้าก่อนจะไปทำงาน...ไม่รู้ว่ามีอะไรดึงดูดใจให้หันไปมองทางบ้านน้าแอ๋วซึ่งแต่งชุดดำออกมาใส่บาตรคนเดียวทุกวัน เห็นแล้วอดใจหายไม่ได้ค่ะ

ขณะนั้นน้าแอ๋วกำลังจะใส่บาตรพอดี...

คุณพระช่วย! ท่ามกลางแสงแดดเหลืองอร่ามยามเช้า อ้อยยืนเยื้องๆ อยู่หลังแม่หน้าตาขาวซีดในชุดสีขาว มือเธอจับด้ามทัพพีติดๆ กับมือน้าอ๋อย... ใส่บาตรในอ้อมแขนพระภิกษุชราผู้ก้มหน้าอย่างสำรวม...

สองแม่ลูกยกมือขึ้นพนมไหว้พระอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินเคลียคลอกันเข้าบ้านช้าๆ ส่วนดิฉันถึงกับเข่าอ่อน ถอยมานั่งแปะที่ขอบเตียง...ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

ขอให้วิญญาณของอ้อยจงไปสู่สุคติ ส่วนดิฉันไม่กล้ามองไปที่บ้านนั้นตอนเช้าๆ อีกแล้ว...ขนหัวลุกค่ะ!

- www.khaosod.co.th
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 พฤษภาคม 2558 09:03:18 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 18 เมษายน 2557 18:50:52 »

.


ผีเรือน

"ป๊อป" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องคนขับรถ ทุกวันเสาร์ผมมักจะตื่นสายเพราะไม่ต้องไปโรงเรียน แต่เสาร์นั้นจำได้ว่าเสียงวุ่นวายในบ้านทำให้ผมลืมตาขึ้นทั้งที่กำลังฝันมันๆ ตั้งสติสักพักก่อนจะลุกไปเปิดม่านหน้าต่างมองลงไปข้างล่าง

จากห้องนอนผมจะมองเห็นเรือนคนรับใช้ที่ปลูกขนานไปกับแนวรั้ว มันเป็นเรือนชั้นเดียว หลังคาลาดเอียงสีเขียว แบ่งเป็น 3 ห้องนอน ห้องริมสุดด้านโน้นเป็นห้องของนายหมานคนขับรถของคุณยาย ผมเรียกแกว่าลุงหมาน แม้จะชอบดื่มเหล้าแต่ก็ขับรถดีไม่มีอุบัติเหตุเลย

ลุงหมานเป็นชายวัย 40 เศษที่โสดสนิท ไม่ใช่เพราะอัปลักษณ์อย่างเดียว แต่เป็นที่นิสัยใจคอ จะว่าเป็นคนเลวก็ไม่ใช่ แกโหลยโท่ยซะมากกว่า คือขี้เกียจและไม่มีน้ำจิตน้ำใจกับใครเลย ที่จริงแกขี้คุย หัวเราะเก่ง แต่ลึกๆ แล้วเห็นแก่ตัวเป็นที่หนึ่ง

คุณยายไม่ได้ตั้งใจจ้างแกหรอก แต่เพื่อนพามา บอกว่าสงสารเพราะไอ้เจ้าคนนี้หางานทำไม่ได้ ไม่มีใครเอา เพื่อนฝูงก็ดูถูกเพราะตามเขาไปกินตลอดแต่ไม่เคยจ่ายเงิน ขืนปล่อยให้ว่างงานก็คงไม่แคล้วอดตาย หรือไม่ก็เป็นโจรไปเลย!

ท่าทางลุงหมานไม่มีพิษสงอะไร ตาเศร้าๆ หน้าหมองๆ คุณยายสงสารก็เลยรับไว้ โดยยอมทนรำคาญกับนิสัยแย่ๆ หลายอย่างของแก

แปลกนะ...ลุงหมานอยู่กับเรามาถึง 10 ปีแน่ะครับ คุณยายบอกว่าไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ไม่เลว คนเราถ้าซื่อสัตย์ไม่ลักไม่ขโมยก็พอจะอยู่กันได้ ไอ้เรื่องโกหกตอแหลขี้โม้น่ะ คุณยายรู้ทันแต่ก็เฉยไว้ ผมละเซ็งจริงๆ

และแล้ว...อยู่มาวันหนึ่ง คือเมื่อ 2-3 วันมานี่เอง เงินปึกใหญ่ของคุณยายก็หายจากกระเป๋าสตางค์ที่เก็บไว้ในกระเป๋าถือใหญ่ เงินที่หายไปน่ะตั้งสามหมื่นเชียวนะครับ คุณยายเตรียมไว้จะซ่อมแซมห้องน้ำ...อดเลย! ที่สำคัญมันหายไปในบ้านเรานี่แหละ

คุณยายจำได้ว่าวันนั้นลงจากรถ พอดีเพื่อนแวะมาหา ลุงหมานขับรถเลยไปจอดในโรงรถ โดยกระเป๋าถือคุณยายยังอยู่เบาะหลัง และคุณยายก็ล้มไปเลย กว่าจะนึกได้อีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมง...เงินก็ล่องหนหายไปโดยไม่รู้จะโทษใครได้ ทั้งที่สงสัยลุงหมานมากที่สุด แต่อย่างว่าละครับ...จับไม่ได้คาหนังคาเขานี่นา!

พอถึงเช้านี้ เขาก็วุ่นวายกันอยู่ที่หน้าห้องลุงหมาน

เอ๊ะ! มีอะไรกันแน่ๆ ผมต้องลงไปดูซะหน่อยแล้วละ

ไม่ใช่หรอกครับ...ไม่ใช่ที่ผมคิดว่าคุณยายเอาตำรวจมาจับลุงหมาน แต่มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นตั้งหลายเท่า...ผมขนลุกไปหมดแล้วนะเนี่ย!

ลุงหมานนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องแก ขณะที่คนอื่นๆ จ้องขึ้นไปบนเพดาน พลางวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่...ผมมองตามสายตาของทุกคนไปตรงนั้นแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง หลุดปากร้องเฮ้ย! ออกมาซะลั่นบ้าน

เพดานห้องด้านในที่ตรงกับหัวเตียงลุงหมาน มีรอยฝ่าเท้าขนาดใหญ่มหึมาปรากฏอยู่เด่นชัด!!

มันไปอยู่ตรงนั้นได้ไง? และใครจะมีรอยเท้าใหญ่ ขนาดนั้น...ใหญ่กว่าไฟเพดานห้องน่ะครับ นี่แสดงว่าเจ้าของรอยฝ่าเท้าจะต้องตัวโตมหึมากว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างน้อย 3-4 เท่า

ผมสาบานได้ว่าเป็นรอยเท้าอย่างชัดเจน เท้าข้างซ้ายครับ มีเส้น มีนิ้วเท้าครบถ้วน เหมือนเราเอาเท้าจุ่มโคลนแล้วประทับไว้ แต่มันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ซึ่งตรงกับหัวหรือหน้าลุงหมานที่กำลังนอนบนเตียงพอดี...สยองเหลือกำลัง

ลุงหมานท่าทางคิดหนัก ทำหน้าคล้ายคนกำลังจับไข้ แกเล่าว่าคืนก่อนแกนอนๆ อยู่ได้ยินเสียงคนเดินหนักๆ บนกระเบื้องหลังคา รับรองว่าไม่ใช่แมวหรือหนู แต่เป็นเสียงฝีเท้าก้าวยาวๆ 3-4 ก้าว วนไปวนมา แกนอนตัวแข็ง นึกไม่ออกว่าเป็นผีเรือนหรือขโมย?

ถ้าเป็นผีแกไม่ออกมาหรอก ถึงเป็นขโมยก็เถอะ! ปล่อยให้มันขโมยไปซิ เรื่องอะไรจะเอาตัวออกมาเสี่ยง?

พอตอนเช้าเมื่อวานตื่นมาก็ไม่มีอะไร ครั้นถึงเช้านี้ พอตื่นแกก็บิดขี้เกียจกลับไปกลับมา พอลืมตา...แกชาวาบ หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นรอยเท้าสยองขวัญเหยียบเต็มเพดาน!

คุณยายบอกว่านั่นคือผีบ้านผีเรือน

- thaibizcenter.com
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 18 เมษายน 2557 18:59:54 »

.


บ้านผีเฮี้ยน
ขนหัวลุก ใบหนาด

"ต๊ะ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรังสิต

คืนนั้นเป็นคืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม และผมจะไม่มีวันลืมแน่ๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยแม้แต่นิดเดียว

บ้านผมอยู่ยานนาวา พ่อแม่ชอบพูดชมผมให้คนอื่นๆ ฟังเสมอว่า ผมเป็นเด็กเอาถ่าน ได้เรื่องได้ราว เป็นธุระให้พ่อแม่ได้ทุกเรื่อง...แหม! ก็เด็กจบจากรามฯนี่ครับ ตอนอยู่โรงเรียนก็เป็นหัวหน้าลูกเสือ หัวหน้าห้อง พอเข้ามามหาวิทยาลัยอยู่ปีสองก็เป็นหัวหน้าชมรม นิสัยผมชอบช่วยเหลือคนอื่นครับ...และนี่เอง คือที่มาของคืนสยองคืนนั้น!

ลุงวีระ - เพื่อนของพ่ออยากได้คนไปนอนเฝ้าบ้านให้คืนหนึ่ง เพราะจะต้องไปทำธุระกับป้าน้อยที่ต่างจังหวัด ที่บ้านก็ไม่มีใครเลย อยู่กันแค่สองคนตายาย ลูกๆ แต่งงานแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว

แหม! เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป บ้านของลุงวีระอยู่รังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยของผมพอดี ไม่ลำบากหรอก ผมจะไปเฝ้าบ้านให้หนึ่งวันกับหนึ่งคืน พอรุ่งขึ้นวันจันทร์ผมก็ไปเรียน ลุงวีระจะกลับมาราวๆ บ่าย ทุกอย่างลงล็อกพอดิบพอดีไม่มีปัญหา

เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผมสะพายเป้ไปถึงบ้านลุงวีระ และได้พบกันก่อนจะออกเดินทาง ป้าน้อยจัดห้องให้ผมนอนที่ชั้นบน เป็นห้องนอนเดิมของลูกสาวคนโตน่ะเอง

คุณป้าเตรียมของกินใส่ตู้เย็นไว้เพียบ ส่วนคุณลุงบอกให้ผมทำตัวตามสบาย ดูทีวี ฟังเครื่องเสียง เล่นคอมพิวเตอร์ได้ทุกอย่าง...บ้านนี้ไม่ใหญ่โตอะไรนักหรอกเพราะเป็นหมู่บ้าน แต่แปลกมากที่บ้านข้างๆ รอบๆ นั้นไม่มีคนอาศัย มันปิดไว้เฉยๆ บางหลังมีป้ายประกาศขาย บ้างก็มีประกาศให้เช่า...เป็นเพราะอย่างนี้กระมัง คุณลุงถึงต้องหาคนมาเฝ้าบ้านเพราะมันดูเปลี่ยวเอาการ...ขโมยขโจรคงจะชุมน่าดู!

ตอนกลางวันน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง แต่ก็สบายเชียวละ ผมเอาเนื้อออกมาย่างกับเตาอเนกประสงค์ กินคนเดียวอย่างเอร็ดอร่อยแล้วเอางานที่อาจารย์สั่งเป็นการบ้าน โดยใช้เน็ตของคุณลุง... พอตกกลางคืนกลายเป็นคนละเรื่องเลยครับ

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่อบอุ่นน่าสบายนั่นจางหายไปพร้อมๆ กับแสงตะวันละแวกบ้านลุงวีระ...คือรอบๆ ตัวผมมันช่างวังเวงเหมือนอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด!

งานของผมก็ยังไม่เสร็จ ต้องค้นคว้าในเน็ตต่อไปอย่างมีสมาธิ แล้วพักกินมื้อเย็นราวๆ ทุ่มเศษ จากนั้นก็เปิดเน็ตทำงานต่อ

ราวสองทุ่มกว่า ผมได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนมีคนจำนวนมากคุยกันอยู่ที่บ้านข้างๆ ก็เลยเปิดม่านดู...รอบๆ ตัวมีแต่ความมืด จะสว่างเฉพาะแสงไฟถนนเท่านั้น แล้วเสียงพวกนั้นมาจากไหนน่ะ? ช่างเถอะ...อยากทำงานให้เสร็จเร็วๆ จะได้เข้านอน สักห้าทุ่มสองยามก็ยังดี

ยิ่งดึก ผมยิ่งรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างวุ่นวายอยู่รอบๆ ตัว บางทีก็เหมือนมีใครมายืนมองนอกหน้าต่าง ตอนแรกยังผวา นึกว่าขโมยมันดอดเข้ามา...ผมชักกลัวแล้วนะ

สี่ทุ่มครึ่ง ผมได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากข้างบ้านนี่เอง!

เมื่อเดินไปดูก็พบว่า บ้านหลังนั้นมืดตึ๊ดตื๋อเหมือนเดิม แต่แล้วก็เห็นสิ่งประหลาด ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านที่มืดๆ นั้น ไม่ใช่ออกนอกประตูรั้วนะครับ แต่ออกมายืนที่ระเบียงชั้นสองพอดี

เขาใส่เสื้อกล้ามขาวๆ ไฟถนนส่องให้เห็นว่าอายุราวสี่สิบกว่าๆ ร่างท้วม ผมบางเขายืนเหม่อลอย ถอนใจ...แล้วก็หันหน้ามาทางผม

คุณพระช่วย! เขามีท่าทางว่ามองเห็นผมด้วย นั่นไง! เขาโบกมือให้ ผมยกมือโบกตอบอย่างใจลอยยังไงไม่รู้...เหมือนถูกสะกดจิตยังไงยังงั้น!

จากนั้นก็ไม่มีสมาธิทำงานแล้วครับ ผมเข้านอนปิดม่านหน้าต่างหมด เปิดแอร์และเปิดไฟหัวเตียงไว้ รู้สึกหนาวเยือกๆ บอกไม่ถูก แว่วเสียงเหมือนผู้ชายร้องไห้จากบ้านข้างๆ น่าขนลุกชะมัด คืนนั้นผมฝันร้าย เห็นแต่ภูตผีปีศาจจนสะดุ้งผวา หลับๆ ตื่นๆ ไปทั้งคืน!

รุ่งขึ้นไปมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ถามว่าทำไมขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า ผมเลยเล่าสิ่งที่พบมาให้ฟัง...

ไม่น่าเชื่อเลยครับ รุ่นน้องคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม พูดถึงชื่อหมู่บ้านนั้นขึ้นมา พอผมบอกว่าใช่ เขาก็เล่าว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้เอง เมื่อหลายเดือนก่อนมีบ้านหลังหนึ่งจัดงานเลี้ยงแต่พอตกค่ำเจ้าของบ้านก็ทะเลาะกับเมียแล้วผูกคอตายกลางดึกคืนนั้นเอง

ตั้งแต่นั้นผีก็ดุมาก คนข้างบ้านต่างกลัวผี เพราะหลายคนเห็นกับตาว่าคนที่ตายนั้นออกมายืนที่ระเบียง...หลายบ้านถึงกับย้ายหนี! ฟังแล้วเข่าอ่อนเลย...ถ้างั้นผมก็เจอเข้าแล้วเต็มๆ

ทุกวันนี้ผมยังมีนิสัยชอบช่วยคนอื่นอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณลุงวีระขอให้ไปเฝ้าบ้านอีก ผมเห็นทีจะต้องปฏิเสธละครับ...เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย!
th-th.facebook.com
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 15 เมษายน 2558 18:56:35 »

.


ปีศาจเสน่หา

บริษัทของเราตั้งอยู่ถนนรัชดาภิเษก ใกล้ๆ กับแยกสุทธิสาร เลี้ยวเข้าซอยขวามือไปไม่ไกลก็ถึงแล้วค่ะ พอตกกลางคืนทั้งรถราและผู้คนถึงกับคับคั่งขวักไขว่เชียวละ สาเหตุมาจากแหล่งบันเทิงนับร้อย ไม่ว่าบาร์ ผับ เลานจ์ คาราโอเกะ

สาวโคโยตี้ที่เต้นสุดใจขาดดิ้น, โรงแรม, โรงนวดที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดหน้าฝน!

โดยเฉพาะนวดกับสปานี่มาแรงมากค่ะ...สปาแบบจริงๆ จังๆ หรือสปาบังหน้าเพื่อค้าของเก่ามีทั้งนั้น...นักเที่ยวจะไม่แน่นเป็นปลากระป๋องได้ยังไงล่ะคะ? ไม่ได้ไปเที่ยวเองก็ทราบค่ะ เพราะพวกเพื่อนๆ ผู้ชายเขาชอบเที่ยวกันแทบทุกคนแล้วเอามาเล่าให้เราฟัง

ชุมทางบันเทิงคึกคักซะขนาดนี้ ยังไม่วายมีเรื่องเร้นลับ น่ามหัศจรรย์ หรือพูดให้ตรงเผงก็คือเรื่องผีๆ สางๆ ทำให้พวกเราขนหัวลุกอีกต่างหาก!

ใกล้ๆ บริษัทเราเป็นเลานจ์ที่มีห้องคาราโอเกะข้างบน ส่วนชั้นลอยตั้งโต๊ะสำหรับคุยกับสาวพริตตี้ หรือโฮสเตส แต่คำว่าพริตตี้ที่แปลว่าสาวสวย หรือสาวเจ้าเสน่ห์ฟังแล้วน่ารักกว่าเป็นไหนๆ...ชั้นล่างคือฟลอร์สำหรับเต้นรำ มียกพื้นสำหรับสาวโคโยตี้ในชุดเซ็กซี่สุดๆ แกว่งอกส่ายสะโพกสะบัดช่อกันอย่างเต็มที่

บนเคาน์เตอร์ก็กลายเป็นเวทีให้น้องหนูวาดลวดลายล่อไอ้เข้ พวกเสี่ยพวกป๋าที่แหงนหน้าจ้องมองกันตาค้าง

ถ้ารู้สึกว่าดิฉันจะรู้ละเอียดไปหน่อยต้องยกให้เจ้าโรจน์กับเจ้าโก๋...อ้อ! เจ้าจุ่นอีกคน เพราะสามเสือนี่เป็นนักเที่ยวตัวจริงเสียงจริง ถ้าไม่มีพ่อแม่รวยรับรองว่ามันหมดสิทธิ์...เจ้าสามคนนี่เก็บรายละเอียดมาเล่า ให้ฟัง

พองานเลิกก็ชวนไปอุ่นเครื่องราว 2-3 ทุ่มก็โผล่เข้าไปเสนอหน้าแล้ว ยังงี้จะไม่มีแฟนประจำได้ยังไงคะ?

ได้ยินเจ้าจุ่นกับเจ้าโรจน์รุมแซวเจ้าโก๋ว่าได้แฟนสวยระดับยอดดารา ชื่อน้องอุ๋ม...สูงยาวเข่าดี มีพวกเสี่ยพวกป๋าเอาเงินมาทุ่มเดือนละเป็นแสน ไหนจะพวก "พ่อเลี้ยง" กับ "นายหัว" มาจ่ายไม่อั้น ทั้งซื้อรถป้ายแดง ซื้อคอนโดฯ ชั้นดีให้แถวพระราม 3 จนน้องอุ๋มเธอสับหลีกแทบไม่ทัน

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ น้องอุ๋มกลับเลือกเจ้าโก๋เป็นยอดชายประจำใจเธอเฉยเลย!

เงินทองพ่อแม่กับรายได้ของมันน่ะไม่มีทางสู้พวกเสี่ยพวกป๋าได้หรอกค่ะ แต่นายโก๋นี่จะป.ม.เฉพาะเพื่อนๆ ในบริษัทเท่านั้น พอคุยกับสาวๆ ข้างนอกน่ะ ได้ข่าวว่ามันปากหวานขนาดมดตอมปากละกัน

วันดีคืนร้าย น้องอุ๋มขับรถออกจากเลานจ์ที่รั้วเดียวกับบริษัทเราราวตีสาม...คืนวันอาทิตย์แขกน้อย โดนรถกระบะที่มาทางตรงพุ่งเข้าอัดดังสนั่นเสียงเหมือนฟ้าผ่า...รถเก๋งป้ายแดงของเธอแหลกยับอยู่ตรงปากซอยพอดี

รถมฤตยูคันนั้นตะบึงหนีไปลิบลับ ไหนจะถนนว่าง ไหนจะปิดไฟท้าย คงจะเสียหายไม่ใช่น้อยๆ แต่มันก็รอดพ้นความผิดไปได้...ส่วนน้องอุ๋มคนสวยกลายเป็นศพแหลกเหลวอยู่ในซากรถนั่นเอง!

ลือกันว่า "ป๋าสั่งเก็บ" เพราะนอกใจไปเป็นกิ๊กกับ เจ้าโก๋ ทั้งๆ ที่ป๋าจ่ายไปตั้งเกือบสองล้านบาทแล้ว ใครถามเรื่องนี้เจ้าโก๋ก็เอาแต่ส่ายหน้าดิกๆ ไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว

ที่น่าขนลุกก็คือ ตอนพลบค่ำจะมีรถเก๋งสีแดงที่ใครๆ ก็จำได้ดีว่าเป็นรถของน้องอุ๋มขับช้าๆ ผ่านทางเข้าเลานจ์...ผ่านประตูบริษัทเราเข้าไปในซอย สักครู่ก็มีเสียงหมาหอนโหยหวนดังแว่วมา...

คนที่ช่างสังเกตคอยมองตามไปด้วยใจระทึก แต่ยังกล้าพูดกันว่าจะคอยดูตอนขากลับว่าเป็นรถของน้องอุ๋มหรือเปล่า...แต่แล้วก็ต้องตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กันเมื่อเห็นภาพนั้น...

รถเก๋งสีแดงขับจากถนนรัชดาฯ แล่นผ่านเลานจ์ที่เธอเคยทำงานมาอีกครั้ง...ก่อนจะผ่านบริษัทเรา คราวนี้เธอหันมามองช้าๆ ด้วยใบหน้าแสนสวย แต่ขาวซีดจนน่าขนหัวลุก!

ดิฉันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งค่ะ!

เย็นนั้นเลิกงานราวหกโมงเย็น ฤดูหนาวค่ำเร็ว แสงไฟเริ่มผุดขึ้นที่นั่นที่นี่...ขับรถช้าๆ ออกประตูด้านซ้าย เพื่อจะเลี้ยวขวาออกถนนใหญ่...เห็นรถสีแดงใหม่เอี่ยมแล่นช้าๆ เข้าซอยมา จู่ๆ ก็เย็นวาบไปทั้งไขสันหลัง ขนอุยที่ต้นคอลุกซ่า ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่ารถใครแน่...

รถคันนั้นแล่นผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง คนขับหันมามองตั้งแต่ผ่านประตูเข้าแล้ว แม้ว่าจะมาถึงดิฉันเธอก็ยังหันมองยิ้มๆ อยู่อย่างนั้น...แม้จะไม่เคยเห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นน้องอุ๋มแน่นอนค่ะ เพราะทั้งรถและคนขับละลายหายไปต่อหน้าต่อตาดิฉันเอง ขณะที่หมาจากก้นซอยโก่งคอหอนเยือกเย็นจับใจ! บรื๋อออ...


th-th.facebook.com
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 15 เมษายน 2558 19:00:36 »

.



ปีศาจสาวหลิน

"สมเดช" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณผีตายโหง

สมัยวัยรุ่นผมอยู่ที่ภาษีเจริญ ดินแดนหมี่กรอบสุดดังมาร้อยกว่าปี ไหนจะมีขนมไทยๆ ที่หาอร่อยๆ กินยาก ไม่ว่าใครได้ชิมเป็นต้องติดอกติดใจไปตามๆ กัน เรื่องผีดุฉกาจฉกรรจ์ก็น้อยหน้าหย่อมย่านบ้านอื่นเขาซะที่ไหนล่ะ?

ไม่ว่าผีตามวัด ผีในเรือกสวน รวมทั้งผีในคลองบางกอกใหญ่ แม้แต่ศาลาท่าน้ำก็ยังมีคนเคยโดนผีหลอกจนวิ่งโสร่งหลุดลุ่ยมาแล้วนี่นา ทำเป็นล้อเล่นไป

วันนี้ผมจะเล่าถึงผีหมวยสาวรุ่นกระเตาะ สมัยนี้ต้องเรียกว่าสุดเอ๊าะ เพราะเพิ่งจะ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ แต่รูปร่างอวบอัดเหมือนเป็นสาวเต็มตัว หน้าตาสะสวยสดใส ปากแดงแก้มแดง ผิวพรรณขาวอล่อง ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่แถวนั้นมักจะจ้องมองตาเป็นมันไปตามๆ กัน

หลินคือชื่อของเธอ ช่วยพ่อแม่ขายของชำ มีสุราอาหารพร้อม ตอนเช้าคอกาแฟนั่งกันสะพรั่ง ตกบ่ายหน่อยก็กลายเป็นที่ตั้งวงก๊งสุราของบรรดาผู้อาวุโสประจำถิ่น

แม้ว่าจะสะสวยหมวยอึ๋ม แต่หลินก็ไม่แยแสพวกผู้ชายที่มาแทะโลม ถ้าใครล้ำเส้นมักโดนด่าเจ็บๆ แสบๆ โดยเฉพาะตาหยดกับตาแร่ ขาเมาประจำร้านที่ทำท่าว่าจะตัณหากลับเอาดื้อๆ

"แม่โวย!" ตาหยดดูดปากจ๊วบเมื่อเห็นเด็กสาวเดินผ่านไปมาในชุดเสื้อยืดสีเหลืองคับๆ กางเกงขาสั้นสีดำโชว์ขาอ่อนขาวผ่อง "เอ็งตัวแบบนี้มันเหมือนไม่ได้นุ่งผ้านุ่งผ่อนอะไรเลยว่ะ"

เด็กสาวหันขวับมาแค่นหัวเราะ

"อ๋อ! อยากเห็นฉันล่อนจ้อนในชุดวันเกิดล่ะซี ยกมือไหว้ตรงนั้นซะสิจะได้เป็นมงคล"

ตาหยดกระเดือกน้ำลายเอื๊อก คนอื่นๆ หัวเราะครืน ตาแร่รีบช่วยเพื่อนทันที

"ไอ้หยดมันก็พูดความจริงนี่หว่า หลินเอ๊ย...ระยะหลังๆ มานี่เนื้อสาวเอ็งแตกบึ่บบั่บขึ้นทุกที ดูสิ! ตัวแค่นี้หน้าอกยังกะส้มโอ ตูดก้นก็ทั้งใหญ่ทั้งงอน ผึ่งผายเป็นปากแตรเชียวว่ะเฮ้ย!"

"อือ...ฉันก็ว่างั้นแหละ" หลินเหวี่ยงสะโพกหันบั้นท้ายเข้าไปหา "มันใหญ่เบอะบะขึ้นทุกทีจริงๆ ด้วย! เออ...ชะโงกเข้ามาดูใกล้ๆ ซิว่าก้นฉันมันใหญ่ขนาดหน้าแกได้มั้ย ตาแร่?"

เสียงเฮตึงด้วยความสะใจ สองเฒ่ารีบแหงนหน้าซดเหล้าโรงวูบวาบดับอารมณ์ หลินไม่แยแส สะบัดบั้นท้ายเลี้ยวไปทางหลังร้านที่มีบ้านแบ่งห้องเช่าอยู่ใกล้ๆ ร่มมะพร้าว ตะโกนถามขึ้นไปว่าเย็นนี้พี่ชัยจะกินอะไร เดี๋ยวจะเอามาให้...แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบ เด็กสาวก็ตัดสินใจเดินเข้าไปทันที

หลินหายไปเกือบชั่วโมงใครๆ ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ แน่ใจว่าเธอขึ้นไปหาลูกค้าขาประจำที่เป็นเซลส์แมนชื่อพิชัยแทบทุกวันทั้งเช้าและเย็น เพื่อเอากาแฟไข่ลวกหรือก๋วยเตี๋ยวข้าวผัดไปส่ง จนหลายคนเชื่อกันว่าหนุ่มสาวคู่นี้อาจจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วก็เป็นได้

แต่เมื่อโผล่เข้าไปในห้องพักของพิชัยที่เปิดแง้มอยู่ ก็พบกับภาพเด็กสาวเปล่าเปลือยนอนหงายตาเบิกโพลง ลิ้นจุกปากอยู่บนเตียง รอบคอเขียวช้ำเพราะโดนบีบเค้นจนขาดใจตาย!

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าหลินโดนข่มขืนฆ่าอย่างน่าอนาถใจ ขณะที่ทุกคนสงสัยว่าพิชัยเป็นตัวการแล้วหลบหนีไป พิชัยก็เดินขึ้นมาอย่างงุนงง...ยืนยันว่าเขาเพิ่งจะกลับมาหยกๆ นี่เอง

พิชัยรอดตัวไป แต่ตำรวจก็ยังมืดแปดด้าน ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าใครคือฆาตกร?

งานศพเด็กสาวชะตาขาดผ่านไปแล้ว พิชัยอยู่ช่วยงานจนเรียบร้อยแล้วเก็บเสื้อผ้าไปหาที่อยู่ใหม่ บอกกล่าวให้คนฟังขนลุกขนพองไปตามๆ กันว่า...อยู่ไม่ไหว หลินร้องไห้มาหาผมทุกคืน!

ยามราตรี ห้องว่างเปล่าที่ยังไม่มีใครกล้ามาเช่าก็เกิดเหตุการณ์แปลกๆ นั่นคือไฟฟ้าปิดๆ เปิดๆ ไปครึ่งค่อนคืน ต่อมาคนอยู่ห้องใกล้ๆ ก็ต้องนอนสะดุ้งเป็นกุ้งเต้นเมื่อได้ยินเสียงตึงตัง โครมคราม ตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน... อย่านะ! ไอ้สัตว์นรก...อย่าทำกู! โอ๊ย ช่วยด้วยๆๆ

บางคืนก็มีเสียงร้องไห้ สะอึกสะอื้นคร่ำครวญชวนให้ขนหัวลุก ไม่ช้าคนที่เช่าอยู่ก็ทยอยกันย้ายออกไปเรื่อยๆ บรรยากาศยามค่ำคืนมีความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวชวนให้วังเวงใจสิ้นดี

หมาเจ้ากรรมก็พากันโก่งคอหอนโหยหวนไม่หยุดหย่อน เหมือนมันประสบพบเห็นอะไรบางอย่างที่แสนจะน่าเกลียดน่ากลัวอย่างเหลือประมาณ!

คืนนั้นใกล้จะปีใหม่แล้ว ไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่ตื่นเต้น คึกคัก อยากจะให้สิ้นปีเร็วๆ เพื่อจะได้เริ่มต้นสิ่งดีๆ ในวันปีใหม่ ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ โดยเฉพาะวัยรุ่นอย่างพวกผมยิ่งตื่นเต้นนักหนา

ตกลงกันว่าจะข้ามไปเที่ยวปีใหม่ที่ท้องสนามหลวง แต่ตอนนี้สนุกกันแถวบ้านก่อน

ร้านสุราอาหารมีแต่ผู้คนคึกคักสนุกสนาน พวกเราปักหลักกันที่ร้านชำ สั่งเหล้าโซดากับแหนมมาเป็นกับแกล้ม อ้อ! ได้ข้าวเกรียบกุ้งอีกถุงก็พอถมเถไป

ใครผ่านมาก็ชักชวนให้ร่วมวงครึกครื้น เดี๋ยวๆ ก็หมุนเวียนกันไปเข้าห้องน้ำหลังร้าน จนกระทั่งถึงคราวผมเข้าไปชิ้งฉ่องอยู่ในสุขาที่มีไฟเหลืองรัว...เสร็จสรรพเปิดประตูออกไปก็เกือบชนกับเด็กสาวคนสวยที่ผมจำได้ดี...ไงจ๊ะ หลิน? หายไปนานเชียวนะ...

สาวสวยเอียงคอยิ้มหวานยั่วเย้า เดินผ่าร่างผมเข้าห้องน้ำดื้อๆ เสียงหัวเราะหวานใสทำให้ผมนึกได้ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว...หลิน! ตะโกนสุดเสียงได้คำเดียวก็สลบคาที่อยู่ตรงนั้นเองครับ!

th-th.facebook.com
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 10.0 MS Internet Explorer 10.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2558 08:57:09 »

.



วิญญาณร้องไห้

"พิมพ์มาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเตือนใจทาสสุรา

น้องเพียวเป็นผู้หญิงที่ดิฉันรู้จัก ถึงจะไม่สนิทสนมแต่ก็ทักทายกันทุกวัน เธออยู่ถัดจากบ้านดิฉันที่ดินแดงไปแค่สองหลัง ตอนเช้าตรู่เวลาออกมาใส่บาตร ก็จะแลเห็นเธอซ้อนรถจักรยานของพี่สาวไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อเห็นดิฉันเธอก็ยิ้ม โบกมือหย็อยๆ

ดิฉันเอ็นดูเธอจริงๆ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้จวนจบป.6 เข้า ม.1 แล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วโรงเรียนใกล้บ้านนี่ล่ะค่ะ ได้ข่าวว่าเรียนเก่ง ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วย นับว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เชียวละ

ครอบครัวเธอหาเช้ากินค่ำ แม่ขายข้าวแกง พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย พี่สาววัยรุ่นนั้นถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เป็นเด็กดี ช่วยแม่ตัวเป็นเกลียว

ท่าทางครอบครัวนี้คงจะไปได้สวย แต่โชคชะตาก็โหดเหี้ยมกับพวกเขาเหลือเกิน นึกแล้วสงสารจับใจ

เช้าวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ล่ะค่ะ ตอนนั้นดิฉันใส่บาตรเสร็จพอดี ฟ้าสางแล้วล่ะ พระท่านกำลังเดินกลับวัด เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว พี่พรกับน้องเพียวเพิ่งขี่จักรยานผ่านหน้าไป เรายิ้มทักทายและโบกมือให้กันเหมือนเช่นทุกวัน...

ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์บึ้นๆ มาแต่ไกล และแล้วก็...ปัง! ดังสนั่น

ด้วยความสังหรณ์ใจ ดิฉันรีบวางถาด แล้ววิ่งออกไปชะเง้อมอง...นั่นไง!

ชาวบ้าน 2-3 คนวิ่งผ่าน รวมทั้งคนขับตุ๊กตุ๊ก ที่มารับแม่ของน้องเพียวขนของไปขายตลาด เสียงแม่น้องเพียวกรีดร้องไม่เป็นภาษา คนเป็นพ่อหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง ทั้งคู่วิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน

ตรงโค้งแรกห่างออกไปราว 20 เมตรนั่น...จักรยานล้มคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ล้มกระเด็นไปคนละทาง ร่างของเด็กสองคนกองอยู่กับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ใครขว้างทิ้ง

ดิฉันไปถึงพอดีกับที่น้องพรยันตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง แต่น้องเพียวที่กระเด็นห่างออกไปซิคะ เลือดกำลังไหลจากศีรษะเป็นลิ่มๆ อย่างน่ากลัว มันแดงฉานนองพื้นถนน ใครบางคนจับเธอพลิกหงาย...ดิฉันเห็นใบหน้าที่เคยน่ารักกลับถลอกปอกเปิก เปื้อนฝุ่น สีหน้านั้นเฉยเมยดวงตาลืมโพลงแต่ไร้จุดหมาย ไร้ชีวิต สงบนิ่งโดยไม่มีวี่แววตระหนกตกใจ...

เธอตายสนิทในชุดนักเรียนประถมปลาย สะพายเป้อยู่ข้างหลัง!

งานศพน้องเพียวเศร้ามาก แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ลูกสาวเธอเสียชีวิตเพราะคนเมาเหล้าที่บึ่งมอเตอร์ไซค์โดยใช้ซอยเราเป็นทางลัด

ดิฉันยังจำได้ถึงค่ำคืนที่หนาวเยือก ลมพัดกรูเกรียว ใบไม้แห้งระไปกับพื้นเสียงกรอบกราว...ซอยเราเหงาจับใจ ไฟถนนที่สว่างจ้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นเลย ผู้คนหลบเข้าบ้านเงียบกริบตั้งแต่หัวค่ำ เด็กๆ ไม่ขี่จักรยานไปซื้อของกินเหมือนปกติ...

พวกเขากลัวผีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ค่ะ

ใครๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือๆ ในยามดึกสงัดกัน ทั้งนั้น!

แม้แต่ดิฉันเองก็ยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากตัวบ้านไปยังสนามหญ้าเช่นเคย ได้แต่อยู่ในบ้านกับลูกๆ เปิดทีวีเสียงดังๆ และเปิดไฟรอบๆ ด้าน เจ้าหมาตัวเล็กก็เห่าบ๊อกๆ แล้วครางโหยหวน มันเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นแน่ๆ

ทุกคนพูดกันว่า น้องเพียวมาแต่เข้าบ้านไม่ได้ มีแต่พ่อกับแม่ของเธอเท่านั้นที่ออกมาชะเง้อหาลูกที่เหลือแต่วิญญาณ และพยายามพาลูกเข้าบ้านแต่ไม่สำเร็จ

น้องเพียวร้องไห้ให้ชาวบ้านได้ยินทุกคืน!!

ในที่สุดซอยเราก็ร่วมใจกันทำบุญครั้งใหญ่ บอกน้องเพียวให้รู้ว่าเธอตายแล้วไปสู่สุคติเถิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น

หลังจากคืนนั้น น้องเพียวก็เงียบเสียงไป แต่อีกนานเชียวล่ะกว่าทุกคนจะกล้าออกจากบ้านยามที่ค่ำมืด...

ครอบครัวของน้องเพียงนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วค่ะ บ้านเดิมก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้ว ทิ้งไว้แต่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่แสนเศร้า เด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพ่อแม่ ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนขี้เมา

ใครชอบดื่มเหล้าดื่มเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่มีใครห้ามหวง ขอร้องแต่อย่าขับรถเท่านั้น เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมามากมายเหลือเกิน...ถ้าเดือดร้อนเฉพาะตัวเองก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต ส่วนหนึ่งกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดอนาคตไปชั่วชีวิต

"ดื่มไม่ขับ" เพื่อตัวของคุณเองและคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณด้วยนะ
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 10.0 MS Internet Explorer 10.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2558 11:06:53 »

.



วิญญาณห่วง (วิญญาณเพื่อน)

"รอยพิมพ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเพื่อน

ทันทีที่รู้ข่าวว่า "พลอย" น้องในที่ทำงานของดิฉันประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเมื่อคืนนี้ ตอน 3 ทุ่ม ดิฉันก็งงงันไปหมด มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพลอยขับรถมาหาดิฉันที่บ้านตอนตี 2 เธอมาหาดิฉันหลังจากที่เธอเสียชีวิตแล้วอย่างนั้นเหรอ?

ในงานศพของพลอย ดิฉันต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะมีแต่คนสนใจ ต่างก็มามุงฟังด้วยความตื่นเต้น ขนลุกซ่า...และพากันชำเลืองไปที่โลงศพของสาวน้อยอย่างยำเกรง

คืนที่เกิดเหตุ พลอยขับรถออกจากบ้านที่อุทัยธานีมากับเพื่อนชาย ชื่อ นพ ขณะแล่นมาตามถนนสายชนบทที่ทั้งแคบทั้งมืดและเปลี่ยว แสงไฟหน้ารถก็พลันส่องให้เห็นลังขนาดใหญ่หลายใบ หล่นกระจัด กระจายขวางอยู่กลางถนน

ด้วยความที่ตกใจ พลอยหักพวงมาลัยกะทันหัน และพุ่งประสานงากับรถหกล้อที่ขับสวนมาอย่างจัง ร่างของพลอยรับแรงปะทะอย่างเต็มที่ ขณะที่นพเพียงแต่บาดเจ็บเล็กน้อย

ในคืนเดียวกันนั้น ดิฉันเข้านอนตอนสี่ทุ่ม แต่กว่าจะหลับก็อีกนานเลยล่ะ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องงานสำคัญที่นัดกับพลอยไว้ว่าจะสะสางด้วยกัน

ดิฉันคิดไปคิดมาแล้วเลยผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...มาตื่นอีกทีตอนกลางดึกเพราะต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ครั้นทำธุระเสร็จก็จะกลับมานอน พอดีได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้านเลยไปมองที่หน้าต่าง...

อ้อ! นั่นพลอยนี่นา มาทำไมดึกดื่นป่านนี้ ดิฉันเหลือบดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาตี 2 พอดี...เอ! มีอะไรรึเปล่านะ?

ดิฉันตาสว่าง ลงบันไดไปเปิดประตู เดินออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน

รถสีขาวของพลอยจอดเทียบประตูรั้วพอดี เธอนั่งกุมพวงมาลัยอยู่ในรถ และเปิดหน้าต่างพลางเอียงศีรษะออกมามองดิฉันเหมือนสับสน...

"มีอะไรเหรอ? มาซะดึกเชียว" ดิฉันถามด้วยความเป็นห่วง มองฝ่าความมืดไปยังเบาะข้างคนขับ ไม่เห็นนพนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างที่เคยเห็นจนคุ้นตา

ในใจตอนนั้นคิดว่าพลอยคงมีเรื่องทะเลาะกับนพเลยขับรถมาหาดิฉัน ซึ่งเป็นที่พึ่งของเธอ แต่ท่าทางของพลอยไม่บ่งบอกว่าเธออารมณ์เสีย หรือทะเลาะเบาะแว้งกับใครมา...มันยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ ดิฉันจับสังเกตได้ว่าเธอเหม่อลอย และไม่แน่ใจว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?

"เอางี้นะ เข้ามาในบ้านก่อนดีกว่า" ดิฉันก้มลงถอดกลอนประตู พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว...

รถของพลอยหายไปแล้ว เบื้องหน้ามีแต่ความว่างเปล่า!

