ท้าวกบิลยักษ์เจ้าเมืองพาราณสีออกล่าสัตว์ เห็นสุวรรณสามมาตักน้ำที่แม่น้ำมิคสัมมตา
คิดว่าไม่ใช่มนุษย์จึงแผลงศรใส่ สุวรรณสามพระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๐๖ สุวัณณสามชาดกพระสุวรรณสาม ในครั้งนั้น ยังมีนางเทพธิดานามว่า พสุนธรี สถิตอาศัยอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ เคยเป็นมารดาของสุวรรรณสามมาในอดีตชาติ โดยปกตินางจะนึกถึงสุวรรณสามอยู่เนืองนิตย์ และคอยหาหนทางช่วยเหลือเสมอ แต่ในวันที่สุวรรณสามถูกยิงนั้น นางไปร่วมประชุมอยู่ในเทวสมาคม ครั้นกลับมาริมฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตา ตอนนี้พระราชาทรงกันแสงอย่างหนัก นางรู้ว่าถ้านางไม่ไปที่นั่น สุวรรณสามบุตรที่รักจักต้องตายอยู่ในที่นั้นอย่างแน่นอน ทั้งพระราชาก็จะเศร้าโศกเสียพระทัยจนถึงกับเสด็จสวรรคตทีเดียว แล้วบิดามารดาของสุวรรณสามก็จะขาดอาหาร ไม่มีน้ำจะดื่ม ในที่สุดก็จะซูบผอมตายไป แต่ถ้าเราไปแล้ว พระราชาก็จะถือหม้อน้ำไปหาบิดามารดาของสุวรรณสามที่อาศรม ครั้นไปถึงแล้วก็จะแจ้งให้ทั้งสองทราบว่า พระองค์ได้ฆ่าสุวรรณสามตายเสียแล้ว พระองค์จะถูกรบเร้าให้พาไปหาสุวรรณสาม เมื่อพบสุวรรณสามแล้ว พวกเขากับเราก็จะตั้งสัตยาธิษฐาน พิษลูกศรก็จะผ่อนคลายบรรเทาลง ลูกของเราก็จะรอดชีวิตคืนมา บิดามารดาของลูกเขาก็จะหายตาบอด พระราชาจะได้สดับคำสั่งสอนของสุวรรณสาม เพราะฉะนั้นเราจะไปที่นั้น คิดดังนั้นแล้ว นางเทพธิดาก็เหาะไปในอากาศโดยไม่ปรากฏกายเลย มุ่งตรงไปที่ฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตา แล้วกล่าวปราศรัยกับพระราชาด้วยหวังจะอนุเคราะห์ว่า
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงทำผิดอย่างใหญ่หลวงนัก พระองค์ได้ทำบาปกรรมอันชั่วช้าที่ได้ฆ่าสุวรรณสาม บิดามารดาสุวรรณสามก็จะพลอยสิ้นชีวิตไปด้วย เพราะความเศร้าโศกถึงบุตรและขาดอาหาร เท่ากับพระองค์ได้ฆ่าคนทั้งสามเสียด้วยลูกศรดอกเดียวกัน มาเถิดพระราชา เชิญพระองค์เสด็จมาเถิด ข้าพเจ้าจะถวายโอวาทเพื่อช่วยพระองค์พ้นจากนรกแล้วไปสู่สวรรค์
ขอให้พระองค์จงทรงเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอดของสุวรรณสามในป่า ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีเหมือนกับที่สุวรรณสามเคยเลี้ยงดูมา ทำได้อย่างนี้พระองค์ก็จะได้ขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน”
พระราชาได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัวผู้สั่งสอน ก็ทรงรู้สึกกลัวครั่นคร้าม แต่พอนึกถึงคำสั่งสอนตอนท้ายที่บอกว่าจะพ้นนรกและไปสวรรค์ได้ด้วยการเลี้ยงดูบิดามารดาแทนสุวรรณสามก็ดีพระทัย หายห่วงว่าจะไม่ต้องตกนรกแน่แล้ว ทั้งยังจะได้ไปสวรรค์อีกด้วย จึงทรงหาดอกไม้มาบูชาร่างของสุวรรณสาม ประพรมด้วยน้ำเย็นใสสะอาด ทำประทักษิณคือเดินเวียนขวาอันเป็นการแสดงความเคารพ ๓ รอบ กราบสุวรรณสามแล้วยกหม้อน้ำขึ้นแบกรีบเสด็จไปยังอาศรมทันที
เมื่อพระเจ้าปิลยักษ์เสด็จไปถึงอาศรม ตอนนั้นพระฤๅษีทุกูลนั่งอยู่ในอาศรม พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินทาง พระฤๅษีก็จำได้ว่านี่ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของลูกชายเป็นแน่ เพราะเสียงฝีเท้านี้หนักมาก จึงร้องถามว่า “นั่นใครมา คงจะไม่ใช่สุวรรณสามหรอกนะ เพราะสุวรรณสามเดินเบากว่านี้มาก แต่เสียงเดินนี้หนักมาก ท่านเป็นใครกัน มาหาเราด้วยธุระอะไรหรือ?”
