เจ้าเมืองซีเหวินไท่แคว้นเกาเชียงที่อยู่ใกล้กับแคว้นอีอู๊ทราบข่าวจึงส่ง ทูตมารับพระเฮียนจางไปพำนักยังแคว้นตนพร้อมนิมนต์ให้อยู่ที่นั้นตลอดไปแต่ท่านไม่ยอม เจ้าแคว้นเกาเชียงจึงรับสั่งว่าจะอยู่ที่เกาเชียงหรือจะถูกส่งตัวกลับไปยัง ประเทศจีน ท่านประท่วงด้วยการอดอาหารอยู่ถึง ๔ วันเพื่อแสดงถึงความตั้งใจเดิม จนเจ้าซีเหวินไปกราบขอโทษและยอมให้ท่านเดินทางต่อ
พระเฮียนจางเดินทางผจญภัยฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการเช่น ข้ามยอดเขาสูงนับไม่ถ้วน ข้ามภูเขาหิมาลัยที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี ล่องข้ามทะเลสาบต่าง ๆ ฝ่านแคว้นต่าง ๆ สิบกว่าแคว้นรวมทั้งภัยจากการปล้นสะดมของกลุ่มโจรกลางทาง และลัทธิความเชื่อของคนพื้นเมืองเดิมที่ไม่นับถือศาสนาพุทธที่คอยต่อต้านท่านแต่เนื่องด้วยบุคลิกภาพอันน่าศรัทธาเลื่อมใสของท่านทำให้พวกนั้นยอมทิ้ง จารีตเก่าแก่หันมานับถือศาสนาพุทธกันเป็นส่วนใหญ่.....................เรื่องราวระหว่างเดินทางไปอินเดียนี่เอง เป็นที่มาของเรื่องไซอิ๋วในสมัยหลัง....................
ในที่สุดท่านก็ถึงอินเดียเมื่อฤดูร้อนปี พ. ศ. ๑๑๗๓ ท่านได้ไปเยี่ยมชมสถารที่สำคัญที่เดี่ยวข้องกับพุทธองค์ทั้ง ๖ แห่ง รวมทั้งได้ไปนมัสการสถูปเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชพระเฮียนจางได้ศึกษาธรรมกับพระอาจารย์ศีลภัทรเถระแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลัน ทา ซึ่งขณะนั้นมีภิกษุสามเณรมาร่วมศึกษาถึงนับพับรูปเลยทีเดียว
ทันทีที่พระอาจารย์ศีลภัทรพบท่านครั้งแรก ถามว่ามาจากไหน ท่านตอบว่ามาจากประเทศจีนเพื่อขอเรียนโยคาจารภูมิศาสตร์ พระอาจารย์ศีลภัทรสั่งนิมนต์ให้พระพุทธภัทรที่มีอายุกว่า ๗๐ พรรษาทั้งเล่าเรื่องความฝันเมื่อหลายปีก่อนให้ฟังว่า ได้ฝันเห็นเทพเจ้า ๓ องค์ คือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ พระมัญชูศรีโพธิสัตว์ ได้เข้ามาปลอบโยนถึงโรคลมที่พระพุทธภัทรเป็นอยู่เพราะผลกรรมแต่ก่อนเก่า ให้อดทนต่อความทุกข์ด้วยขันติ และจงหมั่นเผยแพร่พระธรรมบทนี้ นับจากนี้ไปอีก ๓ ปี ถ้าหากมีภิกษุจากเมืองจีนมาศักษากับท่านโปรดช่วยสั่งสอนให้ด้วย ทุกคนที่ฟังอยู่ในที่นั้นต่างก็รู้สึกอัศจารรย์ใจยิ่งนักซึ่งเวลา ๓ ปีที่ผ่านมานั้น ก็ตรงกับช่วงที่พระเฮียนจางกำลังเดินทางมาอินเดียพอดี
พระถังซำจั๋งศึกษาอยู่ที่นาลันทาเป็นเวลา ๕ ปี นอกจากจะเข้าใจในข้อธรรมะอย่างลึกซึ้งแล้ว ท่านยังเข้าใจภาษาสันสกฏตดีอีกด้วย ในปี พ.ศ. ๑๑๘๕ พระเจ้าศีลาทิตย์ศรีหรรษวรรธนะแห่งแคว้นกันยากุพชะได้จัดงานชุมนุมพุทธศาสนา มีผู้ร่วมงานประกอบด้วยเจ้าเมืองจากแคว้นต่าง ๆ ถึง ๑๘ แคว้นภิกษุสามเณรประมาณสามพันรูป พราหมณ์ เดียรถีร์ และนิครนถ์ประมาณสองพัน ทางสำนักสงฆ์นาลันทาได้ส่งภิกษุไปร่วมงานพันกว่ารูปรวมผู้คนทั้งหมด
กว่าห้าหมื่น
ในครั้งนั้นพระเฮียนจางได้เป็นตัวแทนฝ่ายเถรวาท จากนั้น ท่านก็ได้แสดงธรรมตามมหายานสมปริตรศาสตร์เป็นภาษาสันสกฤตยาว ๑ ,๖๐๐ โศลกประกาศเชิญชวนให้คนมาโต้แย้งแต่ ๑๘ วันล่วงไปก็ไม่มีใครกล้ามาคัดค้าน ชื่อเสียงของท่านจึงขจรขจายไปทั้วทั้งชมพูทวีป
ในระหว่างที่พำนักอยู่ในอารามนาลันทากลายเป็นที่รกร้าง มีแต่กระบือผูกไว้ และภายนอกอารามเกิดเพลิงลุกไหม้ แล้วเห็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งกล่าวกับท่านว่า ท่านจงรีบกลับเมืองจีนเถิด อีก ๑๐ ปี พระเจ้าศีลาทิตย์จะสิ้นพระชนม์ ในอินเดียจะเกิดจลาจลซึ่งเรื่องนี้ต่อมาก็เป็นความจริงหลังจาก
พระถังซำจั๋งกลับเมืองจีนชาวมุสลิมก็บุกเข้าทำลายวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาชาวเมืองก็เกิดยุคเข็ญตามคำพญากรณ์
พ.ศ. ๑๑๘๖ หลวงจีนเฮียนจางตัดสินใจกลับจีน พระเจ้าศีลาทิตย์ศรีหรรษวรรธนะพยายามทัดทาน แต่ไม่เป็นผล พระองค์รับปากว่าจะสร้างวัดถวายให้ท่านร้อยแห่ง แต่ท่านอาจารย์ยังยืนยันที่จะนำพระธรรมกลับไปเผยแพร่ในจีนตามความตั้งใจเดิม พระเจ้าศีลาทิตย์จึงได้จัดผู้คนพร้อมทั้งช้างม้าลาล่อขนคัมภีร์และพระพุทธ รูปของมีค่ามากมายส่งพระเฮียนจางกลับดินแดนมังกร