.พังงา เป็นจังหวัดเล็กๆ ที่เงียบสงบ
ถามชาวบ้านว่าตัวจังหวัดอยู่ที่ไหน ได้รับคำตอบว่าที่นี่แหละคือตัวจังหวัด
...เห็นตัวเมืองเล็กๆ อย่างนี้เถอะ ค่าครองชีพสูงไม่ธรรมดา...
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยตามร้านขึ้นป้ายขายราคาจานละตั้ง 50 บาท ข้าวราดแกงจานละ 40 บาท...
จังหวัดพังงา จังหวัดพังงาเป็นจังหวัดเล็กๆ อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติทั้งทางบกและทางทะเล
เป็นที่ยอมรับกันว่าในอดีต เศรษฐกิจและอาชีพหลักของชาวจังหวัดพังงาขึ้นอยู่กับแร่เป็นสำคัญควบคู่กันกับจังหวัดภูเก็ดและจังหวัดระนอง
ชาวพังงาส่วนใหญ่มีอาชีพการทำเหมืองแร่ดีบุก หรือที่ชาวพื้นเมืองสมัยก่อนเรียกว่า "ตะกั่วดำ" โดยสามารถผลิตแร่ดีบุกได้มากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ต่อมาราคาดีบุกในตลาดโลกเริ่มลดต่ำลง ส่วนธุรกิจการท่องเที่ยวได้รับการส่งเสริมและขยายตัวอย่างรวดเร็ว จังหวัดพังงาที่มีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติสมบูรณ์และหลากหลาย อาทิเช่น หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน อ่าวพังงา เขาตะปู-เขาพิงกัน หมู่บ้านปันหยี ที่สวยงามติดอันดับของโลก จึงกลายภาพจากเมืองแห่งเหมืองแร่ดีบุกเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ถ้ำพุงช้าง (Phung Chang Cave) อำเภอเมือง จังหวัดพังงา ถ้ำพุงช้าง อยู่ในเขาพุงช้าง วัดถ้ำพุงช้าง (วัดประพาสประจิมเขต) อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เป็นถ้ำขนาดใหญ่และอาจใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ความยาวของถ้ำจากปากถ้ำด้านหนึ่งไปจรดอีกด้านหนึ่งยาวประมาณ ๑,๒๐๐ เมตร ประกอบด้วยถ้ำเล็กถ้ำใหญ่มากมาย ปากทางเข้าถ้ำมีสองทาง ด้านหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกและอีกด้านหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาช้าง
ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เคยเสด็จฯ มาประพาสและได้ทรงลงพระปรมาภิไธยไว้ทางด้านหน้าของถ้ำ
ภายในถ้ำมีความงดงามและความมหัศจรรย์ของหินงอกหินย้อยที่เกิดโดยสภาวะเหตุปัจจัยเกื้อหนุนตามธรรมชาติที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ พื้นถ้ำเป็นธารน้ำไหลผ่านตลอดปี มีทั้งช่วงน้ำลึกและช่วงน้ำตื้น แสดงให้เห็นถึงการไหลเวียนและการถ่ายเทของอากาศตลอดเวลา ผนังถ้ำบางแห่งมีผลึกของแคลไซต์ส่องเป็นประกายวาววับเมื่อต้องแสงไฟ
การเที่ยวถ้ำพุงช้างถือได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยต้องมีแสงสว่างและคนนำทาง เพราะนักท่องเที่ยวจะต้องนั่งเรือแคนู เดิน ลุยน้ำ และนั่งแพ เพื่อเข้าไปชมหินงอกหินย้อยสีทองปนแดง ที่ใช้เวลาก่อตัวสะสมนับเป็นล้านๆ ปี หยดน้ำที่หยดจากติ่งปลายของหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟฉายของเราจะเกิดประกายเหมือนประกายเพชร นอกจากนี้ภายในถ้ำยังเป็นที่หลีกเร้นซ่อนกายของสัตว์น้ำสัตว์ปีกหลายชนิด เช่น ค้างคาวกิตติซึ่งเป็นค้างคาวขนาดเล็กที่สุดในโลก และเป็นแหล่งอาศัยของค้างคาวพันธุ์นี้แหล่งที่สองที่พบในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมี กุ้ง หอย และฝูงปลานานาพันธุ์แหวกว่ายไปมาในกระแสน้ำ
มนต์เสน่ห์ภายในถ้ำอันมืดมิดแห่งนี้ มีผู้บอกเล่าตามจินตนาการที่ตนเองได้สัมผัส ว่าภายในถ้ำพุงช้างเต็มไปด้วยโขดหินลักษณะคล้ายช้างหลากรูปแบบที่แปลกตาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน บางส่วนคล้ายรูปคนตกปลา รูปแป๊ะยิ้ม รูปปลา รูปเต่า ด้านล่างของหินช้างเผือกจะมีสายน้ำเพชรไหลทะลักออกจากผนังถ้ำสีเหมือนเพชรเหมือนทองแวววาวระยิบระยับรองรับด้วยพระแท่นที่นั่งบัลลังก์ทองในพระราชวังมืดของช้างเผือก และที่มีความแปลกประหลาดไม่ต่างกันคือ ได้พบกับแผ่นหินคล้ายรูปแกะสลักเป็นเจดีย์เต็มไปด้วยจำนวนของลูกช้างเป็นพันๆ เชือกรูปปั้น "ตายมดึง" ตำนานแห่งถ้ำพุงช้าง ในมือถือหอก ที่ปลายหอกคือไส้ช้าง
ถ้ำแห่งนี้มีตำนานเล่าว่า สมัยก่อนมีชายคนหนึ่งชื่อ “ตายมดึง” เป็นคนร่อนเร่พเนจรขออาศัยอยู่กับ “ตาโจงโดง” ผู้มีลูกสาวสวย ตายมดึงขยัน ช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง ต่อมาตาโจงโดง จึงยกลูกสาวให้ สองสามีภรรยาจึงออกมาตั้งครอบครัวสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการทำสวนทำไร่ ในขณะที่ไร่นาออกผลงอกงามใกล้วันเก็บเกี่ยว กลับมีช้างป่าโขลงหนึ่งมาเหยียบย่ำทำลายพืชไร่เสียหายหมด ตายมดึงเสียใจและโกรธมาก จึงคว้าหอกตามล่าโขลงช้างนั้น แต่กลับไปพบช้างของตางุ้ม ตายมดึงคิดว่าเป็นช้างป่า จึงฆ่าช้างนั้นตายด้วยความโกรธแค้นโดยใช้หอกแทงที่ท้อง นำตับไตไส้พุงมาทำอาหารกินแล้วตัดงาออกมาด้วย โดยหารู้ไม่ว่าช้างเชือกนั้นไร้ความผิด ช้างนั้นเมื่อตายแล้วจึงกลายเป็น “เขาช้าง” ส่วนแผลที่หอกทะลวงท้องก็กลายเป็น “ถ้ำพุงช้าง”