พระราชาฟังแล้วก็ทรงดำริว่า ถ้าเราไม่บอกความจริงว่าเราเป็นพระราชา บอกแต่เพียงว่าเราฆ่าลูกชายของท่านเสียแล้ว ท่านทั้งสองก็จะโกรธเอา ด่าว่ากล่าวคำหยาบใส่เรา ถึงตอนนั้นเราก็จะระงับอารมณ์ไม่อยู่ อาจจะเข้าไปทำร้ายท่านทั้งสองเอาก็ได้ แล้วบาปกรรมก็จะตกแก่เรา แต่ถ้าเราบอกว่าเราเป็นพระราชา ทั้งสองอาจเกรงกลัวเรา แล้วจะไม่กล้าพูดจาอะไรรุนแรงกับเรา จึงตรัสขึ้น
“เราเป็นพระราชาของชาวกาสี มีชื่อว่าพระเจ้าปิลยักษ์ เราจากแว่นแคว้นมาเที่ยวไล่ล่าหาเนื้อในป่านี้”
พระฤๅษีเมื่อทราบว่าเป็นพระราชา ก็ออกมาหน้าอาศรมกราบถวายบังคม นำผลไม้มาต้อนรับ แล้วทุกูลฤๅษีก็ทูลว่า “พระมหาบพิตร! พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้ อาตมาเชิญมหาบพิตรเสวยผลไม้เท่าที่มีอยู่ มีทั้งมะพลับ มะหาด มะซาง และหมากเม่า ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยแต่ผลดีๆ เถิด พระเจ้าข้า และนี่คือน้ำเย็นที่ตักมาแต่แม่น้ำมิคสัมมตา ซึ่งไหลมาจากซอกเขา ขอเชิญพระองค์เสวยตามพระราชประสงค์ ข้าพระองค์ดีใจมากที่พระองค์เสด็จมาถึงที่นี่”
พระราชาได้รับการต้อนรับอย่างนี้แล้ว ก็ทรงคิดว่าเรายังไม่ควรบอกเรื่องที่เราฆ่าสุวรรณสามตาย ควรทำเป็นไม่รู้เรื่อง พูดอะไรต่อมิอะไรไปก่อน แล้วจึงค่อยบอกทีหลัง จึงตรัสว่า “ท่านทั้งสองตาบอดกันหมด มองไม่เห็นอะไร แล้วใครหาผลไม้เหล่านี้มาเลี้ยงท่านได้ ผลไม้น้อยใหญ่มากมายที่วางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยนี้ คงมีคนตาดีจัดหามาให้ได้เป็นแน่”
พระฤๅษีทุกูลทูลว่า “มหาบพิตร! สุวรรณสามลูกชายรูปร่างสันทัดงดงาม น่าเอ็นดู มีผมดกดำยาวสวยงามมาก เพราะปลายผมงอนช้อนขึ้น เขาเป็นคนนำผลไม้มา ตอนนี้ถือหม้อไปตักน้ำที่แม่น้ำ ป่านนี้คงอยู่ระหว่างเดินทางกลับ”
พระราชาเห็นว่าคงได้เวลาที่จะบอกความจริงแล้ว จึงตรัสว่า “สุวรรณสาม ลูกชายที่น่ารักของท่านทั้งสอง ถูกลูกศรของเรานอนตายจมกองเลือดอยู่บนหาดทรายที่ท่าน้ำนั้น”
พอได้ยินดังนั้น พระฤๅษีทุกูลก็นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าถอดสี แสดงอาการซึมเศร้าออกมาทันที นางปาริกาฤๅษีซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ นั้น พอได้ทราบข่าวร้ายว่าสุวรรณสามถูกลูกศรนอนตายจมกองเลือดอยู่ ก็เอ่ยถามพระฤๅษีว่า “ท่านทุกูล! ท่านพูดอยู่กับใคร ใครมาบอกท่านว่าลูกชายของเราถูกลูกศรตายแล้ว ใจของฉันมันหวั่นหวาดแทบจะขาดรอนๆ เพราะได้ยินคำว่าสุวรรณสามถูกฆ่าตายเสียแล้ว กิ่งอ่อนของต้นโพธิ์ถูกลมพัดให้หวั่นไหวฉันใด ใจของข้าก็หวั่นไหวเพราะได้ยินว่าสุวรรณสามถูกฆ่าตายแล้วฉันนั้น ท่านบอกมาเร็วๆ เถิด”