ดิฉันผงะถอยหลัง ตั้งตัวไม่ติดกับสิ่งที่ได้เห็น นี่มันเกิดอะไรขึ้น ดิฉันละเมอเดินเหรอคะ? เห็นอะไรไปเองเป็นตุเป็นตะขนาดนี้เชียวหรือ? ลืมบอกไปว่าดิฉันไม่ใช่คนเชื่อเรื่องผีและไม่กลัวผีด้วย...เกิดมาไม่เคยเห็นสักทีนี่คะ

เมื่อไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ดิฉันก็ปลงใจคิดว่าเป็นเพราะความกังวล ผนวกกับความงัวเงียจนเกิดภาพหลอนได้ถึงขนาดนี้ สงสัยต้องไปเช็กสมองซะแล้ว

อากาศคืนนั้นค่อนข้างอบอ้าว แต่ก็มีลมเย็นๆ พัดมาทำให้ขนลุก กระนั้นดิฉันก็กลับไปนอนได้ตามปกติ ถึงจะกังวลเรื่องสุขภาพของตนเองขึ้นมาไม่น้อย แต่ก็ข่มตาหลับลงได้

มาตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น เลยตะกายไปรับ...ปรากฏว่าเป็นพี่สาวของพลอยโทร.มา เธอบอกข่าวร้ายว่า พลอยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตอนสามทุ่ม

ดิฉันเข่าอ่อน โพล่งออกไปว่าจะเป็นไปได้อย่างไร พลอยมาหาดิฉันตอนตีสอง! แต่พอทบทวนดูว่ารถของเธอหายไปในอากาศเฉยๆ ดิฉันก็ต้องยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งว่านั่นเป็นการปรากฏตัวของวิญญาณ!

พี่สาวของพลอยอุทานเสียงหลง เธอเชื่อสนิทว่าเป็นเพราะพลอยยังไม่ทันรู้ตัวว่าตาย และจิตของเธอคงเป็นห่วงเรื่องงานสำคัญที่นัดกับดิฉันไว้

อย่างน้อยดิฉันก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่งว่า สมองของดิฉันไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สิ่งที่ได้มาคือความเสียใจที่สูญเสียพลอยไป และความเชื่อว่าจิตวิญญาณมีจริง!

ดิฉันไม่กลัวผีของพลอยเลยค่ะ เพราะยืนยันได้ว่าเธอมาอย่างสวยงามน่ารัก เป็นคนปกติ ไม่ได้ยับเยินเละเทะอย่างที่ศพของเธอเป็น และประสบการณ์ของดิฉันก็เป็นสิ่งที่ปลอบโยนพ่อแม่พี่น้อง และคนที่รักพลอยว่า เธอยังอยู่...

แม้จะอยู่ในโลกหลังความตายก็ตาม เธอไม่ได้ดับสูญ!

ทุกวันนี้ดิฉันทำบุญไปให้พลอยเสมอ ไม่ใช่เฉพาะเธอคนเดียว แต่เป็นคนที่ดิฉันรักและผูกพันทุกๆ คนที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยดิฉันเชื่อว่าวิญญาณยังอยู่ และยังรับรู้ได้ว่าเรารักและห่วงใยอยู่ตลอดเวลา!
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2558 19:21:46 »

.



ผีขี้หึง
เรื่องนี้เป็นเรื่องของไอ้จอมเพื่อนผมเอง เพื่อนผมคนนี้มันเป็นพวกเพ้อเจ้อศิลปินจ๋ามาตั้งแต่สมัยมัธยม นิสัยและรสนิยมรายวันของมันทำเอาเพื่อนทั้งเอือมทั้งฮาได้ในเวลาเดียวกัน บทมันจะชอบจะเห่ออะไรก็ คลั่งไคล้ขลุกอยู่เป็นวรรคเป็นเวร แต่บทจะเบื่อจะไม่เอาก็ไม่เอาเลย ไม่แตะไม่ต้องไม่อาลัยอาวรณ์

อย่างครั้งนึงมันเคยบ้าธรรมะ ช่วงนั้นมันก็มักจะพูดอะไรเป็นปริศนาธรรม เป็นพุทธวจนะ ชอบสนทนาธรรมกับพวกอาจารย์ที่ชอบทางนี้ เวลามีจัดปฏิบัติธรรมที่ไหนก็ไปกับเขาตลอด นุ่งขาวห่มขาวมาเรียนที่มหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจว่าใครจะมองจะขำหรือจะว่ามัน บ้า ถือศีลแปดเคร่งครัด แต่บทมันเบื่อมันก็ทำเหมือนเป็นคนละคน กินเหล้าดูดบุหรี่ หลีแฟนเพื่อน ผิดศีลมันได้เกือบครบทุกข้อหยั่งกับจะสะสมคะแนนบาปเอาแต้มไปแลกอะไร

ช่วงหนึ่งมันบ้ายูเอฟโอ เอเลี่ยน มันก็พูดแต่เรื่อง ยูเอฟโอ ศึกษาดาราศาสตร์ เที่ยวไปหาซื้อหนังสือ ค้นเว็บ หารูป หาสารคดีเกี่ยวกับยูเอฟโอ มานั่งดู แล้วมาวิเคราะห์ว่า ดาวดวงไหนมีความเหมาะสมที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้บ้าง แต่ก็เหมือนเดิม เบื่อมาก็ขนทิ้งขนขายเลหลังหมดเกลี้ยง อย่างไม่สนใจไยดี   นั่นแหละครับ พวกเราเลยไม่แปลกใจ ตอนที่เห็นมันมาบ้าพวกเครื่องรางของขลังและคาถาต่างๆ ถึงกับใส่ลูกประคำมาเรียนมีขี้ผึ้งสีปากมหาเสน่ห์มาแจกสาวๆ ในชั้น มีคาถาสาวหลงมาฝากเพื่อนๆ หนุ่มๆ ให้เฮฮาครึกครื้น สะพายย่ามรุงรัง ไว้หนวดไว้เคราจนใครๆ ก็เรียกมันว่าอาจารย์จอม

ตอนหลังพอเราเรียนจบไปทำงานทำการกันหมดแล้ว เรื่องราวของไอ้จอมก็จางลงไปบ้างตามกาลเวลาและรูปแบบชีวิตที่เปลี่ยนไป ผมเองไม่ได้เจอไอ้จอมเกือบสิบปี จนเกือบจะลืมหน้าตามันไปแล้ว ถ้าวันนั้นไม่บังเอิญไปเจอะมันเข้าโดยบังเอิญ

วันนั้นแฟนสาวของผมคะยั้นคะยอให้ผมพาไปหาร่างทรงเจ้าพ่อเสือที่เพื่อนของเธอแนะนำว่าดูดวง แม่นยำและรักษาได้ทุกโรค แฟนสาวของผมซึ่งเป็นไมเกรนเรื้อรังมาหลายปีอยากลองไปพบร่างทรงที่ว่านี้ดู บ้าง เพราะลองรักษามาหลายวิธีทั้งแบบสมัยใหม่และแบบโบราณ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย   ที่จริงผมก็ไม่ค่อยชอบเรื่องพวกนี้ แต่ไม่อยากทะเลาะกับเธอ เลยยอมเออๆ ออๆ ตามไป อย่างน้อยมีผมไปด้วยพวกหมอผีกำมะลอพวกนี้คงต้มตุ๋มหลอกเอาเงินแฟนผมได้ไม่ ถนัดนัก   พอขึ้นไปบนเรือนพ่อหมอเท่านั้นแหละ ผมก็จำหนวดมันได้ทันที เฮ้ย นั่นมันไอ้จอมนี่หว่า กลายเป็นพ่อหมอไปแล้ว เกล้าผมยาวกลางกระหม่อม นุ่งห่มชุดลายเสือ สักยันต์เต็มแขน จัดเต็ม!

ยังไม่ทันจะร้องทัก ก็พอดีมันลุกขึ้นร้องทักผมเสียเองก่อน และว่าตอนนี้เจ้าพ่อเสือยังไม่ประทับทรง นัดเวลาประทับไว้ค่ำๆ ตอนนี้เลยคุยได้   วันนั้นสรุปว่าแฟนผมเลยยังไม่ได้รับการรักษาจากเจ้าพ่อเสือ เพราะไอ้ร่างทรงดันคุยกับผมติดลมบนแบบไม่สนใจลูกค้าคนอื่น แถมพากันไปกินข้าวต้มร้านใกล้ๆ บ้านมันต่ออีก  "ตอนนั้นที่กูเห็นมึงฮิตเรื่องคาถาอาคม ก็นึกว่ามึงจะเห่อประเดี๋ยวประด๋าวเหมือนเรื่องอื่นๆ ไม่คิดว่ามึงจะเอาจริงเอาจังถึงขนาดเอาดีทางนี้ด้วยนะเนี่ย"

ไอ้อาจารย์จอมที่ตอนนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดขาวกางเกงขาวแล้วอมยิ้มนิดๆ พยักหน้า "เออ ติดใจว่ะ ตังค์ดีชิบหาย อาทิตย์นึงทำงานวันเดียวเงินยังเหลือๆ เอาเวลาไปเสพศิลปะด้านอื่นๆ ได้อีก มึงมีงานอื่นดีแบบนี้ไหมอ่ะ"

ก่อนกลับไอ้จอมยังยื่นหน้ามากระซิบกับผมแบบไม่ให้แฟนผมได้ยินว่า "มึงไปส่งแฟนแล้วเดี๋ยวกลับมาหากูสิ คืนนี้กูมีอะไรให้มึงดู รับรองเด็ด มึงชอบแน่ๆ"   ตอนนั้นผมก็ แอบขำในใจ คิดว่าเออเนาะ ไอ้จอมนี่มันยังเพี้ยนเหมือนเดิมเลยแต่ตอนนั้นก็พอดีเบื่อๆ ไม่มีโปรแกรมทำอะไรพิเศษ เลยลองรับปากตามไปดูของแปลกที่มันว่า

สารภาพตามตรงว่า ตอนนั้นใจผมไม่มีอะไรที่คิดไปเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงเลยสักนิด ผมก็ว่ามันทะแม่งๆ อยู่หรอกตอนที่มันพาฝ่าดงกล้วยเข้าไปกลางสวนหลังบ้านของมัน แล้วเจอกระท่อมเล็กๆ สภาพสวยงามที่ดูออกว่าเพิ่งสร้างไม่นาน ภายในไม่มีไฟฟ้า ใช้เพียงตะเกียงแสงวอมแวมสลัวๆ  ความที่มันดูศิลปินจ๋าออกจะฮิปปี้ๆ ผมเลยนึกว่ามันจะพามาลองดูดกัญชาสูตรใหม่หรืออะไรอื่นๆ ทำนองนั้น แต่เปล่าเลย  สิ่งแรกหลังประตูกระท่อมเปิดออก ทำให้ผมตกใจและประหลาดใจ หญิงสาวสวยจัดอายุราว 18 ปีผมตรงดำยาวสยายเงางาม ทัดดอกไม้ที่หูใส่เสื้อเกาะอกสีเขียวใบตองกับผ้าถุงยาวกรอมข้อเท้าเหมือนสาวต่างจังหวัดเมื่อหลายสิบปีก่อน มองกลับมาทำหน้าตื่นๆ ดวงตาเธอกลมโตหวานฉ่ำขนตายาวเป็นแผงคิ้วเข้มหนา ริมฝีปากแดงด้วยเลือดฝาด สวยผุดผาดจนเหมือนเรืองแสงได้ในที่มืด ทั้งที่ไม่ได้แต่งหน้า

ไอ้จอมแนะนำเขินๆ ว่า นี่เมียมันเอง ชื่อนี...

หญิงสาวมีทีท่าสะเทิ้นอายหลบสายตา เชิญผมและไอ้จอมเข้าไปในกระท่อม หาน้ำหาท่ามาให้ ตอนนั้นผมก็นึกแล้ว อ้อ นี่เอง ทีเด็ดที่ไอ้จอมมันว่า เด็กวัยรุ่นสวยระดับนางงามคนนี้เอง ดูๆ ไปแล้วก็ชักอิจฉา อยากเป็นอาจงอาจารย์กะเขาบ้าง เผื่อจะได้เมียสวยสะเด็ดอย่างนี้  ตลอดเวลาที่นั่งคุยกันในกระท่อมนั้น ผมแทบไม่อาจละสายตาไปจากน้องนีได้เลย เธอดูเหมือนมีรัศมีแห่งความน่าเสน่หาแปลกๆ แผ่ออกมารอบตัว ผิวขาวเหลืองนวลเรืองรองกลางแสงตะเกียงหาตำหนิไม่ได้ ทุกครั้งที่เธอขยับตัว สะบัดผม หรือเอื้อมมือมาหยิบอะไรใกล้ๆ กลิ่นกายของเธอจะโชยหอมลึกล้ำอบอวลไปทั่ว กลิ่นเหมือนดอกไม้ป่าผสมพวกใบเตยใบตอง ยิ่งดูไปยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าเธอไม่ใช่คนแต่เป็นนางฟ้านางสวรรค์ ไอ้จอมมองผมแล้วแอบอมยิ้ม ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม

หลังออกมาจากกระท่อมในคืนนั้น ไอ้จอมเดินออกมาส่งนอกป่ากล้วย กลับมาที่บ้านมัน ทำท่าลับๆ ล่อๆพิกล พอขึ้นบ้านได้ก็ล้อมสายสิญจน์รอบบ้าน แล้วเล่าให้ผมฟังว่ามันกับน้องนีอยู่ด้วยกันมาเกือบปีแล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังชอบผู้หญิงคนนึง อยากตบแต่งเป็นเรื่องเป็นราว

ผมก็ตกใจ "อ้าว ไอ้หอก เมียมึงสวยระดับนางงามแล้วยังจะเอายังไงอีก แถมยังเอาน้องเขาไปแอบไปซ่อนไว้ในดงกล้วยโน่น กลัวพ่อแม่เด็กจะมาจับได้หรือไง ไฟฟ้าก็ไม่มีน้องเขายังทนอยู่กะมึง"  ไอ้จอมรีบยกมือเบรกผม "มึงอย่าเพิ่งโวย สั้นๆ นะ มึงชอบน้องเขาไหม ถามแค่นี้ ถ้ามึงชอบกูจะยกให้มึง"  ก่อนที่ผมจะทันโวยวายไปมากกว่านั้น ไอ้จอมก็รีบชิงเล่าเรื่องประหลาดที่ไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิดให้ผมฟัง มันบอกว่า น้องนีที่ผมได้เจอนั้น ชื่อเต็มๆ ว่า น้องตานี! มันศึกษาวิธีของมันอยู่นานหลายปี ดงกล้วยตานีหลังบ้านนั่น เป็นความสำเร็จของมันที่ทำให้มีนางตานีมาสถิตอยู่ได้จริง

"ต้องเลี้ยงจนปลีกล้วยตานีออกกลางต้น แล้วไปทำบายศรีไปสู่ขอลูกสาวจากแม่ตานี ขุดหน่อออกมา ทะนุถนอมปลูกไว้ข้างเรือน หลังจากนั้นมึงก็ไม่ต้องไปนั่งจีบน้องเขาทุกวัน รดน้ำใส่ปุ๋ย คอยชวนคุย ชวนกินข้าวจนเขาโตเป็นสาว ถ้าเขาใจอ่อน ก็จะยอมออกมาเป็นเมียมึง"

ผมขนลุกซู่ เมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่อยู่ในกระท่อม นอกจากความเย้ายวนประหลาดของน้องนี ยังมีความรู้สึกหนาวยะเยือกลึกๆ เจืออยู่ทุกครั้งที่สบตากับเธออีกด้วย

ไอ้จอมบอกว่า แรกๆ ก็ดี เหมือนทุกคนน่ะแหละ นานๆ ไปมันก็เบื่อ น้องนีไม่เคยมีปากมีเสียง แต่หากเพียงไอ้จอมแซว จีบ หรือทำท่าว่าพอใจผู้หญิงจริงๆ คนไหน น้องนีก็มักจะตามไปเข้าฝัน หลอกหลอนหรือทำร้ายผู้หญิงคนนั้นทุกทีไป จนขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด หลายคนตื่นมาพร้อมรอยเล็บข่วนยาวลากจากหน้าผากถึงคางอย่างหาที่มาไม่ได้ บางคนบอกว่าเห็นผู้หญิงสวยห่มสไบเขียวมายืนกระทืบหน้าอกถึงบนที่นอนหน้าตาโกรธเกรี้ยว บางคนเจอน้องนีจิกหัวตะคอกไม่ให้ยุ่งกับสามีของเธอ

"ขี้หึงฉิบหาย กูอยากจะเลิกแล้ว แต่ไม่รู้จะทำยังไง มึงรับไปเลี้ยงแทนกูทีได้ไหมวะ สวยเด็ด ไม่เปลืองค่าข้าว ค่าดูหนัง" ไอ้จอมพูดยังไม่ทันขาดคำไฟในบ้าน ก็ดับพรึ่บ ลมนอกบ้านก็พัดโหมแรงกระหน่ำราวกับมีพายุ เสียงผู้หญิงสาวร้องไห้สลับกรีดร้องดังสนั่นกึกก้องอย่างหาที่มาไม่ได้ ลมกระโชกเข้ามาทางหน้าต่าง จนข้าวของบนตั่งบูชาประดามีของมันล้มกลิ้งระเนนระนาด ผมพุ่งออกจากประตูบ้านมันอย่างรวดเร็ว โดยไอ้จอมก็พุ่งตามออกมาด้วย

หลังจากคืนนั้น ไอ้จอมรอเช้า แล้วตัดสินใจเด็ดขาด จ้างคนมาฟันดงกล้วยตานีทิ้งทั้งดง แถมยังก่อไฟเผากระท่อมรักแสนสวยของมันจนไม่เหลือซาก แล้วอีกอาทิตย์ต่อมาก็ดำเนินการย้ายตำหนักเจ้าพ่อเสือของมันไปอยู่ต่างจังหวัด

ผมไม่รู้หรอกว่าน้องนีจะตามไอ้จอมไปถึงที่นั่นไหม แต่เพราะอะไรไม่รู้ ที่ทำให้ผมกลับไปที่ซากกระท่อมกลางดงกล้วยเก่า ในจมูกยังอวลกลิ่นหอมลึกล้ำและดวงตากลมโตดำขลับคู่นั้น แผงขนตาที่พลิกพลิ้วลู่หลบเวลาเขินอาย จะมีผู้หญิงกี่คนในโลกนี้นะ ที่จะรักสามีหมดจิตหมดใจโดยที่ไม่เรียกร้องอะไรเลยนอกจากความรัก สวยหยาดฟ้ามาดิน ไม่มีปากมีเสียง

ผมเดินเข้าไปที่ข้างกระท่อม ตรงที่ต้นกล้วยตานีต้นงามเคยตั้งอยู่ชิดตัวบ้าน ด้วยความรู้สึกเหมือนมีท่อนแขนอันอ่อนช้อยอย่างใบกล้วยต้องลมกำลังกวักเรียกให้เข้าไปหา ผมเศร้าใจเมื่อพบเพียงซากกอกล้วยไหม้ไฟ

แต่ก็ใจชื้นขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อก้มลงไปเห็นหน่อกล้วยเล็กๆ สีขาว แทงดินออกมาไม่ถึงคืบ ผมจึงรีบใช้เศษไม้ใกล้ๆ ขุดลงไปหาหน่อใต้ดิน จนออกมาทั้งหน่อ ผมประคองมันไว้ในอก รู้สึกเหมือนกำลังประคองกอดหญิงสาวร่างบอบบางที่กำลังสะอื้นไห้ กลิ่นหอมโชยขึ้นมาเต็มจมูก

"ไม่เป็นไรแล้วนะครับ น้องนีของพี่ ต่อไปนี้พี่จะดูแลนีเอง"
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2558 19:40:28 »

.


ทางสามแพร่ง

บางเรื่องเล่าเกี่ยวกับความลึกลับและอาถรรพ์ก็เกิดขึ้นมาและหายไปเฉยๆ อย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

เมื่อก่อนก็เป็นเพียงซอยธรรมดาซอยหนึ่ง เพียงแต่เป็นซอยที่มีแยกทางขวามือทุกๆ 30 เมตร จนกระทั่งหน้าปากซอยแยก 13 ที่เคยเป็นที่รกร้างว่างเปล่าคณะกรรมการชุมชนเกิดได้งบประมาณมาก้อนหนึ่งจาก ทางเทศบาลมาถากถางเป็นทางตัดเชื่อมกับอีกซอยเพื่อเป็นทางออกไปสู่ถนนใหญ่ ไม่ต้องออกไปถึงหน้าปากซอยแล้วค่อยย้อนกลับมาเข้าซอยข้างหน้าเพื่อไปถนนใหญ่อีกต่อหนึ่ง

นี่แหละจึงเกิดเป็นทางสามแพร่ง ทางสามแพร่งนี้จึงเป็นทางลัดที่มีรถราเข้ามาใช้ทางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามสี่เดือนแรกทุกคนก็ใช้ทางกันอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นทางใหม่ แต่พอนานวันเข้าก็ขับกันอย่างเร็วจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งและครั้งแรกที่เกิดการสูญเสียจนถึงขั้นเสียชีวิตก็เกิดขึ้นจนได้

เด็กนักเรียนหญิงมัธยมต้นนิสัยดีคนนั้นเป็นที่รักของคนในชุมชน เธอจะตื่นแต่เช้ามืดออกมาช่วยแม่กวาดถนนหน้าบ้านแล้วกวาดเลยไปถึงเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในซอยทุกวัน จากนั้นก็ช่วยแม่ขายหมูปิ้งที่หน้าปากซอยจนถึงใกล้แปดโมงเช้าถึงได้ไปโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลออกไป วันเกิดเรื่องเธอลืมหนังสือและรายงานส่งครูจึงกลับเข้ามาบ้าน ระหว่างไขกุญแจรั้วบ้านที่ซึ่งอยู่ตรงปากซอย 13 ตรงทางสามแพร่งพอดีก็เกิดมีรถกระบะเบรกแตกพุ่งชนเด็กหญิงอย่างแรงจนเสียชีวิตตรงนั้น สร้างความโศกเศร้าและสลดหดหู่แก่ผู้พบเห็นและได้ยินข่าว

แม่ของเด็กหญิงไม่เป็นอันทำการทำงาน เธอออกมานั่งเหม่อลอยหน้าบ้านเสมอ แม้งานศพจะผ่านไปนานนับเดือนเธอก็ยังตื่นแต่เช้ามาเฝ้าดูที่ที่ลูกกวาดถนนอยู่ไม่ขาด เธอบอกคนเดินผ่านว่าลูกเธอจะกลับมา...

แล้ววันหนึ่งก็มีคนเห็นเด็กหญิงจริง! ตอนนั้นตีสามกว่า ชายแก่ขี้เมาคนหนึ่งเดินอ้อแอ้ผ่านทางเห็นเด็กหญิงนั่งก้มหน้าตรงทางสามแพร่ง พยายามชวนให้กลับบ้านอย่างไรเด็กหญิงก็ยังคงก้มหน้าไม่พูดไม่จาไม่สนใจ จนเขาเดินผ่านไปอย่างหัวเสีย สร่างเมาเล่าให้คนฟัง จากปากสู่ปากจากหูสู่หูมาเข้าหูแม่ของเด็กหญิง เป็นที่มาของอาหารคาวหวานที่แม่เด็กนำมาวางไว้บนทางสามแพร่งจุดที่ลูกเสียชีวิต

ไม่นานก็มีคนมาจุดธูป มีคนอื่นมาวางของเซ่นไหว้ มีคนอ้างว่าขอหวยถูก เสื้อผ้าน่ารักๆ สไตล์วัยรุ่นชอบกันก็ถูกนำมาวาง ไม่นานจากแค่วางก็กลายเป็นราวแขวน จากราวแขวนราวเดียวก็เพิ่มจำนวนขึ้น รถราแล่นผ่านจุดนี้ก็ต้องชะลอเพราะนอกจากจะหยุดดู ที่มาบนมาขอหวยมาแก้บนก็ออกันแน่น ข้าวของบนของแก้ก็วางเปะปะกินเลยผิวถนน มีคนมาสร้างเพิงไม้ มีคนมาวางตุ๊กตาเด็กหญิง มีคนมาเรียกว่าศาลเจ้าแม่เด็กหญิง ที่สุดก็กลายเป็น "ศาลเจ้าแม่เด็กหญิง" บนทางสามแพร่งของคนจำนวนมาก

แม่ของเด็กหญิงไม่เพียงขายหมูปิ้ง เธอยังขายสารพัดของราวกับร้านบูติก เสื้อผ้าวัยรุ่น ของสำหรับเซ่นไหว้ ธูปเทียนดอกไม้มีให้บริการเซ่นไหว้เจ้าแม่ กิจการดีจนต้องจ้างลูกจ้างเพิ่ม มีรายได้นับหมื่นบาทต่อวัน นำพาผู้คนหลั่งไหลมาจากทั่วทุกที่ โดยเฉพาะวันหวยออก ทำให้การสัญจรเริ่มไม่ลื่นไหล รถติดขัดมากขึ้น คนในชุมชนบางส่วนเริ่มไม่พอใจ แต่ที่ชอบใจก็ไม่น้อยเพราะนำข้าวของอาหารคาวหวานน้ำดื่มมาวางขายรอบๆ สร้างรายได้แก่ตนเอง

คืนหนึ่งตาแก่ขี้เมาคนนั้นเดินโอนเอนไปมาผ่านศาลเจ้าแม่ฯ ตอนตีสาม เห็นเด็กผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าศาล จึงถามว่ามานั่งร้องไห้ทำไมกัน เด็กหญิงตอบว่า

"หนูไปผุดไปเกิดไม่ได้เสียที มีแต่คนมาขอความช่วยเหลือ หนูเหนื่อย" ตาแก่ฟังแล้วขนลุกซู่แทบสร่างเมา

รุ่งขึ้นเที่ยวเล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟัง แน่นอนเรื่องมาถึงหูแม่ของเด็กหญิง เธอร้องไห้คร่ำครวญสงสารลูก เธอเชื่ออย่างจริงจังเหมือนคราวแรกที่มีคนมาบอก รุ่งขึ้นเธอลงมือรื้อศาลด้วยตัวเอง เลิกขายทุกอย่าง แม้มีคนห้าม เธอก็ไม่สนใจ มีคนมาฉุดมายื้อแย่งหาว่าเธอบ้าไปแล้ว สารพัดจะว่ากล่าวตำหนิเธอก็ไม่สน กรรมการชุมชนบางคนและคนที่ไม่พอใจแต่แรกเข้ามาสนับสนุนเธอ ศาลถูกรื้อทิ้งในเวลาต่อมา ข้าวของที่นำมาแก้บนถูกนำไปเผาราวกับกองเศษขยะ

ทุกวันนี้ทางสามแพร่งนั้นไม่มีแล้ว ซอยนั้นก็ถูกเวนคืนไปทั้งซอยกลายเป็นถนนสายใหญ่ 8 เลน ไม่เหลือซากให้คนได้จดจำอีกต่อไป




พรายย้ำ
ผมโดนเรียกตัวกลับบ้านด้วยเหตุผลสุดประหลาด แม่ตามให้ผมไปดูน้องสาวถูก "พรายย้ำ"

พูดตรงๆ ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยได้ยินเรื่องพรายย้ำนี่มาก่อนเลย แม้บ้านจะอยู่ใกล้แม่น้ำและฟังเรื่องราวของนางพรายในน้ำมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็เป็นการฟังในรูปแบบของนิทานสนุกๆ มากกว่าจะเป็นเรื่องความเชื่องมงาย

ยายเคยเล่าให้ฟังว่า นางพรายในแม่น้ำบ้านเรามีคนเคยเห็นว่าเป็นผู้หญิงสวย สวยหลอนๆ แบบกึ่งเทพกึ่งผี ว่ากันว่านางพรายขี้เหงามักสยายผมเปลือยอกปลั่งเหมือนดอกบัวลงเล่นน้ำ ชวนคนลงไปเล่นด้วยตอนกลางคืน แต่ถ้าใครตามลงไปเล่นกับหล่อน เส้นผมยาวสยายของหล่อนก็จะเลื้อยรัดขาคนที่เล่นน้ำแล้วถูกดึงให้จมลงไปตายในน้ำ ศพมักจมอยู่กับพื้นน้ำ ไม่ลอยขึ้นมาเหมือนศพจมน้ำทั่วไป ตอนกลางคืนถ้าใครอยากเห็นนางพรายน้ำว่าอยู่ตรงไหน ก็ให้เอาไฟส่องดูบริเวณที่มีตาน้ำหรือฟองอากาศผุดขึ้นผิดปกติต่อเนื่องจนน้ำ กระเพื่อมเป็นวงใหญ่ๆ นานๆ นั่นแหละ หมายถึงนายพรายว่ายน้ำหรือดำน้ำอยู่แถวนั้น

ตอนเด็กๆ พวกเราพี่น้องกลัวเรื่องนางพรายกันมาก แค่ตกเย็นก็ไม่กล้าลงน้ำกันแล้ว มืดค่ำไม่ต้องพูดถึง พอโตมาอีกหน่อยก็คิดกันว่า บางทีอาจจะเป็นกุศโลบายของพวกผู้ใหญ่ที่อยากจะปกป้องเด็กๆ ไม่ให้ลงมาเล่นน้ำกันเองตอนกลางคืน ไกลหูไกลตาผู้ใหญ่ อีกอย่างตอนกลางคืนอากาศเย็น เล่นน้ำกันอาจจะเกิดเป็นตะคริวได้ ยังไม่รวมเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงอีก

ผมนั่งคิดมาตลอดทาง พอมาถึงบ้านก็เห็นญาติมากันเต็มบ้านไปหมดจนไหว้กันแทบไม่ทั่ว

แม่จูงมือผมมาดูน้องสาววัยมัธยมที่กำลังนั่งร้องไห้ด้วยความกลัวอยู่ที่โซฟา แขนขาของน้องมีรอยช้ำจ้ำเขียวหลายรอยจนน่าตกใจ "เฮ้ย ต้อมเป็นอะไรเนี่ย ทำไมแม่ไม่พาน้องไปหาหมอล่ะ"

"กำลังตามมาเนี่ย เดี๋ยวหมอเขาจะมาแก้ให้ รอยปากผีพรายทั้งนั้น"

"เอ้า หมอโรงพยาบาลสิแม่ ไม่ใช่หมอผี"

ผมพูดคำนั้นจบก็เงียบกันไปทั้งบ้าน จ้องมาที่ผมกับแม่เป็นตาเดียว

"มึงไม่รู้เรื่องอะไรมึงไม่ต้องพูดก็ได้นะ ไอ้ตาล"

ในเมื่อแย้งไปยังไงก็ไม่ได้ผล แม้แต่น้องสาวตัวดียังเชื่อไปด้วย เย็นๆ ผมเบื่อเลยออกมานั่งเล่นที่ท่าน้ำหลังบ้าน ครุ่นคิดเรื่องความงมงายของญาติๆ ไม่น่าเชื่อว่ายุคนี้แล้วยังเชื่อกันแบบนี้อยู่ นั่งไปสักพักก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง

"ตาล นั่นตาลหรือเปล่า"

หญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งยืนยิ้มเขินๆ อยู่ใกล้ๆ ผมคุ้นหน้าเธอพิกล แล้วก็นึกขึ้นได้ "เฮ้ย ปิ๋มหรือเปล่าเนี่ย ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปีสวยขึ้นจำไม่ได้เลย"

ปิ๋มเป็นเพื่อนบ้านที่เล่นกันมาแต่เด็ก แต่เมื่อผมต้องเข้าไปเรียนในกทม. ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ก็เลยไม่ได้เจอเธออีก ได้ข่าวว่าเธอไปเรียนที่เชียงใหม่ แต่ก็ไม่คิดว่าแค่ข้ามวัยไม่กี่ปี จากเด็กสาวเรียบร้อย หน้าสิวเขรอะ ผมมันๆ ยุ่งๆ คนนั้น จะเปลี่ยนมาสวยเปล่งปลั่งขนาดนี้ได้ แถมยังอยู่ในชุดสุดเซ็กซี่ นุ่งผ้าถุงกระโจมอกคลุมผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำท่า ในมือมีขันพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำครบ

"มองอะไร" หน้าเธอแดงซ่าน "ทำหยั่งกะไม่เคยเห็น"

ผมเกือบจะหลุดไปว่าก็ที่เคยเห็นมันยังไม่เป็นแบบนี้ "จริงเนาะ เมื่อก่อนแก้ผ้าโดดน้ำกันโครมๆ"

ปิ๋มฟาดมือลงกลางหลังผมดังผัวะ "ทะลึ่ง ไอ้บ้า"

เธอเปลื้องผ้าขนหนูพาดหัวเสาที่ท่าน้ำแล้วกระโจนลงน้ำตีโป่งเล่นสนุกสนาน หัวเราะร่ากิริยาเดียวกับที่ผมจำได้ตอนเด็กๆ ผมนั่งที่ท่าน้ำด้วยอารมณ์สุนทรีมากขึ้น อยู่ดีๆ ก็มีสาวสวยมาอาบน้ำให้ดู แถมคุยสนุกเสียด้วย ผมเล่าให้ปิ๋มฟังเรื่องที่น้องสาวผมเกิดรอยช้ำหลายรอย แล้วคนในครอบครัวลงความเห็นกันว่าเกิดจากผีพรายขย้ำชิมเพื่อจะเอาไปเป็นตัวตายตัวแทน

หญิงสาวฟังแล้วหัวเราะคิก เธอว่าเธอเองก็เคยมีรอยแบบนั้นเหมือนกันเมื่อปีก่อน แต่คิดว่าน่าจะเป็นรอยที่ไปเตะหรือกลิ้งทับอะไรตอนนอนมากกว่า

"รอยจุ๊บของแฟนหรือเปล่า" ผมแกล้งแย๊บเบาๆ

"บ้า" ปิ๋มเขินหน้าแดงอีก "เรายังไม่มีแฟน"

เราคุยกันจนฟ้าค่ำ ผมชวนปิ๋มขึ้นจากน้ำ "เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก"

หญิงสาวยิ้มล้อ หัวเราะร่า "ห่วงเราหรือกลัวผีพราย" เธอว่าแล้ววาดแขนตีกรรเชียงออกไปกลางน้ำ วินาทีต่อจากนั้นตาผมเห็นผิวเนื้อเปลือยเปล่าขาวสล้างเหนือน้ำแวบหนึ่งก่อนได้ยินเสียง "ว้าย"

"โอ๊ย ตายแล้ว ผ้าถุงหลุดหายไปแล้วจะขึ้นยังไงเนี่ย" ปิ๋มโวยวาย

ผมหัวเราะพลางใจเต้น แล้วอาสาจะนำผ้าเช็ดตัวไปให้เธอกลางแม่น้ำ ผมว่ายเข้าไปหาเพื่อนสาวที่ลอยคอหน้าแดงก่ำอยู่กลางน้ำ ใกล้เข้าไปทุกที

หลังจากนั้นแทบจำอะไรไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกทีผมนอนตัวเปียกชุ่มอยู่กลางบ้าน ญาติมุงกันเต็ม ผมพยายามเล่าให้ทุกคนฟังเรื่องเมื่อครู่ แต่พอเล่าจบทุกคนก็หน้าซีดเผือด แม่เอามือกุมอก

"เกือบไปแล้วไหม ไอ้ปิ๋มมันโดนผีพรายย้ำ แล้วจมน้ำตายไปเมื่อปีที่แล้ว"
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2558 16:46:22 »

.



ผีขี้เหงา

ลิขิตเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียนมัธยมด้วยกันชวนไปเที่ยวบ้านที่โผงเผง จ.อ่างทองหลายครั้ง (เขามีสวนมะม่วงและสวนอาหารอยากโชว์) แต่ผมก็ติดขัดเรื่องงาน จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน ผมใช้เส้นทางบางปะอิน บางปะหันถึงอ่างทองด้วยเวลาชั่วโมงเศษจากรังสิต สภาพอ.ป่าโมกเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะตรงโผงเผงผมจำแทบไม่ได้เลย เคยมาสมัยเป็นเซลส์แมนใหม่ๆ เมื่อเกือบสามสิบปีก่อน จำได้ว่าสมัยก่อนหน้าน้ำทีไรท่วมทุกปีและคนที่นี่ก็ดุมาก งานวัดงานบุญทีไรมีเรื่องตีกันประจำ ที่จริงผมแค่ยกหูถึงเพื่อนก็เรียบร้อยแต่อยากให้เพื่อนแปลกใจมากกว่าและก็ รู้สึกสนุกที่ได้หาทางไปถึงเอง ด้วยประสบการณ์เซลส์แมนที่มีกว่าสามสิบปีผมมั่นใจไม่หลงทางแน่

ผ่านหน้าวัดแห่งหนึ่งผมคิดว่าต้องใช่ละแวกนี้แน่ๆ แต่กลับไม่พบสวนอาหารของมัน ละแวกนั้นก็ดูแปลกๆ เงียบเหมือนป่าช้า ตอนนั้นน่าจะประมาณเวลาทุ่มนึงแล้ว เลยเวลาที่บอกมันว่าจะไปถึงราวห้าโมงเย็น แต่นึกว่าช่างเหอะในเมื่อต้องนอนค้างบ้านมันอยู่แล้วคงไม่เป็นไร บรรยากาศเงียบสงัด ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนกกลับรังยามค่ำ ครั้นจะจอดรถหยุดถามก็ไม่พบบ้านคน เรียกว่าไม่พบคนให้ถามทางสักคนจะถูกกว่า

ทันใดผมเห็นบ้าน หลังหนึ่งมีสภาพตรงกับที่ลิขิตบรรยาย คิดว่าคงใช่ มีต้นมะพร้าวอยู่ปากทางเข้า ผมมองลิบๆ เห็นบ้านไม้สองชั้นค่อนข้างเก่าครึ่งอิฐครึ่งปูนทาสีนวลๆ ตรงตามที่จำได้ จึงตัดสินใจจอดรถข้างทางแล้วเดินเข้าไปถาม

ผมตะโกนเรียก สักพักก็มีคนเดินมาออกเยี่ยมหน้ามอง โอ้ แม่เจ้า นี่เมียมันหรือนี่ สวยมาก ผมค่อนข้างตกตะลึง นึกตอนนั้นว่าไอ้หมอนี่ชอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ มีความลับ นี่ต้องเมียมันแน่ๆ

แต่หลังจากการซักถามปรากฏว่าไม่ใช่ ไม่ใช่แม้แต่บ้านของลิขิต เธอไม่รู้จักลิขิตสักนิด แต่สายตาที่ส่งมามันมีความนัย ประสบการณ์ชีวิตโดยเฉพาะการตระเวนมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ผมบอกตัวเองว่าอ้อยจะเข้าปากช้างแล้ว จะเดินหนีทำไม

เธอไม่ ใช่สาวน้อย แต่ก็ไม่ได้อายุมาก ผมคาดคะเนว่าอายุไม่เกิน 35 ปี ผมดำยาวสยาย ใบหน้ารูปไข่นั้นแต่งแต้มด้วยริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงฉ่ำเยิ้ม ตาหวานชม้อยชม้าย แทบจะหยาดหยด เดินส่ายสะโพกผายอย่างคนมั่นใจในความงามของตนเอง

"เข้ามานั่งพักในบ้านก่อนสิ พี่กำลังเบื่ออยู่พอดี"

ผมแทบไม่ต้องคิด เธอชวนรับประทานอาหาร ผมแทบไม่ต้องตอบ เดินตามเธอเข้าบ้านเหมือนต้องมนต์สะกด เธอทำอาหารรวดเร็วมากจนน่าประหลาดใจ แต่เวลานั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารมากไปกว่าเรื่องอื่น!

อาหารอร่อยมาก มีมากจนผมกินไม่หมด เหลือติดจานอยู่เต็ม ทั้งกุ้งแม่น้ำเผา ปลาอินทรีทอดราดน้ำจิ้มอย่างเลิศรส แม้แต่ข้าวสวยที่เธอหุงก็หอมกรุ่นอย่างบอกไม่ถูก หลังหลงรสมือของเธอ ผมคิดไปไกลถึงรสชาติอย่างอื่นจากเธอแล้ว รอก่อนวะเพื่อน "กิน" เสร็จกูค่อยไปหามึงละกัน

เธอชงกาแฟแล้วชวนผมรับประทานที่โต๊ะรับแขก กลิ่นกาแฟที่เธอชงกรุ่นหอม หอมจัดจนผมรู้สึกเหมือนกำลังเมาเหล้า พี่สาวคนสวยดูท่าทางขี้เหงา ดวงตาปรี่หรือดูน่าหลงใหล ผมชักสงสัยว่าในกาแฟมีอะไรที่พิเศษกว่ากาแฟหรือเปล่า

ทุกอย่างดูง่ายมาก เพราะดูเหมือนเธอก็คิดเช่นเดียวกัน เธอยกนิ้วมือเรียวสวยขึ้นมาปาดคราบกาแฟที่มุมปากตัวเองโดยไม่ละสายตาไปจากผม แล้วเลื่อนปลายนิ้วมาดูด ขอตัวไปอาบน้ำ ไม่ถึงสองนาทีเธอก็ตะโกนจากห้องน้ำให้ช่วยหยิบผ้าเช็ดตัวให้! ให้ตายเถอะ มุขให้ท่าโบราณอย่างนี้ยังมีอยู่อีกหรือ เธอบอกว่าอยู่บนโต๊ะหน้าห้องน้ำนั่นแหละ ผมยิ้มกริ่ม

ประตูห้องน้ำไม่ลงกลอน! ผมผลักเบาๆ เข้าไป เธอหันหลังใต้ฝักบัวเผยแผ่นหลังแสดงส่วนเว้าโค้งจนผมอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ สะโพกเธอผายกว้าง เมื่อหันส่วนหน้ามาทางผม อกกลมกลึงขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 38 นิ้ว ผมหน้ามืดตาลาย คอแห้งผาก ในสมองไม่มีความคิดหรือสติยับยั้งใดๆ เหลืออยู่อีกแล้ว ผมพุ่งตัวตามเธอเข้าไป

ทันใดนั้นเองก็ได้ ยินเสียงโครมใหญ่! ผมหันหลังไปก็พบเจ้าลิขิตนั่นเอง มันสาดไฟฉายขนาดใหญ่สว่างจ้าใส่ตาผมแล้วคว้าข้อมือลากผมออกจากบ้านเหมือนคนบ้า

"เฮ้ย มึงทำอะไรของมึงวะ" ผมตะคอก
"มึงนั่นแหละ ทำบ้าอะไรของมึง" มันสวน
"กูกำลังจะได้ของดีมึงมาขัดทำไมวะ" ผมสบถอย่างไม่พอใจ
"ของดีของมึง" เพื่อนสบถคำหยาบ "หันไปดูซิ แหกตาดู"

เมื่อผมหันไปก็แทบตกใจหงายหลัง สติสตังกลับมาครบถ้วนทันที บ้านที่เมื่อสักครู่ดูสวยงามเรียบร้อยกลับกลายเป็นบ้านที่รกครึ้มไปด้วยเถาวัลย์ ใบไม้แห้ง ตัวบ้านผุเก่าแทบจะพังมิพังแหล่ ไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิตใด "บ้านทั้งแถบแถวนี้ร้างคนมาหลายปีแล้ว ตกดึกไม่มีใครกล้าขับรถผ่าน" พูดจบก็ยกมือขึ้นหันด้านหลังมือให้ดู เล็บทุกนิ้วของมันทาสีแดงสด "พักหลังผีแม่ม่ายอาละวาดหนัก คนหนุ่มในหมู่บ้านตายห่ากันอาทิตย์เดียวสี่คนแล้ว ไอ้พวกที่รอดมาได้ก็เล่าว่าเจอเจ๊นมโตนั่นเหมือนกันหมด กูก็เกือบไปแบบมึงแหละ กูกะแล้ว ไอ้พวกกะล่อนแบบมึงยังไงก็รักษาไม่หาย"



นางงามสงกรานต์

เป็นสงกรานต์ที่แซ่บสุดในรอบหลายปี!

