ที่อยู่ของพระพุทธเจ้าของเรา ที่อยู่ของพระอริยเจ้าของเรา
คนคิดไม่ออกเพราะคนติดอยู่ในภพ เทียบกับเรื่องสูงต่ำ ถ้าขึ้นไปมันก็ถึงจุดสูง ลงมาจากนี้ มันก็เกิดลงมาถึงต่ำ ตรงนี้ ที่ตรงกลางนี่ ที่พระท่านอยู่ คนมองไม่เห็นแล้วก็ไม่นึกจะอยู่ด้วย แบบนี้เืมื่อสุขก็สุขไปเลย เมื่อทุกข์ก็โดดลงมาเลย ตรงนี้ ตรงไม่สุขไม่ทุกข์นี้มองไม่เห็น ไม่นึกว่าจะอยู่จะมีเสียด้วย เมื่อสูงก็สูงเลย สุขก็ติดสุขอยู่ในโน้น เมื่อลงจากสุขก็ทุกข์เลย เมื่อพ้นจากทุกข์ก็สุขเลย ตรงนี้ ตรงที่ว่างๆ นี่ผ่านไปผ่านมาแต่ไม่เห็น ไม่เจอ เพราะว่าฐานเดิมคืออวิชชามันดันขึ้นไป มันดันลงมา แล้วก็ดัินขึ้นไป ทำให้พ้นจากความพอดี ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้วาง ฟังไม่ออก กลัวว่าจะทิ้งของเสีย หมดของเสีย จะไม่ได้อะไรเสีย
ความจริงแล้วคล้ายๆ กับว่า ถ้าเราใช้ของให้ถูกสัดส่วนหน้าที่ของมันแล้วก็มีความสบาย เช่น ขันน้ำกับโอ่ง โอ่งสำหรับเก็บน้ำ ขันสำหรับตักน้ำมาดื่ม ดื่มแล้วก็วางขันไว้ เท่านั้นมันก็พอดี ขันไม่ใช่น้ำ น้ำไม่ใช่ขัน เมื่อดื่มแล้วก็วางขันไว้ แต่คนเราไม่ยอมทิ้งขันไว้ กลัวจะไม่ได้กินน้ำ จึงแบกไว้ยึดไว้ ก็เลยจะไปดื่มขันเหมือนน้ำ ก็เลยเกิดทุกข์ขึ้นมา ตามธรรมดาขันก็เป็นขัน น้ำก็เป็นน้ำ โอ่งก็เป็นโอ่ง ถ้าเราใช้ตามระบอบพอดีก็ไม่มีอะไร จับขันมาก็ตักน้ำดื่ม แล้วก็วางขันไว้ ก็ไม่มีทุกข์เดือดร้อนอะไร
ของสมมติก็เช่นกัน เอามาใช้แล้วก็วางไว้ ท่านให้วาง ลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญก็ดี สุขก็ดี มีอยู่แต่ท่านให้วาง เอามาใช้แล้วก็วางไว้ ถ้าทำถูกเรื่องดังนี้ก็ไม่มีอะไร
สภาวธรรม : โลกเป็นอยู่อย่างที่มันเป็น
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้รู้แจ้งในโลก คือโลกนี้แจ้งอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องเป็นราวตามสภาวะของมันอยู่แล้ว เรากลับจะมาบังคับโลกนี้
โลกนี้ก็คืออารมณ์นั่นแหละ เราไม่รู้จักอารมณ์ เมื่ออารมณ์ดีเราก็ชอบใจ อารมณ์ไม่ดีเราก็เป็นทุกข์ไม่ชอบใจ อันนี้มันเป็นโลก
พระพุทธเจ้าท่านทรงเป็น "โลกวิทู" คือมีความรู้แจ้งโลก คือความที่แจ้งในโลกนี้เอง แต่เราไปหลงโลก คือหลงอารมณ์นี้
ความเป็นจริงอารมณ์มันก็แจ้งของมันอยู่แล้ว เราทำให้มันแจ้งซึ่งอารมณ์ เท่านี้มันก็เป็นความรู้จักโลกแล้ว ไม่ไปรู้ที่ไหน สภาวะของโลกมีพร้อมอยู่บริบูรณ์ ถ้าทุกคนมารู้ตามธรรมดาของโลกก็หมดปัญหา ที่มันมีปัญหาก็เพราะเราไปยึดว่าอันนั้นเป็นเรา อันนั้นของเรา ว่าอันนั้นข้าชอบ อันนั้นข้าไม่ชอบอยู่เสมอ
คล้ายๆ เราสร้างบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านของเรา เราอยากอยู่คนเดียว แมงมุม จิ้ิงจก ตุ๊กแก มันมาอาศัยอยู่ มันก็ว่าบ้านของมัน คนก็ว่าที่อยู่ของคน อันความเป็็นจริงไม่ใช่ที่อยู่ของใคร มันเป็นของกลางๆ อยู่อย่างนั้น อารมณ์ก็เหมือนกัน ถ้าเราปล่อยมันไปตามสม่ำเสมอของมัน มันก็เป็นตามเรื่องของมัน ให้รู้แจ้งอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้รู้แจ้งอย่างนี้ กายอยู่อย่างหนึ่ง จิตอยู่อย่างหนึ่ง ก็อยู่ในโลกนี้แหละ ถ้าเราไม่รู้จักโ่ลกเราก็เป็นทุกข์ ถ้าเรารู้จักโลก แจ้งโลกแล้วก็ไม่มีอะไร ไม่ให้ไปรู้ธรรมะที่ไหน แต่ให้รู้ว่าโลกที่เราอยู่นี้มันคืออะไร สมมตินี้มันก็อยู่ที่สมมติ แค่เรารู้จักสมมตินี้ มันก็เป็นวิมุตติ สมมติวิมุตติ สมมติิวิมุตติ ... อยู่อย่างนี้เรื่อยไป ถ้ามีแต่สมมติเรื่อยไปมันก็เป็นทุกข์ ถ้ามีสมมติก็ต้องมีวิมุตติอยู่ในโลกอันนี้
