พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ภาพจาก :
wikimedia.org ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นของรัชกาลที่ ๒ (ต่อ)ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
ผู้เขียน ปรามินทร์ เครือทอง
เผยแพร่ วันเสาร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๒
วันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จประทับอยู่ที่ซอง เปนวันสบายพระราชหฤทัย รับสั่งเล่าถึงเรื่องความเก่าๆ แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังไม่เสียแก่พะม่าข้าศึกให้ท้าวนางฟัง ถึงที่สนุกสนานก็ทรงพระสรวลมีพระสุรเสียงอันดัง ตรัสอยู่ประมาณสักครึ่งชั่วทุ่ม ขณะนั้นเห็นได้ช่องคุณเสือจึงคลานเข้าไปใกล้พระองค์แล้วจึงทูลกระซิบว่า
“ขุนหลวงเจ้าขา ดิฉันจะทูลความสักเรื่องหนึ่ง แต่ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา ถ้าขุนหลวงกริ้วดิฉันก็จะไม่ทูล”
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อได้ทรงสดับคำคุณเสือดังนั้น ก็เฉลียวพระทัยว่าน่าจะเปนความชอบกลอยู่ จึงรับสั่งว่า เออ พูดไปเถอะ กูไม่โกรธดอก
คุณเสือจึงกราบทูลว่า ดิฉันไม่เชื่อขุนหลวงที่รับสั่งว่าไม่กริ้ว ครั้นดิฉันทูลขึ้นแล้วขุนหลวงก็จะกริ้ววุ่นวายไป ถ้าอย่างนั้นขุนหลวงสบถให้ดิฉันเสียก่อน ดิฉันจึงจะทูล
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงรับสั่งด่าว่าอีอับปรี บ้านเมืองลาวของมึงเคยให้เจ้าชีวิตรจิตรสันดานสบถหรือ กูไม่สบถ พูดไปเถิดกูไม่โกรธดอก
คุณเสือก็ทูลว่าดิฉันไม่เชื่อ แล้วก็ทำเปนคลานถอยออกมาเสียให้ห่างพระองค์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงรับสั่งว่าอย่าเพ่อไป จะไปข้างไหน มาพูดไปเถอะ เองจะให้ข้าสบถว่ากระไร คุณเสือจึงทูลว่าดิฉันจะให้ขุนหลวงสบถว่าถ้าดิฉันทูลขึ้นแล้วขุนหลวงกริ้วให้ขุนหลวงตกนรกเท่านั้นแหละ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรับสั่งว่า เองจะมาให้ข้าสบถว่าไม่ให้โกรธนั้น ถ้ามีผู้ใดคิดร้ายต่อข้าเองมาบอกขึ้นก็จะห้ามไม่ให้โกรธ คนที่ใจเปนดังนี้บ้านเมืองของมึงมีอยู่หรือ
คุณเสือจึงทูลตอบว่าถ้าเปนเรื่องใครเขาคิดร้ายต่อพระองค์ดิฉันก็ไม่ทูลขอห้ามไม่ให้ขุนหลวงกริ้ว นี่ไม่ใช่เรื่องอย่างนั้น เปนแต่การเล็กน้อย ครั้นขุนหลวงทราบก็จะกริ้วกราดเปนมากเปนมายถึงแก่เฆี่ยนแก่ตี นิดก็เฆี่ยนหน่อยก็เฆี่ยน (ท่านทูลดังนี้คือท่านกลัวเหมือนเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หลงเจ้าคุณที่ต้องรับพระราชอาญา ๓๐ ที)
ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็อยากจะใคร่ทรงทราบว่าเปนเรื่องอะไร จึงรับสั่งว่าพูดไปเถิดกูไม่เฆี่ยนดอก คุณเสือจึงทูลว่าถ้าขุนหลวงเฆี่ยนให้ขุนหลวงตกนรกหนา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอึดอัดพระทัย ครั้นจะทรงนิ่งเสียคุณเสือก็จะไม่ทูลความ เรื่องราวจะตื้นลึกเปนประการใดก็จะใคร่ทรงทราบ จึงรับสั่งว่า เออ กูไม่เฆี่ยนดอก คุณเสือจึงเขยิบเข้าไปใกล้พระองค์แล้วค่อยกระซิบทูล ว่าแม่รอดเดี๋ยวนี้ท้องขึ้นมาได้ ๔ เดือน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงสดับดังนั้นก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก จึงรับสั่งถามว่าท้องกับใคร คุณเสือจึงทูลว่าจะมีใครเล่า พ่อโฉมเอกของขุนหลวงนั่นซิ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็สงสัยพระทัยว่าจะเปนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หรือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ยังไม่ทรงทราบถนัด ด้วยทรงเห็นว่าสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์มีพระรูปพระโฉมงาม จึงระแวงพระทัยอยู่ แล้วรับสั่งถามว่าคนใหญ่หรือคนเล็ก คุณเสือจึงทูลว่าพ่อฉิมนั่นแหละเจ้าค่ะ และทูลต่อไปว่าน่ารักน่าชมสมกันจริงๆ มีลูกมีเต้าออกมาจะอุ้มจะชูก็ไม่น่ารังเกียจ ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา
จึงรับสั่งว่ามึงเห็นดีไปคนเดียวเถิดซิ พี่น้องเขาอยู่ออกเปนก่ายเปนกอง เขาไม่รู้เขาก็จะว่ากูสมรู้ร่วมคิดเปนใจให้ลูกมาข่มเหงเขา อนึ่งทำดูถูกเทวดารักษารั้ววังไม่มีความเกรงกลัว ถ้าจะรักใคร่กันก็บอกกล่าวผู้ใหญ่ให้เปนที่เคารพนบนอบแต่โดยดี นี่ทำบังอาจเอาแต่ใจ ไม่คิดแก่หน้าผู้ใด รับสั่งบ่นมากมาย โดยเกรงกรมหลวงเทพหริรักษ์จะน้อยพระทัย และเกรงกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข จะติเตียนว่าทำการดูถูกพระราชวัง จึงรับสั่งให้ท้าวนางไปขับไล่กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ให้เสด็จออกไปเสียจากพระบรมมหาราชวังในคืนวันนั้น และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ นั้นเคยจัดสินค้าต่างๆ มาฝากลงสำเภาล่องไปขายเมืองจีน และซื้อของเมืองจีนล่องมาขายเมืองไทย ก็รับสั่งห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานรับลงเรือดังแต่ก่อน และรับสั่งห้ามไม่ให้เสด็จเข้าไปเฝ้า
ฝ่ายกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ก็รับสั่งใช้ให้ข้าหลวงกับโขลนจ่าที่ในวังออกไปทูลแก่กรมหลวงเทพหริรักษ์ตามเหตุที่มีมานั้น ขอให้กรมหลวงเทพหริรักษ์จัดเรือมารับเสด็จในค่ำวันนี้ กรมหลวงเทพหริรักษ์เมื่อได้ทรงฟังเหตุซึ่งมีขึ้นดังนั้น ก็ทรงขัดเคืองพระทัย แต่จำเปนต้องอดกลั้น ด้วยท่านเปนผู้ใหญ่ จึงรับสั่งให้เจ้ากรมจัดเรือที่นั่งสำปั้นเก๋งมารับเสด็จกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ไปในค่ำวันนั้น
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เมื่อได้ทรงทราบว่ากรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ไปอยู่วังกรมหลวงเทพหริรักษ์ ท่านก็เสด็จตามไปในค่ำวันนั้น เข้าเฝ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ทูลรับผิดชอบและทูลวิงวอนจะขอรับกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ไปไว้พระราชวังเดิม
กรมหลวงเทพหริรักษ์จึงรับสั่งว่า พ่อฉิมทำการดั่งนี้ห้าวหาญนัก เมื่อจะรักใคร่กันข้าก็เปนผู้ใหญ่อยู่ทั้งคน จะมาปรึกษาหารือ ว่าจะรักใคร่เลี้ยงดูกันตามประสาฉันญาติ ก็จะได้คิดผ่อนผันไปตามการโดยสมควร หรือจะกราบทูลให้ในหลวงจัดแจงตบแต่งให้เปนเกียรติยศ ชื่อเสียงก็จะได้ปรากฏไปภายหน้า บัดนี้มาทำแต่จุใจตัวไม่ง้องอนใคร จะมาพูดกันทำไมเล่า ในระหว่างนี้ในหลวงก็กริ้วกราดมากมายอยู่ ซึ่งข้าจะมอบตัวแม่รอดให้ไปนั้นไม่ได้ ถ้าความทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทเข้า ข้าจะพลอยเสียไปด้วย ดูเปนเต็มใจให้แก่คนผิด น้องของข้าๆ เลี้ยงได้ดอก ไม่ต้องให้คนอื่นเลี้ยง