อาจเป็นเพราะแคทได้เต้นโชว์หน้าร้านคาราโอเกะที่เธอมาทำงานแบบเด่นๆ เป็นปีแรกหลังจากที่ผ่านๆ มา แคทต้องเป็นไก่รองบ่อน คอยเต้นเสริมพวกพี่ๆ ที่โตกว่า เต้นใหญ่กว่า โตและใหญ่ในความหมายของคำว่าเซ็กซี่ในแบบพวกเธอ

ปีที่แล้วพี่เจี๊ยบถึงกับปีนขึ้นไปเต้นบนหลังคารถกระบะแล้วถอดเสื้อนอกเสื้อในโยนให้คนดู เปลือยอกขาวอล่องฉ่องกลางงาน ท่ามกลางเสียงเชียร์จากคนดูในงานดังสนั่น แต่นั่นก็เป็นเหตุผลให้พี่เจี๊ยบต้องย้ายไปทำงานร้านอื่น ข้อหาเซ็กซี่เกินเหตุ แคทว่าวันนั้นพี่เจี๊ยบคง "ได้ที่" เลยเต้นขาดสติลืมโลกไปหน่อย

สำหรับแคทเองไม่จำเป็นต้องเปลืองตัวขนาดนั้น สมบัติติดกายที่แม่ให้มาอาจไม่ได้โอ่โถงเท่าพวกพี่ๆ แต่เธอมีดีที่ลีลาเด็ดสะเด่าชนิดจ๊ะคันหูมาเจอต้องยอมแพ้ราบคาบ

สงกรานต์ปีนี้แคทไม่ได้ใส่สายเดี่ยวเกาะอกคู่กางเกงเสมอหูเหมือนโคโยตี้คนอื่นๆ เธอมาแบบสาวมั่นในเสื้อยืดขาวตัวโคร่งกับเสื้อในสีเนื้อ และกางเกงยีนส์ขาสั้นคืบเดียว ปล่อยผมสีทองยาวสยายถึงกลางหลังตัดกับสีคิ้วดำสนิทเข้มหนาด้วยดินสอกันน้ำอย่างดีตามสมัยนิยม กรีดขอบตาเรียวดำขลับและขนตายาวเป็นแผงเหมือนแมวน้อยเจ้าเสน่ห์

เด็กสาวเต้นตั้งแต่บ่ายแรงไม่ตก ยกกระติกค็อกเทลสูตรพิเศษกระดกเป็นพักๆ จนตาเยิ้มเคลิ้มฝัน เสียงเพลงดังกระหึ่มกระแทกเข้าไปในอก แคทคุกเข่าสะบัดผมอยู่หน้าเวทีในขณะที่ผู้ชมหนุ่มๆ ช่วยกันชักปืนฉีดน้ำรุมฉีดใส่เธออย่างเมามัน

เสื้อยืดขาวเมื่อถูกน้ำก็บางใสแนบเนื้อ เสื้อชั้นในสีเนื้อแทบไม่ได้ปกปิดยอดปทุมถันสีน้ำตาลอ่อนเรื่อที่ชุ่มน้ำชี้ดันออกมาเป็นรูปทรงชัดเจน บวกกับก้นกระเด้งกระดอนตามจังหวะของแคทเล่นนักท่องเที่ยวย้ายจากเวทีอื่นๆ มามุงกันที่เวทีนี้แน่นขนัด

ราวห้าโมงเย็นเด็กสาวหลบพักห้องด้านหลังเวที เปลี่ยนเสื้อผ้าแห้ง กินผัดไทยที่เพื่อนซื้อมาฝากแล้วงีบได้ไม่นานก่อนที่เถ้าแก่จะมาเขย่าแรงๆ

"เฮ้ย!แคท ลูกค้ามาเพียบเลย ออกไปเต้นเรียกแขกก่อน เดี๋ยวเฮียให้พิเศษ"
แคทงัวเงีย "หนูไม่ไหวแล้วเฮีย เอาคนอื่นดิ หนูขอนอนหน่อย"

เถ้าแก่มีท่าทางหงุดหงิด" ไม่ได้นะ ตกลงกันว่าถึงสี่ทุ่ม แคทก็รับปากเฮียแล้ว เนี่ยลูกค้ากำลังติดแคทนะ เรียกชื่อแคทเต็มหน้าเวที บางคนชูแบงก์รอจะทิปน่ะ ไม่เอาเหรอ"

พอได้ยินเรื่องทิป แคทหูผึ่งทันที "ได้เฮีย แป๊บ" แต่สภาพเธอตอนนี้ลุกก็แทบไม่ไหว ดังนั้นเมื่อเพื่อนยื่นแก้วให้แล้วบอกว่าหมดแก้วรับรองอยู่ถึงเช้า แคทก็เข้าใจทันที รับมากระดกรวดเดียวหมดแก้ว

บ่ายว่าแซ่บแล้ว ค่ำยิ่งแซ่บสะเด่า เมื่อแคทได้ที่ขนาดเริ่มเต้นรูดเสาสุดสยิว เด้งเป้าสู้น้ำที่พุ่งออกจากปลายกระบอกปืนฉีดน้ำของหนุ่มถี่ยิบเรียกเสียงเฮลั่น จนเลยสี่ทุ่มก็ยังไม่หยุดเต้นด้วยความเมามัน แบงก์สารพัดสีถูกยัดเต็มอกเสื้อและขอบกางเกง แฟนหนุ่มของแคทที่มารอรับถึงกับหงุดหงิดขึ้นไปลากเธอลงจากเวที

กึ่งลากกึ่งอุ้มถูลู่ถูกังมาจนถึงรถเก๋งของแฟนหนุ่ม รถกระบะที่จอดข้างๆ ส่งเสียงร้องแซวเปิดเพลงแดนซ์ดังกระหึ่ม ในขณะที่แฟนหนุ่มไขกุญแจเปิดประตูรถ เด็กสาวก็โดดขึ้นไปที่กระโปรงหน้ารถแล้วเริ่มสะบัดเอวกระเด้งกระดอนถี่ยิบอีกครั้งด้วยความเมา

แก๊งสงกรานต์บนรถคันข้างๆ เฮลั่น ตอนที่แคทถูก้นกับกระจกหน้ารถแล้วฉีกขาออกกว้าง ดึงชายเสื้อขึ้นมากัดแล้วควงเอววนยิกในท่วงท่าที่ครูศีลธรรมเห็นคงต้องเป็นลม

"เฮ้ย แคท ลงมา" แฟนหนุ่มหัวเสียสุดๆ "อีบ้าเอ๊ย รถกูมีแม่ย่านาง กูไหว้ทุกวัน"

เด็กสาวจ้องหน้าแฟนแล้วหัวเราะลั่น นอนคว่ำแนบกระโปรงรถแล้วเอื้อมมือลงไปดึงพวงมาลัยที่แขวนอยู่หน้ากันชนขึ้น มาคล้องคอแล้วเด้งขึ้นมาเต้นเด้งเอวต่อ

คนที่อยู่บริเวณนั้นฮาครืน ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "แม่ย่านางมึงเอ็กซ์ได้ครึ่งน้องเขาหรือเปล่าวะ เรียกออกมาดูตัวหน่อยดิ"

จบประโยคนั้นไฟฟ้าทั้งบริเวณดับลงทันที เสียงเพลงจากรถที่จอดข้างๆ เงียบสนิทจนทุกคนพลอยเงียบกันไปด้วย ไม่กี่วินาทีต่อมาในความมืด เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิตของเด็กสาวดังขึ้นยาวนาน และมีเสียงกึงกังเหมือนมีคนกำลังสู้กันบนกระโปรงหน้ารถ

เมื่อไฟสว่างพรึ่บขึ้นอีกครั้ง แฟนหนุ่มของแคทก็หน้าซีดเผือด เมื่อเห็นร่างของแฟนสาวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่พื้นหน้ารถเนื้อตัวมีแต่รอยเล็บข่วนแดงเถือกไปทั่ว เส้นผมสีทองสยายพันติดแน่นอยู่กับกระจังกันชนหน้ารถเป็นกระจุกหนาเหนียวชนิด ที่ไม่มีใครน่าจะแก้ออกได้ เด็กสาวได้แต่หลับตาพนมมือตัวสั่น ร้องไห้โฮว่า "หนูขอโทษ หนูขอโทษ ไม่ทำอีกแล้ว กลัวแล้ว"

หลังเหตุการณ์นั้น แคทไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าเธอเห็นอะไร แต่เธอก็ไม่เคยกล้ารับงานเต้นบนรถอีกเลยไม่ว่าจะคันไหนๆ และเลิกอาชีพโคโยตี้ในเวลาต่อมา




เชียร์ลีดเดอร์

"เขาว่าทีมเชียร์ลีดเดอร์โรงเรียนเราปีนี้โดนอาถรรพ์" เนมกระซิบกระซาบกับฉัน ขณะรุ่นพี่เรียกซ้อมหลังเลิกเรียน อีกสองอาทิตย์ก็จะถึงวันแข่งเชียร์ลีดเดอร์ระดับ ม.ปลายแล้ว แต่เรายังฟอร์มทีมแน่นอนไม่ได้สักที มีเรื่องประหลาดๆ เกิดขึ้นระหว่างการซ้อมหลายครั้ง บางคนเต้นๆ อยู่ รู้สึกเหมือนมีคนมาหยิกขา มาด่า บ้างว่าได้ยินเสียงตะโกนไล่ ทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีคนอื่นอยู่เลย ลีดเดอร์ทีมเก่าลาออกไปกว่าครึ่ง ต้องคัดคนมาเพิ่มใหม่ หนึ่งในนั้นก็รวมฉันกับเนมด้วย

แค่นี้ก็ว่าหลอนพอแล้ว แต่พอฉันเข้ามาซ้อมได้ไม่เท่าไหร่ก็มีเรื่องอีก เพราะเพื่อนร่วมทีมตำแหน่งยอด เกิดอุบัติเหตุร่วงลงมาขณะซ้อมได้รับบาดเจ็บ คนนึงขาหัก คนนึงไหล่หลุด แถมทั้งคู่ยังดูเบลอๆ พูดไม่รู้เรื่องอยู่หลายวันจนพากันหลอน

ในโรงเรียนเองก็ เริ่มพูดกันว่าอาจจะเป็นดวงวิญญาณเก่าแก่ที่ดูแลรักษาที่นี่ไม่พอใจทีม เชียร์ที่มีการออกแบบท่าเต้นหวือหวาโลดโผนและยั่วยวนทางเพศมากกว่าปีผ่านๆ มา และอาจเพราะโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนสตรีที่มีภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อยมาโดยตลอด

"ที่ดินผืนที่สร้างโรงเรียนเราเคยเป็นที่ดินของคุณท้าวทับทิม ท่านเป็นหญิงโสดไม่ได้ออกเรือน แต่หลังจากที่คุณท้าวกับบ่าวไพร่โดนโรคห่าระบาดสมัย ร.3 คนในเรือนนั้นพากันเสียชีวิตทั้งหมด ทางญาติพี่น้องของคุณท้าวไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่ต่อ จึงบริจาคที่ดินเพื่อสาธารณกุศล ทีแรกก็เป็นโรงเรียนการเรือนสำหรับลูกขุนนาง ต่อมากลายเป็นโรงเรียนสตรีเรานี่แหละ"

ยัยเนมอธิบายเสียยืดยาวราวกับจะท่องไปทำรายงาน "สงสัยแกจะเชื่อเอามาก"

เนมรีบทำหน้าดุ "นี่แกอย่าลบหลู่นะ รุ่นพี่เขาเจอกันมาเยอะแล้ว พวกชอบพูดลามกชอบทำท่าทางไม่เรียบร้อย โดนคุณท้าวแกหยิกมาหลายคนล่ะ"

ฉันหัวเราะ "สรุปโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนของผีคุณท้าวเจ้าระเบียบว่างั้นเหอะ" อะไรมันจะขนาดน้าน ฉันคิด

วันต่อมาประธานเชียร์เรียกฉันเข้าไปคุย ขอให้ขึ้นยอดแทนเพื่อน เพราะตัวเล็กสุดในทีมและดูหน่วยก้านการทรงตัวค่อนข้างดี เนมถึงกับพูดออกมาว่าตัวเองโชคดีที่ตัวโตเลยได้เป็นฐานตลอด ไม่ต้องขึ้นยอด หลายคนฮือฮาพึมพำ พูดลอยๆ ว่าไม่กลัวเหรอ ฉันรำคาญ เลยตกปากรับคำ ก็มันจะอะไรกันนักหนา คุณท้าวนั่นก็ตายมาตั้งเป็นร้อยปีแล้วมั้ง

ทีมเชียร์ของเราปีนี้มีจุดเด่นคือได้คนคิดท่าเต้นเป็นพี่ๆ จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง พี่ทั้งสองคนเป็นสาวประเภทสองที่ทั้งสวยทั้งเก่ง และคิดท่าได้หวือหวาพิสดาร หนักไปทางเซ็กซี่ ซึ่งจริงๆ พวกเราชอบกันมาก แต่อาจารย์ปกครองที่ชอบมาแอบดูก็จะคอยเบรก เลยต้องแก้ท่ากันตลอด

แต่มีท่าอยู่ชุดหนึ่งที่ยังคงเก็บเป็นความลับ เพราะต้องใช้เป็นไม้ตายในการแข่ง ยอมให้เล็ดลอดออกไปไม่ได้ คือท่าขึ้นยอดแล้วตัวยอดก้มมาประสานมือกับฐาน ดีดตัวยกขึ้นเท้าชี้ฟ้า แล้วกางขา 180 องศา ฐานโยนขึ้นหมุนเป็นลูกข่างก่อนลง ซึ่งเป็นท่าที่ค่อนข้างยาก เฉพาะท่านี้เราซ้อมกันในที่มิดชิด ปิดประตูหน้าต่างและกางเบาะรองอย่างดี จนกว่าตัวยอดและฐานจะประสานกันคล่อง

ฉันโชคดีที่มีพื้นฐานบัลเลต์มาตั้งแต่เด็ก เรื่องฉีกขาสบายมาก เหลือแต่ตอนทรงตัวให้ฐานโยนหมุน

เราซ้อมกันหนัก บางคืนกว่าจะเลิกก็ดึกดื่น บางคืนนอนพักกันที่โรงเรียนโดยมีอาจารย์พละคอยดูแล ทุกอย่างราบรื่น ฉันเองเริ่มคล่องขึ้น ผิดพลาดน้อยลง

จนกระทั่งคืนก่อนวันแข่งอากาศร้อนอบอ้าวจนเราซ้อมกันในห้องปิดไม่ไหว พี่ประธานตามให้ไปกลางสนาม ขอให้ซ้อมท่าจบซึ่งเป็นท่าไม้ตายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันพัก

นี่เป็นครั้งแรกที่เราซ้อมกลางสนาม เนมดูท่าทางแปลกๆ มองไปรอบๆ เหมือนหวาดกลัว แต่ถามเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ การซ้อมเป็นไปอย่างราบรื่นจนถึงท่าจบ ฉันก้มตัวโก้งโค้งประสานมือกับฐาน เสี้ยววินาทีนั้นในท่าก้ม ฉันเห็นบางอย่างลอดหว่างขาตัวเองออกไปราว 2-3 เมตร

หญิงกลางคนในชุดไทยท่าทางดุดันดวงตาสีแดงลุกวาวกำลังจ้องมาที่ฉันเขม็ง ข้างกายมีหญิงในชุดไทยอีกหลายคนนั่งหมอบมองมาอย่างไม่พอใจเช่นเดียวกัน

ฐานที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โยนฉันขึ้นหมุนในขณะที่ฉันเสียสมาธิและกำลังหวาดกลัวถึงขีดสุด ตัวฉันลอยขึ้นฟ้า หมุนคว้างไร้ทิศทางก่อนตกลงมากระแทกพื้นหญ้า ในหูอื้อเห็นใบหน้าหลายหน้าชะโงกดูฉันด้วยความเป็นห่วงและตกใจ หนึ่งในนั้นมีใบหน้าของหญิงกลางคนลึกลับนั้นจ้องเขม็งอยู่ด้วย แล้วฉันก็หมดสติไป

สรุปปีนี้โรงเรียนของเราไม่ได้ลงแข่ง จนฉันหายดีกลับมาเรียนแล้วนั่นแหละ เนมจึงเล่าว่า วันนั้นตอนทำท่าส่ายเอวแอ่นสะโพก เนมโดนมือลึกลับหยิกที่ขาอ่อนหลายครั้ง แถมในหูได้ยินเสียงคนแก่พูดว่า อัปรีย์ๆ แว่วๆ ตลอด แต่ไม่กล้าบอกใคร

"สอง คนที่เคยขึ้นยอดก็อาการดีขึ้นแล้วนะ แถมบอกว่าจะลาออกเพราะเจอผีคุณท้าวมายืนจ้องหน้าตอนที่ฐานจะโยน โคตร อุ๊บ...ลืมไป หยาบคายไม่ได้ คือสุดยอดสยองเลย"
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2558 07:08:12 »



ไอ้ขี้เมา

สมัยผมอยู่บ้านเก่าแถบปทุมธานี จะมีขี้เมา-ขี้โม้อยู่คนหนึ่ง แกชอบให้ใครเรียกแกว่าปู่ แต่ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เรียก นอกจากเรื่องอายุของแกที่ไม่ถึง 60 ปีและอุปนิสัยใจคอที่ผมออกจะรังเกียจเอาเสียด้วยซ้ำ ผมจึงเรียกลับหลังว่าไอ้ขี้เมามั่ง ไอ้ขี้โม้มั่ง ยิ่งเวลาเมาแกจะทั้งโม้ทั้งเมาเสียงดัง เกะกะระรานคนแซวสาวแก่แม่ม่ายไม่เว้นว่าเขาจะมีผัวหรือยัง จนเคยถูกขี้เมารุ่นลูกกระทืบอยู่หนหนึ่งทำเอาผมสงสารไปพักใหญ่

แกชอบอุ้มเด็กผู้หญิงขวบสองขวบ ผมเองเคยเห็นแกเอาเด็กนั่งตักแล้วจับก้นจับจิ๋มเด็กต่อหน้าต่อตามาแล้ว วันนั้นผมมองจากหน้าต่างบ้านตัวเอง กำลังมองออกไปเพื่อมองหาคนขายไอศกรีมที่ถีบผ่านมา บังเอิญเหลือบไปเห็นเข้า จึงไปบอกแม่ แม่ก็ไปบอกกับแม่เด็กต่อ อย่างน้อยก็เพื่อให้ระวังไว้ จากนั้นมามีพ่อเด็กคนหนึ่งแอบเห็นเข้ากับตัวเองทำให้ไอ้ขี้เมาเกือบถูกทำ ร้ายมาแล้ว

นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมที่สร้างความไม่ชอบใจให้ กับเพื่อนบ้านอีก อย่างการชอบเปิดประตูเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่บอกกล่าวหรือกดออดเรียกก่อน บ้านเหล่านั้นก็มักเป็นบ้านที่มีผู้หญิงอยู่ตอนกลางวัน หรือยายเลี้ยงหลานทำนองนี้ นี่เป็นนิสัยที่คนไม่ชอบ แต่ที่เล่ามานี้ไอ้ขี้เมาคนนี้แกมีเมียแล้วนะ เวลาแกเมาก็ได้เมียคนนี้แหละลากกลับบ้านและเที่ยวเดินไปขอโทษคนนั้นคนนี้แทน

ว่าไปผมทั้งทุเรศทุรังและสมเพชแกมากกว่า แกชอบเมาโวยวายว่าตัวเองร่ำรวย มีบ้านให้เช่ามีคอนโดฯ ให้เช่า มีเงินเก็บในธนาคารหลายแสนบาท แต่เวลามีงานแจกของเลี้ยงข้าวฟรีของทางอบต.ตาขี้เมาคนนี้ไม่เคยไม่ไป ขนาดแจกเสื้อฟรีหากเข้าร่วมเต้นแอโรบิกเฉลิมพระเกียรติ แกยังไม่วายได้เสื้อแล้วก็แอบถอดใส่เสื้อตัวเก่าไปวนเพื่อให้ได้อีกตัว น้ำดื่มฟรี ไอศกรีมกะทิตักใส่โคน ของอะไรแบบนี้แกก็จะไปวนรับแล้วรับอีกไปไว้ที่บ้านแถมยังคุยอย่างภาคภูมิใจ ไม่ได้ละอายใจอะไรเลย เป็นที่ทุเรศทุรังหูตาของคนหลายคน

การที่แกชอบให้คนเรียกว่าปู่ก็เพราะจะได้ของฟรีในฐานะผู้อาวุโสผู้เฒ่าผู้แก่ นี่แหละ อย่างแว่นตาฟรี ฟันปลอมฟรี ตัดผมฟรี ชุดถุงผู้อาวุโสในเทศกาลสงกรานต์ฟรี แต่แกอายุไม่ถึง 60 ปียังไม่ได้บัตรผู้สูงอายุ แต่หลายครั้งก็ชอบไปนั่งปะปนหรือเข้าแถวรับของที่เขาให้กับผู้สูงอายุ เอกชนที่มาแจกหรือหน่วยราชการที่มามอบบางทีก็คิดว่าแค่คนเดียว ไมได้ไล่แกออกจากแถวหรือมาคิดเล็กคิดน้อย แกจึงไม่เคยเลิกนิสัยเห็นแก่ได้เช่นนี้

แต่ด้วยความสมเพช อย่างที่บอก ผมกับเพื่อนบ้านอย่างพี่จ้อยก็ให้ขี้เมาคนนี้ได้กินเหล้าฟรีบ่อยๆ เราตั้งวงกันทุกเย็น แกก็จะมาทำทีเลียบๆ เคียงๆ ทำเป็นชวนคุยต้นไม้ในกระถางหรือเรื่องราวข่าวคราวในทีวี รู้สึกตัวอีกทีแก้วเหล้าก็อยู่ในมือของแกแล้ว แกชงเองรินเองจัดการเองอย่างเนียนมาก

คืนนั้นพี่จ้อยใจดี เป็นพิเศษเพราะเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนขึ้น กับแกล้มในวันนั้นจึงเป็นกุ้งเผาหลายกิโลกรัมและเหล้าแบล็ก(เลเบิ้ล) เสียด้วย แกจึงนั่งยาวเลยจนถึงตีสองตีสาม ผมเองเมาตั้งแต่เที่ยงคืน ขอตัวไปนอนหลังเที่ยงคืนได้ไม่นาน มารู้เรื่องทั้งหมดก็ตอนสายวันรุ่งขึ้นแล้ว

พี่จ้อยเล่าว่าแกเองนั่งดื่มอยู่กับเพื่อนในวงอีกคนคือ พนม พนมบอกว่าตาขี้เมาบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็หายไปนาน กลับมาอีกทีก็ไม่ได้พูดอะไร แค่บอกว่าเมาแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน พี่จ้อยยังแหย่เล่นเลยว่าผิดวิสัยปกติของฟรีแบบนี้แกไม่เคยลาโรงก่อน แต่ก็นั่นแหละทุกคนพูดขำๆ ไม่คิดมาก โดยที่ไม่รู้กันว่าไอ้ขี้เมาแอบดอดไปบ้านเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เพิ่งร้างลา จากผัวไปเมื่อไม่นานมานี้ ไอ้ขี้เมาไปป้วนเปี้ยนแวะเวียนเข้าออกบ้านอยู่หลายวันแล้ว ผู้หญิงเกรงใจไม่กล้าพูด เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่กว่า

ไอ้ขี้เมาแอบเปิดประตูบ้านได้อย่างไรนั้น มาทราบภายหลังจากปากของแกเองว่าประตูไม่ได้ล็อก แกเล่าอย่างหวาดกลัวว่าตอนแรกก็คิดผู้หญิงคงมีใจ เพราะได้พูดสองแง่สองง่ามเอาไว้แล้วว่าคืนนี้จะไปหา แกไปหาจริงๆ ท่ามกลางความมืดและประตูเปิดรออย่างนั้น มีหรือคนอย่างแกจะไม่ย่ามใจ แกยืนยันว่าฝ่ายหญิงสาวไม่ได้ขัดขืนแถมยังคุยกันอย่างสนุกสนานเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะมีอะไรกัน

ทว่าตอนเช้ามืดที่แกตกใจตื่น ผู้หญิงนอนข้างๆ ตัวแข็งทื่อ แกตกใจกลัวจนผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพแจ้งภายหลังว่าผู้หญิงตายมาเกินสิบสองชั่วโมงแล้ว นั่นหมายความว่า กินยาตายตั้งแต่บ่ายสี่โมงเย็น หลังไอ้ขี้เมาแซวเล่นตอนบ่ายไม่นาน

ไอ้ขี้เมาตอนนี้คงสร่างเมาสนิท นั่งตัวแข็งตาค้างอยู่หน้าบ้าน ยังไงไม่รู้นะ แต่ผมว่า "เข็ด" แน่ๆ


เพลงมรณะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยที่ผมยังทำงานบริษัทเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงยังไม่มี ออฟฟิศที่ผมทำอยู่ใช้ความเร็วสุดที่ยุคนั้นมีคือ 512 kbps ผมกับเพื่อนในที่ทำงานมักตื่นเต้นเวลามีไฟล์แนบ หรือเมล์ฟอร์เวิร์ด เพราะหลายครั้งมักเป็นเรื่องลับๆ หรือทำนองโป๊เปลือย ซึ่งสมัยนี้ก็เรียกว่าคลิปลับอะไรทำนองนั้น

วันหนึ่งสมพรเพื่อนในพนักงานซึ่งมาทำงานแต่เช้าเป็นคนแรกก็เรียกให้ผมดูภาพลับเฉพาะของ ดาราชื่อดังซึ่งมีเพลงแนบมาด้วย พอผมเช็กอีเมล์ก็เจอเหมือนกันกับวิชัย และเมื่อเพื่อนในแผนกอีก 3 คน ได้แก่ สิทธิพร มาโนชและพิเชษฐ์มาทำงานกันครบ ทุกคนก็ได้รับอีเมล์ภาพลับเฉพาะและไฟล์เพลงนี้เช่นกัน

ตอนแรกพวกเราก็สนใจกันแต่ภาพของดารา เพราะทั้ง "ลับ" และ "เฉพาะ" กันจริงๆ เราดูกันแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันไป จนสมพรใส่หูฟังคลิกเปิดเพลงฟัง เจ้านายเดินมานั่นแหละ เขาถึงได้กดปิดเพลงเสียก่อนจะฟังจบ

"เพลงแปลกดี ฟังแล้วเศร้าชะมัด" สมพรพูดขึ้น

ผมไม่ได้ฟังเพราะมีงานรอให้สะสางอยู่ จนกระทั่งตอนบ่ายออกไปกินข้าวเที่ยง เพื่อนต่างแผนกคนหนึ่ง พูดว่า เมื่อคืนเขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ ตอนนี้ที่ประเทศแถวยุโรปตะวันออกมีเพลงเพลงหนึ่งที่หากใครฟังมักจะฆ่าตัวตาย หลังจากนั้น ข่าวนี้กลับมาดังในสหรัฐอเมริกาแต่คนที่อเมริกาใครฟังก็ไม่เห็นมีคนฆ่าตัว ตายเลย

"เรื่องอำกันเล่นมากกว่า" ผมพูดแล้วหัวเราะ

กลับมาที่ออฟฟิศผมก็ยังไม่ได้เปิดฟัง แต่เพื่อนที่เหลืออีกสามคนเปิดฟังกันจนครบ ผมเป็นคนแรกที่อ่านเมล์นั้นจนจบและพบข้อความว่า คำเตือน : อย่าหลับตาฟังเพลงนี้ มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสได้ลืมตา

ผมรีบบอกเพื่อน เพื่อนคนอื่นเปิดดูในเมล์ก็พบข้อความเหมือนกัน แต่ไม่มีใครเชื่อ

"มันหลอกเราหนุกๆ มากกว่า" สมพรบอก

จากนั้นเราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กันอีก จนกระทั่งอีกราวสัปดาห์ต่อมามาโนชก็ประสบอุบัติเหตุอย่างไม่ คาดคิด ขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงานถูกรถเมล์เฉี่ยวล้ม แล้วรถตู้ก็ทับศีรษะซ้ำจนเสียชีวิต พวกเราตกใจกันมาก วันรุ่งขึ้น สิทธิพรกำลังสูบบุหรี่อยู่ลานจอดรถ จู่ๆ รถที่จอดอยู่เกิดติดเครื่องยังไงไม่ทราบ พุ่งเข้าชนอัดร่างของสิทธิพรที่ยืนสูบเพลินๆ คนเดียวบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

งานศพของมาโนชที่ยังไม่เสร็จ เรามางานศพสิทธิพรกันอีก สมพรพูดกับผมว่า "มึงฟังเพลงในไฟล์แนบหรือเปล่า" ตอนแรกผมยังงุนงง แต่พอจับใจความได้ก็ตอบว่ายังไปตามความเป็นจริง

"เมื่อวานนี้ไอ้สิดมันบอกว่าไอ้โนดโทร.คุยกะมันตอนดึกเรื่องงาน จู่ๆ ก็ถามมันขึ้นเรื่องนี้ มึงก็รู้ไอ้นี่ชอบเรื่องพิเรนทร์ๆ มันบอกว่าลองหลับตาฟังด้วย"

"ตลกไปมั้ง แค่หลับตาฟังเพลงต้องตายด้วยหรือ" ผมตอบ

"โลกนี้มันมีอะไรๆ ที่เราไม่รู้อีกเยอะ" สมพรพูดช้าๆ อย่างกังวล

"แล้วมึงล่ะ หลับตาฟังกะเขาหรือเปล่า"

สมพรไม่ตอบในตอนแรก "กูเกือบทำเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพอ"

หลังงานศพของเพื่อนสองคนแรกผ่านไป ในงานสัมมนาต่างจังหวัดรถตู้ที่พาพวกเราไปเกิดพลิกคว่ำบนทางหลวงสายเอเชีย จู่ๆ รถทัวร์เบรกแตกพุ่งข้ามเกาะกลางมาทับรถเรา พิเชษฐ์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว เพื่อนในบริษัทที่ไปด้วยบาดเจ็บมากน้อยตามแต่กันไป ตอนแรกสมพรบาดเจ็บสาหัส นอนในไอซียูคืนหนึ่ง ผมเองซึ่งไม่เป็นไรเลยไปเยี่ยมทันทีที่เยี่ยมได้วันรุ่งขึ้น สมพรพูดกับผมทันทีที่พบหน้า

"กูหลับตาฟังเพลงว่ะ" เขาพูดพลางสลดลงอย่างเห็นได้ชัด "กูไม่น่าลองของเลย มึงอย่านะ เชื่อกู อย่าได้ลองเลย เชดมันก็ลอง มันบอกกู"

สมพรพูดเท่านี้แล้วก็นิ่งไปไม่พูดอะไร ตกดึกคืนนั้นสมพรเกิดติดเชื้อในกระแสเลือดจากไปอย่างกะทันหัน

ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง ได้แต่ขบคิดอยู่คนเดียว เพราะเท่ากับผมเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ได้รับแต่ไม่เคยเปิดฟัง ไม่ต้องพูดถึงหลับตาฟังเพลง ไม่เคยคิดด้วยซ้ำ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างนี้ ทว่าใจหนึ่งก็คิดอยากลอง แต่ใจหนึ่งนึกถึงคำเตือนของสมพร

จนกระทั่งผ่านไปสิบๆ ปี ผมไม่ได้ทำงานที่นั่นและก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ทุกวันนี้ผมป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ชีวิตผมไม่เหลืออะไรอีกต่อไป เตรียมตัวกับอนาคตไว้พร้อม ข้าวของ คำลาจาก ผมจัดการเสร็จสรรพ

เมื่อวานผมนั่งค้นดูอีเมล์เก่าๆ เล่น เจออีเมล์ภาพดาราลับเฉพาะและไฟล์เพลงแนบนี้ ภาพดาราไม่ทำให้ผมเลือดสูบฉีดและตื่นเต้นเท่าเรื่องราวที่มาตามหลังอีเมล์ ฉบับนี้

เมื่อครู่ผมตัดสินใจฟังเพลงจนจบ เพลงบรรเลงช้าๆ สี่นาที ท่วงทำนองนั้นรันทดบาดลึก เป็นสี่นาทีที่โศกเศร้าหดหู่ใจมาก และในเวลาต่อไปนี้ผมเตรียมหลับตาลง ฟังเพลงนี้ เพื่อพิสูจน์เรื่องราวที่ค้างคาใจ สำหรับสมพร สิทธิพร มาโนชและพิเชษฐ์

ผมค่อยๆ หลับตาช้าๆ

เพลงบรรเลงขึ้นแล้ว................
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2558 18:52:53 »



หน้ากระจก

เด็กสาวคนหนึ่งใบหน้าซูบซีดเหมือนคนป่วยหนักนั่งอยู่ที่เตียงในห้องพักโรงพยาบาล เธอกำลังใช้แปรงหวีผมแปรงเส้นผมยาวดำสลวยมันเป็นเงางามของเธอช้าๆ พลางนับไปด้วย "80 81 82..."

"ผมน้องริสาสวยมากเลยนะคะ" พยาบาลสาวที่ยกข้าวมาให้กล่าวชมกับเพื่อนของริสาที่ยืนข้างๆ "เธอแปรงผมทุกวันเลย"

"91 92 93 94 95" พอนับได้เท่านั้นเธอก็หยุดชะงัก เบิกตาโตค้างเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่างลนลาน ตัวสั่น

"ริสา ริสา เป็นอะไรหรือเปล่า" เพื่อนที่มาเยี่ยมร้องถามด้วยความเป็นห่วง แต่เพียงครู่เดียวริสาก็ดูสงบขึ้น แล้วเริ่มแปรงผมอีกครั้งด้วยดวงตาเหม่อลอย "1...2...3...4...5..." หนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น

ริสายืนลูบปลายผมยาวของตัวเองอย่างไม่ค่อยพอใจ "ทั้งแห้งทั้งแตกเลยผมฉัน ใช้แชมพูอะไรที่เขาโฆษณาทุกอันแล้วยังไม่เห็นดีเลย"

เพื่อนในชั้นเรียนหลายคนที่คุยอยู่พิจารณาผมของริสาตาม บางคนว่าให้เล็มปลายผมทิ้ง แต่ริสาก็ว่าเสียดายผม บางคนเสนอให้ชโลมน้ำมันมะกอกบ้าง ทรีตเมนต์บ้าง แต่ริสาก็ทำมาหมดแล้วจริงๆ

"นึกถึงเรื่องแก้วผมหอมเลยนะ" ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

ริสาขมวดคิ้ว "แก้วไหน"

"ก็เมื่อก่อนเคยมีเด็กโรงเรียนเรานี่แหละ ชื่อแก้ว มีแผลเป็นที่ใต้ตาใหญ่มาก แต่ผมสวยมาก ดำตรง เวลาปล่อยผมลงมากลางหลังนะเสมอกันหมดเหมือนเส้นไหม เงาหยั่งกับกระจกหรือผิวน้ำเลย หอมมากด้วย จนคนล้อเป็นเจ้าจันทร์ผมหอม ไม่รู้ใส่น้ำมันหรือน้ำหอมอะไร ใครถามก็ไม่ยอมบอก"

ทุกคนขยับเข้ามาใกล้ เริ่มสนใจมากขึ้น

"แล้วทีนี้ยัยแก้วนี่ก็เลยโดนหมั่นไส้ว่าทำไมไม่ยอมบอกเคล็ดลับ ทีนี้มีคนนึงรู้มาว่า แก้วเป็นเชื้อสายชาวเขาเผ่านึงที่เชื่อเรื่องเลี้ยงผี เชื่อว่าถ้าอยากให้ผิวสวย ต้องแก้ผ้าอาบแสงจันทร์เพ็ญตอนเที่ยงคืนอย่างน้อยสามครั้ง"

หลายคนหัวเราะออกมา "จะกลายร่างเป็นหมาป่าไหมน่ะ" เพื่อนที่เล่าทำหน้ายุ่ง "อย่าเพิ่งขัดสิ เขาว่าจะเรียกวิญญาณหญิงสาวที่ตายตอนยังสวยเข้ามาสิงร่างดูแลผิว แล้วก็นี่แหละ ถ้าอยากให้ผมสวยผมหอมต้องไปหน้ากระจกตอนเที่ยงคืนแล้วหวีผมร้อยครั้ง นับออกเสียงด้วย ถ้าครบร้อย ผีจะออกมาสิงในเส้นผมแล้วทำให้ผมสวย แต่มีกติกาว่าต่อจากนั้นห้ามตัดผมอีก พวกนั้นเชื่อว่าแก้วทำแบบนี้เลยมีคนแกล้งไปตัดปลายผมแก้ว"

ตอนนี้ทุกคนตั้งใจฟังเงียบกริบ

"หลังจากนั้นแปลกมาก เพราะเส้นผมที่เคยสวยของแก้วค่อยๆ แห้งกรอบลงเรื่อยๆ แก้วพยายามเรียกผีมาเลี้ยงผมอีกแต่ก็ไม่สำเร็จ เลยเสียใจมาก ฆ่าตัวตายเพื่อจะได้กลายเป็นผีปกป้องเส้นผมตัวเอง หลังจากนั้นเวลาใครเดินผ่านกระจกตอนเที่ยงคืนก็มักจะเหลือบเห็นว่ามีผู้หญิง ผมยาวตรงนั่งหวีผมอยู่พร้อมกลิ่นหอมประหลาด คนคนนั้นแหละคือแก้ว"

"โอ๊ย สยองสุด" หลายคนทำท่ากลัว แต่ริสาที่กำลังเครียดเรื่องผมกลับมีดวงตาเป็นประกายขึ้น เธอไม่ใช่คนกลัวผีเสียด้วย

คืนนั้นริสายืนหน้ากระจกตอนเที่ยงคืน แล้วเริ่มแปรงผมไปเรื่อยๆ เธอรู้สึกว่า ยิ่งตัวเลขมากขึ้นเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งจะเย็นเยือกลงทุกทีๆ ริสาแปรงไปถึง 80 ก็เริ่มได้กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้โชยอ่อนๆ มาจากที่ไหนสักแห่ง เธอขนลุกซู่ ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่กลัว แต่ก็อดกลัวไม่ได้ เธอแปรงช้าลงๆ ทว่ามือสั่นจนทำแปรงร่วงหล่นลงพื้นกระเด็นไปไกล เด็กสาวใจหายวูบ รีบเก็บแปรงขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะนอนคลุมโปงโดยไม่คิดจะสานต่อให้จบ "ทำไม่เสร็จผีก็ไม่ออกมาก็แค่นั้นเอง" เธอคิดเช่นนั้น

คืนวันต่อมาแก้วปวดปัสสาวะเข้าห้องน้ำ ขณะที่กำลังล้างมือเธอได้ยินเสียงนาฬิกาผนังบอกเวลาเที่ยงคืน แก้วสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงประหลาดบางอย่าง

"91...92...93...94...95..." เสียงแหบพร่าแผ่วเบาดังมาจากกระจกเหนืออ่าง ล้างมือที่เธอกำลังยืนอยู่

"96...97...98...99..." เสียง นั้นยังคงนับต่อไปเรื่อยๆ แล้วหยุดอยู่แค่นั้น ริสาอดใจไม่ได้ที่จะค่อยๆ หันไปดูต้นเสียงทั้งที่กำลังตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เธอเห็นก้อนสีดำๆ ค่อยๆ ปูดนูนออกมาจากกระจกช้าๆ จนหลุดผลัวะออกมาทั้งก้อน หญิงสาวเส้นผมสีดำตรงยาวสยายเป็นประกายเงางาม กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้กลางคืนโชยฟุ้งไปทั่วห้อง เส้นผมค่อยๆ เลื้อยไหลตามลงมาที่คอของร่างนั้นราวกับธารน้ำตกสีดำ ใบหน้าสีฟ้าอ่อนผิวเนื้อดูบางใสจนมองเห็นตาข่ายเส้นเลือดด้านในเลือนราง ดวงตาดำสนิทมีแต่ตาดำไม่มีตาขาว ใต้ตามีรอยแผลเป็นยาวใหญ่ ริมฝีปากแดงฉ่ำ ปากเผยอสั่นก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วค่อยๆ เอียงคอ มองมาทางริสาที่ยังคงยืนตัวแข็งอยู่กับที่

ริสายืนตัวแข็ง น้ำตาไหลพราก พูดไม่ออก ใบหน้านั้นยื่นยาวชะโงกออกมาจากกระจก ขยับมาแนบแก้มเย็นเฉียบเข้าที่ข้างหูของริสา แล้วเผยอปากกระซิบเบาๆ ด้วยเสียงแหบพร่า "หนึ่งร้อย"
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 15 กันยายน 2558 09:09:16 »

.



