ประชาชนเข้ากราบนมัสการขอพรหลวงพ่อหินทราย (แกะสลักจากหินทราย) สร้างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ประดิษฐานในพระอุโบสถเก่าวัดมเหยงคณ์
ปัจจุบันเหลือเพียงบางส่วนของพระเศียร ซึ่งศรัทธากันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก
วัดมเหยงคณ์ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดมเหยงคณ์ ตั้งอยู่เลขที่ ๙๕ หมู่ที่ ๒ ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เดิมเป็นพระอารามหลวงฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่เคยรุ่งเรืองสำคัญยิ่งมาในอดีตสมัยอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ทรงสร้างขึ้น ได้รับการปฏิสังขรณ์หลายครั้งหลายสมัย และกลายเป็นวัดร้างไป เข้าใจว่านับตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ รวมเวลาล่วงเลยมา ๒๐๐ กว่าปี ถึงแม้ในปัจจุบันนี้จะเป็นวัดร้างที่สภาพโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ยังเหลืออยู่ได้ปรักหักพังไปมาก แต่ก็พอมีเค้าเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงศิลปะการก่อสร้างอันประณีตงดงามมโหฬารและระดับความสำคัญของพระอารามแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
แนวความคิดทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเกี่ยวกับการสร้างวัดมเหยงคณ์ ได้แตกแยกออกเป็น ๒ แนวทาง คือ
• ตามพงศาวดารเหนือได้บันทึกไว้ว่า พระนางกัลยาณี มเหสีของพระเจ้าธรรมราชา (พ.ศ.๑๘๔๔-๑๘๕๓) กษัตริย์องค์ที่ ๘ ของอโยธยาเป็นผู้สร้างวัดมเหยงคณ์ ซึ่งแสดงว่าวัดมเหยงคณ์สร้างในสมัยอโยธยาก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาอย่างน้อย ๔๐ ปี
• ส่วนพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวว่า ศักราช ๗๘๖ มะโรงศก (พ.ศ.๑๙๖๗) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า (เจ้าสามพระยา) กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาเป็นผู้สร้างวัดมเหยงคณ์ ขณะที่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ กล่าวว่า ศักราช ๘๐๐ มะเมียศก (พ.ศ.๑๙๘๑) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า (เจ้าสามพระยา) เป็นผู้สร้างวัดมเหยงคณ์
มีการวิเคราะห์กันว่า อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า วัดมเหยงคณ์นั้นสร้างแต่ครั้งอโยธยา แต่ชำรุดทรุดโทรมเมื่อเวลาผ่านไปกว่า ๑๐๐ ปี ถึงสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชทรงเห็นว่าเป็นวัดเก่าแก่ จึงบูรณะและสร้างเพิ่มเติมให้ใหญ่โตจากโครงสร้างเดิมที่มีอยู่แล้ว
วัดมเหยงคณ์ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในสมัยกษัตริย์พระนามว่า พระภูมิมหาราช (พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) ในปีฉลู เอกศก (สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พ.ศ.๒๒๕๒) วัดมเหยงคณ์ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยกรุงศรีอยุธยา และคงรุ่งเรืองมาตลอดจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาแตกใน พ.ศ.๒๓๑๐โบราณสถานวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
พระอุโบสถวัดมเหยงคณ์ ที่นับว่าเป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระเจดีย์ฐานช้างล้อม - เจดีย์องค์ประธานของวัดมเหยงคณ์
เป็นเจดีย์ทรงระฆังอยู่บนฐานทักษิณมีช้างล้อมเป็นประธานของวัด เจดีย์ช้างล้อมนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่าคงเอาแบบอย่างมาจากพระเจดีย์ชัยของพระเจ้าทุษฐคามินี มหาราชในลังกาทวีป ซึ่งทรงช้างชื่อกุณฑล ทำสงครามได้ชัยชนะ ได้ครองราชสมบัติ มีโอกาสทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในลังกาให้รุ่งเรืองยิ่งในสมัยพระองค์ เจดีย์ช้างล้อมลักษณะคล้ายกันนี้เคยพบมาแล้วที่เมือง สุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย และเมืองกำแพงเพชร ...ข้อมูล - กรมศิลปากร |