ทุกูลฤๅษีตั้งสติได้ก็กล่าวปลอบโยนพระฤๅษิณีว่า “ปาริกาเอ๋ย! ท่านผู้นี้พระเจ้ากาสี พระองค์มาบอกเราว่าทรงยิงลูกสุวรรณสามด้วยศร ตอนนี้ลูกนอนจมกองเลือดอยู่ที่หาดทรายที่ท่าน้ำ แต่แม่อย่าได้โกรธเคืองพระองค์เลย จะเป็นบาปเวรไปเปล่า นึกเสียว่ามันเป็นอกุศลกรรมครั้งเก่าของเราและลูกก็แล้วกัน”
ปาริกากล่าวทั้งสะอื้นว่า “ลูกของเราเป็นคนดีและน่ารักออกอย่างนั้น เขาได้เลี้ยงดูเราอย่างดี ไม่ให้เดือดร้อนแม้แต่สักเล็กน้อย ในเมื่อมันมาฆ่าลูกของเราให้ตายไปอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้โกรธเคืองได้อย่างไรเล่า”
ทุกูลฤๅษีกล่าวปลอบใจว่า “ปาริกาเอ๋ย! ลูกของเราเป็นคนดีที่หาได้ยากเหลือเกิน แต่กระนั้นเราก็ไม่ควรโกรธผู้ที่ฆ่าลูกของเรา เหล่าบัณฑิตย่อมสรรเสริญผู้ไม่โกรธคนที่ฆ่าลูกคนเดียวนั้นอย่างพระราชาพระองค์นี้ พระองค์ทรงทำผิดแล้วก็ทรงยอมรับผิด เราอย่าได้โกรธเคืองพระองค์เลย จะตกนรกเอาเปล่าๆ”
กล่าวดังนั้น ทั้งสองก็ร้องไห้คร่ำครวญจนใจแทบจะขาด ทั้งพระฤๅษีและฤๅษิณีก็ช้อนทรวงด้วยสองมือ พร่ำพรรณนาคุณงามความดีของลูกชายไม่ขาดปากอย่างน่าสงสาร
พระเจ้าปิลยักษ์เห็นท่านทั้งสองเสียอกเสียใจแล้วก็สะเทือนพระทัย จึงตรัสปลอบโยนว่า “ขอท่านทั้งสองอย่าได้คร่ำครวญหวนไห้ไปมากกว่านี้เลย ข้าพเจ้าได้รับปากสุวรรณสามว่าจะอยู่ดูแลท่านทั้งสองให้ดีที่สุดให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเคยดูแลมาทีเดียว ขอท่านทั้งสองจงคลายโศกคลายเศร้าเสียเถิด”
ทุกูลฤๅษีกับปาริกาฤๅษิณีทูลว่า “มหาบพิตรเป็นผู้ปกครองแว่นแคว้น พระองค์ทรงเป็นพระราชาของอาตมาทั้งสอง พวกอาตมาจึงไม่อาจให้พระองค์มาอยู่ปฏิบัติพวกอาตมา พวกอาตมาจะขออยู่ตามประสายากอย่างนี้พระเจ้าข้า พระเจ้าปิลยักษ์ได้ทรงฟังเช่นนั้นก็เบาพระทัยที่บิดามารดาของสุวรรณสามไม่เพียงจะไม่โกรธเคืองพระองค์ แต่กลับแสดงความจงรักภักดีเสียอีกด้วย เพื่อแสดงความจริงใจให้ทั้งสองเห็น จึงตรัสว่า “ท่านทั้งสองอย่าถ่อมเนื้อถ่อมตัวเกรงอกเกรงใจไปเลย อย่าคิดว่าข้าพเจ้าเป็นพระราชา แต่จงคิดว่าข้าพเจ้าเป็นลูกของท่านเหมือนอย่างสุวรรณสามก็แล้วกัน”
ทั้งสองทูลวิงวอนว่า พระองค์ไม่ต้องมาอยู่ดูแลหรอก ขอเพียงพาทั้งสองไปหาสุวรรณสามก็พอแล้ว จะได้มีโอกาสลูบคลำตัวลูกสักหน่อยเท่านั้น