ลุงกับป้า
กว่าผมกับภรรยาจะหาบ้านเช่าหลังนี้ที่ชอบได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก เราตระเวนไปตามที่ต่างๆ ตามตรอกซอยหลายพื้นที่ในจังหวัด บ้านหลังนี้ลงตัวที่สุด ทั้งอาณาบริเวณที่มีไม้ใหญ่ ไม้ผลและไม้ดอกที่เจ้าของปลูกไว้จนร่มรื่นให้ผลได้เก็บกินอย่างมะม่วง มะยม ไม้ดอกที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอย่างพุดซ้อน โบตั๋น ต้นที่ให้ภาพสวยๆ สบายตาอย่างชมพูพันธุ์ทิพย์

เราไม่ค่อยสนใจเพื่อนบ้าน อาชีพสถาปนิกอิสระอย่างผมและคนวาดภาพประกอบให้นิตยสารและสำนักพิมพ์เช่นภรรยา เราชอบอยู่กันเงียบๆ เดือนหนึ่งเราก็ออกหาซื้อของตามซูเปอร์มาร์เก็ตมาตุนไว้ รับข่าวสารบ้านเมืองและติดตามชีวิตของคนเกี่ยวข้องผ่านทางอินเตอร์เน็ตกับเฟซบุ๊ก ผมไม่ชอบออกไปไหนหรือไปมาหาสู่กับใคร ผมเองพ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว พี่น้องสองคนก็ไปอยู่เมืองนอกไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ไม่ต้องพูดถึงภรรยา เธอกำพร้าพ่อแม่ อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่จำความได้

เพื่อนบ้านของเรามีเพียงฟากเดียว ฟากทางซ้ายเป็นบ้านร้าง ไม่มีคนมาอยู่ ปล่อยรกร้างว่างเปล่าเถาวัลย์ขึ้น หญ้ารก ทางขวาผมเห็นเพียงลุงกับป้าสองคน ซึ่งผมมักจะเห็นแต่ป้าคนเดียวมากกว่า นานๆ ทีจึงจะเห็นแต่ลุงที่เป็นเงาตะคุ่มๆ และมักเห็นป้าแกคุยกับลุงเข้าไปในตัวบ้าน ทั้งสองคนจะมีชื่อเสียงเรียงนามอะไรไม่รู้จัก ปะหน้าป้ากันจะจะ ยามเดินผ่านใกล้รั้วก็ได้แต่ส่งยิ้มผ่านๆ ไม่ได้คุยอะไรกัน ดูท่าคนในบ้านนี้ก็ชมชอบความสงบเงียบ บ้านซึ่งเต็มไปด้วยสารพัดต้นไม้และความร่มรื่นเช่นกัน วันๆ ไม่เคยเห็นใครจะมาเยี่ยมแกหรือแกออกมาพบปะกับใคร ตกค่ำบ้านแกก็มืดสนิทไม่เปิดแม้กระทั่งไฟส่องสว่างตามมุมบ้านเสียด้วยซ้ำ

มาวันหนึ่งช่วงมะม่วงดกเต็มต้น มันเยอะมากจนผมต้องปีนสอยลงมาขายเป็นรายได้ ทำให้ผมมีโอกาสสังเกตรอบๆ บ้านมากขึ้น ผมสังเกตว่าป้าแกดูจะเอาแต่ก้มๆ เดินๆ อยู่บริเวณท้ายบ้านที่เป็นครัวซึ่งหันด้านนั้นมาทางบ้านผม สายตาที่ลอดผ่านกิ่งไม้ไปผมเห็นส่วนใหญ่จะเอาแต่นั่งอยู่หน้าเก้าอี้โยกทั้งวัน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นหรือไม่ก็ไม่เคยสังเกตเห็นก็เป็นได้

เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยา จึงนึกขึ้นได้อีกว่าไม่ได้เห็นลุงแกเลยตลอดสามสี่วันมานี้ ภรรยาผมซึ่งช่วงนั้นกำลังเขียนภาพประกอบให้สำนักพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ หลายสิบเล่มกำลัง "อิน" จัดเรื่องเกี่ยวกับผีเธอเสนอว่า

"ป้าที่พี่เห็น แกอาจจะตายไปแล้วก็ได้นะ ที่พี่เห็นคือวิญญาณของแกปรากฏให้พี่เห็น" เธอพูดไปหัวเราะไปมากกว่า ตอนแรกผมก็พลอยนึกขำไปด้วย แต่หลังจากนั้นอีกหลายวันชักไม่เริ่มสนุก ยามปีนไปเด็ดมะม่วง ผมมักแอบเห็นทางหางตาว่าป้ามองมาทางผม พอผมมองกลับไปป้าก็ไม่อยู่ตรงนั้นหรือไม่ได้มองมาทางผม บรรยากาศที่อึมครึม ป้าแกผุดๆ โผล่ๆ ตรงนั้นตรงนี้รอบๆ บ้าน ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหลอน ยิ่งตอนกลางคืนที่บางคืนป้าแกยังไม่ยอมเข้านอน นั่งโยกบนเก้าอี้ให้ยุงดูดเลือด ผมยิ่งหลอนเข้าไปใหญ่

บอกตามตรงว่าไม่พยายามสนใจ ใส่ใจกับงานการของตัวเองดีกว่า แต่ยิ่งพยายามเลิกคิด เรื่องของป้ากลับเข้ามาในหัวไม่ยอมหยุด ผมพูดเรื่องนี้กับภรรยา เธอกลับทำให้ผมกลัวเข้าไปอีก

"พี่คิดดู จู่ๆ ลุงแกก็หายไป ป้าอาจจะเกิดเฮี้ยน ฆ่าผัวตัวเอง หมกศพไว้ภายในบ้าน แกอาจจะแช่แข็งศพใน ตู้เย็นหรือใช้ผ้าปูที่นอนมัดศพไว้ใต้เตียงก็เป็นได้" ภรรยาเย้าแหย่ผมอย่างนี้ "พี่ระวังไว้ วันไหนแกเดินมาคุยด้วยที่ริมรั้ว พี่จะหนาว นอนไม่หลับไปทั้งคืน"

"ตลก ตลก ตลกใหญ่แล้วนะ" ผมโต้ตอบเธอที่กำลังหัวเราะอย่างครึกครื้น

จากนั้นกลายเป็นว่าผมพยายามไม่มองไปทางบ้านลุงป้า ไม่พยายามใช้หางตามองไปทางแก ผมเก็บมะม่วงที่มีมากมายสามสิบกว่าต้นหมดล่ะก็ติดต่อพ่อค้าเร่เจ้าหนึ่งที่เร่รถกระบะขายผลไม้ได้ในราคาที่ให้มะม่วงๆ พ้นๆ ไปจากบ้านมากกว่า

และวันนั้นเองผมก็พบลุงยืนอยู่หน้าประตูรั้ว!

ตอนนั้นค่ำแล้ว หลังจากรถเร่จ่ายเงินค่ามะม่วงแก่ผมเสร็จ กำลังจะเข้าบ้านก็เห็นลุงแกยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านแก ตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอก นั่นหมายถึงไอ้ที่ผมคิดพรรณนาไปเองไม่จริง ลุงแกยังมีชีวิตอยู่ แต่แกยืนอยู่นานมาก ผมมองเข้าไปตัวบ้านในวันนั้นกลับแปลกที่ไม่เห็นป้าแกเลย มานึกดูก็ไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจเข้าไปไต่ถามให้หายคาใจ

"ทำไมลุงไม่เข้าบ้านล่ะครับ" ผมถาม ลุงไม่ตอบ แต่มองหน้าผมอย่างจับจ้อง "ลืมกุญแจหรือครับ เบอร์โทร.ป้าหรือเบอร์ที่บ้าน เบอร์อะไรครับ เดี๋ยวผมโทร.เข้าไปให้"

ลุงค่อยๆ เงยหน้ามองผม แล้วพูดช้าๆ ว่า "ลุงเข้าบ้านไม่ได้ เขาไม่อนุญาต"

ผมมองนิ้วมือของลุงที่ชี้เข้าไปยังบ้าน สายตาก็พลันเห็นชายชราผมเทา สวมชุดโจงกระเบนสีแดง ท่าทางแข็งขันดุดัน มีหนวดที่เรียวโค้ง ดวงตาแดงฉานลุกโชนราวกับไฟมองมายังผมและลุง ทันใดรถยนต์คันหนึ่งก็เทียบจอดหน้าบ้าน มีชายหนุ่มและป้าข้างบ้านลงจากรถ ก่อนที่ป้าจะเดินมายังประตูรั้วและพูดขึ้นว่า "พ่อจ๊ะ กลับเข้าบ้านกันนะ"

ในเวลาต่อมาจึงทราบว่าลุงแกเสียชีวิตมาสามปีแล้ว ลูกชายแกเพิ่งนำเถ้ากระดูกที่เผาจากอเมริกาเมื่อหลายปีมีโอกาสกลับเมืองไทยเมื่อไม่กี่วันนี้เอง!



บ้านเก่า

เพื่อนผมชื่อเจน หมอนี่เป็นสถาปนิกโดยอาชีพแต่มีนิสัยอย่างหนึ่งคือชอบซื้อบ้านเก่า นำมาซ่อมแซมปรับปรุงแล้วให้เช่าหรือขายต่อ หากบ้านไหนนึกชอบมากๆ ก็อาจจะไปอยู่หลายวันก่อนที่จะขายหรือปล่อยเช่า ด้วยความที่มันยังไม่มีครอบครัว งานหาบ้านเก่ามาทำให้ดูใหม่ของมันจึงเฟื่องฟูไปเรื่อยๆ

แล้วครั้งหนึ่งเจนก็เจอดีเข้าให้!

ตอนนั้นเจนขับรถตระเวนไปหาของกินกับผมแถวอยุธยา เจอบ้านไม้ครึ่งอิฐครึ่งปูนหลังหนึ่ง เก่ามากแล้วล่ะดูแล้วทรุดโทรมมาก แต่เนื้อที่กว้างขวางราวสองไร่ เจนเกิดนึกชอบใจ นั่งบรรยายให้ผมฟังว่าอยากปรับปรุงอะไรบ้างอยู่นานสองนานหากได้ซื้อ ผมไม่คิดว่าเจนจะซื้อหรอก

จนวันหนึ่งก็บอกผมว่าได้ซื้อเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งบอกว่าปรับปรุงไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว แถมยังชวนผมไปดูด้วย ผมก็ไป อยากเห็นว่าหากผ่านฝีมือ "โม" ของมันแล้วหน้าตาจะออกมาอย่างไร

เข้าท่าทีเดียวครับ เรียกว่ามหัศจรรย์จะเหมาะกว่า ผมทึ่งมากในหัวคิดของเพื่อน จนเจ้าตัวเองก็หลงใหลบ้านหลังนี้ "แปลกมากเลย กูชอบมาก ไม่อยากให้ใครเช่าหรือขายใครเลย กูว่าจะมาอยู่เองก่อน"

ตอนแรกผมนึกว่าจะเหมือนกับที่เป็นมา อยู่เล่นๆ นอนชิลชิล สักห้าหกวัน หรือเดือนหนึ่ง แต่หนนี้ปาเข้าไปหกเดือน ตลอดช่วงเวลานั้นผมมีงานการมากมายจนแทบจะลืมเจนกับบ้านหลังใหม่ไปเลย ผมติดต่อกับเจนอีกครั้ง ไปหาที่บ้านพ่อแม่ก็ทราบว่าเจนอยู่อยุธยากับบ้านหลังนั้น

"เจนแทบไม่เคยกลับบ้านเลยลูก ยังไงหนู ช่วยบอกมันว่ากลับบ้านที พ่อแม่คิดถึงมัน"
ขนาดนี้เชียวครับ หกเดือนที่ไม่กลับบ้านได้แต่โทร.หาทางบ้าน แล้วงานการล่ะ ผมสงสัย

"ก็ค่าเช่าบ้านหลายสิบหลังที่กูทำไว้ ไม่ต้องทำงานอื่นก็สบายแล้ว" มันให้คำตอบ

ผมถามไปว่าแล้วไม่สนุกที่จะออกไปหาบ้านเก่ามาทำใหม่อีกหรือ เจนตอบว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ ผมได้แต่ถอนใจ หากคุณมาเห็นสารรูปเจนที่หนวดเครารกครื้ม ผมเฝ้ายาวถึงกลางหลัง วันๆ เอาแต่นอนในห้อง กินก็กินแต่พวกอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารแดกด่วนพวก โทร.สั่ง

"กูหลงบ้านนี้"

ผมแปลกใจมากจนได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนบ้านหลังติดกันสองข้าง
"เป็นบ้านเก่าแก่อายุนับร้อยปีแล้วล่ะพ่อหนุ่ม" ตาบ้านหลังติดกันบอก "พอๆ กับบ้านตา เพียงแต่..."
"อะไรหรือครับตา"
"มันร้างมายี่สิบปีแล้ว"
"ร้างนานขนาดนี้เลยหรือ"
"ก็มีเจ้าของนะ แต่ลูกเต้าเขานานทีปีหนมาดูที มาก็แค่ยืนดูที่ริมรั้ว คุยกับตา เอาของมาฝากตาบ้างแล้ว ก็กลับไป"
"ทำไมไม่คิดมาอยู่ล่ะตา บ้านช่องก็ใหญ่โต เนื้อที่ก็กว้างขวาง"
"ตายยกครัวกันทั้งบ้าน เฮี้ยนนัก ใครจะกล้ามาอยู่"

ผมตกใจตาโต ลุงยังเล่าต่อ "แต่ที่จริงก็เคยมีนะ เขาว่าเป็นญาติมาอยู่กันทั้งครอบครัวแต่ไม่ถึงเจ็ดวันมีอันถึงกับเผ่น เก็บข้าวของแทบไม่ทัน ไม่ใช่ครอบครัวเดียว สามแล้ว"

ผมอยากจะเดินหนีออกจากบ้านในเวลานั้นทันทีถ้าไม่ห่วงเพื่อน

ผมชวนเพื่อนไปทานข้าวนอกบ้าน แล้วรีบเล่าให้ฟังทันที เจนตอบว่า "ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง"

เจนไม่สนใจท่าเดียว แต่ผมห่วงเพื่อน งานการไม่ทำ พ่อแม่เพื่อนฝูงไม่สนใจ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแล้วล่ะ ผมนึกหาหนทางไม่ออก พอดีช่วงนั้นเพื่อนผมคนหนึ่งกำลังบวชอยู่ เมื่อไปเยี่ยมจึงเล่าเรื่องเจนกับบ้านหลังใหม่ให้ฟัง เพื่อนหลวงพี่ชวนไปหาหลวงตา หลวงตานั่งสมาธิสักพักก็บอกว่าพวกเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเจน เจนเกี่ยวกันกับชะตากรรมของพวกเขาในอดีต

"ทำบุญขึ้นบ้านใหม่เสีย ทำสังฆทานให้พวกเขา ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น"

ผมนำเรื่องไปปรึกษาพ่อแม่ของเจน ซึ่งกว่าจะพูดให้เจนยอมทำบุญบ้านได้ พวกเราเพื่อนๆ และพ่อแม่ของเจนก็เสียน้ำลายไปเป็นถังๆ

วันทำบุญบ้านเจนซึ่งยังไม่ยอมตัดผม ยังแต่งตัว โทรมๆ นั่งพนมมือฟังพระสวดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แน่นอนงานทำบุญบ้านหนนี้พวกเราและพ่อแม่เจนจัดการให้ทั้งสิ้น

ระหว่างการสวดพวกเราเห็นทั้งเด็กและคนเดินไปเดินมาในบ้าน บางทีเสียงเด็กวิ่งเล่นกันบนบ้านเสียงตึงตัง มีคนเดินผ่านมาและผ่านไปทั้งผู้หญิงผู้ชายอยู่ตลอด เรามองหน้ากัน เรามากันกี่คน หน้าตาอย่างไรเรารู้จักกันหมด แล้วพวกเขาคือใครล่ะ

จนกระทั่งสวดจบ หลวงพ่อก็เรียกเจนให้เข้าไปหา ให้เจนพนมมือและท่านก็พูดขึ้นดังๆ ว่า "อย่าได้จองเวรแก่กันและกันเลย ไปสู่ที่ชอบๆ ปล่อยพ่อหนุ่มคนนี้ไปเถอะ"

พูดจบไม่นานเจนก็ล้มลงนอนราบกับพื้น เมื่อตื่นขึ้นมาเจนแทบจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีการทำบุญบ้าน เมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเจนถึงกับกลัว บอกว่าตลอดเวลาเหมือนอยู่ในความฝัน ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอด บังคับตัวเองไม่ค่อยได้

แน่นอนทุกวันนี้บ้านหลังนี้ไม่อยู่แล้ว เจนขายทิ้ง และไม่เคยได้กลับไปอีกเลย



ถนนคนบาป

ถนนเส้นนี้ เป็นถนนสายที่ฉันอยู่มาแต่เกิดจนโต และได้ยินเสียง "นั้น" มาตั้งแต่เกิดจนโตเช่นกัน

ว่ากันว่าบริเวณบ้านฉันเคยเป็นสถานที่สำคัญในอดีต คือด้านหน้าเยื้องหัวมุมถนนเป็นบริเวณเรือนจำเก่า และยาวออกไปทางถนนด้านขวามืออีกราวห้าร้อยเมตรเป็นลานประหารชีวิต

พวกเราตอนเด็กๆ ยังจำได้ดีที่พ่อแม่และผู้ใหญ่ ห้ามนักห้ามหนา ว่าอย่าออกมาข้างนอกบ้านเด็ดขาด โดยเฉพาะคืนเดือนมืด เพราะเป็นคืนที่ผู้คุมจะพานักโทษประหารเดินไปที่ลานประหาร

ในคืนดังว่านั้นมักจะมีคนได้ยินเสียงโซ่ลากเป็นทางไปตามพื้น เคล้ง เคล้ง ตามจังหวะก้าวเดิน จุดเริ่มต้นของเสียงคือที่หัวมุมถนนบ้านฉัน และปลายทางคือบริเวณลานฟุตบอลของโรงเรียนมัธยมห่างไปห้าร้อยเมตร

ใช่เพียงที่ถนนเส้นนี้เท่านั้นที่มีคนเคยได้สัมผัสเรื่องประหลาด แต่ที่โรงเรียนมัธยมใกล้ๆ ก็เล่ากันว่าภารโรงและครูที่อยู่เวรกลางคืนในคืนเดือนมืด หรือมาโรงเรียนแต่ย่ำรุ่งวันนั้น เคยมีคนได้ยินเสียงคนร้องไห้จำนวนมาก เสียงเพลงไทยเดิมโหยหวนคล้ายเพลงรำดาบก่อนประหาร และที่ตรงกันคือ เสียงลากโซ่

อาถรรพณ์ที่ว่ายังรวมไปถึงความเชื่อว่าการที่โรงเรียนแห่งนั้นสร้างทำลานประหารเดิม ทำให้สถานที่นั้นต้องสาป มีนักเรียนในโรงเรียนต้องตายอย่างน้อยปีละ 1 คน ที่โรงเรียนแห่งนั้นจึงต้องมีการทำบุญใหญ่ทุกปี รวมถึงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ที่นั่น แต่ถึงกระนั้นจำนวนนักเรียนที่ต้องตายทุกปีก็ไม่ได้น้อยลง

ฉันกับเพื่อนๆ ทุกวันนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นานๆ จะได้กลับบ้านมาที เราก็มีเรื่องอื่นๆ มาพูดคุยอัพเดตกันเรื่อยๆ แต่วันนั้นนึกยังไงไม่รู้ มีคนพูดเปิดมาก่อนว่า "พวกแกจำได้ไหม เรื่องผีลากโซ่เนี่ย"

หลายคนหัวเราะครืนขึ้นมาทันที "ยังไม่ชินอีกเหรอพวกแก ก็เรื่องผีหลอกเด็กไม่ให้ออกจากบ้านตอนกลางคืนแค่นั้นแหละ" ปองพูดขึ้น
"แต่ว่าถ้างั้นทำไมถึงห้ามเฉพาะคืนเดือนมืดล่ะ" อีกคนถามขึ้น
"บ๊ะ ก็มันมืดนี่หว่า มองอะไรไม่เห็น ก็อันตรายไง"
"แต่ว่า" ฉันพูดขึ้นบ้าง "ฉันเคยได้ยินเสียงนั้นนะ หลายครั้งด้วย บ้านฉันติดถนน เสียงเดินลากโซ่เป็นจังหวะผ่านหน้าบ้านไปทุกคืนเดือนมืดเลย"

ปองยักไหล่ เดินไปเปิดดูปฏิทินบนโต๊ะ "เจ๋ง คืนเดือนมืดคืนนี้พอดี งั้นไหนๆ คืนนี้เราก็ไม่มีอะไรทำกันแล้ว เรามาพิสูจน์ตำนานหลอกเด็กกันดีกว่า" เธอว่าพลาง ชำเลืองตาเยาะเย้ยมาทางฉัน

คืนนั้นสรุปพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มทั้งหมดราวห้าคนก็พากันมานอนที่บ้านฉันเพื่อรอพิสูจน์ "ของ" ที่ว่า พวกเราอุตส่าห์ตั้งใจกันขนาดว่าไม่มีใครเปิดทีวีหรือวิทยุ และไม่คุยกันเลยตั้งใจรอฟังมาก

พวกเรารอกันตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเกือบตีสอง จนบางคนเริ่มหลับไป ปองอมยิ้มกริ่ม "เห็นมะ บอกแล้วว่านิยายหลอกเด็ก"

ทันใดนั้นเอง เสียงที่เรารอคอยก็ดังขึ้น ดังแผ่วๆ ตอนเริ่มต้น แต่ก็พอที่ฉันและปองจะพอได้ยิน เราสองคนมองหน้ากันในขณะที่เพื่อนๆ คนอื่นหลับไปแล้ว ฉันค่อยๆ สะกิดปลุกเพื่อนทีละคน

เคล้ง...เคล้ง...เคล้ง...เสียงคล้ายโซ่ตรวนเส้นหนาใหญ่ถูกลากดังมาตามถนนเป็นจังหวะ เพื่อนทุกคนหน้าตาตื่น รีบพากันลุกออกไปที่หน้าต่างส่องดูว่าอะไรเป็นที่มาของเสียงแต่ก็ไม่เห็นอะไร

เสียงลากโซ่ดังขึ้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใจฉันเต้นตุบตับด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น ความรู้สึกสมัยเด็กๆ กลับมาทันที เพื่อนๆ จับมือกันแน่น บางคนมีเหงื่อซึมออกมาที่มือ บางคนหน้าซีดตัวเย็น แม้แต่ปอง

แต่จู่ๆ ปองก็ลุกขึ้นยืน "ฉันว่ามีคนทำแน่ๆ ผีที่ไหนเสียงจะดังชัดขนาดนี้" ว่าแล้วปองก็ลุกเดินไปเปิดประตูทันที

"เฮ้ย ไอ้ปอง อย่า" เพื่อนๆ ร้องห้ามแต่มันไม่สนใจฟังยังคงเดินฉับๆ ออกไปที่ถนนหน้าบ้าน

ถึงแม้จะกลัว แต่ความเป็นห่วงเพื่อนมีมากกว่าเราจึงรีบวิ่งตามกันออกไป

กลางดึกคืนนี้ ทุกบ้านปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ตอนนี้ที่นี่คือโลกต้องห้าม ที่ตั้งแต่เกิดจนโตฉันไม่เคยก้าวล้ำเส้นมาก่อน บรรยากาศรอบตัวดูอับทึบ มีทั้งความชื้นเหมือนไอน้ำอุ่นๆ แต่ลมบางวูบกลับเย็นเยือกจนสะท้าน

เสียงลากโซ่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างน่าสยดสยอง เราทั้งห้าคนไม่อาจหาที่มาของมันได้เลย โดยเฉพาะปองที่ตอนนี้ดูหงุดหงิดเอามากๆ "ไหน ใครหน้าไหนมันทำวะ หลอกชาวบ้านเขาให้กลัวกันอยู่ได้ แน่จริงก็ออกมา" ปองร้องตะโกนโดยไม่สนใจเสียงปรามของเพื่อนๆ

เสียงลากโซ่หยุดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะดังขึ้นใหม่ กราวกรูเหมือนมาจากโซ่นับร้อยเส้นบนพื้นถนน ดังจนพวกเราต้องโดดลงมาข้างถนนแล้วยกมือสองข้างปิดหู บางคนเริ่มสวดมนต์แผ่เมตตาน้ำตาไหลพราก

ก่อนที่พวกเราจะวิ่งหนีกันกระเจิง และปองกระตุกเฮือกล้มหมดสติลงกลางถนน ฉันทันได้ยินเสียงเหมือนคนคำรามในคอดังฮือๆ แต่กระหึ่มกว่า ดังอัดกดทับพวกเราจนอยู่ไม่ได้ ร่างเงาสีเงินๆจางๆ ปรากฏเรียงแถวบนพื้นถนน ทุกคนสวมเพียงผ้าเตี่ยว มีโซ่ตรวนล่ามที่ข้อเท้า เดินทะลุผ่านตัวปองไป!

หลังจากนั้น ปองฟื้นอีกทีก็เช้าวันรุ่งขึ้น ที่หลอนสุดคือข้อเท้าของปองเกิดรอยประหลาดขึ้นคล้ายถูกกดทับด้วยของแข็งเหมือนรอยโซ่ แถมยังร้องครางฮือ ฮือ เหมือนคนไม่ได้สติอยู่อีกหลายวัน



วัดป่า

กิจกรรมธรรมะเทอมนี้ต้องออกนอกสถานที่ไปปฏิบัติธรรม ปักกลดนอนค้างคืนหนึ่งที่วัดป่า นอกเมือง ทันทีที่ทราบเมืองศรมันก็พูดเอาใจเสีย

"วัดป่าที่จะไปพ่อข้าเคยบอกว่าเมื่อก่อนเป็นป่าช้าเก่า ป่าช้าของคนสมัยก่อนที่เขาเผากันกลางแจ้ง เอาไม้สุมๆ แล้วจุดไฟเผา ที่ฝังก็ฝังกันไม่มีพิธีรีตองแถมยังขุดหลุมไม่ลึกด้วยแค่เนินพูนๆ"

จากนั้นก็มีการพูดกันเรื่องผีวัดป่า พูดไปพูดมา กลายเป็นว่าวัดป่าผีดุ จนกระทั่งหลังเข้าแถวเคารพธงชาติ อาจารย์ใหญ่ต้องพูดผ่านไมโครโฟนย้ำให้นักเรียนไม่กลัวว่าเป็นวัดป่าธรรมดาวัดหนึ่งที่สงบร่มรื่น ครูใหญ่เคยไปปฏิบัติธรรมตั้งสามคืนไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น แต่นักเรียนก็ยังกลัวเรื่องนี้กันอยู่ ทว่ากับบางกลุ่มกลับเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะกลุ่มของศร สิน ลิงและซ้ง พวกเขาแอบวางแผนบางอย่างกัน

ด้วยความที่เป็นหัวหน้าห้อง แต่ผมก็ไม่กล้าปรามเพื่อน

แล้ววันปฏิบัติธรรมก็มาถึง ตรงกับฤดูหนาว อากาศจึงหนาวในระดับที่ต้องก่อไฟผิงยิ่งทำให้บรรยากาศการปฏิบัติธรรมสนุกเข้าไปอีก เพราะหลังจากเข้าศาลาฟังพระอาจารย์ท่านสอนธรรมะในช่วงเช้าและบ่ายแล้ว ตกเย็นพวกเราก็พากันก่อไฟผิง อาจารย์เพียงแต่ตักเตือนให้ระวังเรื่องฟืนไฟ ให้ดับก่อนนอน อย่าประมาท พวกเราเป็นเด็กบ้านนอก เรื่องก่อไฟพวกนี้เราทำกันชำนาญแทบทุกคน

ศรก่อไฟแล้วแอบเอามันเทศจากบ้านซุกกองไฟ ด้านบนก็ย่างข้าวจี่ที่แอบเตรียมมาเช่นกันอย่างสนุกสนานและเอร็ดอร่อยจนหลายกลุ่มต้องอิจฉา

ตกค่ำหลังรับประทานอาหารและสวดมนต์ อาจารย์ก็ให้นักเรียนเข้าไปอยู่ในกลด จะทำอะไรก็ได้แต่ห้ามส่งเสียงดังและต้องนอนก่อนสามทุ่ม แต่หลายกลุ่มโดยเฉพาะนักเรียนหญิงก็พากันนอนตั้งแต่ก่อนสามทุ่มแล้ว เพราะบรรยากาศวัดป่าที่เงียบ วังเวง แม้จะมีเสียงนกร้องบ้างแต่บรรยากาศที่มองเห็นแต่ต้นไม้กิ่งไม้รากไม้และความมืดทึมๆ ทำให้เพิ่มระดับความน่ากลัว ผมปักกลดติดกับกลุ่มของศร จึงเห็นพวกเขาค่อยๆ คลานออกกลดกันทีละคน

สินเปิดไฟฉายได้แว้บเดียวก็ถูกศรดุให้ปิด ลิงก็บ่นอุบอิบ ศรถามอย่างปรามๆ ให้เพื่อนเบาเสียง ไม่มีใครตอบ แล้วศรก็เร่ง "งั้นไปกัน"
"ไอ้หลุมเนินดินด้านหลังตรงนั้นใช่ไหม" ซ้งถาม
"เออดิ ก็เราตกลงกันแล้ว ตอนเที่ยงเราก็เดินไปสำรวจกันแล้ว เอ็งอย่าขัดสิวะ ทำให้เหมือนการผจญภัย หน่อย เร็วเข้า อย่าช้า"

ผมเดินตามหลังพวกเขาอย่างปอดๆ อากาศรอบตัวเย็นมาก ทุกคนใส่เสื้อกันหนาว ลมแรงมากพัดยอดไม้ที ก็ดังซู่ยาวทีนึง

จู่ๆ เหมือนมีตัวอะไรบางอย่างพุ่งผ่านหน้าเราขึ้นต้นไม้ไปอย่างรวดเร็ว ลิงและซ้ง กระโดดพรวดเดียวไปปีนอยู่บนต้นไม้ข้างๆ
"ปอดแหกแค่กระรอกวิ่งผ่าน" ศรตะคอก "แล้วผีจริงมึงปีนจะหนีทันหรือ"
"ห่า โบราณว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ" ลิงพูด
"ไหนเสือของมึง กระรอกชัดๆ ไอ้ลิงหอกหัก" ศรด่าเพื่อน
"ถึงแล้ว" ใครสักคนทักขึ้น ทุกคนเหลียวมอง รอบตัว เนินดินอยู่รอบๆ เราจริงๆ แต่บรรยากาศมันกลับน่ากลัวมากขึ้นเมื่อเรานึกว่าคือป่าช้าเก่า

ทันใดเหมือนจู่ๆ อากาศก็หยุดนิ่ง พวกเราได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงเหมือนซากสัตว์ เหม็นจนแทบหายใจไม่ออก ไอ้ซ้งนั่งอ้วกลงตรงนั้น

พอเราใจเสียกันหมดแล้วกำลังจะหาทางกลับลม ก็พัดแรงรอบทิศจนผงฝุ่นขึ้นคลุ้งกระจาย ตอนนั้นพวกเรานั่งกันหมดแล้ว เสียงสวบสาบเหมือนคนจำนวนมากเดินเข้ามาล้อมรอบพวกเรา มีเสียงพูดคุยงึมงำ ฮือฮา เหมือนมีเงาคนผ่านหน้าไปมา แต่กลับมองไม่เห็น

ไอ้ลิงกลัวจนสติแตก ร้องไห้ฮือๆ ครางช่วยด้วยๆ

แล้วเราก็ใจชื้นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงคนกึ่งพูดกึ่งถาม "มาทำอะไรที่นี่!"

ทุกคนหันไปมองตามที่มาของเสียงเป็นตาเดียว

"มาทำอะไรที่นี่" พระอาจารย์ถามซ้ำ

ไอ้ลิงโผเข้าไปกอดขาพระอาจารย์แน่น "พระอาจารย์ ครับ พวกผมโดนผีหลอก ฮือๆ"

เราช่วยกันแกะไอ้ลิงออกจากขาท่าน แล้วท่านก็พาพวกเรากลับมาส่งที่ลานปักกลด

"เด็กพวกนี้ซนกันจริงๆ เอาล่ะ อย่ากลัวกันเลย ถ้าไม่สบายใจก็สวดมนต์ตามพระอาจารย์นะ"

พระอาจารย์นำสวดมนต์ก่อนนอน และให้พวกเราแผ่เมตตา ก่อนที่จะบอกให้รีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ ยังต้องมีกิจกรรมทำอีกมาก

เช้ารุ่งขึ้น หลังจากทำวัตรเช้า และกินอาหารเช้ากันแล้ว พวกผมคุยกันถึงเรื่องเมื่อคืน และพยายามมองหาพระอาจารย์รูปที่ไปช่วยเราไว้ จนหลวงพ่อพระครูที่ดูแลอยู่ สงสัยเลยเข้ามาซักถาม และเราก็เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ท่านฟัง ว่าเจอเรื่องสยองมากขนาดไหน ถ้าไม่ได้พระอาจารย์ใจดีไม่รู้ว่าจะรอด มาได้ไหม

หลวงพ่อพระครูขมวดคิ้วยุ่ง "เอาที่ไหนมาพูดนี่พวกเธอ ละเมอกันแล้วมั้ง เมื่อคืนที่อยู่ดูแลพวกเธอก็มีแค่คณะครูที่มาจากโรงเรียนนั่นแหละ พอดีมีพวกพระอาจารย์เขามีธุระด่วนที่วัดในหมู่บ้าน ดึกเลยจำวัดที่นั่น ก็เพิ่งกลับกันมาเมื่อเช้านี้เอง"

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กันยายน 2558 09:13:41 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 20 ตุลาคม 2558 19:52:14 »



ยายมาหา
เมียผมเธอไม่เชื่อผีสางนางไม้วิญญาณทั้งหลายแหล่ เธอบอกว่าใจคนเราสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น!!

วันนั้นเพื่อนเก่าผมมาหา ชื่อ ทับ เราเรียนกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย หมอนี่ธรรมะธัมโมมาตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นมันชอบนั่งสมาธิ ชอบพูดเรื่องศาสนา เป็นคนเรียบร้อยคนดีในสายตาเพื่อนทุกคน วันนี้มันเป็นมัคนายกผมจึงไม่แปลกใจ อาชีพของมันคือเปิดร้านชำ แต่อย่างว่าผมเดาไม่ผิดเมียมันก็ดูแลเป็นหลักแหละ

ยายผมเพิ่งเสีย ชีวิตไม่กี่วันก่อน ตั้งศพสวดที่วัดเป็นคืนสุดท้ายแล้ว ทับมางานศพคนอื่นแต่บังเอิญมาเจอผมเข้าเลยมางานศพยายผมอีกงาน ทับรู้จักยายผมดี สมัยเรียนมากินข้าวฝีมือยายผมประจำ

นั่งคุยกันดึกดื่น ทางวัดจะปิดศาลาเราเลยต้องกลับ ผมชวนทับไปต่อที่บ้าน คุยไปคุยมาชักน้ำลายบูดเพราะไอ้ทับไม่กินเหล้า ผมรู้สึกแปลกๆ นั่งคุยกับคนกินน้ำเปล่า ตัวเองก็กินน้ำอัดลม เพราะพรุ่งนี้วันเผา ทำบุญตอนเช้า บ่ายเผา ผมเลยงดเหล้า เลยแปลกๆ ไปหน่อย

แต่ก็เข้าตีสอง ทับขอตัวกลับ ผมก็ว่าสมควรแก่เวลา นอนไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว แต่ทับมันนึกขึ้นได้ "มึงจำเรื่องที่กูชอบเจอวิญญาณได้ไหม"

ผมพยักหน้า เรื่องนี้เป็นเรื่องเด่นในชีวิตของมันเลยล่ะ
"ทางเข้าบ้านกูแมร่งดงกล้วย ต้องผ่านป่าละเมาะ"
ผมขัด "แล้วเสือกไปหาบ้านแบบนั้นทำไม"
"มึงอย่าเพิ่งขัด ไอ้ทางนี่มาทีหลัง มีคนมาซื้อที่ล้อมรอบบ้านกูสองด้าน แมร่งปิดทาง กูเลยต้องเข้าทางนี้ที่เจ้าของเขาใจดีอนุญาต แต่แมร่งตกดึกน่ากลัว ชิบหาย"
"เข้าเรื่องเร็วๆ กูง่วง"

"กูเจอผี เจอวิญญาณประหลาดตรงดงกล้วยประจำ แรกๆ ก็ให้มาเห็นอย่างเดียว หลังๆ ชักลามปามเหมือนจะเป็นแบบเมื่อก่อน บอกตามตรงตอนเด็กๆ กูเคยเจอคล้ายๆ กันนี้ ผีมันตามเข้าบ้านด้วย กว่าจะจัดการได้ พ่อกูต้องไปตามหลวงพ่อที่วัดมาสวดมารดน้ำมนต์" ทับหยุดพูด "กูขอนอนบ้านมึงคืนนี้ได้ไหม ยังไงกูก็ต้องหาทางจัดการเรื่องวิญญาณนั้นให้ได้ด้วย เพราะกูคงมานอนบ้านมึงบ่อยๆ ไม่ได้ กูรบกวนหน่อยแค่โซฟาข้างล่างก็พอ"

ผมไปนอนเป็นเพื่อนในห้องพักแขกอีกห้อง ตกดึกผมตื่นเพราะปวดปัสสาวะ กลับเห็นทับนั่งขัดสมาธิอยู่ มันลืมตามากระซิบกับผม "มาทั้งคืนเลย มาทำไมก็ไม่รู้"

ผมตกใจ "หา ผีนั่นตามมาถึงบ้านกูเลยหรือ"
"เปล่า"
"แล้วใคร"

ทับไม่ตอบเหมือนจะไม่กล้ามากกว่า ทำไมก็ไม่รู้ กลับชี้นิ้วไปทางลงข้างล่าง ไอ้ผมจะไปรู้อะไรของมัน "ยังนั่งอยู่ปลายเท้ากูเลย"

ผมตกใจ นอนตัวแข็ง หายปวดฉี่ไปแล้ว
"มึงไม่ต้องกลัว ไม่ทำอะไรมึงแน่" ทับกระซิบเบากว่าเดิมอีก "หลับตาเถอะ อย่าคิดมาก นอนแผ่เมตตากันนะ"

พูดจบเมียผมก็มาเคาะประตูห้องขอนอนด้วย โดยยกนิ้วจุ๊ปากไม่ให้ผมพูดอะไร "ตอนเช้าค่อยคุย"

ผมต้องมานอนคั่นกลางระหว่างเมียกับเพื่อน พยายามหลับตานอนโดยการแผ่เมตตาอย่างมันบอก แต่จะให้นอนแผ่เมตตาทั้งๆ ที่รู้ว่าปลายเท้ามีผีนั่งอยู่หรือ ผมนึกด่าไอ้ทับในใจ ทว่าหลังจากแผ่เมตตาก็หลับไปได้จนถึงเช้า

ทันทีที่ฟ้าสว่างทับก็ปลุกผมขอตัวกลับบ้าน เมียผมซึ่งปกติไม่ค่อยตื่นเช้ากลับตื่นทันที เมียผมรีบเล่าเรื่องเมื่อคืนเหมือนคาใจอยู่ "หนูเจอยายสิพี่ ตอนอยู่ไม่กลัว ตายไปทำไมถึงกลัวก็ไม่รู้"

"ไหนหนูเคยบอกพี่ ผีไม่มีจริงไง นี่เชื่อแล้วหรือ" ผมถาม
"ยายแกเหมือนจริงมาก จนหนูยังไม่คิดว่าผีมีด้วยซ้ำ แต่พอนึกว่าแกตายไปแล้ว หนูถึงได้กลัวไง"
"ยายแกมาทำอะไร"
"แกบอกว่า ไอ้ทับติดเงินผัวเอ็งสองพัน หลายปีแล้วไม่คืนเสียที"

ถึงตอนนี้ผมหันหน้ามองไอ้ทับ มันก็ทำหน้างงๆ "กูไปติดมึงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"
ผมเองก็งง จำไม่ได้ว่าไอ้ทับยืมเงินไปตอนไหน เมียผมพูดต่อ "ก็ไม่รู้ ยายแกพูดแบบนี้"

ผมเองนึกขึ้นได้ รีบถามทับ "เมื่อคืนมึงชี้นิ้วลงมาข้างล่างทำไมวะ อีกอย่างใครวะ กูกลัวฉิบเป๋ง"
"อ้าว เจอผีเมื่อคืนหรือ" เมียผมถาม

ทับรีบตอบ "ยายมึงไง ก็ภาพถ่ายที่แขวนอยู่นี่ไง" ทับชี้ไปทางรูปภาพยายที่แขวนติดผนัง ผมนำภาพยายภาพนี้ที่ผมถ่ายเองไว้นานแล้ว แกยิ้มสนุกมาก ผมชอบเลยอัดใส่กรอบแขวนไว้กลางบ้าน "ยายแกจำกูไม่ได้หรือไงวะ นั่งจ้องกูทั้งคืน ดีนะที่เป็นยาย แต่กูก็ยังกลัวอยู่ดี" ทับบอก

"โธ่ ยายแกคงคิดถึงมึงมั้ง เมื่อก่อนซี้กันนี่หว่า"
"สงสัยมาทวงตังค์ให้พี่มั้ง" เมียผมรีบพูด

ทับเกาหัว "กูไปยืมมึงตอนไหนวะ"
"เอ่อๆ ยายแกคงจำผิดคน"

แต่อย่างน้อยก็ทำให้เมียผมเชื่อเรื่องผีว่ามีจริงล่ะ..!!