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็ทรงพระกรรแสงทูลสารภาพรับผิดอยู่นาน ท่านก็ไม่ยอมให้กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ เสด็จไป ครั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทูลวิงวอนจนอ่อนพระทัยท่านก็ไม่ยอม จึงทูลลาเสด็จกลับข้ามไปวัง แต่นั้นมาก็รับสั่งใช้ให้สาวใช้มาเฝ้าเยี่ยมเยียนกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ อยู่ไม่ขาดวัน
ภายหลังกาลล่วงมาได้สัก ๓ เดือน เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะเหือดหายที่ทรงพระพิโรธ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ให้พาพระองค์ท่านเข้าเฝ้าในหลวง กราบทูลไกล่เกลี่ยขอรับพระราชทานโทษ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทก็พาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เข้าไปเฝ้า ทูลชี้แจงว่าลูกกับหลานรักกัน ขุนหลวงกริ้วกราดเอาเปนมากเปนมาย เห็นเปนไม่สมควรกันหรือ ขอรับพระราชทานโทษทั้งสองคนนี้ให้พ้นโทษเสียเถิด
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงรับสั่งว่าผู้หลักผู้ใหญ่ก็ยังมีอยู่ เมื่อจะรักใคร่กันก็บอกกล่าวกันก่อน ถ้าไม่มีใครเปนธุระก็ควรจะคิดการแต่ลำพังใจตัว นี่เขาไม่คิดนับถือผู้ใหญ่ คิดเอาเองแต่อำเภอน้ำใจ ไม่คิดกลัวเกรง องอาจดูถูกรั้ววังดังนี้เจ้าก็ยังเห็นดีอยู่หรือ
(ที่รับสั่งดังนี้เปนที่กันกรมพระราชวังบวรฯ จะติเตียนและมิให้กรมหลวงเทพหริรักษ์เสียพระทัย)
กรมพระราชวังบวรจึงกราบทูลว่า ซึ่งการที่ไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ใหญ่รู้ก่อนดังนั้นเปนข้อเลมิด มีความผิด ถึงโดยจะบอกกล่าวผู้ใหญ่ หรือทูลขุนหลวง ก็จะต้องเต็มใจให้ดีด้วยกันทั้งนั้น ด้วยอายุเราท่านทั้งหลายนี้จะอยู่ไปได้สักกี่ร้อยปี ภายภาคหน้าจะได้ใครสืบตระกูลต่อไปเล่า แล้วก็ทูลกลบเกลื่อนวิงวอนอยู่นาน จนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเหือดหายที่ทรงพระพิโรธ
แต่นั้นมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็เสด็จเข้าเฝ้าดังเช่นแต่หลังมา แลจัดสินค้ามาลงสำเภาหลวงเช่นเคยมาแต่ก่อน จึงเสด็จข้ามมาเฝ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ทูลขอรับกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ไปไว้พระราชวังเดิม ด้วยพระครรภ์ก็เจริญจวนจะประสูติพระโอรสอยู่แล้ว
กรมหลวงเทพหริรักษ์จึงรับสั่งว่า ลูกเมียของพ่อฉิมก็มีอยู่มาก เกรงว่านานไปจะเกิดอริวิวาทกัน ก็จะต้องร้องไห้ข้ามกลับมาหาพี่ จะได้ความอับประยศแก่คนทั้งหลาย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงทูลปฏิญานทานบลว่าจะมิให้บุตรและภริยาทั้งปวงเปนใหญ่กว่าหรือเสมอกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ (เพราะฉะนั้นเมื่อได้เสด็จเถลิงถวัลยราชย์บรมราชาภิเศกขึ้นแล้ว ได้เจ้าฟ้ากุณฑลเปนพระชายา ก็ทรงชุบเลี้ยงเขาอยู่อย่างนั้น ไม่ได้เปิดเผยผิดจากปกติขึ้นเท่าไร ประสูติพระโอรสสามพระองค์พระธิดาพระองค์หนึ่ง แต่พระธิดานั้นสิ้นพระชนม์เสียแต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ยังเหลือแต่พระโอรสทั้งสามพระองค์ ในสมัยนั้นก็ไม่ได้ยินใครเรียกเจ้าฟ้าหรือทูลกระหม่อมฟ้า เรียกกันอยู่ว่าองค์ใหญ่ องค์กลาง องค์ปิ๋ว ในหลวงท่านทรงได้ยินก็ไม่เห็นกริ้วกราดทักท้วงประการใด เรียกอยู่แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ เปนคำทูลในหลวงก็ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามงกุฎฉนั้น เรียกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทูลกระหม่อมพระองค์น้อย ถ้าเปนคำทูลในหลวงก็ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอสุนีบาศฉนั้น
ภายหลังมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งพระองค์ใหญ่เจ้าฟ้ากุณฑลฯ เปนเจ้าฟ้า พระราชทานพระนามว่า “อาภรณ์” แต่นั้นมาคนทั้งหลายรู้เรียกกันว่าเจ้าฟ้าอาภรณ์ แต่พระองค์กลาง องค์ปิ๋วนั้น ได้ยินเรียกกันแต่ว่าองค์กลาง องค์ปิ๋ว ดังเช่นเรียกกันมาแต่เดิม ครั้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานพระนามองค์กลางว่า “มหามาลา” แต่นั้นมาคนทั้งหลายรู้เรียกกันว่าเจ้าฟ้ามหามาลา องค์ปิ๋วนั้นสิ้นพระชนม์เสียแต่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ได้ยินคนรุ่นใหม่ๆ เรียกกันว่าเจ้าฟ้าปิ๋วบ้าง ก็ได้ยินรายๆ ไม่สู้หนาหูนัก หรือจะเปนด้วยเขาเกรงพระทัยกรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์อย่างไรก็ไม่ทราบ แต่คนชั้นเก่าๆ ไม่ได้ยินใครเรียกเจ้าฟ้าปิ๋วเลย จะเปนเหตุด้วยกลัวกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์หรือประการใดก็ไม่ทราบถนัด)
เพราะฉะนั้นกรมหลวงเทพหริรักษ์จึงทรงอนุญาต ยอมให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ รับกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ไปไว้พระราชวังเดิม และทรงเห็นว่าพระครรภ์ก็เจริญมากอยู่แล้ว ภายหลังเมื่อจะประสูติพระโอรสนั้น ก็ประชวรพระครรภ์อยู่ถึงสองคืนสองวัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงรับสั่งสาวใช้ให้เข้าไปหาคุณเสือที่ในพระบรมมหาราชวัง ขอรับพระราชทานน้ำชำระพระบาทพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คุณเสือจึงขึ้นไปกราบทูลขอรับพระราชทานน้ำชำระพระบาทและนำขันทองตักน้ำขึ้นไปด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงรับสั่งว่า ทำดูถูกเทวดารักษาวังจึงออกลูกยาก แล้วจึงยกพระบาทเอาพระอังคุดลงจุ้มน้ำในขันทอง แล้วคุณเสือก็นำมาส่งให้สาวใช้รีบข้ามกลับไปถวาย
เจดีย์ประจำ ๓ รัชกาลที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม รัชกาลที่ ๓ โปรดให้สร้างขึ้น ในภาพกำลังก่อสร้างเจดีย์องค์ที่ ๔ ซึ่งเป็นพระเจดีย์ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๔ จากหนังสือภาพมุมกว้าง)
ครั้งนั้นกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ได้เสวยน้ำชำระพระบาทอยู่ครู่หนึ่ง ก็ประสูติพระโอรสเปนพระกุมาร ในวันเดือนยี่ ปีระกาตรีศก จุลศักราช ๑๑๖๓ สิ้นพระชนม์ในวันประสูตินั้น