อย่างให้รู้เท่าทัน พระพุทธองค์ว่ารู้รอบอยู่ รู้รอบคือความเป็นอยู่นี้ ธรรมะมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ แต่พอเราพูดไปไกลเกินไป มันก็ไกลมาก แต่ความเป็นจริงแล้วมันหลงอารมณ์นี้เองไม่ใช่อื่นไกล จึงได้ไปยึดถือมั่น ไม่ยอมปล่อยวาง กลัวมันจะไม่ได้ กลัวมันจะเสียหาย ความเป็นจริงสิ่งที่มันจะสบายนั้นคนไม่รู้จัก
ทุกขสัจจ์ : รู้จักทุกข์จึงเห็นทางพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงสอนให้อยู่ในโลกนี้ ศึกษาโลกนี้ ให้รู้โลกที่เป็นอยู่ ผู้มีปัญญายิ่งศึกษายิ่งเข้าใจ ถึงแม้โลกมันจะวุ่นวายก็ยิ่งได้ศึกษามาก
เมื่อมีความทุกข์ขึ้นมานั่นแหละ ได้ศึกษาอารมณ์อยู่กำลังศึกษาธรรมะอยู่ เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาเมื่อไรมันก็ต้องให้คิด เมื่อคิดมันก็ต้องเกิดปัญญารู้จักแก้ปัญหาในอารมณ์นั้นอันนั้นได้ สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกว่าทุกขสัจจ์ ทุกข์เป็นสัจจธรรมอันหนึ่งเหมือนกัน ท่านจึงสอนมนุษย์ให้รู้จักทุกข์
ถ้าไม่รู้จักทุกข์...มันก็ทุกข์ ถ้ารู้จักทุกข์...มันก็ไม่ทุกข์
แต่ว่าคนเราไม่ยอมศึกษา ถ้าทุกข์ละข้าไม่เอา ไม่ชอบใจข้าก็ไม่เอา หาเอาแต่สิ่งที่เราชอบใจนั่นเอง อันนี้มันเดินคนละข้างเลยทีเดียว มันไม่ได้ศึกษาอะไรเลย
พระพุทธเจ้าทรงสอนเราไม่ให้หลบหลีกเหตุการณ์ ถ้าทุกข์แสดง ให้เราพิจารณาเอาทุกข์นั้นมาศึกษาว่าทุกข์นั้นคืออะไร อย่างนี้มันเกิดขึ้นตรงไหน อะไรพามันทุกข์ ใครเป็นคนรับทุกข์มา ทุกข์มันจบลงที่ตรงไหน ให้เราศึกษา ตาเห็นรูปเราก็ศึกษา หูได้ยินเสียงเราก็ศึกษา จมูกดมกลิ่นเราก็ศึกษา กายถูกต้องเราก็ศึกษา ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตเราก็ศึกษา การศึกษานี้เป็นของสำคัญมาก ศึกษาในเมื่อเรามีชีวิตอยู่เป็นธรรมทั้งนั้น
ถ้าเราเห็น ก็ประจักษ์ใจนี่แหละ อยู่ใกล้ๆ นี้เอง แต่เราไม่ค่อยรู้จัก เช่น เรานั่งเขียนหนังสืออยู่ใต้ร่มไม้นี่ สายๆ มาตะวันค่อยๆ เลื่อนไป จนร่มเงาหนีจากตัวเราไป เราก็ถูกแดด เราก็รู้สึกว่าร้อน เมื่อร้อนก็รู้สึกว่าทุกข์ เมื่อทุกข์ก็คิดจะย้ายโต๊ะไปเข้าร่มต่อไป นั่นก็ออกจากทุกข์แล้ว เมื่อตะวันเลื่อนไปอีก แดดมาถูกเราอีกเราก็ร้อนอีก ทุกข์อีก เมื่อทุกข์ก็คิดว่าจะเคลื่อนไปที่ไหนดี มันก็เป็นเช่นนี้
คนเรามันจะเดินไปไหน ยืนเดินนั่งนอน มันก็ต้องศึกษาทั้งนั้น ถ้าเรามีสติอยู่ มีสัมปชัญญะอยู่ มีความรู้ตัวอยู่เสมอแล้วก็คือเราได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นไม่ควรคิดว่าธรรมะอยู่ไกล ถ้าเราเห็นสิ่งเหล่านี้ สักแต่ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เท่านี้ปัญญามันก็เกิด
ถ้าอารมณ์สุขขึ้นมา ทุกข์ขึ้นมา ชอบใจขึ้นมา ไม่ชอบใจขึ้นมา เรานึกเห็นมันทุกข์อย่างว่ามันก็เท่านั้นแหละ สุขมันก็เท่านั้นแหละ ทุกข์ก็เท่านั้นแหละ ก็แปลว่าเราเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว
แล้วเมื่อเห็นแล้วเราก็ไม่ยึดไม่ถือ คลี่คลายจาก ราคะ โทสะ โมหะ อยู่เรื่อยไป เรียกได้ว่าเราปฏิบัติอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งยืนเดินนั่งนอน มีความรู้อยู่ มีความเห็นอยู่ มีความพร้อมเพรียงอยู่ มีความปฏิบัติอยู่ พิจารณาอยู่ ภาวนาอยู่ตลอดเวลา...จากหนังสือ อริยธรรม ฉบับที่ ๔ (๑ มิ.ย. ๒๕๓๘)