ใต้แสงเทียน
นอกจากวันเกิดกับวาเลนไทน์แล้ว อาทิตย์ไม่เคยลืมวันครบรอบแต่งงานของเธอกับเขา ตลอด 12 ปีที่อยู่ด้วยกันมา อย่างน้อยก็ตลอด 11 ปีก่อนหน้านี้

มินตราจะทำเหมือนเดิมทุกปี เตรียมอาหารที่เขาชอบ จัดแจกันดอกกุหลาบสีชมพู ตั้งเชิงเทียน น้ำทับทิมของเธอและเขา แทนบรรยากาศจิบไวน์ใต้แสงเทียน เพราะทั้งคู่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ส่วนอาทิตย์มักจะชอบหาวิธีเซอร์ไพรส์เธอให้ตื่นเต้น มินตรารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่มีสามีน่ารัก ช่างเอาอกเอาใจ มีแค่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเท่านั้นแหละ ที่...

ครั้งแรกตอนที่เธอได้ยินว่าอาทิตย์เริ่มไปชอบพอกับเด็กฝึกงาน ถึงขนาดพาไปกินข้าวด้วยกันทุกเที่ยงและหลังเลิกงาน เธอยังคิดเข้าข้างเขาว่า ผู้ชายอบอุ่นใจดีอย่างเขาคงเอ็นดูรุ่นน้องและอยากดูแลคนในปกครองให้ได้รับความอบอุ่นใจเหมือนญาติ มินตราพยายามปิดกั้นภาพร้ายๆ ทุกอย่างที่จะเข้ามา ในความคิดของเธอ ใครจะมารู้จักเขาดีกว่าเรา เธอคิด

ทันใดนั้นแสงไฟในห้องดับวูบลง หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ไฟดับเหรอเนี่ย แย่จัง เธอคิดพลางคลำทางแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปด้านนอก ภายนอกกลับมีเพียงความมืดมิด ไม่มีแสงสว่างอื่นเลยแม้เพียงนิด

อะไรกันไฟดับพร้อมกันทั้งกรุงเทพฯ เลย เนี่ยนะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มินตรารู้สึกใจสั่นด้วยความกลัว รอบข้างเงียบสงัดจนใจหาย เธอภาวนาให้สามีกลับบ้านมาเร็วๆ เธอไม่ชอบอยู่คนเดียวในความมืดแบบนี้เลยให้ตายสิ

หญิงสาวได้ ยินเสียงคล้ายคนเดินสวบสาบช้าๆ เธอยืนนิ่ง ตั้งใจฟัง เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนกำลังเดินอยู่ในห้อง ใช่อาทิตย์หรือเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ

มินตราคิดแล้วก็เดินย่องไปหลบที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ครัว ทำยังไงดี ถ้าเป็นคนร้ายฉวยโอกาสเข้ามาตอนไฟดับล่ะเธอจะทำยังไง หญิงสาวตัวสั่น แต่ว่าอาทิตย์ก็ชอบแกล้งเซอร์ไพรส์เธออยู่บ่อยๆ อาจจะเป็นเขาก็ได้นี่นา เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นเหมือนของบางอย่างหล่นกระแทกพื้น ดูเหมือนคนที่เดินเข้ามาจะไม่คุ้นเคยกับข้าวของที่วางในห้อง หญิงสาวคิดพลางนั่งลงคลานที่พื้นและควานหาอะไรสักอย่างเพื่อจะเอาไว้ป้องกันตัวในยามคับขัน เธอควานได้ไม้ถูพื้นและกำด้ามมันกระชับในมือมั่น ถ้าคนร้ายมีมีดหรือปืนอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรไว้สู้เลย

เสียงเดินลากเท้าเหมือนไม่ค่อยมั่นใจใกล้เข้ามาอีกจนกระทั่งหยุดลงที่โต๊ะอาหาร มินตราได้ยินเสียงลากขยับเก้าอี้ จะร้องถามออกไปก็ไม่กล้า ได้แต่ภาวนา ขอให้คนที่เข้ามาเป็นสามีของเธอ ไม่ใช่คนอื่น

แสงสว่างจากเปลวเทียนค่อยๆ สว่างวาบขึ้นจากด้านหลัง มินตรามองเห็นด้วยหางตาก่อนค่อยๆ หันไปและยิ้ม นั่นไงล่ะ เขาจุดเทียนแล้ว เลิกเล่นเป็นเด็กกันเสียที ผู้ร้ายที่ไหนจะมัวมาจุดเทียนบนโต๊ะอาหารกันเล่า มินตราดีใจ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กินข้าวกันเถอะนะอาทิตย์

หญิงสาวค่อยๆ เดินเข้าไปที่โต๊ะอาหาร ภายใต้แสงวับแวมของเปลวเทียน เธอไม่เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ก้มหน้าตัวสั่นเทาอยู่ อาทิตย์อาจจะกำลังกลั้นหัวเราะ ตั้งใจจะแกล้งอะไรเราอีกนะ มินตรายิ้ม

เธอเดินเข้าไปใกล้พอที่จะเริ่มได้ยินเสียงพูดจากปากคอที่สั่นระริกของชายหนุ่ม "ขออัญเชิญดวงวิญญาณหญิงสาวที่เสียชีวิตในห้องนี้ มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน และปรากฏกายให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยเถิด"

นั่นไม่ใช่เสียงของอาทิตย์นี่! ใครกัน เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง!

มินตรามองไปที่บานประตูห้อง ที่เหลือเพียงกรอบประตูและรอยไหม้ดำสนิท มองไปรอบๆ กาย ในห้องของเธอเต็มไปด้วยรอยไหม้และซากสิ่งของถูกไฟจนดำเป็นตอตะโก ซากปรักหักพังกระจายอยู่ทั่วไป

วินาทีแรกๆ เธอสับสน หญิงสาวไม่ได้มีชีวิตอยู่ฟังข่าวรถแก๊สระเบิดที่สี่แยกข้างคอนโดฯ ของเธอ จนเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ คร่าชีวิตของทุกคนที่อยู่ในคอนโดฯ คืนนั้น ใช่รวมทั้งมินตราด้วยในขณะที่เธอยังคงรอคอยสามีกลับมาร่วมฉลองวันครบรอบแต่งงานอย่างใจจดใจจ่อ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มินตรายังคงจัดโต๊ะอาหารและรอคอยให้แสงเทียนสว่างขึ้นอีกครั้ง

หญิงสาวถอนหายใจและยอมรับเป็นครั้งแรกว่าเธอควรจะดีใจที่อาทิตย์กลับห้องดึกกว่าปกติในคืนนั้นและอย่างน้อยเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ แม้จะไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลยอย่างที่เธอแอบคาดหวัง

เอาเถอะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้อุตส่าห์มาชวนเธอดินเนอร์ถึงห้องจะเสียมารยาทได้ยังไง มินตรานึกแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วเลื่อนจานอาหารให้เขา ในขณะที่เด็กหนุ่มตัวสั่นเทา น้ำตาไหลพรากด้วยความกลัว ในขณะที่เธอได้ยินเสียงจากวิทยุสื่อสารติดสติ๊กเกอร์รายการคนล่าผีที่เขาพกมาด้วย

"ตอนนี้ดวงวิญญาณในห้องร้างอยู่ตรงหน้าคุณแล้วค่ะ จินสัมผัสได้ แต่เขามาดี อย่าตกใจ อย่าวิ่ง ตั้งสติไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนะคะ อย่าวิ่งค่ะ ทีมงานของเรากำลังจะเข้าไปช่วยคุณ!"


มือลึกลับ

เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วัน!

แม่กับป้าพรเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่นิสัยการกินสองคนแตกต่างกันมาก ป้าพรเป็นมังสวิรัติ ชอบไปวัดทำบุญ ตรงข้ามกับแม่ผมชอบกินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะสเต๊ก ไก่ย่าง เนื้อโคขุนฯ แม่ชอบชวนผมไปรับประทานเป็นประจำ บางครั้งก็ซื้อมารับประทานที่บ้าน

ครอบครัวของผมกับป้าพร ต่างมีเชื้อสายจีน เดือน 7 ตามปฏิทินจีนหรือเดือนกันยายนตามสากล คนจีนถือกันว่าเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิด จะมีประเพณีทิ้งกระจาด ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณเร่ร่อนและแจกทานให้คนยากไร้ ทางครอบครัวป้าพรเคร่งครัดเรื่องประเพณี แกไม่เคยพลาดที่จะบริจาคสิ่งของเพื่อร่วมประเพณี ทุกปีป้าพรกับครอบครัวจะไปหาซื้อข้าวสาร เครื่องกระป๋อง รองเท้า เสื้อผ้าใหม่ๆ แล้วนำไปบริจาคแวะเวียนไปมูลนิธิต่างๆ (ทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด) ที่จัดให้มีการทิ้งกระจาด แต่ปีนี้นึกยังไงไม่รู้เกิดชวนแม่ไปด้วย ตอนแรกผมก็นึกว่าแม่ต้องปฏิเสธเพราะแม่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้นัก

วันหยุดที่ผ่านมาลูกชายป้าพร ขับรถพาป้าพรกับแม่ไปบริจาคสิ่งของที่มูลนิธิหนึ่งแถวอยุธยา เสร็จเรียบร้อยขากลับก็แวะรับประทานอาหารร้านริมทาง ระหว่างนั่งรับประทานอยู่นั้นมีรถคันหนึ่งขับพุ่งเข้ามาในร้านชนคนบาดเจ็บ และเสียชีวิตไปหลายคน แต่แม่กับป้าพรและลูกชายซึ่งนั่งอยู่โต๊ะแรกด้านหน้าร้านกลับไม่ได้รับบาด เจ็บแม้แต่น้อย

ป้าพรบอกว่าเป็นเพราะเราเพิ่งไปทำบุญมา แม่ไม่เชื่อพูดว่า บังเอิญเราไม่ถูกชนมากกว่า

"ไม่เกี่ยวกันหรอก คนที่ทำบุญก็ถูกรถชนเยอะไป คนเสื้อแดงที่นอนจมเลือด ชั้นจำได้ขับรถเลี้ยวออกจากมูลนิธิมาหลังเรา"

แม่แย้ง แม่บอกผมว่าป้าพรไม่เถียงคงอับจนเหตุผลมาเถียงแม่ ก็เลยเฉยเสีย

เมื่อสองวันก่อนป้าพรชวนแม่ไปงานเทกระจาดของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนี้เรียกว่า ทิ้งกระจาด ทางมูลนิธิทำมาต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 105 แล้ว วันเสาร์ที่ 12 กันยายนที่ผ่านมาถือเป็นวันปิดประตูผี จะมีการทิ้งกระจาดอันเป็นพิธีกรรมที่เสมือนบอกกล่าวการสิ้นสุดของการเท กระจาดปีนี้

ผม แม่ และป้าพรออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เรานั่งรถเมล์ถึงมูลนิธิหน้าสน.พลับพลาไชย ตอนตีห้าครึ่ง รถติดยาวเหยียด คนเยอะมาก ผมเจอคนที่บอกว่ามาตั้งแต่เที่ยงคืนก็มี ป้าพรทักทายคนรู้จักหลายคน ผมถามว่าป้ามาบ่อยหรือ ป้าบอกมาทุกปีแหละ ที่มารับกระจาดนี่ไม่ได้เป็นการแย่งคนยากไร้ ป้าพรมารับตั้งแต่สาวๆ สมัยยังยากจนก็รับมาใช้เอง แต่พอเริ่มลืมตาอ้าปากได้ป้าก็รับมาแล้วให้คนที่ลำบากกว่า ปีนี้เช่นกันผมกับแม่จึงตั้งใจจะร่วมสมทบให้ป้าพรนำไปให้คนที่ลำบากกว่าเราด้วย

เราไปเข้าคิวรับบัตรสีเขียว บัตรนี้จะได้นำไปขึ้นสิ่งของ ป้าบอกสมัยก่อนเป็นไม้ติ้ว ซึ่งก็คือแท่งไม้ไผ่เหลาบางๆ หนาประมาณ 1 ซ.ม. ยาวประมาณ 10 นิ้ว มีตัวเลขหรือตัวอักษรเขียนไว้ ถือไว้พอเสร็จสิ้นพิธีก็นำไปรับของ

"ป้า ฟังผู้ใหญ่เขามา ป้าทันยุคที่เข้าแถวรับของกันตรงๆ เลย คนเยอะแทบจะเหยียบกันตาย ก็เปลี่ยนเป็นการรับบัตรอย่างทุกวันนี้ ซึ่งป้าว่าดีแล้วใครมาก่อนได้ก่อน"

หลังจากพิธีทางศาสนาเสร็จก็มีการแจกของ แถวยาวเหมือนงูขด แต่ทุกคนก็รอกันอย่างยิ้มแย้ม พอถึงคิวเรา เราก็นำบัตรให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่แจกหมวกไม้ไผ่ปีกกว้างคล้ายกระจาดให้คนละใบ แล้วเดินตามกันไปเรื่อยๆ เพื่อรับอาหารแห้ง ข้าวสาร ขนม บะหมี่สำเร็จรูป รองเท้าแตะ ทีละชิ้นๆ จนเต็มล้นหมวกแล้วเราก็กลับไปเทรวมกันในกระเป๋าใบใหญ่ที่ป้าพรเตรียมมา

ป้าพร แม่ และผม รู้สึกเหนื่อยแต่ก็รู้สึกดี ผมแบกกระเป๋าใบใหญ่ลงรถเมล์ที่ป้ายใกล้บ้าน ระหว่างนั้นเองที่เราได้ยินเสียงรถเบรกดังมาก เมื่อผมหันไปก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งตรงมาที่แม่ ช่วงเวลานาทีนั้นเองที่ผมตกใจมากรีบตรงเข้าไปช่วยแม่แต่ไม่ทัน แม่ล้มลง ผมเห็นแม่หัวกระแทกพื้น ใจผมแทบสลาย ผมไปถึงตัวแม่อย่างรวดเร็ว

"แม่เป็นอะไรมั้ย"
แต่แม่กลับลุกขึ้นยืนพลางปัดเสื้อผ้าเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

เด็กหนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซค์รีบตรงเข้าหาแม่พร้อมยกมือไหว้ขอโทษ เขามองแม่อย่างสำรวจไปทั้งตัว แล้วรีบไหว้ไปรอบๆ ท่าทางเขาหวาดกลัวมาก
"มีอะไรพ่อหนุ่ม" แม่ผมกลับตกใจเอง
"ไม่มีอะไรป้า ผมแค่เห็น!"
"เห็นอะไร" แม่รีบแย่งถาม
"ผมเห็นมือเยอะแยะมารองรับตัวป้าไม่ให้ถูกพื้น แม่เจ้าว้อย ถ้าไม่เห็นกะตา เล่าให้ฟังเฉยๆ ผมไม่เชื่อนะนี่ ป้าเล่นของเหรอ ของอะไร บอกผมมั่งดิ"

เด็กหนุ่มพูดยกใหญ่ไม่หยุดให้ใครถามเลย
แม่ยืนงงอยู่ ป้าพรได้โอกาสรีบพูดใหญ่
"ไงชั้นบอกแล้ว ทำบุญได้มากกว่าที่คิดเยอะ"

เมื่อกลับถึงบ้านถามแม่อีก แม่ก็ยังย้ำว่า "แม่ไม่เป็นไรจริงๆ นะ ตอนที่รถพุ่งเข้ามาหาแม่ แม่ล้มลงแต่ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างมารองตัวแม่ไม่ให้โดนพื้น"

หลอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ตุลาคม 2558 19:59:20 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2558 20:16:42 »

.



เซ่นศาล

เรื่องของเรื่องเริ่มจากว่าศาลเพียงตาตรงโค้งร้อยศพเกิดพังถล่มลงมา เพราะมีรถกระบะหลับในพุ่งหลุดโค้งเข้าไปชนจนได้จำนวนศพสะสมเพิ่มขึ้นไปอีก

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาตั้งศาลใหม่เสียที เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาว่าเป็นความรับผิดชอบของใคร ญาติผู้เสียชีวิตล่าสุดก็ดูท่าไม่ค่อยสนใจเชื่อถือเรื่องนี้นัก

หลังจากตำรวจมายกรถและผู้เสียชีวิตออกไปจากพื้นที่ และทำแบร์ริเออร์พลาสติกใหม่แทนอันที่พังแล้ว ซากศาลเพียงตาเก่าก็ยังกองอยู่อย่างนั้นอีกหลายวัน ชาวบ้านแถวนั้นหลายคนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเชื่อว่าดวงวิญญาณที่พากันมาตายตรงโค้งร้อยศพจะไม่มีที่สิงสถิต และอาจจะทำให้เกิดเรื่องน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

เลยเริ่มมีผู้กล้าเข้ามาจัดการเก็บกวาดพื้นที่ตั้งศาลเดิมเพื่อเตรียมทำพิธีตั้งศาลเพียงตาให้กับดวงวิญญาณที่มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่นี่ แต่เพียงในคืนนั้นเองบรรดาผู้ที่เข้ามาช่วยเก็บกวาดตรงนั้นต่างพากันนอนผวาทั้งคืน เพราะแต่ละคนล้วนเจอเรื่องแปลกๆ บางคนเจอผู้หญิงท้องแก่มายืนมองหน้าที่ปลายเท้ายันเช้าขยับตัวก็ไม่ได้ บางคนเจอร่างเงาดำๆ มายืนเหยียบอยู่ที่หน้าอก บางคนได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า อย่ามายุ่ง ไปให้พ้น

เช้ามาทุกคนเลยมารวมตัวกันตรงศาลอีกที แล้วคุยกันว่าเพราะอะไรเหตุอาเพศดังกล่าวจึงเกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่พวกเขามีเจตนาดี ตั้งใจจะช่วยสร้างศาลขึ้นมาใหม่แท้ๆ ดวงวิญญาณที่ประสบอุบัติเหตุบริเวณนั้นจะได้มีที่สถิตแล้วก็รับของเซ่นไหว้หรือส่วนบุญได้ตามความเชื่อ ประชุมกันไปมาจนได้ข้อสรุปที่คาดเดากันเองว่าดวงวิญญาณอาจจะตั้งใจมาขอบคุณ และเร่งให้สร้างศาลเร็วๆ สรุปได้แล้วพวกเขาก็นำศาลเพียงตาหลังใหม่ที่ซื้อจากเงินระดมทุนของชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาวางที่บริเวณศาล เพื่อรอพิธีพราหมณ์ในวันรุ่งขึ้น

คืนนั้นทุกคนที่พยายามจะกอบกู้ศาลเพียงตาขึ้นมาใหม่ก็ยังคงเจอเหตุการณ์แปลกๆ จนแทบนอนไม่ได้อีกเช่นเคย ทุกบ้านเจอเหมือนกันหมด คือได้ยินเสียงคนมาร้องไห้หน้าประตูบ้าน และเสียงทุบประตูปึงปังเกือบทั้งคืน แต่ไม่มีใครหน้าไหนกล้าลุกมาเปิด แถมหมาที่เลี้ยงไว้ยังพร้อมใจกันหอนรับกันเป็นทอดๆ ไม่ขาดสายราวกับอยู่ในแดนต้องคำสาป

"อะไรมันจะเฮี้ยนกันขนาดนี้วะ" ใครคนหนึ่งบ่นในเช้ารุ่งขึ้น
"นั่นสิ ผมว่าเรารีบๆ สร้างให้มันเสร็จๆ เร็วๆ กันดีกว่า"

ทันที ที่รถไปรับพราหมณ์มาประกอบพิธีตั้งศาลเข้ามาจอดในบริเวณทางโค้งร้อยศพ จู่ๆ ฝนก็เทลงมาราวกับฟ้าขาด แถมยังมีลมพัดกระโชกแรงราวกับพายุจนทุกคนในบริเวณนั้นต้องพากันหนีกระเจิดกระเจิง พราหมณ์ที่เชิญมาก็เกิดปอด ขอถอนตัวไปซะอย่างงั้น จนไม่ค่อยมีใครกล้ามายุ่งกับศาลบริเวณนั้นไปอีกหลายวัน

แต่เนื่องจากความรู้สึกไม่สบายใจของชาวบ้านบริเวณนั้น ที่ปกติเคยมีที่พึ่งทางใจให้บนบานศาลกล่าวและกราบไหว้บูชา รวมถึงขอเลขเด็ดขอโชคขอลาภ ก็เลยพากันไปนิมนต์พระมาทำบุญใหญ่ที่บริเวณทางโค้ง และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบริเวณโค้งนี้กันอีกครั้ง

แต่เพียงพระสงฆ์ทำพิธีเสร็จกลับไป และชาวบ้านเตรียมสถานที่จะตั้งศาลเพียงตาอีกครั้ง ก็เกิดลมพัดแรงจนกิ่งไม้กิ่งใหญ่หักลงมาฟาดเสาของศาลเพียงตาที่วางนอนไว้จนหักครึ่ง คนที่ยืนกันรอบบริเวณนั้นกระโดดหนีกันแทบไม่ทัน

"โว้ย มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย" บางคนตะโกนออกมาด้วยความเหลืออด

บางคนเสนอให้ลองไปปรึกษาคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านดู ไปลงเอยที่ยายน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นหมอสมุนไพรกลางบ้าน ยายน้อยเลยให้พาแกมาดูที่ตั้งศาล ชี้ถามว่าป้ายที่เขียนคำอธิษฐานเซ่นไหว้นั้นเขียนไว้ว่ายังไง

"ก็ปกตินะยาย ก็ขออุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณของผู้ที่มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตบริเวณนี้ทุกดวง"

ยายน้อยได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าทันที "เออ กูรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมมึงตั้งศาลใหม่กันไม่ได้สักที"

ยายน้อยเล่าว่า คนเก่าๆ เขาจะรู้ดีว่าเวลาที่เราเซ่นผีหรืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล เขาจะต้องเอ่ยให้ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งสัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน ผีเปรต ผีตายโหง ทั้งหมดที่สามารถรับส่วนบุญหรือของเซ่นไหว้ได้ ให้มารับไปทั่วๆ กัน

"พวกมึงเล่นมาตั้งศาลให้เฉพาะคนที่ตายเพราะอุบัติเหตุโค้งนี้ แล้วมึงไม่คิดบ้างเหรอว่าเวลาเอาของมาเซ่นไหว้ผีที่มันไม่ได้รับของเซ่นต้องมายืนดูผีใหม่ๆ มันกินกันโดยที่ตัวเองไม่ได้บ้างนี่มันจะรู้สึกยังไง มึงไม่คิดกันบ้างหรือไงว่าถนนตรงนี้เพิ่งตัดมาได้ไม่ถึงสามสิบปี แล้วก่อนหน้านี้แถวนี้มันไม่มีผีตายโหงผีเร่ร่อนบ้างหรือไง มึงรีบไปแก้ป้ายกันใหม่เลย"

หลังจากนั้นเลยมีการทำพิธีตั้งศาลใหม่ เขียนป้ายใหม่ และตั้งศาลเพียงตาขนาดใหญ่ขึ้นมาแทนที่ศาลเก่า และไม่มีเรื่องสยองขวัญน่ากลัวอะไรเกิดกับคนในพื้นที่อีก แถมอุบัติเหตุที่โค้งร้อยศพยังลดลงอีกด้วย แต่เรื่องนี้ยายน้อยแกว่าคงไม่ใช่เพราะศาลหรอก น่าจะเพราะไฟประดับศาลที่สว่างโร่ตลอดคืนนั่นมากกว่า


ภาพถ่ายใบหนึ่ง
ริคุ เป็นเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ชอบมาเมืองไทยพักผ่อนทุกปี โรงแรมที่เขาจะมาพักทุกครั้งก็คือโรงแรมเล็กๆ ในเมืองใกล้บ้านผมที่มีห้องเพียง 20 ห้อง ห้องหมายเลข 109 คือห้องที่เขาใช้พักตลอดเวลาที่มาเมืองไทย เจ้าหน้าที่ของโรงแรมคุ้นเคยกับริคุ

ก่อนจะเดินทางมาเขาก็จะแจ้งล่วงหน้า ทางผู้จัดการก็จะสั่งพนักงานเตรียมห้องให้พร้อม ครั้งล่าสุดนี้ริคุมาเมืองไทยแบบเงียบๆ ไม่บอกผม

หลังจากเดินทางมาถึงเมืองไทย ก่อนเข้าพักที่โรงแรมเขาก็มาหาผมที่บ้าน ผมกำลังเตรียมน้ำเต้าหู้สำหรับขายตอนเย็นอยู่พอดี ริคุมีสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะพูดกับผมว่า "บัณฑิตๆ ผมเจอภาพนี้ในกระเป๋าเสื้อด้วย" ว่าพลางหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งจากเสื้อแจ๊กเกตที่สวมให้ดู

"แล้วมันแปลกยังไง ผมไม่เข้าใจ" ผมถาม
"คุณพูดเหมือนมันอยู่ดีๆ ก็มาอยู่ในกระเป๋าเสื้อของคุณเอง"
"ใช่ๆ บัณฑิตพูดถูก" ริคุมีสีหน้าแปลกๆ
"คงมีใครเอามาใส่ในกระเป๋าของคุณมั้ง"
"ตลอดเวลาบนเครื่อง ผมไม่ได้ถอดแจ๊กเกตออก แล้วผมก็ไม่ได้หลับไม่ได้เผลองีบด้วย"
"คนนั่งติดกับคุณน่าสงสัยไหม เขาอาจจะแอบใส่กระเป๋าเสื้อคุณ"
"ผมแค่สงสัยว่าทำไมต้องเอามาใส่ในเสื้อผม ทำไมต้องเป็นรูปถ่ายด้วย ทำไมไม่เป็นอย่างอื่น"

ริคุพูดพลางเบ้ปากยักไหล่ "ไม่มีอะไรหรอก ผมคงสงสัยมากๆ ก็เลยถาม อาจจะเพราะผมไม่ได้คุยกะใครเรื่องนี้ เลยติดอยู่ในใจ ไม่มีอะไรหรอก ผมคงกังวลไปเอง ว่าไปเธอก็สวยดีนะ"

ริคุมองภาพถ่ายพลางยิ้ม แล้วก็ช่วยผมเข็นรถขายน้ำเต้าหู้ แถมยังช่วยยืนขายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่าขอตัวไปหาอะไรกิน

ริคุกลับมาพร้อมผัดไทยใส่กล่อง คีบตะเกียบกินไปคุยกันไปสารพัดเรื่องตอนไม่มีลูกค้า

ริคุพูดภาษาไทยได้ดีเพราะเขาเรียนมาจากญี่ปุ่นและมาเรียนเพิ่มเติมที่เมืองไทย จนเรียกได้ว่าชัดเจน ถูกอักขระ ร.เรือ ล.ลิง คำควบกล้ำ ฟังดูไม่เหมือนคนต่างชาติพูดไทยเลย

สองทุ่มน้ำเต้าหู้ผมหมด เราไปกินเย็นตาโฟกันคนละชาม แล้วเขาบอกว่าจะขอตัวไปพักผ่อน พรุ่งนี้จะไปพิษณุโลก เขาอยากไปวัดพระพุทธชินราช ผมเดินไปส่งเขาที่โรงแรม

โรงแรมเล็กๆ ที่มีสภาพด้านหน้าเหมือนตึกแถว ด้านหน้าโรงแรมมีเก้าอี้หินอ่อนตัวหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า เราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนนั้นก็มืดแล้วล่ะ ไฟหน้าโรงแรมก็ไม่ค่อยสว่าง แล้วผู้หญิงคนนั้นที่กำลังก้มหน้าก็เงยหน้าพลางยกมือไหว้ริคุ

ริคุมองตอบอย่างแปลกใจและมีสีหน้าราวกับกำลังนึกบางอย่างอยู่ เขาเดินเข้าโรงแรม แต่สีหน้ายังคงครุ่นคิด ฉับพลันเขาหันมาพูดอย่างละล่ำละลัก "นึกออกแล้ว ผู้หญิงคนนี้เหมือนในรูปถ่ายเลย"

ริคุรีบล้วงภาพถ่ายใบนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ดู แล้วก็หันหลังเดินกลับไปทางหน้าโรงแรม ผมเองยังงงๆ อยู่แต่ก็ตามไป

ที่หน้าโรงแรมไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว ริคุหันซ้ายหันขวาแล้ววิ่งไปทางหนึ่ง ผมเองวิ่งตามอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ริคุวิ่งกลับมาทางหน้าโรงแรมอีกเมื่อไม่พบผู้หญิงคนนั้น แล้วก็วิ่งไปอีกทาง คราวนี้ผมไม่ได้ตามไป ริคุหอบแฮกๆ กลับมาทางหน้าโรงแรม ผมได้ยินเขาบ่น

"คุณจะตามหาไปทำไม" ผมถาม

ริคุทำหน้าคิด "นั่นน่ะสิ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม" ทันใดนั้นเองก็มีรถอาสากู้ภัยมาจอด เสียงหวอๆ ของสัญญาณไซเรนดึงสายตาของหลายคู่ให้หันมามอง เจ้าหน้าที่ของโรงแรมออกมากันหลายคน เจ้าหน้าที่กู้ภัยออกมาจากรถพร้อมอุปกรณ์ผ้าขาว และอะไรอีกสองสามอย่างที่ผมไม่แน่ใจ "อ้อ คุณริคุมาพอดี" ผู้จัดการโรงแรมเอ่ยปากพลางยกมือไหว้ ริคุ "อืม มีปัญหาเล็กน้อยกับห้องของคุณ คุณริคุเปลี่ยนไปพักห้องอื่นได้ไหมครับ พอดีเกิดเรื่องกับห้อง 109 ที่คุณพักประจำ" เราสองคนไม่เข้าใจ มองหน้ากัน

เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่ให้เราเข้าไปโรงแรม ตอนนั้นที่ตำรวจเดินทางมาถึงพอดี ผู้จัดการโรงแรมพูดกับตำรวจพลางมองหน้าผมกับริคุอย่างเกรงอกเกรงใจ

"ข้างใน อืม ห้อง 109 ครับ ผูกคอกับลูกบิด"

"ขอรายละเอียดมากกว่านี้" ตำรวจพูดพลางเงยหน้าสบตาผู้จัดการที่มองเราสองคนอย่างไม่ค่อยอยากพูดนัก ทันใดนั้นเองที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยแบกศพผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ใบหน้าเจ้าของศพนั่นเองที่ทำเราตกใจ โดยเฉพาะกับริคุเขาแทบจะเป็นลม หลังจากเขาชี้นิ้วไปที่ศพ "คนที่เจอหน้าโรงแรมตะกี้ คนในรูป" ทั้งตำรวจกู้ภัย และผู้จัดการโรงแรมและพนักงานอีกหลายคนหันมามองเราสองคนเป็นตาเดียว ผู้จัดการพูดว่า "เป็นไปได้ไงครับ เธอผูกคอตายในห้อง น่าจะตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะเธอมาพักตั้งแต่เมื่อคืน ต้องขอโทษคุณริคุด้วย พอดีห้องเราเต็ม เธอเองก็บอกว่าพักคืนเดียว จะเช็กเอาต์ออกแต่เช้า บ่ายเราเห็นเธอไม่เช็กเอาต์ เพราะต้องเตรียมห้องให้พร้อมสำหรับคุณริคุ เมื่อเข้าไปจึงเห็นเธอผูกคอตายไปแล้ว"

ผมพูดกับริคุภายหลังว่า เธอคงจะมาขอโทษล่ะมั้ง จึงได้ยกมือไหว้อย่างนั้น แต่ที่ยังคงสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ภาพถ่ายมาได้อย่างไรและทำไมต้องใส่ในแจ๊กเกตของริคุด้วย
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 06 พฤศจิกายน 2558 19:17:18 »

.


เสลี่ยงเจ้านาง

"ขบวนแห่เสลี่ยงเจ้านางน้อยและเจ้าเมืองเคลื่อนออกจากวังแต่เช้าตรู่ เจ้าเมืองไม่ได้บอกแก่เจ้านางน้อยว่าการเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์อื่นใด นอกจากจะพาไปเที่ยวชมป่า เจ้านางน้อยจึงคลายใจและอยู่ในอารมณ์ร่าเริงสดใสตามวัยของนาง นางยังคงพูดจาหยอกล้อเล่นกับหนานอิน ทาสหามเสลี่ยงที่นางแอบคบหาในฐานะคนรักตามปกติ หนานอินเองก็ดูมีความสุขและดูร่าเริงเช่นเดียวกัน ทั้งคู่สบายใจขึ้นมากหลังจากที่ได้สารภาพความจริงต่อเจ้าเมืองไปแล้วว่ามีใจให้กันมานาน แต่เจ้าเมืองกลับไม่ได้ด่าทอลงโทษหรือแสดงอาการไม่พอใจอย่างอื่น

ทั้งสองหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเมืองเจ็บแค้นและอับอายมาก เพราะแต่เดิมหมายใจให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนที่มีชาติตระกูลสูงทัดเทียมกันที่ได้จัดเตรียมเจรจาเอาไว้ แต่จู่ๆ เจ้านางน้อยกลับร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมแต่งกับคนที่พ่อแม่มองให้ กลับมาใฝ่ต่ำลักลอบมีความสัมพันธ์กับทาสหามเสลี่ยงสกปรกอย่างไอ้หนานอิน

เจ้าเมืองเก็บอาการคับแค้นใจไว้ พยายามเกลี้ยกล่อมเจ้านางน้อยให้รับฟังเหตุผลและความเหมาะสม แต่เป็นตายอย่างไรเจ้านางน้อยก็ไม่ยอมรับฟังซ้ำขู่จะฆ่าตัวตาย เจ้าเมืองเลยวางอุบายหลอกพาเจ้านางน้อยและทาสหนานอินออกไปเที่ยวป่า

เมื่อถึงกลางป่าลึก เจ้าเมืองก็ให้ลูกน้องคู่ใจ เรียกหนานอินให้ออกไปกู้แร้วในป่าลึกตามแผนเพื่อลอบฆ่า แต่เจ้านางน้อยเกิดเอะใจรู้ทันจึงร้องห้าม หนานอินจึงไม่ยอมไป เจ้าเมืองเห็นเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ จึงโมโห มีปากเสียงกับเจ้านางน้อยอย่างรุนแรง ยิ่งเจ้านางน้อยยื่นคำขาดว่าชาตินี้ถ้าไม่ได้กับหนานอินก็จะไม่ยอมแต่งงานกับใคร เจ้าเมืองก็บันดาลโทสะให้บริวารที่ตามมาจับหนานอินตัดคอจนขาดกระเด็นต่อหน้าต่อตาเจ้านางน้อย

เจ้านางน้อยตกใจจนนิ่งอึ้งไป เจ้าเมืองได้สติและตกใจกลัวว่าเจ้านางน้อยจะเสียใจจนฆ่าตัวตายตามคำขู่ พยายามปลอบใจว่าต่อไปนี้ขอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากได้อะไรพ่อจะหาให้ทุกอย่าง เพียงครู่เดียวเจ้านางน้อยคนงามก็สะบัดตัวออกจากทาสที่ยึดนางไว้ วิ่งเข้าไปหาหัวของหนานอินเอามากอดแนบอก และคว้าปิ่นปักผมบนหัวแทงคอตัวเองจนขาดใจตายตามคนรักไปอีกคน

เจ้าเมืองตกใจและเสียใจจนคลั่ง ทั้งด้วยความรู้สึกผิด จึงสั่งให้บริวารช่วยกันขุดหลุมฝังศพหนานอินและเจ้านางน้อยไว้ด้วยกันเพื่อขอโทษ และต่อมากลัวว่าลูกสาวจะไม่มีข้ารับใช้ในปรโลก เลยสั่งให้ฆ่าตัดหัวทาสแบกเสลี่ยงของเจ้านางน้อยลงฝังไปเป็นบริวารให้ด้วย"

"โหด สัส" อ๋องร้องอุทานออกมาเมื่ออี๊ดอ่านตำนานขบวนแห่ไร้หัวของเจ้านางน้อยจากวารสารรับน้องใหม่ ของมหาวิทยาลัยให้ฟัง "ตัดหัวทาสทั้งขบวนเลยเนี่ยนะ"

"ใช่ดิ" อี๊ดว่า "แล้วแกอย่าเพิ่งเบรก นี่คือแค่เริ่มต้น ยังไม่ถึงจุดพีก"
"เออๆ รีบว่ามาดิ" เพื่อนคนอื่นๆ ที่ฟังอยู่ด้วยเร่งให้อี๊ดเล่าต่อ
"เขาว่ากันว่า หลังจากนั้น ทุกปีในคืนเดือนดับกลางฤดูร้อนของเดือนแปด ยังมีคนเห็นและได้ยินเสียงขบวนเสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อยเดินออกมาจากป่า เข้ามาในเมืองพร้อมเสียงผู้หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ว่ากันว่าห้ามออกจากบ้านมาเด็ดขาด ใครได้ยินต้องรีบปิดประตูเข้าบ้านจนกว่าขบวนจะผ่านไป มีบางคนที่แอบดูตามหน้าต่างเขาว่าเป็นขบวนเสลี่ยงคานหาม ที่มีผู้หญิงใส่ชุดเจ้านางโบราณนั่งร้องไห้อยู่บนเสลี่ยงกอดหัวของผู้ชายคนหนึ่งไว้บนตัก โดยทาสที่แบกเสลี่ยงและที่เดินตามขบวนนั้นไม่มีหัวสักคน"

หลายคนครางฮือออกมา "หึย ขนลุกเลย สยองว่ะ"

"โอ๊ย...ไอ้ พวกบ้า พวกมึงเชื่อกันด้วยเหรอ" อ๋องพูดพลางหัวเราะ "ที่ไหนก็มีกันทั้งนั้นแหละ เรื่องผีเอาไว้อำน้องใหม่ แล้วถ้าเกิดมีจริงนะ เจ้านางอะไรที่ว่านั่นตายมาเป็นร้อยปีละมั้ง ป่านนี้กลายเป็นตลาดนัด เป็นห้าง เป็นลานจอดรถอะไรไปแล้วมั้ง"

อี๊ดมองหน้าอ๋องแบบหมั่นไส้ "ทำเป็นรู้ดี ถ้าเป็นอย่างงั้น รุ่นพี่ๆ เขาคงไม่เอามาลงวารสารแจกน้องใหม่หรอก นี่ เส้นทางเดินของขบวนเสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อย เริ่มต้นจากแถวหลังตึกบัญชีไปถึงหอนาฬิกากลางในมหา'ลัยของเรานี่แหละ แล้วที่เขาเอามาลง เพราะมีอยู่หลายปี ที่มีนักศึกษาได้ยินเสียงขบวนแห่ วิ่งออกมาดูกลางดึก แล้วหายสาบสูญไปเฉยๆ มีคนเล่าว่า ช่วงปีท้ายๆ ในขบวนแห่เสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อยไม่ได้มีแค่คนที่แต่งชุดโบราณเท่านั้น แต่มีคนแต่งชุดนักศึกษาแต่หัวขาดเดินร่วมอยู่ในขบวนด้วย ว่ากันว่าคนที่ออกไปดูขบวนแห่ของเจ้านางต้องโดนอาถรรพ์ ถูกเอาตัวเข้าไปร่วมในขบวนแห่เจ้านางน้อยด้วย"

"เหวออออ" หลายคนร้องขึ้น "หลอนสุดเลยว่ะ เออของแบบนี้คนพื้นที่เขาเชื่อเราก็ไม่ควรลบหลู่นะ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม"

"พวกมึงนี่เรียนวิทย์กันได้ไงวะ" อ๋องยังคงทำหน้าไม่เชื่อ
"เดือนแปดไทยคือเดือนนี้พอดีใช่ไหม เอาดิคืนเดือนมืดนี้เรามาพิสูจน์กัน"

เรื่องมันเกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนอยู่ปี 1 แต่พวกเราที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่มีใครลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้เลยสักคน

อ๋อง ทำอย่างที่ว่าไว้จริงๆ คือขออนุญาตอาจารย์พาเพื่อนๆ อีกแปดคนมาจัดบอร์ดนิทรรศการของรายวิชาหนึ่ง ที่ใต้ตึกคณะในตอนกลางคืนในคืนเดือนดับ ทั้งๆ ที่งานไม่ได้เร่งรีบมากนัก ทุกคนรู้ดีว่าเจตนาของการมาครั้งนี้คืออะไร แม้บางคนจะกล้าๆ กลัวๆ แต่ในที่สุดแล้วความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า ก็เลยพากันมาเป็นโขยงทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง หลายคนพกเครื่องรางของขลังมาด้วย แต่โดนอ๋องเก็บหมด

"เราจะมาดูผีถ้าพวกแกพกพระมาผีที่ไหนจะกล้าออกมาให้ดูแมนๆ หน่อยสิวะ" อ๋องพูดใส่หน้าเพื่อนทั้งชายและหญิงพลางเก็บพระและเครื่องรางใส่ย่าม เอาไปซ่อนไว้ที่ชั้นบน

กลางดึก อากาศร้อนอบอ้าว เมฆใหญ่เคลื่อนต่ำจนเสียงพูดก้องสะท้อนไปมา เหมือนฝนกำลังจะตก แต่ก็ไม่ตก บรรยากาศในคืนนั้นมีเพียงความเงียบสนิท ไม่มีแม้เสียงแมลงกลางคืน ในคืนเดือนดับ กลุ่มนักศึกษาใหม่อาศัยแสงไฟนีออนใต้ตึกคณะช่วยกันจัดบอร์ดอย่างสงบเสงี่ยม ผิดปกติ เหลียวหน้าแลหลังด้วยอาการหวาดระแวงเป็นระยะ บางคนเริ่มบ่นว่าไม่น่าหาเรื่องมาเลย

เวลาล่วงเลยไปถึงราวเที่ยงคืนครึ่ง ตอนนี้อากาศที่อบอ้าวเริ่มเย็นลงมาก แต่ยังคงมีความรู้สึกที่ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทุกคนรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่มีพลังอัดแน่นอยู่ในบรรยากาศที่มองไม่เห็น กลิ่นน้ำปรุงแป้งร่ำและกำยานผสมปนเปโชยมาโดยไม่รู้ที่มา รุนแรงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อ๋องเริ่มโวยวายว่าใครฉีดน้ำหอม ใครจุดกำยาน แกล้งกันหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครทำ เพราะตอนนี้ทุกคนกระชับวงล้อมมาเกาะกันแน่นอยู่ตรงกลางครบแล้ว

ไม่ทันขาดคำนั้น เสียงสะอื้นฮักๆ เหมือนคนหัวใจสลายแว่วมาแต่ไกล
"ใครได้ยินบ้างวะ" อี๊ดกระซิบถามเบาๆ ทุกคนพยักหน้าเงียบกริบ

อ๋องทำหน้าไม่พอใจ "กูว่ารุ่นพี่อำแน่นอนไม่เชื่อพวกมึงคอยดู"

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังใกล้เข้ามาจนสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ กลุ่มนักศึกษาที่กระจุกเป็นก้อนกลมกันอยู่ใต้ตึกใกล้ลานหอนาฬิกายิ่งเบียดกันเข้าไปอีก

ทันใดนั้น ฟ้าแลบวิ่งเป็นเส้นแตกลายบนก้อนเมฆส่องสว่างจนตาพร่า เสียงฟ้าร้องครืนครันคำรามลั่นกระหึ่ม ไฟฟ้าที่ส่องสว่างให้ความอุ่นใจดับวูบลงพร้อมกันทั้งบริเวณมหาวิทยาลัย

หลายคนหวีดร้องแต่ก็โดนอีกหลายคนรีบเอามือปิดปากไว้ ราวกับกลัวว่าเสียงร้องจะดังไปถึงหูใครบางคนที่กำลังตรงมาทางนี้

หลังจากนั้นเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาทางหอนาฬิกา เดินเป็นจังหวะพร้อมๆ กัน บนถนนมีร่างคล้ายมนุษย์เรืองๆ เดินกันมาเงียบๆ เป็นขบวน กลางขบวนมีเสลี่ยงคานหามลักษณะเหมือนของใช้ของผู้มีชาติตระกูล มีหญิงสาวในเครื่องแต่งกายโบราณงดงาม มวยผมสูง นั่งคู้ตัวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนนั้น และยิ่งขบวนเคลื่อนมาใกล้เข้า ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ผู้ร่วมขบวนที่หามเสลี่ยงมาในชุดนุ่งผ้าผืนเดียวเปลือยท่อนบนทุกคน ล้วนแล้วแต่ไม่มีหัว!