พระเจ้าปิลยักษ์ทรงเห็นว่ามืดค่ำแล้ว จึงผัดผ่อนเอาไว้ในวันพรุ่งนี้ แต่ท่านทั้งสองร้อนใจไม่อาจอยู่รอถึงวันพรุ่งนี้ได้ จึงทรงพาไปในคืนนั้นเอง
เมื่อไปถึงที่แล้วทั้งสองก็ลูบคลำตัวสุวรรณสาม ทุกูลฤๅษีช้อนศีรษะของสุวรรณสามขึ้นเอาไว้บนตัก ปาริกาฤๅษิณียกเท้าสุวรรณสามขึ้นมาพาดบนตักของตนเช่นกัน แล้วทั้งสองก็ร้องไห้คร่ำครวญ “พ่อสุวรรณสาม! ลูกเอาแต่หลับใหลไม่ได้สติ เจ้าเอาแต่หลับจริงๆ ไม่ยอมพูดจากับพ่อแม่บ้างเลย เจ้าเคลิบเคลิ้มเอามากมายคล้ายกับคนดื่มสุราเข้มข้น เจ้าเคืองใครรึ เจ้านี่ช่างถือตัวไม่ใช่เล่น ดูซิไม่ยอมพูดจาแม้แต่กับพ่อแม่ ลูกเคยบำรุงดูแลพ่อแม่ผู้ตาบอด บัดนี้ลูกมาตายเสียแล้ว ต่อไปนี้ใครเล่าจะคอยทำความสะอาดชฎาที่เปื้อนฝุ่น ใครเล่าจะคอยกวาดถูอาศรมให้สะอาดสะอ้าน ใครจักคอยจัดน้ำเย็นน้ำร้อนให้อาบ ใครจะไปหาผลไม้มาให้พ่อแม่กิน เมื่อสิ้นลูกเสียแล้วพ่อแม่ก็ไม่เห็นมีใครอีก”
ระหว่างนั้นปาริกาได้ลูบคลำไปบนหน้าอกของสุวรรณสาม รู้สึกว่ายังอุ่นๆ อยู่ คิดว่าลูกชายคงยังไม่ตาย เพียงแค่สลบไสลไปเท่านั้น จึงตั้งสัตยาอธิษฐานกล่าวคำสัตย์ว่า “ลูกสุวรรณสามนี้เป็นผู้ประพฤติธรรมอยู่เนืองนิตย์ เป็นผู้กล่าวแต่คำสัตย์จริง ไม่เคยพูดเท็จ เขาได้เลี้ยงดูบิดามารดามาอย่างดี มีความเคารพยำเกรงต่อผู้ใหญ่ในสกุล เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยการกล่าวคำสัตย์คำจริงนี้ ขอให้พิษจงหายไป ด้วยผลบุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสุวรรณสามได้ทำแก่แม่และพ่อ ขออานุภาพบุญกุศลนั้น จงดลบันดาลให้พิษหายสิ้นไป” พอสิ้นคำแม่ปาริกา สุวรรณสามก็พลิกตัวไปทางขวาแล้วนอนหลับต่อไป พระฤๅษีทุกูลเห็นดังนั้นก็ดีใจ จึงตั้งสัตยาอธิษฐานอย่างนั้นบ้าง พอสิ้นคำพ่อทุกูล สุวรรณสามก็พลิกตัวไปทางซ้ายแล้วนอนหลับต่อไป ฝ่ายเทพธิดาพสุนธรี ได้ตั้งสัตยาอธิษฐานขึ้นว่า “เราอาศัยอยูที่ภูเขาคันธมาทน์มานาน เราไม่เคยรักใครมากเท่าลูกสุวรรณสามนี้เลย ด้วยคำสัตย์คำจริงนี้ ขอให้พิษจงหายไป พอสิ้นคำเทพธิดา ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้น ๔ อย่างพร้อมๆ กันคือ
๑. สุวรรณสามหายเจ็บหายป่วย ลุกขึ้นเดินได้อย่างคนปกติ
๒. ดวงตาของบิดามารดาของสุวรรณสามก็หายบอด กลับเห็นเป็นปกติ
´ ๓. ดวงตะวันขึ้นแจ่มจ้า
๔. คนทั้งสี่ คือพระเจ้าปิลยักษ์ พระฤๅษีทุกูล พระฤๅษิณีปาริกา และสุวรรณสามได้ไปปรากฏอยู่ที่อาศรม