ภายหลังมาปีชวดฉอศก จุลศักราช ๑๑๖๖ จึงประสูติพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบมาปีมะโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๗๐ จึงประสูติพระโอรสอีกพระองค์หนึ่ง คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทั้งสองพระองค์นี้ประสูติเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ได้เถลิงอุปราชาภิเศกเปนกรมพระราชวังบวร รับพระบัณฑูรแล้ว คงมีพระยศเปนเจ้าฟ้าในพระราชวังบวร เมื่อสมโภชเดือนขึ้นพระอู่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็พระราชทานทองแท่งจีนหนัก ๖ ตำลึง สมโภชทั้งสองพระองค์ ข้อนี้ก็เปนบุพพนิมิตรอย่างหนึ่ง
อนึ่งพระราชวังเดิมนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ประสูติที่นั้น เมื่อพระชันสาถึงกำหนดโสกันต์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็โปรดเกล้าฯ ให้เข้ามาโสกันต์ในพระบรมมหาราชวัง ในสมัยนั้นก็ยังไม่มีโสกันต์พิธีตรุส ต้องตั้งพระราชพิธีเปนการพิเศษขึ้นต่างหาก ก็ได้โสกันต์อยู่แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว ในหลวงทรงพระจรดพระกันบิดพระกันไกร ด้วยเปนพระโอรสผู้ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เพื่อจะทรงให้เปนพระเกียรติยศไว้ ได้พระราชทานเงินสมโภช ๕ ชั่ง เท่ากับพระเจ้าลูกเธอ ข้อนี้ก็เปนบุพพนิมิตรอย่างหนึ่ง
ต่อนั้นมามีกรมขุนกัลยาสุนทรเปนต้นและเจ้านายอื่นๆ ถัดลงมาก็ไม่ได้เข้ามาโสกันต์ในพระบรมมหาราชวัง โสกันต์ที่พระราชวังเดิมทั้งสิ้น
อนึ่งปีมะโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๗๐ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเปนพระภิกษุ ก็ได้รับของไทยทานต่อพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครั้นลาพระผนวชออกมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จนำเข้าไปเฝ้าถวายพระราชกุศล ได้พระราชทานผ้าลายอย่าง (ตกดี) สองผืน แพรขาวสองเพลาะ รับสั่งว่ารูปร่างสูงใหญ่หน้าตาฉลาด ข้อนี้ก็เปนบุพพนิมิตรอย่างหนึ่ง
พอรุ่งขึ้นปีมะเสงเอกศก จุลศักราช ๑๑๗๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็เสด็จสู่สวรรคต แต่นั้นมามีกรมหมื่นสุนทรธิบดีเปนต้น และเจ้านายอื่นๆ ถัดลงมา ก็ไม่ได้รับของไทยทานต่อพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและถวายพระราชกุศลทั้งสิ้นด้วยเสด็จสู่สวรรคตแล้ว
ภายหลังครั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นแล้ว ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ จึงทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่เรียงกันสามองค์ ทรงพระราชอุททิศส่วนพระราชกุศลถวายฉลองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมไอยกาธิราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกองค์หนึ่ง ทรงพระราชอุททิศส่วนพระราชกุศลถวายฉลองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยองค์หนึ่ง เปนส่วนพระราชกุศลในพระองค์องค์หนึ่ง
ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นแล้ว ทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่เพิ่มขึ้นในวัดพระเชตุพนฯ อีกองค์หนึ่ง เปนส่วนพระราชกุศลในพระองค์ ด้วยท่านได้ทรงเห็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยังทรงจำได้ จึงได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้นประชุมไว้ให้พร้อมกันทั้งสี่พระองค์ในที่นั้น และรับสั่งว่าพระเจ้าแผ่นดินซึ่งจะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อไปภายหน้า ไม่ควรจะทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่เปนส่วนพระราชกุศลในพระองค์ลงในที่นี้ ด้วยไม่ได้รู้จักและไม่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินซึ่งกล่าวมานี้ทั้งสี่พระองค์ท่านได้เห็นรู้กัน จึงควรสร้างประชุมกันไว้ในที่นี้