หลายคนกลัวกันจนตัวสั่นบางคนร้องไห้และเริ่มสวดมนต์ แต่อ๋องเหมือนกลัวจนสติหลุด หรือกลัวเสียหน้า หรืออย่างไรไม่ทราบได้ มันลุกขึ้นตะโกนลั่น "กูไม่กลัวพวกมึงหรอกเว้ย อย่าคิดว่าเป็นรุ่นพี่ จะแกล้งทำอะไรกับกูก็ได้นะ"

"เฮ้ย อ๋องเบาๆ ดิวะ มึงไม่กลัวแต่คนอื่นเขากลัว"

อ๋อง ยิ่งดูโมโหมากขึ้น "กูจะออกไปลากมาให้มึงดูกันเอง ว่าไอ้พวกนี้เป็นคน ไม่ใช่ผี" มันว่าแล้วก็วิ่งออกไปนอกตัวอาคารตรงไปยังขบวนแห่ไร้หัวนั้นอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของเพื่อนๆ

บางคนจะวิ่งตามออกไป แต่อี๊ดก็ดึงตัวไว้

"อย่าไป เขาบอกไว้ว่า ถ้าอยู่ใต้ชายคาจะปลอดภัย ถ้าออกไป..."

แต่ตอนนั้น อ๋องวิ่งหายไปในความมืดแล้ว มันวิ่งเข้าไปหาทิศทางของขบวนแห่ ก่อนที่ฟ้าจะแลบสว่างวาบอีกครั้ง ตามด้วยเสียงคำรามดังลั่นจนพื้นสะเทือน และพายุทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำลงมาเหมือนฟ้าขาด พัดต้นไม้และป้ายต่างๆ ปลิวว่อน ทำให้พวกเราต้องหนีขึ้นไปหลบพายุบนตึก

หลังจาก เรื่องคืนนั้นก็ไม่มีใครได้เจออ๋องอีกเลย เป็นเรื่องน่าประหลาดยิ่ง ไม่ว่าจะตามหากันด้วยวิธีใด ไม่พบแม้ร่องรอย หรือแม้แต่ศพที่จะมีลักษณะใกล้เคียงกับอ๋อง

หลายปีผ่านไป ยังคงมีคนพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาใหม่ๆ ที่ชอบลองของ ว่ากันว่า หลายต่อหลายรุ่นต่อจากรุ่นไอ้อ๋อง มีคนเห็นขบวนเสลี่ยงเจ้านางน้อยที่เต็มไปด้วยทาสไร้หัว เดินผ่านทางเดิมทุกปี

แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือบางคนยืน ยันว่าเห็นร่างคนในชุดนักศึกษาชายไม่มีหัวเลือดแดงฉานไปทั้งเสื้อเดินร่วมอยู่ในขบวนแห่ด้วย พวกเราก็ไม่พยายามจะคิดหรอกว่ามันเกี่ยวกับการหายตัวไปของไอ้อ๋องอย่างไร แต่ให้พิสูจน์อีกคงไม่เอาแล้ว
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2558 19:52:26 »

[size=1.pt][/size]



โป้งแปะ
เคยเล่นซ่อนหากันไหม ผมว่าทุกคนที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ตอนนี้ น่าจะเคยเล่น อย่างน้อยก็เมื่อสมัยเด็กๆ ระทึกที่สุดคือตอนที่เราเป็นคนซ่อนแล้วเพื่อนคนที่หาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นเราอาจจะหลับตาปี๋ พยายามขดตัวให้เล็กที่สุด อาจจะกลั้นหายใจด้วย แล้วก็ภาวนาขออย่าให้เจอเลย เพราะตาหน้าไม่อยาก "เป็น"

ตลกดีนะครับ ตอนเด็กๆ มีหลายเกมส์เลยทีเดียวที่จะเรียกสถานะของคนแพ้ว่า "ตาย" โป้ง! แกตายแล้ว ตาต่อไปแกเป็นนะ หมายความว่าคนที่ตายต้องไปเป็นตัวเล่นในบทบาทที่ไม่มีใครอยากเล่นในตาต่อไป เป็นคนหาในเกมซ่อนหา เป็นอีกาในเกมอีกาฟักไข่ เป็นผีในเกมตะล็อกต๊อกแต๊กมาทำไม ไปเป็นลิงในเกม ลิงชิงบอล

ตอนนี้ผมโตแล้ว ไม่ได้เล่นเกมซ่อนหามาสักยี่สิบปีได้แล้วมั้ง เพิ่งจะมามีวันนี้แหละที่ผมต้องลุ้นระทึกอีกครั้ง แต่ในสภาวะที่ตรงกันข้าม คือผมดันตายก่อนที่จะซ่อน และพยายามลุ้นให้ใครสักคนหาผมเจอสักที

วันนี้ ผมไม่ได้ขดตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าหรือตามมุมมืดๆ ของบ้านแล้วเอาผ้าคลุมไว้ ด้วยเทคนิคบ้องตื้นแบบเด็กๆ ศพของผมถูกซ่อนและอำพรางไว้อย่างดีในมุมหนึ่งของบ้าน ผมซ่อนมาห้าวันเต็มแล้ว และดูจะยังไม่มีใครมาเอะใจตามหาแถวนี้เลยสักคน

หลังจากแจ้งความคนหายแล้ว ภรรยาของผมก็ดูกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อหน้าตำรวจที่เข้ามาซักถามและขอเข้ามาเก็บหลักฐานภายในบ้าน เธอแสดงได้แนบเนียนไม่มีที่ติ โดยเฉพาะตอนที่น้ำตาร่วงเผาะๆ ด้วยความเป็นห่วงสามีสุดที่รัก ทำเอาพวกตำรวจพากันแสดงความเห็นใจปลอบใจกันใหญ่

เธอว่าผมหายตัวไปในเช้าวันหนึ่ง เธอนึกว่าออกไปทำงานตามปกติ แต่เมื่อเดินออกมากลับเห็นรถจอดอยู่หน้าบ้าน ยังอยู่กระทั่งรองเท้า กระเป๋าสตางค์และมือถือ เธอพยายามไล่ถามญาติพี่น้องของผม เพื่อนฝูง เพื่อนที่ทำงาน ไม่มีใครพบผม ทุกคนขาดการติดต่อกับผมตั้งแต่คืนก่อนหน้านั้น ซึ่งผิดปกติอย่างยิ่ง

เธอว่าเธอตามหาเองอยู่สองวัน เห็นว่าท่าไม่ดีแน่จึงแจ้งความ เธอใจคอไม่ดีเลยเกรงจะเกิดอันตรายกับผม

ตำรวจนายหนึ่งทำจมูกฟุดฟิด ว่าได้กลิ่นอะไรฉุนๆ ภรรยายิ้มแล้วรีบตอบว่าเธอมีอาชีพหมักปลาแดก (ปลาร้า) ขายที่โอ่งหลังบ้านมีสองโอ่ง เธอยังใจดีว่าจะตักปลาแดกหอมลองให้คุณตำรวจทั้งสี่นายไปชิม พลางกุลีกุจอวิ่งหยิบถุงพลาสติกกับทัพพีเดินดุ่มมาที่หลังบ้าน

ตำรวจทั้งหมดเดินตามมา มองดูเธอเปิดโอ่งปลาแดกหอมที่เธอว่าหมักด้วยเนื้อปลาช่อนอย่างดี หากนำไปปิ้งหรือทอดจะส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาก ว่าแล้วตักปลาแดกหอมชิ้นโตๆ ใส่ลงถุงอย่างคล่องแคล่วแม้มือจะสั่นด้วยความตื่นเต้น

ไอ้ป๊อด หมาพุดเดิ้ลที่ภรรยาเลี้ยงไว้เห่าไม่หยุดปาก ถ้าไม่ติดเชือกที่ล่ามไว้มันคงวิ่งเข้ามาถึงนี่นานแล้ว ตอนนี้ภรรยาผมคงนึกอยากเตะมันสักสองป้าบให้สงบปากลงบ้าง

"เลี้ยงพุดเดิ้ลด้วยเหรอครับ" ตำรวจหนุ่มหน้าตี๋รายหนึ่งว่า พลางนั่งลงใกล้ๆ ไอ้ป๊อดโดยไม่มีท่าทางหวาดกลัว "หมาผมก็สีแบบนี้เลย หวัดดีๆ ว่าไงไอ้ตัวเล็กน่ารักจริง ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเล้ย"

แต่แล้วไอ้ป๊อดก็หลุดจากเชือกล่าม วิ่งตรงมาที่โอ่งอีกใบ ยืนตะกุยแล้วเห่าเอาเป็นเอาตาย พยายามจะแจ้งความตามประสาหมาปากเปราะ ภรรยาผมรีบเข้ามาคว้ามันไว้

"อ้อ แล้วโอ่งใบนี้ล่ะครับ" นายตำรวจอาวุโสถาม

"อ๋อ" ภรรยาผมลากเสียงเสียยาวเพื่อถ่วงเวลาคิด "ปลาแดกโหน่งค่ะ คุณๆ กินกันไม่เป็นหรอก กลิ่นมันแรง"

ตำรวจอาวุโสหัวเราะลงลูกคอทันที "ใครว่า ผมนี่อย่างชอบเลย ตักให้ผมสักถุงสิครับ ซื้อก็ได้"

ภรรยาผมจำต้องเปิดฝาโอ่งเอาทัพพีมาตักพยายามเล็มเอาขอบๆ มือสั่น แต่ถึงกระนั้นก็เฉียดมือซ้ายผมไปนิดเดียว

"แหม เอามาทำไมแต่น้ำ เอามาเป็นตัวเลยครับผมชอบเป็นต่อนๆ แบบนี้ไงเดี๋ยวกินให้ดู หืม นี่อะไร?"

แหม จะมาเล่นเกี่ยวก้อยอะไรกันตอนนี้

นายตำรวจหน้าตี๋หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นสิ่งที่ลูกพี่เอานิ้วคีบขึ้นมา พร้อมๆ กับหน้าของภรรยาผมก็ซีดเผือดไม่แพ้กัน เธอพยายามจะเนียนหนี แต่ก็โดนคว้าข้อมือไว้ได้ ตำรวจพวกนี้ประเมินเธอต่ำไป เธอเป็นผู้หญิงแรงเยอะกว่าที่คิด ไม่งั้นคงฟาดผมถึงตายในไม้เดียวแบบนี้ไม่ได้หรอก เธอคว้าเหล็กแป๊บที่ใช้ฆ่าผมเหวี่ยงไปมาหมายจะป้องกันตัว แล้วก็ โป้ง!

ผมโดนโป้งแปะจนได้ เหล็กแป๊บเหวี่ยงมาที่โอ่งดังโป้งเสียงทึบๆ ก่อนที่โอ่งจะร้าวและแตกพรูออกเป็นเสี่ยง ผมเลยถือโอกาสไถลตัวตามฝูงปลาร้าโหน่งเล็กๆ ออกมานอนกลิ้งอยู่ที่พื้น

ตำรวจ ตี๋น้อยที่กำลังจะเป็นลมเห็นผมแล้ววิ่งออกไปอ้วกที่ลานหน้าบ้านอย่างสุดจะกลั้น ขอโทษทีเถอะครับคุณตำรวจ ผมไม่มีเจตนาจะทำให้คุณคลื่นไส้ แต่ทำไงได้ แช่อยู่ในปลาแดกโหน่งมาตั้งสองสามวัน จะให้สภาพหอมสะอาดเรียบร้อยคงจะยากหน่อยล่ะ


ถามมาสิ
พักนี้โรงเรียนของเราเริ่มมีพวกความเชื่อประหลาดๆ ระบาดอีกแล้ว ไม่รู้ยังไงกันนักหนา เห่อกันเป็นพักๆ ช่วงที่แล้วเห่อความเชื่อที่ว่า ถ้าชอบใครแล้วเขียนชื่อเขาใส่ลงบนยางลบแล้วลบให้หมด เขาจะหันมาชอบเรา ก็ปรากฏว่า เดินไปไหนมาไหนเห็นแต่ขี้ยางลบเกลื่อนเต็มโรงเรียน โต๊ะนักเรียนที่รอยดินสอปากกา เคยเลอะเทอะอยู่นี่จางลงไปมาก ยิ่งตอนเวลาเปลี่ยนคาบรออาจารย์เข้าห้อง เห็นเพื่อนสาวๆ พากันลบยางลบกันมือเป็นระวิง เห็นแล้วก็ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขำ

หมดเทศกาลยางลบ เทศกาลซาโตรุคุงก็มา ฉันฟังแค่ชื่อก็ทะแม่งๆ แล้ว ซาโตรุคุงที่ว่าคือตำนานผีญี่ปุ่นที่โด่งดังในหมู่นักเรียนญี่ปุ่น เป็นผีเด็กชายที่ถูกฆ่าตายโดยปีศาจกรีดปากฉีกถึงหู แต่เชื่อกันว่าหากเราต้องการรู้อะไรก็ตามไม่ว่าจะในอนาคต อดีต หรือปัจจุบัน ซาโตรุคุงผู้หยั่งรู้จะสามารถบอกเราได้ทุกอย่าง ขอแค่ทำตามกติกานี้เท่านั้นคือ

ไปที่โทรศัพท์สาธารณะตอนกลางคืน ยกหูขึ้นมา โทร.เข้าเบอร์โทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วกดรับสาย พูดตอบลงไปว่า ซาโตรุคุงได้ยินแล้วตอบด้วย สามครั้ง หลังจากนั้นให้วางหูไป ว่ากันว่า ไม่เกิน 24 ช.ม. จะมีสายโทรศัพท์ปริศนาโทร.เข้ามา เมื่อรับสายจะเป็นเสียงเด็กผู้ชายบอกว่า กำลังเดินทาง ถึงตรงไหน และจะโทร.เข้ามาเรื่อยๆ แต่ละครั้งตำแหน่งที่ปลายสายบอกก็จะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดจะมาถึงหน้าบ้าน

สุดท้าย เราจะได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบามาจากด้านหลัง(ที่ไม่ได้มาจากโทรศัพท์) บอกว่าตอนนี้อยู่ข้างหลังเธอแล้วนะ หลังจากนั้นให้เรารีบถามคำถามที่เตรียมไว้ ห้ามตกใจจนลืมถาม ห้ามอึกอัก ห้ามหนี และห้ามหันไปดูเด็ดขาด มิฉะนั้น ซาโตรุคุงจะเอาชีวิตของคนเล่นไปแทน

เรื่องนี้ทั้งที่ฟังดูน่ากลัวแต่กลับมีนักเรียนสนใจกันมาก หลายคนเล่าว่าได้ลองแล้ว และซาโตรุคุงก็มาตอบให้จริงๆ ส่วนใหญ่ก็จะถามกันเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ถามว่าเขาคนนั้นชอบฉันอยู่หรือเปล่า บางคนก็อาจจะถามว่าฉันจะสอบผ่านไหม ล้วนแต่เป็นเรื่องงี่เง่าทั้งนั้น ที่งี่เง่าสุดคือ ผีญี่ปุ่นมันจะข้ามประเทศมาถึงนี่ได้ไง

น่าแปลกที่ว่า หลังจากเรื่องผีซาโตรุคุงระบาด ก็มีคนที่บอกว่าได้รับคำตอบจากซาโตรุคุงกันมากมาย แถมบางคนถามเรื่องอาการป่วยของพ่อ ซาโตรุคุงก็ตอบได้ตรงเป๊ะอย่างไม่น่าเชื่อ

จะว่าไปก็มีบางเรื่องเหมือนกัน ที่ฉันอยากรู้...

ปกติ แล้วฉันเองเป็นคนไม่กลัวผี ไม่กลัวและไม่เชื่อเสียด้วย การจะลองเล่นอะไรประหลาดๆ พวกนี้ดูบ้างก็ไม่น่าแปลกอะไร หลายปีที่แล้วที่แม่ฉันหายตัวไปจากบ้าน ไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ที่ไหน บางคนก็ว่าแม่หนีไปกับผู้ชายคนอื่น แต่ฉันไม่อยากเชื่อว่าแม่จะทำแบบนั้น

ค่ำวันนั้น ฉันรอจนฟ้ามืดสนิท แล้วเดินออกไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะกลางหมู่บ้าน ทดลองทำตามที่ได้ยินมา คือโทร.เข้าเบอร์มือถือในมือตัวเอง แล้วรับสาย "ซาโตรุคุง..." ฉันพูดลงไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก แต่ยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งจนแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง

เสียงเล็กๆ แหบๆ เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูโทรศัพท์ "ได้ยินแล้ว...กำลังไปหานะ"

ฉันตกใจรีบวางหูทั้งมือถือและโทรศัพท์ตู้ทันที มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคนที่โทร.คือฉันเอง ยังถือหูค้างอยู่ด้วยซ้ำ!

หลังจากนั้นเป็นไปตามที่ได้ยินมา ฉันได้รับโทรศัพท์เป็นระยะ ครั้งแรก เสียงนั้นบอกว่า "กำลังอยู่บนรถนะ" ต่อมา บอกว่า "อยู่หน้าหมู่บ้านแล้วนะ" อีกครั้งบอกว่า "กำลังเดินเข้าซอยนะ" และครั้งล่าสุดบอกว่า "อยู่หน้าบ้านแล้วนะ"

ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่กลัว ซาโตรุคุงก็แค่เรื่องเล่าจากประเทศห่างไกล และถึงหากมีจริง เราก็แค่ "ถาม" แต่ฉันก็ตัวสั่น มือเท้าเย็นเฉียบ

ฉันได้ยินเสียงเคาะประตู แต่พอลุกขึ้นยืนเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ยังไม่ทันได้รับ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง เสียงเล็กแหบแห้งชวนขนพองสยองเกล้า ราวกับกำลังกระซิบอยู่ ข้างหู "อยู่ข้างหลังเธอแล้วนะ...ถามมาสิ..."

ใจฉันเต้นตุบตับเหมือนจะหลุดออกจากอก ฉันรีบตั้งสติเปล่งเสียงออกมาด้วยความตื่นกลัว "ฉันอยากรู้ว่า แม่ของฉันหายไปอยู่ที่ไหน"

หลังจากที่ฉันถามไปแล้ว ภายในห้องมีแต่ความเงียบเชียบ ฉันยืนรอตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่หลายนาที จนชักประหลาดใจว่าทำไมซาโตรุคุงไม่ตอบเสียที "เอ่อ ซาโตรุคุง ยังอยู่ไหม"

ยังคงเงียบ ฉันสงสัยเลยแอบชำเลืองไปมองด้านหลังนิดหนึ่ง แล้วก็ต้องตกตะลึงตัวชาเหมือนฟ้าผ่า เมื่อสบเข้ากับดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าซีดขาวที่แนบหน้ารออยู่ข้างหู

ซาโตรุคุงยิ้มแสยะปากฉีกกว้างออกจนถึงใบหู "แม่เธอตายนานแล้วล่ะ แต่ตอบคำถามเธอว่าแม่เธออยู่ที่ไหนตอนนี้นี่มันยากสักหน่อย เอาเป็นว่าฉันพาเธอไปหาแม่เองละกันนะ"


ลายมือมรณะ
เมื่อวานนี้ผมนั่งเสิร์ชหากูเกิ้ลเล่นๆ แก้เหงา มาสะดุดตรงเรื่องเส้นลายมือขาด ผมตามไปอ่านหลายเว็บไซต์ มีทั้งคนที่ไม่เชื่อและเชื่อ เชื่อที่ว่าก็คือหากใครมีเส้นลายมือขาด คนคนนั้นมักจะประสบอุบัติเหตุจนตายโหง

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อเบนครับ จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเส้นลายมือขาดของเขา

เบนเป็นเพื่อนกับผมตั้งแต่เล็ก จำความได้ผมก็สนิทสนมกับเขาแล้ว นอกจากมีบ้านที่ใกล้กันแล้ว เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกันแล้ว ครอบครัวผมกับเขายังสนิทสนมกันอีกด้วย พ่อของเบนเป็นฝรั่งอิตาลี ฝรั่งชาตินี้ให้ความสำคัญกับเรื่องครอบครัวมาก พ่อของเบนก็ใจดี แต่เรื่องเส้นลายมือขาดของบนที่ขาดทั้งสองข้างพ่อของเบนไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นเหตุหรือลางบอกเหตุว่าเบนต้องประสบอุบัติเหตุหรือจะตายโหง พ่อเขานับถือศาสนาคริสต์จึงไม่เชื่อ จะรวมทั้งแม่ของเบนด้วยหรือไม่ ผมจำไม่ชัด เพราะแม่ของเบนไม่ค่อยโดดเด่น เป็นช้างเท้าหลัง พ่อว่าอย่างไรแม่ก็ว่าตามกัน แม่ของเบนเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ค่อยมีความเห็นเรื่องใดๆ เข้ากับคนทุกคนได้ดี แต่ใจดีเหมือนกับพ่อ

แน่ล่ะ เบนเติบโตในเมืองไทย โรงเรียนไทย สังคมทั่วไปก็คนไทย นานเข้าเบนก็ชักเป๋ตามความเห็นนี้จนเชื่อว่าเขาต้องประสบอุบัติเหตุและอาจจะตายโหงเข้าสักวัน เบนเป็นเอามากเมื่อเราเรียนชั้น มอหก โดยเฉพาะช่วงที่เขาบ้าเรื่องหมอดู ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้งอะไรทำนองนี้ เขาเชื่อหมด หาตำรามาอ่าน ถามคนที่รู้เรื่องและชอบพอเหมือนกัน ใครไม่สนเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะทำท่าไม่เชื่อ เขาไม่คุยด้วยเลย แรกๆ ผมก็รู้สึกตลกมากกว่าแต่นานวันเข้าเห็นเบนเป็นเอามาก จนเหมือนกับจะห่างๆ ผมไปเลยด้วยซ้ำ จนผมเห็นเริ่มเป็นห่วง ต้องพยายามฟังเขาพูด ทำท่าสนใจเรื่องพวกนี้อยู่ตลอด ก็เพราะเขาเชื่อเรื่องพวกนี้อย่างที่สุด ถึงขนาดไม่ยอมขับมอเตอร์ไซค์ ข้ามถนนก็ตรงทางม้าลายตลอด ไปไหนมืดค่ำไม่ยอมไป อะไรที่เป็นความเสี่ยงให้เขาต้องตายโหงเขางดหมด และแน่นอนเบนไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ตลอด ชนิดพอมีใครทักเรื่องเส้นลายมือขาด เบนมีอันต้องไปทำบุญทันที (อย่างน้อยก็ใส่บาตร ทำสังฆทานล่ะ)

พ่อเบนมีปัญหากับเขาแน่นอน!

พ่อลูกทะเลาะกันหลายครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดก็ตอนที่พ่อเบนเอาหนังสือพวกนี้ไปจุดไฟเผาทิ้ง เบนมายื้อแย่งจนลงไม้ลงมือกับพ่อตัวเอง พ่อไล่ออกจากบ้าน เบนมาอาศัยนอนที่บ้านผมจนแม่ต้องมาตามขอโทษครอบครัวผมและฝากลูกชาย มีการส่งข้าวส่งน้ำส่งเงินให้ลูกลับหลังจากแม่ของเบนทุกวัน แม่ผมบอกไม่เป็นไรๆ แม่เบนก็ไม่ยอม เราต้องรอจนพ่อหายโกรธและเป็นฝ่ายมาตามให้กลับบ้าน นั่นแหละเบนถึงจะกลับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเบนจะเลิกเชื่อเรื่องเส้น ลายมือขาด เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นต่อจากนี้แหละ!

มีคนแต่งตัวเป็นฤๅษีคนหนึ่งมาปักกลดทำตัวเหมือนพระอยู่บริเวณที่รกร้างใกล้บ้านของพวกเรา คนก็แห่ไปแน่นสิครับ ก็เริ่มจากใบ้หวยได้ถูก ฤๅษีท่าทางประหลาดจึงปักกลดอยู่นานเพราะมีข้าวปลาอาหารมาถวายทุกวัน มีเงินใส่ซองไม่ขาด แน่นอนที่สุดเบนต้องแวะไปหาแน่นอนและก็มาตรงนี้แหละตรงที่ดันไปทักเบนว่า เส้นลายมือขาด!

"คุณต้องมาปวารณาเป็นลูกศิษย์อาจารย์ มิเช่นนั้นชะตาชีวิตคุณจะหมดในอีกไม่เกิน อืม สองสัปดาห์" ฤๅษีพูดอย่างนี้เพราะผมไปกับเบนด้วย ได้ยินมาเต็มสองหู เบนเชื่อสุดใจ แต่ถ้าแค่ตั้งใจกราบหรือทำอะไรแสดงตัวเป็นลูกศิษย์ซึ่งพ่อเบนไม่รู้ไม่เห็นก็คงจะไม่เกิดเรื่อง

แต่ฤๅษีให้เบนห่มคลุมตัวแบบฤๅษีน่ะสิ! แถมยังต้องปฏิบัติรับใช้ใกล้ชิดทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ไหนจะเรื่องเรียน ต้องไปโรงเรียน ไหนจะไม่ให้พ่อรู้ ต้องอยู่บ้าน ปัญหาจึงเกิดขึ้นทันที เพราะเบนทำตามคำแนะนำของฤๅษีทุกอย่าง!!

พ่อเบนแจ้งตำรวจจับฤๅษี ไม่เพียงทำเอาชาวบ้านโกรธแค้นพ่อของเบนแล้ว เบนถึงกับประกาศรับฤๅษีเป็นพ่อแทนตัวเอง ฤๅษีคนนั้นอายุยังไม่ถึง 30 ปี เลยครับ

ฤๅษีไม่ถูกจับ แถมยังอยู่บริเวณนั้นได้สะดวก และดูท่าสมบูรณ์พูนสุขมากขึ้นอีก เพราะมีคนเช่าทาวน์เฮาส์ให้เข้าไปตั้งสำนัก มีลูกศิษย์ลูกหาเพิ่มอีกหลายคนด้วยซ้ำ

เวลาผ่านไปครบเดือน เบนก็เลิกห่มเลิกคลุมผ้าแบบฤๅษีแต่ยังเป็นลูกศิษย์รับใช้ในทาวน์เฮาส์หลังนั้น อีกไม่ถึงสามวันหลังครบเดือน เบนก็ถูกรถชนขณะเดินตามฤๅษีไปทำกิจธุระ คนมากมายที่เดินตามและห้อมล้อมไม่เป็นไรสักคน แต่เบนกลับเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว

พ่อเบนร้องไห้เสียใจมาก แม่เบนและพวกเราก็เช่นกัน

ในความฝันผมเห็นเบนหน้าตาหมองเศร้า เขากล่าวขอโทษผมและให้ไปช่วยบอกว่าขอโทษ เขาเข้าบ้านไม่ได้เพราะพ่อมีกางเขนติดไว้หน้าบ้าน

ผมไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อของเบนก็ยังไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ หาว่าผมโกหก ตายแล้วย่อมไปหาพระเจ้า ศาสนาของเขาไม่เชื่อเรื่องการเข้าฝัน

คนเราต่างจิตต่างใจจริงๆ คุณล่ะเชื่อผมไหม


ลฺกบิดปริศนา
ของฟรีไม่มีในโลกจริงๆ เชื่อผมเถอะ!!!

ผมกับภรรยาผ่อนอพาร์ตเมนต์ต่อจากเพื่อนคนหนึ่งที่เขาผ่อนมาก่อนหน้านี้สี่เดือนแล้วยกให้ฟรีๆ โดยบอกว่าได้งานใหม่ที่อเมริกา ไม่คิดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เสียไปแล้วทั้งหมด ผมดีใจไม่น้อย เพราะทำเลที่พักใหม่กลางเมือง เดินไม่ถึงสองร้อยเมตรก็ถึงรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ภรรยาผมตั้งข้อสังเกตว่า "ให้ฟรีๆ อะไรอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า"

ผมลืมนึกข้อนี้ไป ไม่ใช่เพียงเพราะไม่อยากเดินทางไปกลับบ้านไกลจากที่ทำงาน แต่เพราะความโลภแท้ๆ ผมบอกภรรยาไปว่า "ช่างเหอะ ของฟรี อย่าคิดมากเลย"

แค่ขนของเข้าบ้านวันแรกคืนนั้นก็เอาแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างขนของก็ต้องเปิดประตูทุกครั้งเข้าออก แต่เข้าออกเปิดปิดหลายหน ขนเก้าอี้ ลากโต๊ะ เครื่องคอมพิวเตอร์ สารพัดเครื่องใช้ไฟฟ้า ทุกครั้งผมสังเกตว่าทำไมลูกบิดประตูทั้งฝืดและหนักมาก ภรรยาผมสงสัยก่อน ผมเองก็รู้สึกแต่ด้วยเหตุที่ภรรยาทักท้วงก่อนหน้านี้แล้วเรื่องการให้ห้องฟรีๆ ผมจึงเกรงเสียหน้า ได้แต่ตอบไปว่า "ก็ธรรมดานะ ลูกบิดแพงๆ สแตนเลสแบบนี้ ต้องหนักกว่าพวกอันละร้อยกว่าบาทอย่างบ้านเก่าที่เราเคยใช้"

ผ่านไปจนกระทั่งขนของเสร็จในเวลาค่ำ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเราสั่งพิซซ่ามารับประทานกัน พอใกล้มืดผมก็เริ่มหวาดระแวง ที่จริงผมก็กลัวอยู่หรอกแต่ความมีทิฐิและเป็นผู้ชายผมก็ทำราวกับไม่กลัว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กินพิซซ่าไปมองไปทางลูกบิดประตูไป จนกระทั่งเข้านอนผมก็หลับตาตามปกติ แต่ด้วยความแปลกที่ทำเอาผมนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาเปิดหนังดูคนเดียว ภรรยาเพลียหลับไปนานแล้ว

อพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีสองห้องเล็กที่กินเนื้อที่เท่ากับอีกห้องที่เหลือ สองห้องเล็กเป็นห้องนอนและห้องครัว ส่วนห้องใหญ่ใช้เป็นที่ส่วนกลาง ทั้งนั่งนอน รับแขกและพักผ่อน ประตูทางเข้าห้องอยู่หน้าห้องใหญ่ ผมเปิดหนังดูได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ตอนแรกไม่คิดอะไร เมื่อไปเปิดก็ไม่เห็นใคร สุดทางเดินซ้ายขวาไม่มีใครทั้งสิ้น ผมปิดประตูและพยายามไม่คิดอะไรทั้งนั้น แล้วก็มีเสียงเคาะประตูอีก ผมเดินไปเปิดอีกก็เหมือนเดิม ช่วงกำลังปิดประตูและเตรียมจะกดล็อกลูกบิดผมก็ได้ยินเสียงแก๊กที่ลูกบิด ผมแน่ใจว่าไม่ได้กดล็อกแน่นอน มือยังกำลูกบิด มันดังคลิกต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ ผมจึงตกใจผวาไปที่ห้องนอน เปิดปิดประตูดังๆ ให้เธอตื่น ซึ่งเธอก็ตื่นจริงๆ แต่งัวเงียบ่นว่าทำอะไรเบาๆ หน่อย คนง่วงจะตายอยู่แล้ว

ผมไม่สนใจรีบสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มคลุมโปงเตรียมจะนอน แต่เสียงหนังที่เปิดค้างไว้ ภรรยาจึงบอกว่าเปิดหนังดูหรือ ทำไมไม่ไปปิด

"ไปด้วยกันสิ" ผมพูด
"เกิดกลัวผีขึ้นมา ไหนบอกไม่กลัวไง" เธอบ่นแต่ก็ยอมลุกแต่โดยดี

ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืดเพื่อให้บรรลุผลและเรื่องจบๆ ไป เธอยืนงัวเงียเป็นเพื่อนผมที่กำลังกดปิดเครื่องเล่นและดึงปลั๊กออก ทันใดนั้นเองเราสองคนก็ได้ยินเสียงเหมือนประตูห้องเราเปิดออกเอง เอี๊ยด!!

"นี่เธอลืมปิดประตูหน้าหรือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาได้หมดบ้านหรอก" ภรรยาว่า
"เปล่า เราปิดกับมือเลย"

ภรรยามองหน้าผม เรามองหน้ากันไปมา แล้วภรรยาก็พูดว่า "เดินไปดูสิ ถ้าประตูเปิดจริงๆ เดี๋ยวได้ถูกยกเค้าหมดหรอก"

"ไปด้วยกันนี่แหละ"

ผมพูดแล้วก็จูงมือเธอที่เหมือนได้สติตื่นขึ้นมา เราเดินไปช้าๆ ความมืดที่ก่อตัวตะคุ่มๆ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ยอมเปิดไฟ จึงเดินไปควานหาสวิตช์ไฟ เพราะเพิ่งมาอยู่ใหม่ ยังจำไม่ได้ว่าตำแหน่งสวิตช์อยู่ที่ใด ผมกดสวิตช์ไฟคลิกปั๊บไฟก็สว่างวาบ แล้วเราก็เห็นว่าประตูหน้าปิดไม่ได้เปิดอย่างที่เข้าใจ

"ช่างเหอะ นอนเถอะ ฉันง่วง" ภรรยาตัดบท

ผมคิดว่าเธอคงมีคำพูดที่ไม่อยากพูดเช่นเดียวกันกับผม

ทั้งคืนได้ยินเสียงเคาะประตู เสียงบิดลูกบิดไม่หยุด ผมนอนคลุมโปงทั้งคืนไม่กล้าแม้แต่ลุกไปปัสสาวะ

รุ่งเช้าหลังอาบน้ำเรียบร้อยผมชวนภรรยาออกจากบ้าน แล้วก็พูดในเรื่องที่เราค้างคาใจ "เราว่า ที่ลูกบิดนั่นต้องมีผี เธอว่ามะ"

"ชัดเจน ตรงประเด็น ว่าแต่ดูหนังผีมากไปเปล่า"
"แล้วเสียงมันมาจากไหน"
"เราว่าโทร.ถามเพื่อนเธอเลย คนที่ยกห้องให้"
"ไม่ต้อง ช้าไป ถามคนในอพาร์ตเมนต์ ยาม คนขายอาหารหน้าอพาร์ตเมนต์ อะไรพวกนี้น่าจะได้เรื่องเร็วกว่า"

เราพากันไปเดินถาม เพียงแต่ยามข้างล่างก็พร้อมที่จะเล่าให้ฟัง

ยามพูด "ใช่ครับ ผูกคอตายที่ลูกบิดนั่นแหละครับ พี่ไม่ถามผมก็ไม่กล้าเล่า มันเสียมารยาท" ยามยิ้มและพูดต่อ "ผมเห็นกับตาเลย เพราะเป็นคนเอากุญแจไขเข้าไปแต่มันแน่นๆ หนักๆ ไขไม่ค่อยออก กลิ่นก็โชยเน่าออกมา สุดท้ายกู้ภัยก็ใช้ชะแลงงัดเข้าไป"

เราจ้างบริษัทรับขนของย้ายบ้าน โดยที่ผมกับภรรยาไม่กล้าแม้แต่จะเดินไปหน้าห้องอีกเลย แค่คิดก็ขนลุกแล้ว! เข็ดแล้ว ของฟรีไม่มีโลก ผมคนหนึ่งที่เชื่อสนิทใจ


เงาหัว
เจนนี่ เป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวอเมริกันพ่อเป็นคนไทย เธอเกิดและเติบโตที่ลอสแองเจลิส สหรัฐ ตอนนั้นเธออายุ 14 ปี ครอบครัวเธอย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยภายหลังปู่เสียชีวิต แรกๆ พ่อเธอก็เพียงจะกลับมาจัดการเรื่องทรัพย์สมบัติ แต่อยู่ไปอยู่มาแม่ของเจนนี่เกิดชอบเมืองไทย ครอบครัวจึงเปลี่ยนใจลงหลักปักฐานแทน

เจนนี่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเมืองไทยและความเป็นไทยน้อยมาก เธอค่อยๆ เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและเพื่อนๆ เธอเหมือนกับวัยรุ่นทั่วโลกจำนวนไม่น้อยที่ชอบเรื่องลี้ลับและตื่นเต้น วันหนึ่งเธอได้ยินคุณย่าเล่าเรื่องเห็นคนไม่มีหัวหรือไม่มีเงาหัว จากนั้นคนคนนั้นก็จะเสียชีวิต

"มันเป็นลางบอกเหตุจ้ะ" ย่าบอกเจนนี่
"คล้ายๆ ซิกธ์เซนส์ใช่ไหมคะ" เจนนี่ถาม

ย่าพยักหน้ารับอย่างเอ็นดู แล้วเล่าต่อ "ตอนแม่ของย่า ทวดของหนูอพยพมาเมืองไทย กำลังจะขึ้นเรือกัน ทวดเห็นคนในเรือไม่มีหัวก็ร้องตกใจจนพ่อกับแม่ของทวดไม่กล้าขึ้นเรือลำนั้น ในเวลาต่อมาก็ทราบว่าเรือลำนั้นล่ม เสียชีวิตกันทั้งลำ"

เจนนี่หมกมุ่นกับเรื่องเงาหัว เธอเที่ยวไปถามคนนั้นคนนี้รวมทั้งผม พ่อผมขับรถให้ครอบครัวของเธอ ผมเล่าเรื่องตอนเด็กๆ ที่เดินตามน้าชายกลับจากดูหนังกลางแปลงให้ฟัง โดยทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางทำท่าเล่าอย่างออกรสออกชาติ

"ตอนนั้นดึกแล้ว ผมค่อนข้างง่วง ผมเดินช้าจนห่างจากน้าไม่น้อย แต่แล้วก็ตาสว่างโพลง หายง่วงไปเลย เพราะผมเห็นน้าชายไม่มีหัว อีกไม่ถึงเดือนน้าชายก็ขี่มอเตอร์ไซค์ถูกสิบล้อชนตาย ผมไม่เคยเล่าเรื่องน้าไม่มีหัวให้ใครฟังนะ ผมเล่าให้คุณเจนนี่ฟังเป็นครั้งแรก"

เจนนี่ตื่นเต้นมาก "คนไทยสนุกจัง เจนนี่ชอบ" พูดพลางหัวเราะเฮฮา

เจนนี่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ย่าของเธอฟัง ที่จริงทุกเรื่องที่มีคนเล่าเกี่ยวกับคนไม่มีหัวและเรื่องอื่นๆ เจนนี่เล่าให้ย่าฟังเสมอแหละ

ผมเคยบอกเจนนี่ว่า "บางเรื่องก็ไม่ควรเล่านะครับคุณเจนนี่ อย่างกรณีน้าชายผม ถ้าผมรีบไปทำบุญก่อนจะเล่าให้พ่อฟัง น้าก็อาจจะไม่ตาย โบราณว่าต้องทำบุญก่อนจะเล่าให้คนอื่นฟัง"

"ไหนเธอบอกว่าเพิ่งเล่าให้ฉันฟังเป็นครั้งแรก"
"ผมโกหก แค่อยากให้คุณเจนนี่ตื่นเต้น รู้สึกสนุก"

เจนนี่ทำท่าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรผมมากแม้แต่เรื่องนี้ สุดท้ายเธอก็เล่าเรื่องผมให้ย่าเธอฟัง แม้แต่เรื่องปี๊บ "เพื่อนหนูคนหนึ่งนะ เล่าว่า อ้อ ย่าคะ คนไทยโบราณเขาเชื่อกันว่าถ้าเห็นคนไม่มีหั ให้รีบเอาปี๊บคลุมหัวหรือคะ ปี๊บคืออะไรคะ"

ย่ายิ้มอย่างนึกขัน "สมัยนี้หายากขึ้น สมัยก่อนเขาจะเอาไว้ใส่ของ สมัยนี้ใช้ถังพลาสติกแทน ปี๊บก็ค่อยๆ หายไป ที่เจนนี่ได้ยินเพื่อนบอก ย่าก็เคยได้ยิน บางคนเขาก็ว่าให้รีบเอาผ้าคลุมหัวแล้วพูดว่า? นี่ข้าต่อหัวให้แก? ย่าก็เคยได้ฟังมา หนูเป็นเด็กสมัยใหม่ เชื่อด้วยหรือ"

"หนูคิดว่าสนุกดีค่ะ"
"ย่าจะสอนอะไรให้อย่างหนึ่ง เราอย่าไปล้อเล่นหรือเห็นความเชื่อของคนอื่นเป็นเรื่องตลก"

เจนนี่ไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะคิกคักแล้วเดินเข้าบ้าน เธอสนุกกับเรื่องความเชื่อและบรรยากาศสังคม ประเพณีไทยๆ เธอรู้สึกสนุกเพลิดเพลินมากกว่าจะเห็นเป็นเรื่องความรู้วิชาการ

เดือนต่อมาทางบ้านของเจนนี่ก็มีงานขึ้นบ้านใหม่ เธอดูตื่นเต้นมาก เดินไล่ดูตั้งแต่เพื่อนพ่อนำสายสิญจน์มาวนภายในบ้าน เดินดูการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาจนกระทั่งพระสงฆ์เดินทางมาถึง แม้แต่อาหารสำรับอาหารคาวหวานเจนนี่ก็พลอยตื่นเต้นอย่างไม่รู้จบ

หลังงานเลี้ยงทำบุญแบบไทยๆ ผ่านไป ตกค่ำพ่อกับแม่ก็จัดปาร์ตี้ขึ้นในบ้าน บ้านใหม่ของครอบครัวเป็นบ้านเดี่ยวสูงถึงสี่ชั้นเพราะพ่อกับแม่เปิดเป็นบริษัท ทำชั้นล่างของบ้านเป็นสำนักงาน เจนนี่ชอบขึ้นไปยืนรับลมเล่นที่ชั้นสี่ ที่สนามหญ้าด้านล่างวันนั้นมีคนมาไม่น้อย เจนนี่เริ่มเหน็ดเหนื่อย เธอคึกคักมาทั้งวันจนหมดแรงแล้วจึงหลบขึ้นไปชั้นบน

ขณะยืนรับลมพลางกวาดตามองลงมาสนามหญ้า เจนนี่รู้สึกใจหวิวๆ ชอบกลแล้วก็มีอันต้องตกใจเบิกตาโพลง! เมื่อมองลงมายังพ่อที่กำลังยืนคุยกับเพื่อน แต่พ่อไม่มีหัว!

เจนนี่ยืนตัวแข็งสักพักก็ได้สติ รีบเข้าห้อง เดินอย่างหน้าตาตื่นไปหาย่าในห้อง ย่ากำลังสวดมนต์ก่อนนอน

"พ่อค่ะย่า พ่อไม่มี" เธอพูดทันทีที่ปะหน้าย่า ก่อนจะร้องไห้โฮ
"ใจเย็นๆ พ่ออะไร" ย่าถาม
"ไม่มี...หัว...ค่ะ" แล้วก็ร้องโฮอีก

ย่าต้องพยายามปลอบใจฟื้นคืนสติอยู่พักใหญ่

"ไม่มีอะไรเจนนี่ พรุ่งนี้เราไปทำบุญที่วัดกัน ย่าจะพาไปเอง เรื่องนี้ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังนะ"

เจนนี่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ผมฟังในเวลาต่อมา ผมพยายามพูดปลอบใจเธอเช่นกัน แต่ทว่าสัปดาห์ต่อมาพ่อของเจนนี่ก็ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ กระจกรถตัดคอขาด

ทุกวันนี้เจนนี่กับแม่ย้ายกลับไปอเมริกาแล้ว ผมกับพ่อไม่เคยได้ข่าวคราวของเจนนี่อีกเลย
บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 09 มกราคม 2559 20:15:33 »

.



ผีล่ามโซ่ที่โรงเรียนจีน
ในคืนที่มีจันทรุปราคาเต็มดวง ทุกครั้งฉันอดไม่ได้ ที่จะนึกถึง... เรื่องนั้น...

ที่จังหวัดของเรา มีโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆ ของจังหวัดเป็นโรงเรียนที่สอนด้วยภาษาจีนกลางทุกวิชา และมีกฎแปลกๆ อยู่ว่า ในแต่ละปีจำนวนนักเรียนรวมต้องมีจำนวน 50 คนพอดีๆ ไม่ขาดไม่เกิน ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไม เช่นเดียวกับกฎที่ว่า ห้ามผู้ใดนอกจากนักเรียนและครูเข้าออก ผู้ปกครองที่มารับส่งก็ต้องรอบริเวณหน้าโรงเรียน ห้ามเข้าเด็ดขาด ไม่ว่าจะกรณีไหน โรงเรียนจีนแห่งนั้นจึงกลายเป็นสถานที่ลึกลับ

นอกจากนี้ยังว่ากันว่า ที่ห้องใต้ดินของโรงเรียนนี้ เคยล่ามโซ่ขังลูกสาวเจ้าของโรงเรียนที่ป่วยทางจิตเอาไว้ เพราะเจ้าของโรงเรียนอับอายไม่อยากให้ใครพบเธอ บางเสียงว่ากันว่าหญิงสาวนั้นไปรักชอบกับคนที่ไม่ควรรัก ทำให้พ่อลงโทษขังและล่ามโซ่เธอจนกลายเป็นบ้า และในที่สุดเธอก็เอาหัวโขกพื้นฆ่าตัวตายไปในคืนพระจันทร์แดง หลังจากนั้น ทุกคืนพระจันทร์แดง จะมีคนได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนและมีเสียงเหมือนคนเอาอะไรแข็งๆ ทุบพื้น

ปีนั้น ฉันอายุ 25 แล้ว แต่ก็ยังจำกันได้เรื่องโรงเรียนจีนลึกลับนั้น แถมยังมีเรื่องให้นึกถึงคือ มีข่าวประกาศออกมาว่า คืนนี้จะมีปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง และรอชมปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดอีกด้วย

"คืนนี้ผีล่ามโซ่โรงเรียนจีนจะอาละวาดอีกป่ะวะแก" จินพูดขึ้น เพื่อนคนอื่นหัวเราะกันครืน "ยังจำได้อยู่อีกเหรอวะ" จินว่าต่อ "ว่าแต่ ตอนนั้นมันน่ากลัวมากจริงๆ นะ ถ้าใครแต่งเรื่องขึ้นมาฉันว่ามันก็เป็นจินตนาการที่สยองมากเลย"

เพื่อนคนหนึ่งว่า "ฉันเคยถามลุงฉันที่บ้านอยู่ใกล้ๆ ซอยโรงเรียนจีนอ่ะ แกบอกว่าตอนแกวัยรุ่น จำได้ว่าเจ้าของโรงเรียนแกมีลูกสาวจริงๆ นะ สวยด้วย แต่ว่า อยู่ๆ ก็หายไปเฉยๆ ก็แสดงว่าเรื่องที่เขาเล่าๆ กันก็มีเค้าเหมือนกันนะ"

จินซึ่งปกติทำงานเป็นคอลัมนิสต์ให้เว็บไซต์วัยรุ่นชื่อดังแห่งหนึ่งนึกขึ้นมาได้ "เออ ดีเลย นี่ฉันกำลึงนึกไม่ออกอยู่พอดีว่าจะทำเรื่องอะไรส่ง งั้นอาทิตย์นี้เอาเรื่องหลอนๆ ของผีโรงเรียนจีนนี่แหละ คืนนี้จะทำเรื่องขอเข้าไปดู"

พูดน่ะง่าย แต่ก็อย่างที่เรารู้ๆ กัน เจ้าของโรงเรียนเป็นอะไรก็ไม่ทราบไม่ยอมอนุญาตให้พวกเราเข้าไปในโรงเรียนเพื่อบันทึกภาพและเก็บข้อมูลเขียนคอลัมน์เลย ขนาดบอกว่าจะเป็นโฆษณาประชาสัมพันธ์โรงเรียนยังไม่ยอม แถมยังหงุดหงิดไล่ตะเพิดพวกเราออกมาอีก

แทนที่จะถอดใจ จินดันฮึดขึ้นมา "เออ ยิ่งห้ามแบบนี้ ยิ่งน่าเข้าไป แสดงว่าแกต้องปิดบังอะไรเราแน่ๆ คืนนี้ฉันจะแอบเข้าไปดูเอง" จินประกาศโดยไม่สนใจฟังคำทัดทานของเพื่อน

คืนนั้น พวกเราถูกบังคับให้ช่วยดูต้นทางอยู่ที่หลังโรงเรียน ก่อนที่จินจะปีนเข้าไปพร้อมกล้องถ่ายรูป จินหายเงียบไปสักครึ่งชั่วโมง เราก็เริ่มใจคอไม่ค่อยดี บรรยากาศมันวังเวงบอกไม่ถูก เวลาราวสี่ทุ่ม พวกเราก็ได้ยินเสียงเคาะเสียงโห่ดังกระหึ่มขึ้นมาจากรอบๆ บริเวณ เลยได้รู้ว่า เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแล้ว พวกเรามองขึ้นไปบนฟ้า เห็นจันทรคราสสีแดงก่ำราวกับสีเลือด ฉันขนลุก มือเท้าเย็นเฉียบด้วยความตื่นกลัว

ทันใดนั้นเอง เสียงอีกเสียงก็ดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงกรีดร้องโหยหวนของหญิงสาวดังออกมาจากโรงเรียนจีน เสียงเหมือนคนกำลังเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อย่างยิ่งยวด

พวกเรามองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่าเสียงจินหรือเปล่า แต่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน จึงรีบพากันปีนตามเข้าไป

ยามโรงเรียนคงได้ยินเสียงเอะอะก็วิ่งตามมาไล่ตะเพิดพวกเราจากทางหน้าโรงเรียน แต่ตอนนั้นการตามหาจินสำคัญที่สุด พวกเราช่วยกันวิ่งหาจินพลางตะโกนเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ เราไปกันเป็นหมู่ เพราะไม่กล้าแยกตัวท่ามกลางความมืดและบรรยากาศชวนขนหัวลุกแบบนี้ สักเดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียง ตุบ ตุบ ตุบ เป็นจังหวะเหมือนคนกำลังทุบของ

พวกเรารีบวิ่งไปทางต้นเสียง ตอนนี้ฉันแย่งไฟฉายจากมือยามมาได้แล้วและใช้มันส่องนำทางไปหาเสียงที่ดังมาจากชั้นล่าง

ในที่สุดเราก็พบจิน ภาพที่เห็นคือจินกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ทำท่าเหมือนจะขุดอะไรที่พื้น สลับกับเอาหัวตัวเองกระแทกพื้นดังตุบ ตุบ ตุบ เราช่วยกันลากออกมายังไงก็ไม่ยอมหยุด

เสียงร้องไห้โหยหวนยังคงดังก้องสะท้อนไปมาในตึกเก่าๆ หลังนั้น ชวนขนลุกขนพองยิ่ง จินหัวแตกเลือดไหลอาบ พวกเราบางคนร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว ยามแทรกตัวเข้ามา เอาผ้าขนหนูรองพื้นตรงที่จินโขก แล้วว่า "เดี๋ยวก็หาย พระจันทร์กลับมาเดี๋ยวก็หาย"

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นแต่เรารู้สึกว่านานแสนนาน จินก็หยุดนิ่งแล้วหมดสติไป พวกเราพาเธอส่ง ร.พ. เธอไม่เป็นอะไรมากไปกว่าหัวแตก แต่ที่เหลือเชื่อคือเธอจำอะไรไม่ค่อยได้ "เหมือนมีผู้หญิงคนนึงพาฉันไปตรงนั้น แล้วชี้ให้ดูที่พื้น แล้วฉันก็จำไม่ได้ละ"

เรื่องราวทั้งหมดยังคงเป็นปริศนาสำหรับพวกเรา แต่ตอนนี้ต่อให้เอาช้างมาลากก็คงไม่มีใครอยากไปยุ่งกับที่นั่นอีกแล้วล่ะ



ผีดูดเลือด
ตอนนั้นครบอายุเบญจเพสพอดี โบราณว่าจะเจอเหตุการณ์ร้ายแรงซึ่งผมก็เจอเข้าจริงๆ กล่าวคือ เพื่อนที่ทำงานแผนกเดียวกันชวนเดินป่า ด้วยความที่ผมได้งานใหม่ที่ชอบมาก เป็นบริษัทใหญ่ ผมตั้งใจจะทำไปตลอดชีวิต จะเจริญก้าวหน้าที่นี่ให้ได้ ชนิดไม่ไล่ผมก็ไม่ลาออกแน่นอน ผมจึงตัดสินใจร่วมไปพิชิตดอยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือตามคำชวน

ผมเองเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก เคยเป็นนักกรีฑาจังหวัดแข่งกีฬาแห่งชาติมาแล้วสองครั้ง แม้จะไม่ได้รับเหรียญรางวัล ไม่มีชื่อเสียงให้คนพอรู้จัก แต่รับประกันว่าร่างกายแข็งแรงมาก เพราะผมยังวิ่งออกกำลังกายทุกวัน เหตุนี้เรื่องเดินป่าพิชิตดอยที่มีความสูงถึง 1,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลและต้องเดินป่าที่ว่ากันว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่าสายแข็งของนักเดินป่า จึงไม่เป็นปัญหากับผมแต่อย่างใด

เราถึงดอยและไปจุดนัดพบกับลูกหาบและคนนำทางในตอนเช้าก็ยังราบรื่น พวกเรามีกันทั้งหมด 8 คน เป็นผู้หญิงสองคน เป็นรุ่นพี่ผมทั้งหมด ส่วนผู้ชายอีก 4 คน สองคนเป็นรุ่นพี่ที่แผนกเดียวกัน อีกสองคนชื่อแมนกับบอยทำงานแผนกเดียวกับผม พี่ผู้ชายผมไม่สนิทนัก พี่ผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากชื่อ พิศ รู้ว่าพี่น้อย พี่ผู้ชายในแผนกตามจีบมานานแล้ว แม้จะผิดกฎของที่ทำงานที่ห้ามคนเป็นแฟนทำงานในแผนกเดียวกันก็ตาม แต่นั่นก็เรื่องของพวกเขา ผมบอกแล้ว ผมมาทำงานจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

ลักษณะดอยที่เราจะพิชิตเป็นดอยมีลำธารไหลจากยอดดอยลงมา เหตุนี้การเดินจึงไม่ยาก เพียงแต่ชันมาก เราต้องเดินตามลำธารไต่ไปเรื่อยๆ ทัศนียภาพสองข้างทางจึงสวยมาก ยิ่งในช่วงหน้าหนาวอย่างนั้นแล้ว สวยจับใจทีเดียว เราต่างคนต่างเตรียมอาหารและน้ำกันมาตามถนัด หลังแวะพักเที่ยงรับประทานแล้วออกเดินทางต่อ ผมสังเกตว่าพี่พิศกับพี่น้อยแยกเดินด้วยกันแต่อยู่หลังสุด พี่ผู้หญิงอีกคนชื่อเจี๊ยบกับพี่ผู้ชายอีกคนชื่อติ่งเดินนำหน้า ทิ้งให้ผมกับแมนและบอยเดินตามห่างๆ

เราถึงยอดดอยกันตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว หลังกางเต็นท์เราตกลงไม่ก่อกองไฟกันเพราะจะนอนดูดาวที่เหมือนแค่เอื้อมถึง เวลานั้นพระอาทิตย์เพิ่งตกไปไม่นานแต่ดวงดาวกลับมากมายเต็มฟ้าเหมือนรอให้เรามาชม ผมกับบอยและแมนนอนดูดาวห่างจากคนอื่นๆ ส่วนพี่พิศกับพี่น้อยหายไปไหนแล้วไม่รู้

เรานอนคุยกันไปสารพัดเรื่อง ตกดึกกี่โมงไม่รู้ ผมปวดฉี่จึงชวนบอยออกไปด้วย แน่นอนที่นี่ไม่มีห้องน้ำ เราหาพุ่มไม้เพื่อปัสสาวะกัน แต่พอเราใกล้ถึงพุ่มไม้หนึ่งกลับได้ยินเสียงครวญครางของผู้หญิง ผมมองหน้าบอย ตอนนั้นเราไม่คิดถึงเรื่องผีสางเลย บอยจะเดินไปใกล้

"เรื่องแบบนี้ ดูฟรียากนะมึง" บอยยิ้มแต่ผมไม่อยากมีปัญหาจึงพูดว่า "อย่าไปยุ่งเลย กูอยากทำงานที่นี่นานๆ"

บอยเหมือนฟังผม เราไปหาที่ปัสสาวะใหม่ "จะบอกแมนเรื่องนี้ไหม" บอยถาม ผมตอบว่า "อย่าเลย"

กลับถึงเต็นท์กลับไม่เจอแมน กว่าแมนจะมาก็นานเกินสิบนาที ผมถามว่าไปไหนมา มันตอบว่าก็ไปฉี่น่ะสิ กูหาทางเดินกลับไม่เจอ น่าจะไปกับพวกมึง แมนสบถแล้วพูดเรื่องอื่นแทน

เราหลับกันตอนไหนไม่รู้ ผมสะดุ้งตื่นจากเสียงของแมนที่เหมือนจะค่อยๆ เปิดประตูเต็นท์ย่องออกไป ผมรอจนแมนออกไปก็แอบเดินตามไปห่างๆ แมนเหมือนเดินไปที่ผมกับบอยได้ยินเสียงพี่พิศนอนครวญคราง ผมใจเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วผมก็มีอันต้องตกใจช็อกกับภาพเบื้องหน้า!

ผมเห็นพี่พิศกำลังนอนดูดเลือดที่คอพี่น้อย คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ พี่น้อยถูกพี่พิศดูดเลือดจากลำคอ ลำตัวกระตุกเป็นพักๆ ตาเบิกโพลงเหมือนคนตกใจกลัวสุดขีด ผมเห็นแมนแอบดูอยู่อีกฟาก

แต่หลังจากนั้นที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ พี่พิศพุ่งเข้าหาแมน ไม่รู้เธอเห็นแมนได้อย่างไร พี่พิศพุ่งตรงเข้างับคอแมน เลือดสาดกระจาย กลิ่นคาวกระจัดกระจายไปทั่ว แมนตกใจจนร้องไม่ทันหรือเปล่าไม่รู้ ผมเองก็ตกใจร้องไม่ออกเช่นกัน ตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะมีแวมไพร์ที่เมืองไทย มาเห็นแมนซึ่งสลัดหลุดจากพี่พิศแล้ว เขาร้องตะโกนวิ่งออกจากที่นั่นตรงไปลำธารที่ด้านล่าง ก่อนจะกระโดดดังตู้ม! ลงน้ำ ผมกำลังจะกระโดดลงไปช่วยเหลือ พี่พิศก็ตรงเข้าหาผม แน่นอนผมเตลิดเปิดเปิงจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

ผมมาได้สติอีกครั้งก็เพราะความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่นั่น แมนเสียชีวิต พี่พิศและพี่น้อยกลายเป็นศพขาวซีด พี่ติ่งกับพี่เจี๊ยบหายสาบสูญจนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านบอกว่าเราถูกผีโป่งค่างซึ่งเป็นผีดูดเลือดดูดเอาทั้งคณะ แต่เมื่อผมเล่าว่าผมเห็นพี่พิศเป็นฝ่ายดูดพี่น้อยกับแมนด้วย ทุกคนต่างก็แปลกใจมาก



ไปดูหนัง
เมื่อปีพ.ศ.2548 ตอนนั้นช่วงปิดเทอมใหญ่ขึ้น ม.5 ผมไปเที่ยวบ้านอาที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ไปหน้าร้อนพอดี แทบไม่อยู่ติดบ้าน ลูกพี่ลูกน้องลูกของอาชื่อเปี๊ยก อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ถ้าไม่ชวนไปเล่นเกมในตลาดก็ปั่นจักรยานขึ้นเขาสนุกสนาน บางคืนเราก็ปั่นไปดูหนังกลางแปลงกัน ผมเด็กเทพตื่นเต้นกับหนังกลางแปลงมาก อีกอย่างคืนเดือนขึ้นนั้นถนนตามทางสว่างมากจนเห็นเส้นลายมือได้ชัด แน่นอนผมก็ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ การได้ดูหนัง กินขนม มองสาว รู้สึกเหมือนเวลาหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่มีอยู่คืนหนึ่ง!

คืนนั้นผม เปี๊ยกจะไปดูหนังกลางแปลงกันที่วัด เป็นหนังในงานศพหนึ่งที่เจ้าภาพร่ำรวย จัดฉายห้าเรื่องซ้อน เปี๊ยกบอกไม่เคยมีใครทำมาก่อน หนังเริ่มฉายตั้งแต่หัวค่ำจนกว่าจะจบ ผมไม่รู้หรอกว่ากี่โมงและหนังเรื่องอะไร แต่ผมไปก็เพราะอยากไป ชอบบรรยากาศ ชอบขนมที่ขาย

ก่อนจะได้ไปอามาบอกว่าจะมีญาติจากต่างอำเภอขอไปดูหนังด้วย กลุ่มพวกเขาจะมาถึงก่อนค่ำ ส่วนอากับอาสะใภ้จะเข้าเมืองไปงานแต่งงานเพื่อนและจะค้างที่บ้านญาติกว่าจะกลับก็เช้า ผมกับเปี๊ยกจึงนั่งรอกลุ่มญาติซึ่งคาดว่าคงจะขับรถกระบะมา

คืนนั้นไม่ใช่คืนข้างขึ้นแต่เป็นคืนค้างแรมที่มืดสนิท ผมกับเปี๊ยกรอญาติของเปี๊ยกนานมาก อาและอาสะใภ้ไปกันตั้งนานแล้ว พวกญาติก็ยังไม่มา

"จะทันดูเรื่องแรกไหมเนี่ย" เปี๊ยกบ่น
"เขาเอารถมากัน เราก็ให้เขาขับไปวัดเลยดิ จะได้ทัน" ผมว่า

ผมกับเปี๊ยกเปิดทีวีดูจนถึงข่าวในพระราชสำนักพวกเขาก็มากัน ในบรรดาคนที่มาด้วยกันสี่คน เป็นลูกพี่ลูกน้องของเปี๊ยกสายทางแม่อยู่ด้วยคนหนึ่ง สองคนรู้จักกันดี เปี๊ยกจึงกล้าแสดงความไม่พอใจ "เฮ้ย ทำไมสายนักวะไอ้สัก"

"โทษที รถเกิดอุบัติเหตุ ชนกับกระบะอีกคัน แมร่งเสือกแซงทางโค้ง" ญาติชื่อสักตอบ

น้าอีกคนที่มาด้วยเสริม "น้าขับเองแหละ มันมาเร็ว แถมเสือกแซงทางโค้งขึ้นเขา"

ผมสะกิดเปี๊ยก เปี๊ยกเข้าใจจึงหันไปพูด "เรารีบไปกันเถอะ น้าขับรถต่อไหวไหม ผมกลัวจะไม่ทันหนังฉายน่ะ"
"ไหวๆ ไปๆ กัน" น้าแกตอบ

เปี๊ยกกับผมถึงรถเป็นคนแรก เปี๊ยกถึงกับร้องลั่น "เฮ้ย ชนจนขนาดนี้เลยหรือ"

สภาพรถที่ผมเห็นคือกันชนยุบ คงหล่นไประหว่างทาง ซึ่งผมก็แปลกใจว่าทำไมไม่เก็บขึ้น ด้านข้างก็บุบไปจนเหมือนเว้าเข้าไปเกือบครึ่งคัน หลังคาก็พังยุบลง ดูไม่ได้เลยจริงๆ

"อย่างนี้ไปไม่ไหวแน่ๆ" ผมเอ่ย
"สงสัยเพลาจะมีปัญหาด้วยนะ" น้าคนขับบอก "มันดังป๊อกๆ ตลอดทาง แต่มาถึงได้นี่ก็น่าจะไปต่อได้"
"ไม่ไหวละมั้งเปี๊ยก" ผมกลัวว่าไม่ไหวจริงๆ จึงหันไปขอแรงเสริมจากเปี๊ยก
"นั่นสิ เราเดินไปก็ได้ วัดอยู่ไปไม่ไกล สองสามกิโล ปกติก็เดินกันอยู่แล้ว" เปี๊ยกว่า
"เอางั้นหรือ" กลุ่มญาติมองหน้ากัน
"งั้นก็ได้" สักตอบแทนทุกคน ซึ่งต่างพยักหน้าเห็นด้วย

เราอาศัยแสงไฟฉายเดินตามกันเรียงหนึ่ง เปี๊ยกอยู่หน้าสุด ผมอยู่คนที่สอง คนที่เหลือเดินตามหลังกันอีกสี่คน เนื่องจากมืดมากเปี๊ยกเป็นคนในพื้นที่เพียงคนเดียวจึงเหมือนเจ้าถิ่น เขาชวนคุยตลอด "เฮ้ย ปิดเทอมนี้มึงทำไรวะสัก" เปี๊ยกคุยกับญาติของเขา

คนชื่อสักตอบ "เที่ยวไปเรื่อย มาบ้านมึงดูหนังนี่อีก แต่กูคง..."
"เป็นไรวะ เสียงอ่อยเชียว"
"ไม่มีไร" สักตอบ "กูเริ่มรู้สึกแปลกๆ มันยังไงไม่รู้ เหมือนตัวกูเบาๆ"

ผมกับเปี๊ยกหันขวับทันที ผมสังเกตว่าสักดูแปลกจริงๆ หน้าซีด ปากซีด เหมือนไม่มีเลือดเลย ทันใดผมสังเกตว่าญาติอีกคนที่มาด้วยแต่ไม่พูดเลยตั้งแต่มาหายไป

"ไอ้!" เปี๊ยกเอ่ยชื่ออีกคน "มันไปไหนวะ"
"คงแวะไปฉี่ เรารอเขาไหม" ผมบอก
"ไม่ต้องหรอก" น้าคนขับบอก "น้าก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนบังคับตัวเองไม่ค่อยได้"
"เป็นอะไรกันไป พักก่อนไหม เกิดอุบัติเหตุแรกๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเจ็บตรงไหน ตอนรถชนคงกระแทกแรง ผมว่ากลับกันเถอะ ไปพักผ่อนที่บ้านผมก่อน" เปี๊ยกหันมามองผม

ผมเห็นด้วย พวกเขาดูแปลกๆ
"ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ ใกล้ถึงยัง"
"อีกกิโลมั้ง แต่ว่า"
"ไม่เป็นไร ไปต่อ กูมากันก็เพราะอยากดูหนังนี่แหละ" ญาติว่า

พวกเราพากันเดินต่ออย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดเลย ช่วงใกล้จะถึงวัดผมหันไปดู ปรากฏว่าหายไปหมดทุกคน เหลือแต่ผมกับเปี๊ยก จนทำให้ผมนึกได้ว่าลืมคนที่คิดว่าไปฉี่ด้วย

เปี๊ยกกับผมมองหาพวกเขา แต่ก็ไม่เจอ "เดินๆ หายไปไหนเงียบๆ กันหมดวะ"

ช่วงนั้นเองที่โทรศัพท์จากพ่อของเปี๊ยกดังขึ้น เปี๊ยกรับแล้วตกใจ หน้าเขาซีดเผือด เขาวางสายแล้วหันมาพูดกับผม "สักกับญาติรถชนตายกันหมดทุกคนตรงเนินทางโค้งก่อนถึงบ้านกู"

"เฮ้ย เป็นไปได้ไง" ผมตกใจ "งั้นก็หมายความว่า ที่เราคุยด้วย!"
เปี๊ยกพูดเบาๆ เสียงสั่น "กูไม่กล้าเดินกลับบ้าน เลยว่ะ"

ผมก็คิดเหมือนเปี๊ยก



ยศกับพ่อ
ผมนั่งขำเมื่อเพื่อนให้ดูวิดีโอในยูทูบเกี่ยวกับการเห็นผี สองวิธีที่ว่าก็คือการใส่เสื้อกลับหลังกับการห้อยพระกลับหลัง ยิ่งวิธีที่สองผมว่าไร้สาระ คือถ้าใส่พระแล้วผีกลัว การใส่กลับหลังกลับจะเห็นผี ฟังดูแล้วไร้สาระมากกว่า แล้วทุกเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อก็มักจะจบตรงประโยคสุดแสนคลาสสิคที่ว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะเพื่อนผมเชื่ออย่างสนิทใจแถมมีเรื่องเล่าอีกว่าแถวบ้านเขามีการลองมา แล้ว เจอจริงด้วย ผมจึงประกาศท้าพิสูจน์ แต่เพื่อนไม่เล่นด้วยและเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีกเลย

เพื่อนคนนี้ชื่อยศ ผมไม่ได้เจอยศนานมากตั้งแต่เรียนจบ จนมาทำงานเจอเพื่อนที่ทำงานเล่าเรื่องผี ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ เพื่อนคนนั้นบอกว่าห้ามใส่เสื้อกลับด้านหรือกลับหน้ากลับหลัง เพราะเขาจะใส่เสื้อให้ศพแบบนี้

"ถ้าใส่ล่ะ" ตอนนั้นผมถามไปอย่างนี้
"ก็แสดงว่าที่มึงเห็นตรงหน้าคือผี" เขาตอบ

แต่ผมหัวเราะยกใหญ่ "พี่ชายกู พ่อกูก็ชอบใส่กลับด้าน กูก็ด้วย ไม่เห็นต้องถอดกลับเวลาใส่ไปแล้ว ดีเสียอีกเวลาเป็นหวัด เอาด้านหลังมาใส่ด้านหน้าปิดหน้าอกอบอุ่นกว่าด้วยซ้ำ"

"มึงยังไม่เคยเจอผีมากกว่า หรืออาจจะเจอแล้วแต่ไม่รู้ตัวก็ได้" เพื่อนคนนั้นทำเสียงขรึม

นี่เป็นสองเรื่องที่เป็นที่มาของเรื่องนี้ คืนนั้นผมเพิ่งกลับจากทำงาน ถึงห้องเช่าก็เจอพ่อมายืนรอที่หน้าห้องแล้ว "อ้าว พ่อ ทำไมไม่ขอกุญแจที่แม่บ้านเข้าไปรอข้างใน"

พ่อยิ้ม ผมเรียกพ่อให้เข้าห้อง พ่อกลับพูดว่า "พี่ชายแกอยู่โรงพยาบาลนะ พ่อรีบมาบอก"
ผมตกใจ "เป็นไรพ่อ"
"ข้ามถนน ถูกรถชน"

ระหว่างเดินทางในรถแท็กซี่ ผมสังเกตเห็นเสื้อพ่อ "นี่พ่อรีบเสียจนใส่เสื้อกลับด้านเลยหรือ"
พ่อไม่ตอบ อย่างที่บอกตอนอยู่บ้านผมเห็นพ่อกับพี่ใส่เสื้อกลับด้านกันประจำ ก็เลยไม่สนใจ ถึงโรงพยาบาลจ่ายค่ารถแล้วก็จะหันไปหาพ่อ พ่อหายไปไหนไม่รู้ พ่อคงไปเข้าห้องน้ำมั้ง ผมคิดแล้วหันไปถามเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์บอกชื่อพี่ชายซึ่งเขาก็แจ้งว่า อยู่ในห้องฉุกเฉินรอญาติ

ถึงห้องฉุกเฉิน พยาบาลถามทันทีที่เห็น "ญาติคุณทิวากับคุณสมภพใช่ไหม"

ผมแปลกใจทิวานี่คือชื่อพี่ชาย แต่สมภพคือชื่อพ่อ พยาบาลคนนั้นชี้ไปทางมุมในสุดพลางพูดว่า "กำลังรอญาติคะ"

สภาวะนั้นผมงุนงงอยู่ ผมก้าวช้าๆ ไปที่สองเตียงที่มีผ้าคลุมคนบนเตียง ผมเดินช้ากว่าบุรุษพยาบาลนายหนึ่งที่เดินแซงหน้าไปที่เตียง "เสียใจด้วยนะครับ ทางโรงพยาบาลรับผู้ตายทั้งสองมาจากกู้ภัยในสภาพสาหัส แต่ผู้ตายเสียเลือดมากจริงๆ อืม ถ้าเสร็จจากตรงนี้แล้วช่วยไปเซ็นชื่อ" ผมไม่ได้ยินเขาพูดอะไรอีกแล้ว วินาทีนั้นผมร้องไห้โฮเมื่อเปิดผ้าคลุมทั้งสองผืนออก

ผมแทบลืมไปเลยว่าพ่อกับพี่ชายอยู่ระหว่างเดินทางมาเยี่ยมผมในวันนั้น นานๆ พ่อมีธุระจะเข้ากรุงเทพฯ ที พ่อก็จะชวนพี่ชายที่อยู่ด้วยกันมาเป็นเพื่อน พ่อเคยมาหาผมสามสี่ครั้งในรอบสองปี ผมเอาแต่ทำงานหลังเรียนจบไม่เคยได้กลับบ้าน พ่อจึงเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเอง

ตอนนั้นยศเดินสวนมา ผมร้องทัก แล้วเล่าให้เพื่อนฟังว่าพ่อกับพี่ชายเพิ่งเสียชีวิต เขาแสดงความเสียใจกับผม แล้วระหว่างรอแม่กับญาติ เขาก็ชวนผมนั่งลงตรงม้านั่งภายนอกโรงพยาบาล ไฟจากโรงพยาบาลพอมีแสงสว่าง ไม่มียุง ลมเย็นสบายๆ ผมจำได้ว่าจู่ๆ เขาก็เอ่ยเรื่องวิธีเห็นผีโดยการใส่พระกลับหลังนั้น

"เอ็งยังอยากพิสูจน์มั้ย พ่อกับพี่เสียใหม่ๆ อาจจะเจอก็ได้นะ โน่น ห้องน้ำโรงพยาบาลอยู่นั่น" ยศพูดเหมือนรู้จักที่ทางในโรงพยาบาลดี ตอนนั้นผมค่อยสังเกตว่าเขาใส่เสื้อผ้าคล้ายๆ เครื่องแบบเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนั้น "มึงทำงานที่นี่หรือ"

เขาไม่ตอบ พอดีน้าสาวเพิ่งมาถึงตะโกนเรียก ผมจึงลุกไปหา ผมเล่าเรื่องพ่อให้น้าฟัง
"พ่อแกคงเป็นห่วงแก ถึงได้ไปหาแก ทั้งๆ ที่ อืม ว่าแต่ตะกี้แกนั่งคุยกับใคร"
"เพื่อนผม เขาทำงานที่นี่เอง"
"ดูไกลๆ นึกว่าแกพูดคนเดียว น้าคงตาฝาดเอง"

จนกระทั่งคืนนั้นที่แม่มารับศพพ่อกับพี่ชายผมก็ยังไม่เห็นยศ ถ้าไม่บังเอิญเดินผ่านบอร์ดแสดงประวัติของโรงพยาบาลแห่งนั้นซึ่งเขาแสดงชุดพนักงานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผมแปลกใจมาก สุดท้ายจึงทราบว่าชุดใหม่ใช้มาห้าปีแล้ว ผมถามชื่อยศกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เขารีบตอบ

"ถ้าคุณไม่ถามผมคงเสียใจที่ลืมพนักงานดีเด่นของแผนกต้อนรับเราไปได้ ยศตายมาหกเจ็ดปีแล้วครับ ถูกรถชนหน้าโรงพยาบาลนี่เอง"

ทันใดนั้นเองที่ผมสังเกตว่านอกจากเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนกันแล้ว ยศก็ใส่เสื้อกลับด้านด้วย คิดแล้วก็บอกตัวเองว่าไม่ต้องไปใส่พระกลับหลังหรอก ผมเจอกับตัวสองครั้งสองคราในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จะต้องไปพิสูจน์อะไรอีก



แท็กซี่กับงู
สมัยผมยังขับแท็กซี่อยู่กรุงเทพฯ เจอเรื่องผีๆ หลอนๆ หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะตอนขับใหม่ๆ ใครเรียกไปไหนผมไม่เคยเกี่ยง นี่ล่ะมั้งทำให้ผมเจอบ่อย มีอยู่คืนหนึ่งมีผู้โดยสารเรียกจากอ่อนนุช 44 ให้ไปส่งแถวอ่อนนุช 66 ที่อยู่ไม่ไกล แต่ใครอยู่แถวอ่อนนุช 66 จะทราบดีว่ามีซอยย่อยจำนวนมากที่ไม่เรียงเลขกันอีก แถมคดเคี้ยวมาก ไม่ชำนาญทางก็หลงแน่ๆ ส่งเสร็จผมก็เจอผู้โดยสารสองคนนี้ ที่เล่าก็เพราะผู้โดยสารสองคนนี้เป็นเด็กผู้ชายอายุไม่น่าเกิน 7-8 ขวบ แกโบกจากบริเวณที่รกร้างว่างเปล่า ผมสงสัยเห็นเป็นเด็กก็เลยจอดถาม เด็กบอกว่าไปส่ง แกเอ่ยชื่อหมู่บ้านที่ผมไม่รู้จักหรอก แต่พอถามซ้ำแกบอกว่าอ่อนนุช 36 ผมก็ตกลงเพราะสงสาร เห็นเป็นเด็ก จะขับไปหาให้

พอขึ้นรถเด็กก็บอกให้ผมรีบไป ผมถามว่าจะไปทำอะไร เด็กก็ตอบว่าพ่อกำลังแย่ กำลังถูกทำร้าย ผมก็ตกใจ แล้วหนูมาทำอะไรที่นี่ ผมถาม เด็กบอกว่าถูกจับมาปล่อยไว้ที่นี่ หนูจะกลับไปช่วยพ่อที่นั่น ผมก็รีบสิครับ เรื่องไม่ใช่เล่นๆ แบบนี้ ผมไม่รอช้า รีบขับชนิดไม่สนใจรถคันอื่นเลยก็ว่าได้ มาได้สติต้องยกมือขอโทษรถคันอื่นอยู่หลายครั้ง

แต่ผมก็วนรถไปมาหลายรอบกว่าจะเจอหมู่บ้านดังกล่าว เด็กสองคนในรถก็พูดไม่ถูกว่าอยู่ทางไหนกันแน่ เหมือนจะไม่รู้จักบ้านตัวเองเสียด้วยซ้ำ จนผมเจอหมู่บ้านดังกล่าวโดยบังเอิญจึงรีบเลี้ยวรถเข้าไป

รถเข้าไม่ได้ เพราะยามรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านดันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ ผมกดแตรอยู่หลายครั้งกว่าจะมา เรียกว่าโมโหหัวเสียไม่น้อย ไอ้เราก็กำลังจะไปช่วยคน ยามขอโทษบอกว่าไปไล่จับงูอยู่ กลัวจะกัดคนเข้า จับได้แล้วก็เลยต้องไปปล่อยที่ไกลๆ แล้วก็แลกบัตรให้ผม

ผมแนะนำว่าทำไมไม่แจ้งพวกกู้ภัย "แล้วนี่ไปปล่อยที่ไหน ปล่อยตรงนั้นเดือดร้อนคนตรงนั้นหรือเปล่า"
"แล้วนั้นที่รกร้างว่างเปล่า ผมฝากเพื่อนมอไซวินไปแล้ว มีเฮียในหมู่บ้านให้ไป 500"

พูดจบผมก็นึกถึงเด็กในรถได้ รีบกลับเข้ารถ แต่ปรากฏว่าเด็กหายไปแล้ว หายไปไหนนะ ค่ารถก็ยังไม่จ่าย
"มีอะไรหรือพี่" ยามถาม เมื่อเห็นผมเหลียวซ้าย แลขวา

"ตะกี้ผมมีเด็กนั่งมาในรถด้วย เรียกผมมาจากอ่อนนุช 66 แยกอะไรสักแยกที่มันยั้วเยี้ยแถวนั้น ผมจำไม่ได้"
 "เอ..." ยามทำท่าคิด "ผมไม่เห็นใครในรถพี่เลยนะ"

ทันใดนั้นเองก็มีงูสองตัวเลื้อยออกมาจากด้านล่างของรถ ผมตกใจผงะ ยามได้สติเร็วกว่าผม วิ่งตรงไปดูพลางกล่าวว่า "เฮ้ นี่มันเหมือนไอ้ตัวที่ผมไปปล่อยนี่นา มันกลับมาได้ไงเนี่ย"

ผมฟังแล้วยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าในนาทีต่อมาเราก็ไขกระจ่าง เมื่อเห็นงูสองตัวนั้นกลายร่างเป็นเด็กแล้วหายเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง

"เด็กที่เรียกรถผมนี่" ผมพูดแล้วรีบตามเข้าไปดู ปรากฏว่าในพงหญ้านั้นมีศาลพระภูมิวางอยู่ เด็กหายไปแล้ว
"งูกลายเป็นเด็ก นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว" ยามพูด
"นั่นสิ" ผมอุทาน
"แล้วที่ผมตี แล้วยัดใส่ถุงปุ๋ยเอาไปทิ้ง ก็ไม่ใช่งูธรรมดา"
"งูเจ้า!" ผมร้อง
"ตอนผมจับยังไม่มีศาลพระภูมิเลยนี่ มาได้ไง"
"ไม่รู้แล้ว ผมไปก่อนดีกว่า ที่นี่มีเรื่องที่ผมไม่ขอยุ่ง"

"เดี๋ยวก่อนสิ ช่วยผมด้วย อย่าเพิ่งไปไหน" ผมได้ยินเสียงยามพูดไล่หลัง แต่ผมไม่อยู่แล้ว บอกตามตรงตอนนั้นกลัวมาก รีบสตาร์ตรถขับออกมาอย่างรวดเร็ว

เช้าวันต่อมาผมเล่าเรื่องนี้ให้เถ้าแก่อู่กับเพื่อนแท็กซี่คนอื่นฟัง เถ้าแก่ฟังแล้วหัวเราะหึๆ พลางพูดว่า
"แกเจอแล้ว หมู่บ้านนั่นไฟไหม้ครั้งใหญ่ไปเมื่อปีที่แล้ว คนตายกันเยอะ ป้อมยามนั่นแหละตัวดี เขาว่ากันว่ายามก็ตายในกองเพลิงด้วย เพราะไฟเริ่มจากตรงนั้นแล้วลามไปสำนักงานขาย โครงการยังขายไม่หมด เลยร้าง ขายไม่ออก"