เมื่อตาแจ่มใสมองเห็นดีแล้ว พระฤๅษีกับพระฤๅษิณีเห็นสุวรรณสามหายเป็นปกติดีแล้วก็ดีใจ ตรงเข้าไปโอบกอดอย่างมีความสุข จากนั้นสุวรรณสามได้กล่าวขึ้นว่า “ลูกสุวรรณสาม ขอความสุขความเจริญจงมีแก่พ่อแม่ ตอนนี้ลูกลุกขึ้นได้แล้ว มีความปลอดภัยดี ขอพ่อและแม่อย่าได้คร่ำครวญอีกเลย จงพูดเพราะๆ กับลูกเถิด”
สุวรรณสามมองไปทางพระราชา แล้วก็ถวายบังคมกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า! พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์เสด็จมาไกลเหมือนใกล้ ขอพระองค์เสวยผลไม้เท่าที่มีอยู่ มีทั้งมะพลับ มะซาง มะหาด และหมากเม่า ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยแต่ผลดีๆ เถิด และนี่คือน้ำเย็นที่ตักมาแต่แม่น้ำมิคสัมมตา ซึ่งไหลมาจากซอกเขา ขอเชิญพระองค์เสวยตามพระราชประสงค์ ข้าพระองค์ดีใจมากที่พระองค์เสด็จมาถึงที่นี่”
พระเจ้าปิลยักษ์ทรงอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงตรัสขึ้นว่า “เรารู้สึกมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนมืดไปแปดด้าน เราเห็นสุวรรณสามตายไปกับตา แต่แล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาได้ มันยังไงกันหนอ”
สุวรรณสามคิดในใจว่า พระราชาเข้าใจว่าเราตายไปแล้ว แต่ที่แท้เรายังไม่ตาย เดี๋ยวเราจะประกาศให้พระองค์ทรงทราบว่า ทำไมเราจึงไม่ตาย จึงทูลว่า “ขอเดชะ! ใครๆ ก็ย่อมเข้าใจว่าคนที่ไม่มีลมหายใจอย่างข้าพระองค์ จะต้องตายอย่างแน่แล้ว แต่บุคคลใดในโลกนี้เลี้ยงดูบิดามารดาโดยชอบธรรม เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมแก้ไขคุ้มครองบุคคลนั้นให้ปลอดภัย บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยชอบธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว เขาย่อมร่าเริงเบิกบานใจอยู่ในสวรรค์”
พระราชาทรงสดับอย่างนั้นก็ทรงดำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ แม้แต่เทวดาทั้งหลายก็ยังช่วยเยียวยาโรคภัยที่เกิดขึ้นแก่ผู้เลี้ยงดูบิดามารดา พ่อสุวรรณสามนี้ช่างเป็นคนดีและน่ารักเหลือเกิน ทรงดำริฉะนี้แล้วก็ยกพระหัตถ์ขึ้นพนมแล้วตรัสว่า
“พ่อสุวรรณสาม! เราช่างโง่งมมืดมิดไปทั่วทิศ แต่มาสว่างไสวได้ก็เพราะพ่อนี่แหละ เราจึงขอยึดเอาท่านเป็นสรณะ ขอท่านจงเป็นสรณะของเราด้วยเถิด”