แล้วรับสั่งเล่าว่าวันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จออกทอดพระเนตรการที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประทับอยู่บนพระเก้าอี้หน้าพระอุโบสถ แต่พระเก้าอี้นั้นไม่เหมือนพระเก้าอี้ที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ เปนเก้าอี้ทำด้วยหนังหรือผ้าที่อย่างหนาพับได้ ที่พิงนั้น ถ้านั่งสูงตลอดศีร์ษะแล้วเย็บเปนนวมหุ้มด้วยโหมดผูกไว้ที่บนกระดานพิง สำหรับรับพระเจ้าเมื่อเอนพระองค์ลงพิง ใช้กันมาจนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีที่เสด็จพระราชดำเนินแห่งใดก็เชิญพระเก้าอี้ที่กล่าวมานี้เข้าในกระบวรไปทุกครั้ง บางทีเปนการฉุกเฉิน ไม่ได้ตั้งพระแท่นทอดที่ประทับ เมื่อต้องเสด็จยืนอยู่นานเจ้าพนักงานก็เชิญพระเก้าอี้เข้าไปทอดถวายแทนพระแท่นที่ประทับ
วันนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระชันสาได้ห้าพรรษา เชิญพระร่วมตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เข้าไปเฝ้าในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงจำพระรูปพระโฉมไม่ถนัด ทรงจำได้อยู่แต่พระเกษาหงอกขาวทั่วทั้งพระเจ้า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงรับสั่งเรียกเข้าไปใกล้พระองค์ แล้วลูบพระเศียรจนถึงพระปฤษฎางค์ รับสั่งให้หม่อมไกรสร (กรมหลวงรักษรรณเรศ) อุ้มไปเที่ยวดูภาพเขียนทั่วพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หม่อมไกรสรก็เชิญเสด็จกลับมา แต่จะเปนอย่างไรต่อไปรับสั่งว่าทรงจำไม่ได้ ข้อนี้ก็เปนบุพพนิมิตรอย่างหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ประสูติที่พระราชวังเดิมทั้งสองพระองค์ อนึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับของไทยทานต่อพระหัตถ์ เปนการสัมผัสถูกต้องต่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเปนปฐมกระษัตริย์ เปนที่สุดในรัชกาลนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงสัมผัสถูกต้องต่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเปนปฐมกระษัตริย์เช่นกัน ซึ่งเปนที่สุดในรัชกาลนั้น ถ้าใคร่ครวญดูก็เปนการอัศจรรย์ผิดเจ้านายทั้งหลาย สืบมาพระองค์ก็ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติทั้งสองพระองค์
กล่าวความในเรื่องขัติยราชปฏิพัทธยุติแต่เท่านี้“ตำหนักแดง” ที่ประทับของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
เคยเสด็จไปลอบพบปะทรงสกา และไพ่ต่อแต้มเสมอ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่วัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี
ภาพจาก :
.silpa-mag.comพระราชวังเดิม ที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ปัจจุบันคือที่ทำการกองทัพเรือ
ภาพจาก :
.silpa-mag.com