ฉนวน (
The Corridor)เป็นทางเดินที่มีกำแพงตั้งอยู่ทั้งสองข้างทางเดิน เชื่อมระหว่างซุ้มประตูทางเข้าและพระอุโบสถ
ลักษณะกำแพงเป็นกำแพงที่มีบัวประดับอยู่ด้านบนคล้านกำแพงแก้ว เป็นทางเดินสำหรับพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายชั้้นสูงใช้เสด็จเข้าออก
ภายในวัดมเหยงคณ์ มีพระอุโบสถ ตั้งอยู่บนฐานสูง ๒ ชั้น ลดหลั่นกัน ขนาดพระอุโบสถกว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๓๖ เมตร นับว่าเป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังพระอุโบสถทางทิศตะวันตกพ้นเขตกำแพงแก้ว จะพบพระเจดีย์ฐานช้างล้อม ซึ่งเป็นเจดีย์องค์ประธานของวัดมเหยงคณ์ ตั้งอยู่บนฐานทักษิณสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างยาวด้านละ ๓๒ เมตร มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีบันไดทางขึ้นทั้ง ๔ ทิศ ที่ฐานทักษิณมีรูปช้างปูนปั้นยืนประดับอยู่ตามซุ้มรอบฐาน รวม ๘๐ เชือก องค์เจดีย์ประธานยอดเจดีย์หักตั้งแต่ใต้บัลลังก์ลงมา ฐานชั้นล่างของพระเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปจตุรทิศยื่นออกมาเห็นชัดเจนหลังจากสิ้นกรุงศรีอยุธยา วัดมเหยงคณ์ถูกทอดทิ้งให้รกร้าง ไม่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษา จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๒๗ พระอธิการสุรศักดิ์ เขมรํสี ปัจจุบันเป็นพระภาวนาเขมคุณ วิ. ได้จัดตั้งสำนักกรรมฐานขึ้นในบริเวณวัดมเหยงคณ์ โบราณสถานได้รับการดูแล ถากถางพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่ขึ้นปกคลุมโบราณสถานไว้ ปรับบริเวณพื้นที่ในฝ่ายพุทธาวาสและสังฆาวาสให้ร่มรื่น สะอาดน่าอยู่และสงบเงียบจากสิ่งรบกวน
กรมศิลปากรเองก็เข้ามาดำเนินการขุดแต่งและปฏิบัติงานตามโครงการบูรณะฟื้นฟูดินแดนกลุ่มอโยธยา ทำให้สภาพของวัดมเหยงคณ์ ที่เปรียบเสมือนทองคำจมดินอยู่ ได้รับการขัดสีฉวีวรรณให้สุกปลั่ง ปรากฏแก่สายตาของผู้มาพบเห็นได้ชื่นชมและประจักษ์ในคุณค่าของสถาปัตยกรรมไทยในพระอารามแห่งนี้ได้เต็มที่
ปัจจุบันนี้กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดมเหยงคณ์เป็นโบราณวัตถุโบราณสถานของชาติ ตั้งแต่วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๔ กรมศิลปากรได้เข้าไปบูรณะ และเนื้อที่นอกเขตโบราณสถานได้จัดเป็นสำนักปฏิบัติกรรมฐาน โดยมีประชาชนเข้าไปรับการอบรมเป็นจำนวนมาก ได้จัดให้มีกิจกรรมทางศาสนา ได้แก่
- จัดอบรมวิปัสสนากรรมฐาน
- จัดอบรมปฏิบัติธรรมพิเศษ
- จัดบวชเนกขัมมภาวนาประจำเดือน
- จัดบวชถือศีล ๘ ประจำวัน
- จัดบวชพระสงฆ์ประจำเดือน และ พระสงฆ์จำพรรษา
ปฏิปทาของวัดมเหยงคณ์
- สร้างสถานที่ให้สัปปายะ เพื่อรองรับผู้ปฏิบัติธรรม
- ตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมเพื่อให้ความรู้ทั้งพระสงฆ์และประชาชนทั่วไป
- เป็นศูนย์กลางการเผยแพร่พุทธศาสนาในชุมชน
- จัดบวชเนกขัมมภาวนา อบรมจริยธรรม การปฏิบัติธรรม แก่ประชาชนทั่วไปที่มาข้อมูล :
- หนังสือคู่มือชาวพุทธ เล่ม ๑ ทำวัตรสวดมนต์แปล บทสวดมนต์พิเศษ วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
-
http://www.watmaheyong.orgพระอุโบสถวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
ภายในพระอุโบสถวัดมเหยงคณ์
ภายในพระอุโบสถวัดมเหยงคณ์
ภายในพระอุโบสถวัดมเหยงคณ์
สมเด็จพระสัพพัญญูบรมปฐมเทศนา (พระพุทธรูปหินทรายแกะสลัก หน้าตัก ๙๙ นิ้ว)
ประดิษฐาน ณ ถ้ำอมตธรรม วัดมเหยงคณ์
ผู้โพสท์มักหาเวลาจากงานประจำ ปลีกตัวไปปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์อยู่เป็นประจำ
๗ วันบ้าง ๓ วันบ้าง ตามแต่โอกาสอันควร ปี ๒๕๖๒ ก็ไปมาแล้ว ๑ ครั้ง
และตั้งใจจะไปอีกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ถึงนี้ค่ะ
และชอบจะพาตัวเองไปพักที่เรือนไม้เก่าแก่ข้างโบสถ์ ไม่ชอบไปพักอาคารที่สะดวกสบายที่ทางวัดจัดไว้ให้ผู้มาปฏิบัติธรรมเข้าพักอาศัย