เพื่อนแท็กซี่ขยายความต่อ "ถูกของเถ้าแก่ เขาเล่ากันว่าเริ่มจากยามไปตีงู คงเป็นงูเจ้า แล้วก็เกิดไฟไหม้ ไหม้ได้ยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นอาเพศอะไรสักอย่าง บางคนก็ว่าต้นเพลิงมาจากสำนักงานขายใกล้ป้อมยามแล้วลามไปทั่ว เพราะยังไม่ค่อยมีคนมาอยู่ แกเจอของดีจริงๆ นี่ยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไร"

อีกคนกลับว่า "เขาคงอยากให้แกทำบุญให้"

ผมก็คิดเช่นนั้น ผมมักจะทำสังฆทานและแผ่เมตตาให้ทั้งงูเด็กและยาม รวมทั้งคนที่เสียชีวิตในเพลิงไฟไหม้คืนนั้นอย่างสม่ำเสมอ ขณะเล่าอยู่นี่เชื่อไหม บัตรแลกตอนเข้าหมู่บ้านยังอยู่ติดตัวผมเลย หลายครั้งที่ผมผ่านไปแถวนั้นผมมักมองเข้าไปในหมู่บ้านร้างนั้นอย่างเสียวสันหลัง เพื่อนแท็กซี่เคยแซวว่า

"เอ็งไม่คิดจะไปแลกบัตรคืนหรือ"


บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 15 มกราคม 2559 19:14:47 »




ฝันสังหาร
งานจัดบริเวณข้างสนามกีฬาประจำจังหวัด เป็นงานที่มีร้านค้าขายสารพัดและมีมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง ชิงช้าสวรรค์ ปาเป้า ยิงปืนก๊อก ตักไข่ปลาเหมือนงานวัดทุกประการ ผมเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยจนถึงตรงด้านหลังสุดของบริเวณงาน หันไปเจอชายคนหนึ่งตั้งโต๊ะเล็กๆ หลบอยู่มุมมืด โต๊ะคลุมด้วยผ้าขาว มีของวางอยู่บนโต๊ะแต่ผมไม่ได้สนใจ กำลังเดินผ่านเขาก็ตะโกนเรียก "หนุ่ม เข้ามาก่อน"

ผมหยุดพลางหันมอง เขารีบพูด "คุณกำลังมีเคราะห์ ผมจะช่วยคุณ"

ตอนนั้นผมก็แค่คิดว่ามุขเก่าๆ ของไอ้พวกหลอกกินเงินคนอีกแล้ว ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลยแม้แต่น้อย จึงหัวเราะฮึๆ ตอบ พ่อค้าคนนั้นลุกเดินมาหาผมเอง แล้วเอ่ยว่า "คุณจะต้องฝันซ้ำๆ เรื่องน่ากลัวอีกหลายวัน จากนั้นคุณจะเจอเคราะห์กรรมอย่างรุนแรงในชีวิต แต่มีวิธีแก้ได้" เขาหยุดพูด คงหวังให้ถาม แต่ผมไม่สนใจ เขาจึงพูดต่อ "คุณจะลำบากจริง ผมไม่ได้หลอกคุณ วิธีแก้ไขจะบอกให้เอาบุญ คุณต้องทำสังฆทานและทำบุญตักบาตรให้เขาซึ่งก็คือเจ้ากรรมนายเวรของคุณ จำเอาไว้แล้วจะแคล้วคลาด ถ้าหนักก็จะเบาลง"

ผมหันไปส่ายหน้า ใส่เขา "เชื่อก็บ้าแล้ว คุณแค่มองผมก็เห็นแล้วหรือ คุณนั่นแหละที่บาป อยู่ดีๆ พูดเรื่องไม่ดีให้คนอื่นฟัง แย่มากเลยรู้ไหม วิธีหาเงินแบบนี้"

"ตามใจ ผมไม่ได้คิดหาเงินจากคุณแม้แต่บาทเดียว ไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วแต่บุญกรรมคุณเถอะ" พูดจบเขาก็ลุกเก็บโต๊ะเก็บผ้าปูลงกระเป๋าแล้วเดินหายไปในฝูงคน

ผมกลับบ้านอย่างไม่ใส่ใจ เข้านอนตามปกติ แต่ตลอดคืนผมเฝ้าแต่ฝันซ้ำๆ ว่าเดินก้าวขึ้นเก้าอี้แล้วผูกคอตาย ผมฝันอย่างนี้จนตื่นขึ้นมาแล้วเหนื่อยมาก ซ้ำยังรู้สึกเจ็บรอบคอเหมือนแขวนคอมาแล้วจริงๆ

คืนต่อมาผม ฝันว่าเดินบนบาทวิถีแล้วจู่ๆ รถยนต์ก็พุ่งเข้ามาชนตัวผมกระเด็นไปไกล ในฝันผมเจ็บไปทั่วทั้งร่างกาย ลุกเดินมาได้แต่ก็เจ็บไปทั้งตัว ผมฝันซ้ำๆ อย่างนี้ตลอดทั้งคืน ตื่นมาเจ็บตามตัวมาก กล้ามเนื้อปวดระบมเหมือนถูกของแข็งกระหน่ำตี ผมโทร.ลางานกับหัวหน้า แล้วลงไปหาข้าวกินก่อนจะกินยาคลายกล้ามเนื้อแล้วหลับไป

ทว่าในความฝันผมยังฝันว่ารถพุ่งมาชนอีก ทั้งๆ ที่เห็นรถ แต่ก็หลบไม่พ้น เป็นความเจ็บปวดที่เหมือนจริงมาก ดีหน่อยที่ฝันซ้ำๆ ไม่กี่ครั้ง แล้วผมก็หลับไม่รู้เรื่องเหมือนได้พัก ตื่นเอาตอนเย็น ผมกระหายแต่น้ำ เที่ยวเดินเปิดตู้เย็นกินน้ำไปหลายแก้ว

ทว่าคืนนั้นผมก็ไม่ วายฝันว่ากระโดดลงจากยอดตึกศีรษะกระแทกพื้นเจ็บปวดแสนสาหัส ผมปวดแทบทั้งตัว ราวกับกระดูกกำลังบดขยี้เป็นผุยผง เหมือนกล้ามเนื้อถูกตีด้วยเหล็กอยู่ตลอด ทุกครั้งที่ก้าวขึ้นบันไดไปตามทางหนีไฟถึงบนชั้นสูงสุด มองลงมาเห็นมนุษย์เห็นรถยนต์เล็กเหมือนมองมด แล้วผมก็ต้องกระโดดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะไม่ทำก็ไม่ได้ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นทั้งผลักทั้งบังคับให้ผมทำ ในความฝันช่างทรมานเหลือเกิน ผมตื่นขึ้นมาบนเตียง กี่โมงกี่ยามไม่รู้ รู้แต่ว่าลุกแทบไม่ไหว ฉับพลันทันใดนึกถึงคำพูดของชายลึกลับในมุมมืด จึงพยายามลุกขึ้นให้ได้เพื่อไปวัด

ใกล้วัดมีร้านขายอาหาร ผมเลือกซื้อข้าวสวยและกับข้าวหลายอย่างล้วนแล้วแต่สะอาด น่ากินและมีคุณภาพ ผมเลือกซื้อส้มและฝรั่งอีกอย่างละหนึ่งกิโลกรัมหิ้วข้ามถนนเดินเข้าวัด ตรงไปบริเวณศาลาถวายภัตตาหารเพล

หลวงพ่อรูปหนึ่งนั่งเหมือนรออยู่ ผมแสดงเจตนาต้องการถวายอาหารทั้งหมดที่ถือมา ท่านยิ้มแล้วให้ผมกล่าวคำตามถวายภัตตาหาร เมื่อเสร็จคำกล่าวผมกำลังจะกรวดน้ำ ท่านชิงพูดว่า

"โยมไม่ต้องรีบก็ได้ กลับถึงบ้านโยม ต้นไม้ภายในบ้านโยมต้นใหญ่ต้นนั้นขอให้โยมไปกรวดน้ำที่ต้นนั้นและค่อยกล่าว อุทิศถึงเจ้ากรรมนายเวร ทุกอย่างก็จะดีขึ้น"

ผมตกใจ "หลวงพ่อทราบได้อย่างไรครับว่าบ้านผมมีต้นไม้อยู่กลางบ้าน"

ท่านยิ้มอย่างมีเมตตา "โยมอยู่บ้านกึ่งอิฐกึ่งปูนตรงซอย 18 ใช่ไหม บ้านสีครีมหน้าต่างเป็นลายฉลุ"

"ครับ หลวงพ่อ"

"อาตมาบิณฑบาตผ่านทุกเช้า หลายครั้งที่เห็นโยมกำลังจะออกจากบ้านไปทำงาน"

วูบนั้นผมละอายใจที่ไม่เคยสนใจจะใส่บาตรทำบุญเลย หลวงพ่อพูดต่อ

"อย่าคิดมากเลย ก่อนหน้าโยมจะมาเช่าบ้านหลังนั้น เคยมีคนตายในบ้านนั้นหลายคนแล้ว โยมทำบุญกรวดน้ำให้เขาอย่างนี้ดีแล้ว ไปเถอะ รีบกลับไปกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา"

ผมออกจากวัดด้วยในหัวเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน ที่บ้านระหว่างการกรวดน้ำที่โคนต้นไม้ซึ่งตรงกับกระจกประตูบ้าน ผมตกใจแทบหงายหลัง แต่ก็พยายามตั้งสติกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลให้ "พวกเขา"

ผมเห็นภาพสะท้อนในกระจกเป็นคนเกินห้าคน บ้างก็จับต้นแขนบ้างก็จับข้อศอกต่อจากผม ขณะผมกรวดน้ำ

จากนั้นผมก็ลดการฝันร้าย เมื่อทำบุญกรวดน้ำและทำสังฆทานอีกสองสามครั้งผมก็ไม่เคยฝันถึงความตายซ้ำซากอีกเลยจนทุกวันนี้



บ้านสบผี
หมู่บ้านของเราเป็นหมู่บ้านเงียบๆ อยู่กันแบบไหนมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายก็ยังชอบที่จะอยู่กันอย่างนั้น คนหนุ่มสาวที่ปีกกล้าขาแข็งเติบโตก็โบยบินออกจากพื้นที่ ตามแสงเสียงของความเจริญในตัวเมือง ทิ้งไว้แต่เด็กๆ คนพิการและคนแก่ บรรยากาศจึงก้ำกึ่งระหว่างเงียบเหงาและเงียบสงบ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกคิด

ผมเคยคิดว่าบางทีการที่คนที่นี่มีน้อยอาจจะเกี่ยวกับชื่อหมู่บ้านด้วย หมู่บ้านเราชื่อหมู่บ้านสบผี คนที่ไม่คุ้นเคยอาจจะมองดูแปลก บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน บางคนคิดไปทางสยองขวัญน่ากลัว อันที่จริงแล้วชื่อนี้เป็นชื่อที่มีมาแต่โบราณ เป็นชื่อมงคล เพราะคนในย่านนี้นับถือผีกันมาแต่บรรพชน คนในพื้นที่ของหมู่บ้านนี้สืบทอดเชื้อสายของร่างทรงผีฟ้า ที่จะลงมาประทับร่างเพื่อช่วยเหลือรักษาคนป่วยหรือคนที่ได้รับความเดือดร้อน คำว่าสบผี จึงมีความหมายในทางที่ดี ว่าเป็นสถานที่พิเศษที่ผีฟ้าโปรดปรานจะลงมาพบผู้เดือดร้อน

แต่ความเชื่อก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนก็เริ่มหันไปสนใจสิ่งที่ใหม่กว่าและลืมเลือนมันไป สำหรับผมแล้วโชคดีอยู่หน่อยตรงที่ผมค่อนข้างชอบบรรยากาศเงียบสงบของที่นี่

แต่แล้วพลบค่ำวันหนึ่งก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อจู่ๆ รอบหมู่บ้านก็มีเสียงดังประหลาดเหมือนมีคนจำนวนมากกำลังตรงเข้ามา เนื่องจากขาผมพิการ ผมจึงต้องถัดตัวไปแอบชะเง้อดูที่ช่องประตูบ้าน แต่แล้วก็ต้องรีบปิดลงอย่างรวดเร็วใส่กลอนประตู แน่นหนาด้วยมือที่สั่นเทา

"เป็นอะไรลูก ใครมา" ยายร้องถามมาจากด้านหลัง ในขณะที่พวกหลานๆ กำลังวิ่งกันออกมา

ผมรีบเอานิ้วแตะที่ปากเป็นสัญญาณให้เด็กๆ เงียบ ใบหน้าซีดเผือดของผมน่าจะบอกได้ดีว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นด้านนอก

หลังจากนั้น ทั้งยาย ผม และหลานๆ ก็พากันแอบดูจากช่องเล็กๆ ของประตูหน้าต่าง และได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิต

แม้จะเป็นยามพลบค่ำ แต่เราก็มองเห็นพวกมันได้ชัดเจน ร่างของศพเดินได้ในสภาพเสื้อผ้าเนื้อตัวที่กะรุ่งกะริ่ง ใบหน้ามีแต่รอยแผลเน่าเปื่อย บางตัวมีตาหลุดห้อยออกมานอกเบ้า บางตัวมีกระดูกขาวโพลนโผล่ทะลุผิวเนื้อออกมาเดินโขยกเขยกใกล้หมู่บ้านเข้ามา ประมาณด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะราวหลายสิบตัว

พวกเด็กร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัว ขยับเข้ามากอดกันกลม ผมดึงตัวยายเข้ามาใกล้ๆ ดูเหมือนผีพวกนี้พร้อมใจกันแหกป่าช้าออกมาที่นี่ ด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจทราบได้ ยายของผมพยายามบอกให้ทุกคนเงียบและนิ่งเอาไว้ ก่อนที่ท่านจะเริ่มพาดผ้าสไบขาว นั่งสวดคาถาเรียกผีฟ้าประทับทรง ผมมองยายหวั่นๆ พวกอสุรกายข้างนอกมีมากเหลือเกิน ผีฟ้าจะปกป้องพวกเราไหวไหมนะ

ในขณะที่บรรดาร่างน่าสยดสยองเคลื่อนใกล้เราเข้ามาเต็มที ยายของผมในวัยเกือบ 90 ผุดลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง หันมาพูดกับพวกเราด้วยน้ำเสียงของหญิงสาวว่า "พวกมึงซ่อนอยู่ที่นี่ อย่าออกไปไหน เดี๋ยวกูจะไล่พวกมันไปเอง"

แล้วยายก็ปีนขึ้นไปบนระเบียงบ้านชั้นบนอย่างรวดเร็วด้วยพละกำลังที่เหลือเชื่อ เพื่อหาทางขับไล่อสุรกายประหลาดที่ดาหน้ากันเข้ามาไม่หยุดหย่อน

"ซอมบี้แน่ๆ ค่ะ" นวล หลานสาวคนเล็กอายุ 7 ขวบ พูดขึ้น "หนูเคยได้ยินเพื่อนที่โรงเรียนเล่าเป็นแบบนี้เลย มันเป็นผีฝรั่ง"

"ผีฝรั่งแล้วทำไมมาโผล่แถวนี้ได้" อ๊อด หลานคนรองร้องไห้ถาม "แล้วผีฟ้าจะไล่มันไปได้ไหมครับน้า"

ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้ แต่สักพักก็เริ่มเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เมื่อเหล่าอสุรกายเริ่มหยุดเดิน และมองไปมองมารอบตัวเหมือนงงๆ ได้ยินเสียงที่คงจะเป็นหัวหน้าของพวกมันตะโกน "หยุดทำไม เดินต่อ"

พวกมันก็เลยพยายามเดินโขยกเขยกเข้ามาอีก คราวนี้หลานสาวผมร้องกรี๊ดแล้ววิ่งทะลุหลังบ้านหายไป เลยไม่ทันได้เห็นยายในร่างทรงผีฟ้าเริ่มร้องเพลงผีฟ้าและร่ายรำเอนตัวไปมา อย่างงดงามอย่างที่เราไม่ได้เห็นมานาน

พวกอสุรกายคงไม่อาจต้านพลังเทพของผีฟ้าได้ จึงพากันวิ่งหนีหายกระเจิดกระเจิงไปในที่สุด

ตั้งแต่นั้นมา หมู่บ้านเราก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง สงบสุขแบบเหงาๆ แบบที่มันเคยเป็นมาตลอดหลายปีพวกเราได้แต่เฝ้ารอคนหนุ่มสาวแข็งแรงที่จากไป จะกลับมาเยี่ยมบ้างแต่พวกเขาก็ไม่เคยมา

พาดหัวข่าววันรุ่งขึ้น
กองถ่าย "ซอมบี้ล้านนา" วิ่งป่าราบเจอของจริงที่หมู่บ้านสบผี

เมื่อวานในเวลาราว 18.00 น. กองถ่ายซอมบี้ล้านนาถึงกับกองแตก หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นหญิงชราปรากฏกายขึ้นฟ้อนรำและร้องเพลงผีฟ้าเสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณ นอกจากนั้นหลายคนยังเห็นผีเด็ก ผู้หญิงร่างกายดำเกรียมหวีดร้องโหยหวนวิ่งผ่านไป มิหนำซ้ำในภาพถ่ายสถานที่ถ่ายทำยังถ่ายติดร่างดำเมี่ยมหลายร่างแอบซ่อนอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ของซากบ้านไหม้ไฟที่ยังเหลือเหมือนกำลังแอบดูอีกด้วย ทั้งนี้ หมู่บ้านสบผีเป็นหมู่บ้านร้างเนื่องจากถูกไฟไหม้ใหญ่ซึ่งมีผู้เสียชีวิตในกองเพลิงมากมายเมื่อหลายปีก่อน


123
ตอนนั้นหนูอายุ 14 ปี ฮอร์โมนวัยรุ่นคงกำลังพุ่งพล่านทำงานหนัก หนูอึดอัดมากเรื่องแม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของหนู ไม่เหมือนแม่เพื่อนคนอื่นเลย จนวันหนึ่งที่หนูทะเลาะกับแม่อย่างหนัก หนูก็เลยหนีออกจากบ้าน อยากไปให้ไกลๆ หนูมีเพื่อนทางเอ็ม (โปรแกรมแช็ตเอ็มเอสเอ็นยอดนิยมในสมัยนั้น) หนูขอไปพักที่บ้านเขาสองสามวันก่อนค่อยเข้ากรุงเทพฯ หางานทำ จำได้แม่นยำว่าหนูมีเงินเก็บราวห้าพันบาท

แต่เมื่อไปถึงจังหวัดที่ว่า หนูหาบ้านเพื่อนคนนั้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ให้ทั้งรถสองแถวและมอเตอร์ไซค์รับจ้างพาไปจนหมดเงินไปเกือบห้าร้อยหนูก็ยังไม่เจอบ้านเพื่อน เข้าร้านอินเตอร์เน็ตเปิดโปรแกรมเอ็มก็ไม่เจอเพื่อนออน เวลานั้นก็ดึกแล้ว หนูตัดสินใจเดินหาโรงแรมพัก หนูเจอแต่โรงแรมม่านรูด กลัวก็กลัวแต่มันถูกกว่าโรงแรมแบบอื่น เอาก็เอา

แต่เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์กลับบอกว่าเต็ม หนูพยายามเซ้าซี้อยู่หลายครั้ง

"งั้น ห้องมีผีนะ กลัวไหม ไม่มีใครกล้าพัก ห้องก็ปิดตายมาหลายเดือนแล้ว ป้าให้หนูพักฟรีด้วย ถ้าไหวนะ"

ได้ยินคำว่าฟรีหนูไม่ปฏิเสธเลย ถึงแม้จะมีผี หนูไม่เคยเชื่อเรื่องผีเลย ที่ไหนว่าผีดุ หนูชอบไปพิสูจน์บ่อยๆ "โอเคค่ะ ฟรีแน่นะ"

ป้ายิ้ม "แต่ขอเวลาเดี๋ยว ห้องปิดมานาน กุญแจไปไหนก็ไม่รู้"

ป้าหายไปนานมาก แกให้หนูรอที่เคาน์เตอร์ที่ไม่มีคนอยู่เลย ดึกก็ดึก วังเวงก็วังเวง หนูเกือบหลับคาเคาน์เตอร์ตอนที่ป้าแกมาสะกิดเรียก

"เจออะไรป้าไม่รู้ด้วยนะ เอ้า นี่กุญแจ"

หนูชักสนุก ตอนนั้นไม่คิดกลัวเลย หนูรับกุญแจมาเป็นหมายเลข 123 ป้าชี้ไปทางด้านใน หนูก็เดินตามดูเลขห้องไปทีละห้อง ปรากฏว่าเป็นห้องสุดท้ายสุดทางเดินแรกพอดี

เมื่อไขเข้าไป จมูกปะทะกับกลิ่นอับกลิ่นฝุ่นของห้องที่ไม่ได้มีคนอยู่มานาน แต่ไม่เป็นไร แค่นอนคืนเดียวเอง ตอนเช้าก็ออกไปตระเวนหาบ้านเพื่อนล่ะ หนูกดสวิตช์เปิดโทรทัศน์แล้วเข้าห้องน้ำอาบน้ำ เสียงจากทีวีเป็นเสียงอ่านข่าวของนักข่าวผู้ชาย แต่สักพักมีเสียงแทรกเป็นผู้หญิงสองคนคุยกันกระซิบกระซาบ ตอนแรกหนูก็เฉยๆ แต่เสียงเหมือนดังขึ้นและวนอยู่ในห้อง เมื่อหนูอาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่มีอะไร ภาพในทีวียังคงเป็นภาพนักข่าวชายอ่านข่าวอยู่ หนูขยี้ผมเช็ดให้แห้งอยู่พักหนึ่ง แล้วล้มตัวลงครึ่งนั่งครึ่งนอนดูทีวี

หนูได้ยินเสียงของหล่น หันไปดูเห็นกระเป๋าหนูหล่นลงบนพื้น ทั้งๆ ที่วางไว้โต๊ะเล็กๆ ที่เขาคงให้วางของ ข้างในก็มีเสื้อผ้ามีข้าวของส่วนตัวหนักเอาการ หนูเดินไปเก็บวางที่เดิมแล้วกลับมาดูทีวีต่อ สักพักกระเป๋าก็ตกลงพื้นอีก เอาละวะ ชักจะยังไงๆ ของหนักๆ ไม่น่าจะหล่นลงเองได้ หนูชักยังไงๆ อยู่ ตัดสินใจล้มลงนอนคลุมโปง ไม่ลืมเปิดทีวีค้างไว้

แต่หนูนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนกระซิบกระซาบกันตลอด เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลรอบตัวหนู เป็นใครก็ต้องกลัวแล้วล่ะ ทำปากดีใจกล้าเอาเข้าจริง หนูบอกตามตรงตอนนั้นกลัวมาก ปากก็สวดมนต์ พระที่ห้อยคอหนูเอามาอมในปาก พยายามข่มตาหลับ

ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น หนูได้ยินเสียง ผู้หญิงพูดว่า "ดูสิ เล่นอมพระเลย อิอิ"
อีกเสียงก็ตอบ "เราจะเล่นอะไรกับเค้า ดีน้า อิอิ"

หนูนอนตัวสั่นไม่กล้าลืมตา ได้แต่ทำตัวนิ่งๆ รู้สึกตัวเองเหงื่อแตกพลั่กทั้งตัว ตลอดเวลาหนูได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งเล่นไล่จับกันส่งเสียงตึงตังอยู่รอบห้อง หนูแทบบ้า นอนไม่ได้เลย จะลุกหนีก็กลัว ดึกขนาดนี้หนูจะไปไหน ข้างนอกก็คงไม่มีคน จะกี่โมงกี่ยามกันแล้วก็ไม่รู้ ตอนที่ได้ยินเสียงกระซิบว่า นอนด้วยนะจ๊ะ อิอิ หนูแทบบ้า นอนตัวสั่นหลับตาปี๋

หลับไปไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นอีกทีก็ได้ยินเสียงเหมือนทุบประตูดังปังๆ ดังมากจนหนูต้องรีบลุก ทันทีที่เปิดก็เห็นป้ากับผู้ชายอีกคนยืนอยู่

"เป็นอะไรเปล่านี่" ป้าถาม

ผู้ชายอีกคนหนุ่มกว่าป้ากวาดตามองหนูจากหัวจรดเท้า ก่อนจะหันไปทางป้า "ป้าเล่นแรงนะ เกิดอีหนูนี่เป็นอะไรไป จะทำไง"

"ก็มันบอกว่าไม่กลัวๆ แล้วก็ไม่มีที่พักด้วย"

หนูยืนงุนงงอยู่ ป้าแกพูด "เร็วๆ หน่อย ตำรวจรออยู่"

หนูหันขวับ ป้าพูดต่อ "ป้าก็ไม่รู้อะไร เห็นบอกหนูหนีออกจากบ้านมา"

ทันใดหนูก็คิดถึงแม่ แทบจะร้องไห้โฮ หนูจะบ้าอยู่แล้ว รีบไปหยิบกระเป๋าแล้วเผ่นออกจากห้องให้เร็วที่สุด

ก่อนประตูจะปิดลง หนูได้ยินเสียงผู้หญิงกระซิบว่า "อย่าลืมนะ หนึ่งสองสาม อิอิ"

ตำรวจ พาหนูส่งถึงบ้าน หนูร้องไห้ขอโทษแม่ แล้วเล่าเรื่องที่เจอทั้งคืนให้แม่ฟัง ตอนแรกหนูก็คิดว่าผีอาจจะย้ำว่าให้หนูอย่าลืมห้อง 123 นี่ แต่แม่บอกว่า "เขาให้โชคเราตะหาก"

งวดนั้นแม่ถูกลอตเตอรี่จริงๆ ไม่ต้องกลับ ไม่ต้องโต๊ด



น้ำจิ้มรสเด็ด
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสี่สิบห้าปี ผมไม่เคยกินข้าวมันไก่ร้านไหนอร่อยเท่าร้านนี้มาก่อน โดยเฉพาะกับน้ำจิ้มที่เป็นตัวชูรสให้ข้าวมันไก่อร่อยยิ่งขึ้น หลายต่อหลายร้านแล้วที่ตัวข้าวและไก่ที่อร่อยแต่มาตกม้าตายเพราะน้ำจิ้ม แต่ร้านนี้น้ำจิ้มยิ่งทำให้ทั้งข้าวและไก่ที่อร่อยได้อร่อยยิ่งขึ้น

เจ๊คิ้มคือเจ้าของร้านครับ ขายอยู่แถว อ่ะ อ้า ไม่บอกหรอก เดี๋ยวคุณก็รู้หมดว่าคือร้านไหนในกรุงเทพฯ!

ผมกับเพื่อนอีกสองคนคุยกันว่าเราจะต้องรู้สูตรการทำข้าวมันไก่แกให้ได้ โดยเฉพาะสูตรน้ำจิ้มที่พวกเราซึ่งเจนจัดเรื่องการทำอาหาร โอ๊คเพื่อนผมบ้านมันขายข้าวมันไก่มาตั้งแต่รุ่นอากงสมัยพระนครมีร้านข้าวมันไก่ไม่กี่ร้าน ร้านของครอบครัวมันนี่ต้นตำรับข้าวมันไก่ไหหลำตัวจริงเลย ไม่ต้องพูดถึงนพกับผม นพมีคอลัมน์เขียนถึงอาหารตามหน้านิตยสารมายี่สิบปีแล้ว ไม่มีร้านไหนในกรุงเทพฯ ที่มีคนบอกว่าอร่อยแต่เราไม่เคยกิน ยกเว้นร้านใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมา (ซึ่งหากเรารู้เราก็บุกไป) ส่วนผมไม่อยากคุย แค่กินสองสามคำก็บอกได้เลยว่าปรุงด้วยวัตถุดิบอะไร

แต่กับข้าวมันไก่ของเจ๊คิ้ม บอกตามตรงอับจนปัญญามาก ก่อนหน้านี้ร้านแกก็อร่อยแบบพอกินได้ ไม่ถึงกับเลอเลิศ แต่ช่วงหลังมีคนรีวิวแนะนำร้านแกบ่อยมากและเพื่อนผมขาชิมก็พูดถึงในเฟซบุ๊กถี่จนผมกับนพและโอ๊คต้องกลับไป "กิน" อีกครั้ง แต่ให้ตายเถอะ ทั้งกินที่ร้านและซื้อมาที่บ้าน รวมถึงชวนพ่อของโอ๊คที่เป็นเซียนข้าวมันไก่ตัวจริงมาพิสูจน์แกะสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่ของร้านเจ๊คิ้ม เราก็ยังไม่ทราบจริงๆ ว่าแกใส่อะไรลงไปทำให้น้ำจิ้มรสเลิศได้ขนาดนี้

ปกติสูตรน้ำจิ้มไม่มีส่วนผสมอะไรมากไปกว่าเต้าเจี้ยว ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ขิงสดหั่นละเอียด กระเทียมและพริกขี้หนูหั่นละเอียดคลุกเคล้าให้เข้ากัน มากน้อยแล้วแต่สูตร แต่กับร้านเจ๊คิ้ม เราหาไม่เจอเลยว่าขาดอะไรไปและที่ขาดนี่แหละเราคิดว่าคือเคล็ดลับสำคัญ

วิธีเดียวที่สรุปตรงกันก็คือ ต้องได้เห็นการทำน้ำจิ้มต่อหน้าต่อตา แรกๆ ก็คิดกันง่ายๆ คือไปตอนเปิดร้าน เผื่อจะได้เห็นทำน้ำจิ้ม ปรากฏว่าไม่เคยเห็นเลย ครั้นถามถึงสูตรน้ำจิ้มแกก็มักจะบอกส่วนผสมที่รู้ๆ กันนั่นแหละ แต่พวกเราว่าไม่ใช่ มันต้องมีมากกว่านี้

ผมเสนอให้มีคนไปสมัครเป็นลูกจ้างแก แต่พวกเราคงไม่เหมาะ ที่สุดได้ลูกจ้างชาวพม่าลูกน้องผมชื่อ โซ ทัน วิน ไปสมัครเป็นสายลับหาสูตรน้ำจิ้มมาให้ได้

อาทิตย์แรกไอ้วิน รายงานแต่เรื่องพื้นๆ ในการทำข้าวมันไก่ที่เราก็รู้กันอยู่แล้วอย่าง อย่าต้มไก่ในน้ำเดือดพล่าน (เพราะทำให้เนื้อแข็งและหนังไก่แตก) การต้มไก่ใช้เวลาต้ม 45 นาที (เรารู้มากกว่านี้อีก เวลาขนาดนี้เหมาะแก่ไก่ขนาด 3.8-4.2 กิโลกรัม หากไก่เล็กกว่านี้ ควรใช้เวลาน้อยกว่านี้) หรือเคล็ดลับอย่างไก่สุกแล้วให้จุ่มน้ำเย็นทันที เราก็รู้อยู่แล้ว หรือการเจียวกระเทียมในน้ำมันไก่แทนการผัดข้าว ไอ้วินก็รายงานมาอย่างตื่นเต้นมาก เรื่องพวกนี้พวกเรารู้มานานแล้ว ร้านพ่อโอ๊คนำน้ำมันที่ได้จากการเจียวมันไก่มาเจียวกับกระเทียมจนสีเหลืองทองแล้วใส่ลงหุงข้าวกับน้ำซุปไก่ร้อนๆ พวกเราไม่ได้เอาข้าวไปผัดก่อนมาหุง หรือทำข้าวมันไก่แบบร้านกากๆ ทั่วไปที่ชอบเทน้ำมันพืชไปคลุกในหม้อหุง หรืออย่างล่าสุดที่วินแจ้งมาก็คือการเลือกข้าวที่หุงต้องเป็นข้าวหอมมะลิกลางเก่ากลางใหม่เท่านั้น ใหม่ไปก็จะแฉะเพราะมียางมาก เก่าไปก็ร่วน ไม่เกาะกันเพราะมียางน้อย อันนี้เรารู้กันตั้งแต่หัดทำแล้วเพราะมันคือกฎพื้นฐานของข้าวมันไก่

ไอ้วินไปนานสองเดือนก็ยังไม่เคยเห็นเจ๊คิ้มหรือคนในร้านทำน้ำจิ้มให้เห็นเลยสักครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง!

โซ ทัน วิน เล่าว่าเจ๊คิ้มใช้ชั้นบนสุดพักกับแม่ที่เป็นอัมพาต (แกไม่มีลูกไม่มีผัว) ชั้นล่างสุดเป็นร้าน ชั้นสองสามใช้เก็บของ เฮียปอให้วินกับลูกจ้างอีกสองคนนอนห้องติดห้องครัว ตอนนั้นเที่ยงคืน กำลังจะเข้านอนแล้ว แอบเห็นเจ๊คิ้มเข้าครัวหิ้วหม้อใบโตขึ้นชั้นบน ก็แปลกใจแกลงมาหิ้วหม้อขึ้นไปทำไม แถมในมือมีถุงพริกถุงขิงขึ้นไปด้วย

ตรงชั้นบนสุดเมื่อย่องตามไป วินเห็นเจ๊คิ้มคร่อมหม้อใบนั้น มือก็พนม ปากก็พึมพำแล้วร้องออกท่าทางเหมือนร่ายรำทำพิธีอะไรสักอย่าง สักพักก็กรีดข้อมือปล่อยให้เลือดสดๆ หยดลงในหม้อ แล้วก็เทพริกเทขิงลงผสมกับเลือด หันไปหยิบขวดซอสขวดส่วนผสมทั้งหลายที่วางอยู่บริเวณนั้นเขย่าลงไปทำน้ำจิ้มจนเสร็จ ปิดฝาหม้อยกลงมาไว้ในครัวเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

ทุกวันนี้เราไม่เคยไปกินข้าวมันไก่ของเจ๊คิ้มอีกเลย โซ ทัน วินก็ลากลับพม่าเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะไปขายข้าวมันไก่หรือเปล่านี่ ผมไม่รู้



อาถรรพ์ศาล
ผมทำงานโรงแรมนี้ได้สองเดือนน้อยกว่าอายุโรงแรมเพียงเดือนเดียว เป็นโรงแรมใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จและเปิดบริการ ผมเพิ่งผ่านช่วงทดลองงานได้บรรจุในตำแหน่งพนักงานบริการทั่วไป ดูเหมือนจะคล้ายๆ ตำแหน่งที่เรียกกันเล่นๆ ว่ารับใช้ทั่วไป ซึ่งผมก็ไม่ขัดเขินในการทำงาน หัวหน้าแผนกดูจะมองผมเหมือนเด็กๆ ด้วยความที่ผมทำงานด้วยวุฒิ ปวช.และอายุเพิ่ง 18-19 ปี แกจะใช้ผมยันเลย แม้แต่ลากรถเข็นถังขยะไปทิ้ง แต่ผมก็ไม่เกี่ยง ผมมีพ่อเป็นอัมพาตและน้องสาวอายุไม่ถึงสิบขวบต้องดูแล แม่ผมเพิ่งเสียไปเมื่อปีที่แล้ว รายได้จึงมาจากผมทางเดียว

โรงแรมนี้แปลกที่ไม่มีศาลพระภูมิ จะว่าไปพื้นที่ที่สร้างโรงแรมนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรมาก่อน ก็ไม่มีศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่ ผมเองเพิ่งมาอยู่เมื่อห้าปีก่อนตอนที่พ่อยังทำงานได้และแข็งแรงดี ที่ตั้งโรงแรมตรงนี้ก็คือที่ตั้งโรงงานที่พ่อผมทำงานอยู่ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าแต่ก่อนนี้พื้นที่แถบนี้เป็นป่าทึบ ต่อมามีการบุกป่าฝ่าดงสร้างบ้านสร้างเมืองกันขึ้น นอกจากสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยในยุค พ.ศ.2500 ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศสร้างนโยบาย "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ" ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็เกิดโรงงานขึ้น ณ บริเวณนี้ เมื่อมีโรงงานมาตั้ง ร้านค้าและการค้าขายก็ชักนำผู้คนเข้ามามากขึ้น ความเจริญทางวัตถุก็หลั่งไหล โรงงานเจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจพื้นที่นี้ก็ฟู่ฟ่า แต่จู่ๆ วันหนึ่งโรงงานก็ไฟไหม้ มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก โรงงานร้างไปหลายปี เศรษฐกิจพื้นที่นี้ก็ทรุดโทรมลงตาม จนกระทั่งต่อมามีโรงงานใหม่มาแทนที่โรงงานเดิม

แต่โรงงานใหม่นี้มีข่าวการเสียชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่คนงานผูกคอตายใต้ต้นไม้ใกล้โรงงาน หรืออุบัติเหตุรถชนคนงานตายหน้าโรงงานอีกหลายครั้ง ว่ากันว่าโรงงานใหม่นี้ไม่มีศาลพระภูมิหรือศาลเจ้าที่ เจ้าของเป็นคนหัวนอกไม่เชื่อเรื่องพวกนี้จึงไม่มีการตั้งศาล ต่อมาโรงงานก็ต้องขาดทุนปิดกิจการไปในที่สุด

เป็นที่รกร้างว่างเปล่าอยู่นานจนเมื่อห้าปีก่อนมีการสร้างโรงงานผลิตกล่องโฟมขึ้น พ่อผมก็เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยย่านนี้

"เจ้าของเขาไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ไม่ตั้งศาลพระภูมิ ศาลตายายก็ไม่มี มีคนเตือนเขาก็ไม่เชื่อ กลับหาว่าเหลวไหลไร้สาระ" พ่อเล่า "พ่อทำงานสามปีมีแต่ข่าวคนถูกรถชน ผู้หญิงถูกฆ่าข่มขืน คนถูกฆ่าเอาทิ้งไว้ข้างโรงงาน คนงานผูกคอตาย สารพัดไม่เว้นแต่ละวัน"

พ่อผมนี่แหละวันที่โรงงานไฟไหม้พ่อก็ถูกเครื่องจักรล้มมาทับจนเป็นอัมพาต โรงงานปิดไปพร้อมชีวิตพ่อที่เกือบสูญไปด้วย พ่อพยายามกินยาตายไปหนหนึ่ง เพราะทนไม่ได้กับความพิการ ดูเหมือนความเลวร้ายจะมาพร้อมกับโรงงาน หลายคนเชื่อว่าเพราะไม่มีการตั้งศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่

เมื่อมีการสร้างโรงแรมขึ้นในที่โรงงานเดิมและเจ้าของไม่ยอมสร้างศาล ผู้จัดการและพนักงานบางส่วนจึงจัดการสร้างกันเอง โดยคิดตกลงกันได้ก็ทำพิธีตั้งในวันรุ่งขึ้นทันที เพราะเกรงเจ้าของโรงแรมจะไม่อนุญาต ผมมาทำงานทันเหตุการณ์นี้พอดี

ทว่าเมื่อเจ้าของโรงแรมทราบถึงกับเดือดดาลไล่ผู้จัดการและบรรดาพนักงานที่มีส่วนร่วมออกทันทีและสั่งให้ทุบรื้อศาลทิ้ง ผมเห็นเจ้าของโรงแรมโมโหมาก

ผู้จัดการคนปัจจุบันเป็นคนหนุ่มท่าทางจะสมัยใหม่เหมือนเจ้าของ แกเองเข้ามาทำงานวันแรกก็พาหนุ่มฉกรรจ์สามคนมาด้วย แล้วชี้สั่งให้ทุบศาล แต่มีคนกล้าทำแค่คนเดียว อีกสองคนปฏิเสธพร้อมกับยกมือไหว้และรีบกลับไป ผมเองยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ได้เห็นผู้จัดการควักกระเป๋ายื่นเงินห้าพันบาทให้หนุ่มที่เหลืออีกคน "จัดการทุบและขนไปทิ้งให้หมด นี่ผมให้คุณคนเดียว" เขาพูดสั้นๆ แค่นั้นแล้วก็กลับไปห้องทำงานของเขา ปล่อยผมให้อยู่กับคนที่เหลือ

ผมเองได้แต่ยืนคุมงานจนเสร็จ พี่คนนั้นทำไปก็ยกมือไหว้ไป ปากขมุบขมิบพึมพำตลอด สุดท้ายห้าโมงเย็นบริเวณที่เคยตั้งศาลหน้าโรงแรมก็เหี้ยนเตียนราบเรียบ

ผมทราบว่าพี่คนนั้นกลับบ้านไม่ถึงเจ็ดวันก็ถูกงูกัดตาย ผู้จัดการคนใหม่เองเกิดเป็นโรคประหลาด สะอึกทั้งวันไม่หยุด เป็นอย่างนี้ตลอดเจ็ดวัน ไม่เป็นอันกินข้าวกินปลา วันท้ายๆ แกบอกว่าสะอึกทีเจ็บไปทั้งหน้าอก น้ำตาแทบเล็ด

ช่วงเวลาเดียวกันพนักงานหญิงที่ตั้งท้อง ก็แท้งพร้อมกันสองคนในวันเดียวกันในที่ทำงาน พนักงานรักษาความปลอดภัยเองแท้ๆ กลับถูกรถชนหน้าโรงแรม หรือเรื่องคนมาส่งของบอกว่าเห็นคนใส่ชุดโรงงานเก่าเดินวนเวียนอยู่หน้าโรงแรม หรือเรื่องแขกที่มาพักได้ยินเสียงเคาะประตูเปิดมาเจอคนใส่ชุดขาวไล่ให้ไปที่อื่น

สุดท้ายก่อนที่เรื่องจะลุกลามไปกันใหญ่ มีผู้เฒ่าคนหนึ่งแนะนำให้นำพระพุทธรูปมาวางไว้กลางโรงแรม "หากไม่เชื่อเรื่องศาลพระภูมิผมว่าคุณคงเชื่อในเรื่องพระรัตนตรัยนะ"

เจ้าของโรงแรมทำบุญเลี้ยงพระในวันที่มีการนำพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาตั้ง ทุกวันนี้ไม่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกเลย


บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.898 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 14 มีนาคม 2567 19:12:13