สุวรรณสามทูลพระราชาว่า “ข้าแต่มหาราช ถ้าพระองค์มีพระประสงค์จะเสด็จไปสวรรค์ มีพระประสงค์จะเสวยทิพยสมบัติใหญ่แล้วละก็ จงประพฤติในทศพิธราชธรรมเถิด ซึ่งข้าพระองค์จะทูลถวายดังต่อไปนี้”
พระเจ้าปิลยักษ์ทรงแสดงความเคารพและน้อมรับโอวาทด้วยความจริงใจ
ลำดับนั้น สุวรรณสามจึงถวายโอวาทราชธรรมจรรยาที่เรียกว่า ทศพิธราชธรรมดังต่อไปนี้ “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์ทรงประพฤติดี ประพฤติชอบในพระชนก พระชนนี มิตร อำมาตย์ ไพร่พล ชาวบ้าน ชาวเมือง ชาวชนบท สมณพราหมณ์ ฝูงเนื้อและฝูงนกเถิด เมื่อพระองค์ประพฤติชอบประพฤติดีอยู่อย่างนี้ ก็จะได้เสด็จไปสู่สวรรค์อย่างแน่นอน”
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระอินทร์ เทวดา พรหม ได้เสวยทิพย์อยู่ในสวรรค์ ก็เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้วชอบแล้วนั่นเอง ดังนั้น ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ครั้นกล่าวโอวาทอย่างนี้แล้ว สุวรรณสามได้ถวายเบญจศีล หรือศีล ๕ ให้พระราชานำไปปฏิบัติ
พระราชาสมาทานศีล ๕ แล้ว ก็ทรงน้อมให้สุวรรณสามทรงขอขมาโทษแล้วเสด็จกลับกรุงพาราณสี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอย่างยิ่งใหญ่ มีการให้ทานและรักษาศีล ๕ ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมโดยสม่ำเสมอตลอดพระชนมชีพ ครั้นเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์
ฝ่ายสุวรรณสามได้ปฏิบัติบำรุงดูแลบิดามารดาอย่างดีเยี่ยม ได้บำเพ็ญธรรมสม่ำเสมอจนสำเร็จอภิญญาและสมาบัติพร้อมๆ กับบิดามารดา เป็นสุขอยู่ในฌานจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ไปเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลกด้วยกันทั้งสามคน โดยบิดามารดาไปก่อน แล้สุวรรณสามจึงตามไปทีหลัง นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้เลี้ยงดูบิดามารดาย่อมมีความสุขความเจริญ”
พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
โย มาตรํ ปิตรํ วา มจฺโจ ธมฺเมน โปสติ
อิเธว นํ ปสํสนฺติ เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ
ผู้ใดเลี้ยงดูมารดาบิดาตามธรรมเนียม
เขาอยู่ในโลกนี้ผู้นั้นคนทั้งปวงก็สรรเสริญ
ตายไปแล้วจะชื่นบานอยู่บนสวรรค์ (๒๘/๑๔๑๙)
ที่มา : นิทานชาดกจากพระไตรปิฎก : พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ จัดพิมพ์เผยแพร่ธรรมโดย ธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม