โรคจิต (ต่อ)ถาม สมมุติว่าคนป่วยอยากจะตาย บอกให้หมอฉีดให้ เขาผิดใช่ไหมคะ ในกรณีนี้หมอมีส่วนรับกรรมหรือเปล่าคะ
ตอบ มีส่วน เพราะเป็นผู้ทำให้เขาตาย เป็นผู้รับคำสั่ง
ถาม แต่เข้าใจว่าทางจรรยาบรรณแพทย์คงทำไม่ได้
ตอบ ทางศีลธรรมถือว่า ทำเองก็ดี สั่งให้คนอื่นทำก็ดี ก็ผิดทั้งนั้น คนทำก็ผิด คนสั่งก็ผิด
ถาม ตอนนี้กลัวเรื่องจรรยาบรรณแพทย์ ก็เลยมีเครื่องให้คนไข้ทำเอง คนที่ทำเครื่องก็มีส่วนผิด
ตอบ ถ้าทำให้ตายไม่ว่าจะทำด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ผิดทั้งนั้น แต่ถ้าปล่อยให้ตายเอง อย่างนี้ไม่ผิด ทำให้ตายกับปล่อยให้ตายนี้ไม่เหมือนกัน ถ้าปล่อยไม่บาป ถ้าทำให้เขาตายก็บาป ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราเองหรือของคนอื่น ก็บาปเหมือนกัน
ถาม เมื่อเช้ามีคนบอกว่ามีปัญหาอยากจะถาม
ตอบ เราก็บอกเขาไปว่า คำตอบอยู่ที่ อนิจจังทุกขังอนัตตา ถ้าเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ก็จะไม่มีคำถาม คำตอบของทุกคำถามอยู่ที่อนิจจังทุกขังอนัตตา เป็นคำตอบที่แท้จริง เวลาไม่เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ก็จะสงสัยว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นทำไมเป็นอย่างนี้ ถ้าเห็น สัพเพ ธัมมา อนัตตา ทุกอย่างเป็นไปตามเรื่องของมัน เราไปห้ามมันไม่ได้ ไปเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ก็จะได้คำตอบ ถ้าเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ก็จะไม่มีคำถาม ไม่รู้จะถามอะไร ถ้าถามทำไมก็แสดงว่าโง่ ทำไมต้องทำไม เพราะมันเป็นอย่างนี้ เวลาคนตายทำไมต้องถามว่า ทำไมต้องตายด้วย ทำไมต้องเกิดกับเขา ทำไมไม่เกิดกับคนนั้นคนนี้ ทำไมต้องทำไมด้วย ก็มันเป็นอย่างนี้ นี่แหละคือธรรมะ ต้องเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ที่มีทั้งทางด้านบวกและลบ คือกรรมและบุญ ที่จะช่วยเสริมให้เจริญหรือเสื่อม อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่มีเจริญมีเสื่อมเป็นธรรมดา ที่เราทำอะไรไม่ได้ บุญหรือกรรมเป็นสิ่งที่เราทำมาแล้วในอดีต การเจริญหรือเสื่อมของธรรมชาติก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ สิ่งที่เราทำได้ก็คือทำใจให้เป็นอุเบกขาปล่อยวาง จะปล่อยวางได้ก็ต้องเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เห็นว่าเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่อยากจะเจอก็อย่ามาเกิด อย่าอยากได้สิ่งที่เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เวลาอยากได้ไม่คิดกันเลยว่าได้แล้วต้องเสียไป พอเสียแล้วก็ถามว่าทำไมต้องเสีย ทุกอย่างที่เราได้มาเราต้องเสียไปหมด ได้ร่างกายนี้มาเดี๋ยวก็ต้องเสียมันไป ได้ลาภยศสรรเสริญสุขมา เราก็ต้องเสียมันไปหมด สิ่งที่เราไม่เสียเรากลับไม่เอากัน คือความสงบ
ความสงบสุขเป็นของเรา อยู่กับเราไปตลอด อกาลิโก ความสงบที่เกิดจากการภาวนาทำใจให้สงบ ที่เกิดจากการปล่อยวางด้วยปัญญา เป็นสมบัติของเรา ที่จะไม่มีวันจากเราไป อยู่กับเราไปตลอด ไม่มีร่างกาย เราก็ไม่เดือดร้อน เราก็ยังมีความสุขนี้อยู่ ความสุขที่พระพุทธเจ้า พระสาวก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีกันอยู่ ถึงแม้เวลาจะผ่านมาแล้วตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปี ความสุขในพระทัยของพระพุทธเจ้า ที่เป็นปรมังสุขังนี้ก็ยังอยู่ ความสุขของครูบาอาจารย์ที่ท่านจากพวกเราไปแล้ว ก็ยังอยู่ในใจของท่าน ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันหาย ไม่มีวันหมดไป เพราะไม่ได้เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ความสุขนี้แหละเป็นสมบัติที่แท้จริง ที่เราสามารถครอบครองได้ ถ้าปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คือทำทาน รักษาศีล เจริญสติสมาธิและปัญญา เป็นวิธีที่จะทำให้ได้สมบัติอันวิเศษนี้
อยู่แค่เอื้อมมือนี้เองนะ อยู่ที่วิริยะคือความเพียร หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ด้วยความเพียร ต้องมีความเพียรถึงจะเกิดสติ ถึงจะเกิดสมาธิและเกิดปัญญา ต้องเพียรเจริญสติ ครูบาอาจารย์ภาวนาในตอนต้น ท่านก็พุทโธทั้งวัน จนพุทโธกับใจแนบติดกันเลย ตอนนั้นก็จะเกิดสัมปชัญญะขึ้นมา มีความรู้สึกตัวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่เผลอ ไม่ลอยไปที่นั่นที่นี่ อยู่ในปัจจุบัน พออยู่ในปัจจุบันแล้ว เวลานั่งสมาธิก็จะรวมลงเข้าสู่ความสงบ จะพบกับปรมังสุขังชั่วคราว พอออกจากสมาธิมา ถ้าต้องการรักษาปรมังสุขังนี้ ก็ต้องใช้ปัญญาหยุดตัณหาความอยาก ที่ไม่ตายจากความสงบของสมาธิ จะตายได้ก็ต้องตายด้วยการเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ความสงบนี้แหละเป็นสมบัติของเรา ไม่มีใครจะแย่งจากเราไปได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย จะอยู่กับเราไปตลอด
พวกเราควรเปลี่ยนทิศทางของการหาทรัพย์ได้แล้ว อย่าไปหาทรัพย์ภายนอก ควรหันเข้ามาหาทรัพย์ภายใน ด้วยการสละทรัพย์ภายนอก อย่าใช้ทรัพย์ภายนอกเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ให้ใช้ทรัพย์ภายในเป็นที่พึ่ง เพราะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ก็คือปรมังสุขังนี้ บรมสุขที่ เกิดจากการภาวนา จากการสละทรัพย์ทั้งหมดไป สละทรัพย์ภายนอกเพื่อจะได้เข้าหาทรัพย์ภายใน รักพี่เสียดายน้องไม่ได้ จะเอาทั้งทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายในไม่ได้ เหมือนจะเอาน้ำร้อนกับน้ำเย็นไม่ได้ ถ้าเอามาปนกัน ก็จะไม่ร้อนไม่เย็น ถ้าต้องการความสุขเย็นก็ต้องเข้าข้างใน ถ้าต้องการความสุขร้อนก็ต้องอยู่ข้างนอก ความสุขร้อนก็คือความสุขที่มีความทุกข์ ความสุขเย็นก็คือความสุขที่ไม่มีความทุกข์ ต้องเข้าข้างใน ต้องสละทรัพย์ภายนอก ให้เข้ามาบวช มารักษาศีล มาภาวนา มาปฏิบัติธรรม แล้วความสงบภายในก็จะปรากฏขึ้นมาตามลำดับ ตามกำลังของความเพียร ตามกำลังของสติของสมาธิของปัญญา
ขั้นสมาธิก็เข้าสู่ขั้นอัปปนา สงบได้นาน จิตจะมีกำลังมาก ที่จะสนับสนุนในการเจริญปัญญา พอออกทางปัญญาก็มีอยู่ ๔ ขั้นคือ ๑. ขั้นโสดาบัน ๒. ขั้นสกิทาคามี ๓. ขั้นอนาคามี ๔. ขั้นอรหันต์ ก็ต้องใช้อนิจจังทุกขังอนัตตาเป็นเครื่องมือ พิจารณาขันธ์ ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ว่าเป็นอนัตตาเป็นอนิจจังเป็นทุกขัง ถ้าเห็นก็จะละสักกายทิฐิได้ ละความหลงที่เห็นว่า รูปเวทนาสัญญาสังขารเป็นตัวเราของเรา จะให้ความสุขกับเรา จะอยู่กับเรา จะเป็นตามที่เราต้องการ มันเป็นไปไม่ได้ มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีเกิดมีดับ มีสุขมีทุกข์ เช่นทุกขเวทนาสุขเวทนา จะให้สุขอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรับได้ทั้งสุขทั้งทุกข์ ถึงจะเรียกว่าปล่อยวาง ถ้าอยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แสดงว่ายังปล่อยวางไม่ได้ พอร้อนหน่อยก็เปิดแอร์ อย่างนี้แสดงว่าปล่อยวางทุกขเวทนาไม่ได้ ร้อนก็อยู่กับมันไป หนาวก็อยู่กับมันไป ถ้ามีผ้าห่มก็ห่มไป ที่ต้องห่มก็เพื่อรักษาร่างกายไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าห่มเพื่อให้มีความสุข ไม่ใช่เหตุผล เหตุผลที่ต้องรักษาร่างกายก็เพื่อเอาร่างกายมาปฏิบัติธรรม พอสำเร็จแล้วจะห่มหรือไม่ห่มก็ได้ ถ้ายังไม่เสร็จงานก็ต้องดูแลรักษาร่างกายไปก่อน แต่ไม่ได้ทำเพื่อความสุขทางร่างกาย ทำเพื่อความสุขทางจิตใจ
ขอให้พวกเราปลุกระดมความเพียรขึ้นมา นี่คืองานของเรา งานอื่นไม่ใช่งานของเรา อย่าไปเสียเวลา เวลาของเรามีน้อยลงไปทุกวัน ควรรีบเอาเวลาที่มีค่านี้ มาตักตวงประโยชน์สุขที่แท้จริง คือความสุขภายในให้ได้เถิด ถ้าได้แล้วก็จะสบาย ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป ถ้าทำงานภายนอกนี้ทำไปจนวันตายก็ไม่มีวันสิ้นสุด จะมีงานใหม่ให้ทำอยู่เรื่อยๆ จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวไป เวลาตายจากโลกนี้ไป ผลงานข้างนอกนี้เอาไปไม่ได้เลย แต่ผลงานข้างในนี้เอาไปได้หมด ทั้งผลและเหตุ เหตุก็คือมรรค คือทานศีลสติสมาธิปัญญา เอาติดตัวไปใช้งานต่อได้เลย ไปเกิดข้างหน้าเราก็จะมีเครื่องไม้เครื่องมือทำงานต่อได้เลย ผลก็คือความสงบความร่มเย็นเป็นสุข ก็ติดไปกับเรา ได้มากได้น้อยก็ไปกับเรา ลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรสนี้ ไม่ได้ไปกับเราเลย จะหลงหาสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของเราไปทำไม หาสิ่งที่เป็นของเราสิ สิ่งที่เราเอาไปกับเราได้ ที่เราพึ่งได้อย่างแท้จริง ก็คือมรรคที่มีองค์ ๘ นี้เอง เจริญมรรคให้มาก แล้วมรรคผลนิพพานก็จะเป็นผลที่ตามมาต่อไป
ถาม โยมทำสมาธิสลับกับการเดินจงกรม เดินจงกรมก็ดูเท้ากระทบพื้น ขณะที่เดินแล้วหยุดจะก้าวเดินต่อไป ก็เกิดว่าขาข้างหนึ่งเบาเหมือนสำลีเลย แล้วขยับจะเดินอีกข้าง แต่มันยกไม่ได้ มันหนักแบบหลายสิบกิโล ขาสองขาหนักไม่เท่ากัน ยกไม่ได้โยมก็เอ๊ะ พอเอ๊ะมันก็หาย แล้วก็เดินได้ต่อไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันนี้มันเป็นการสอนให้เห็นธาตุหรือเปล่าคะ
ตอบ เป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้แล้วก็ดับไป
ถาม พระอาจารย์ว่าจะต้องเห็นกายเป็นธาตุด้วย โยมก็ไม่แน่ใจว่ามันแสดงให้ดูหรือเปล่า เพราะว่าโยมไม่ได้ใช้คำพูดพิจารณาร่างกายว่าเป็นอะไร ไม่ได้พูดนะคะ
ตอบ เราเห็นว่าเป็นธาตุหรือเปล่าล่ะ ก็อยู่ที่เรา ไปถามคนอื่นได้อย่างไร ร่างกายมันเป็นธาตุอยู่แล้ว เราจะเห็นว่ามันเป็นหรือเปล่าล่ะ
ถาม บางคนเขาบอกว่า มันเป็นลูกเล่นของการทำความสงบ
ตอบ มันก็อาจจะมีอะไรปรากฏขึ้นมาให้เห็นได้ แต่สิ่งที่เราต้องเห็นก็คือ เห็นอนิจจัง เห็นอนัตตา อนัตตาก็เห็นว่าเป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่ตัวเราของเรา เห็นอนิจจังก็เห็นว่ามันต้องตาย
ถาม แล้วการที่เรารู้ว่า กำลังจะคิด แล้วก็มีลมดันขึ้นมา พอสติรู้ทันมันก็ดับลงไป ถ้าไม่ทันมันก็จะผ่านสมอง แล้วจะปรุงเป็นรูปภาพเป็นสีอะไรอย่างนี้ แต่ไม่ได้ตลอดนะเจ้าคะ อย่างนี้เป็นการเรียนรู้ตามความเป็นจริงหรือเปล่าเจ้าคะ
ตอบ ความจริงแบบนี้ รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้รู้ว่ามันเกิดมันดับไป จะเป็นประโยชน์กว่า ให้รู้ว่าไปจัดการกับมันไม่ได้ ให้รู้ทันแล้วก็ปล่อยวาง ให้รู้ว่าเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ถ้าไปยึดติดไปอยากจะรู้ว่าเป็นอะไร ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา
ถาม มันดิ้นรนเจ้าค่ะ อยากหาคำตอบ
ตอบ คำตอบก็คืออนิจจังทุกขังอนัตตา รู้แล้วก็ปล่อยวาง
ถาม มันกลัวผิดนะคะ
ตอบ ปัญหาของเรา คือเราไม่รู้เฉยๆ รู้แล้วก็อยากจะไปรู้ว่าเขาเป็นอะไร มาจากไหน ชื่ออะไร ไปรู้ทำไม เขาจะชื่ออะไร พ่อแม่ของเขาเป็นใคร ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราก็คือเราทุกข์กับเขาหรือเปล่า ปัญหาของเราอยู่ตรงนั้น เราปล่อยวางเขาได้หรือเปล่า
โยม มันก็ปล่อยได้บางครั้ง อยู่ที่กำลังของสมาธิ
ตอบ ต้องรู้แล้วปล่อยวาง รู้แล้วเฉย มันเป็นอดีตไปแล้ว พอรู้ปั๊บมันก็เป็นอดีตไปแล้ว นี่เรายังแบกมันมาถึงวันนี้ ถ้ามีปัญญามันก็จะหายไปจากใจแล้ว นี่ยังคิดถึงมันอยู่ ยังแบกมันอยู่ ความจริงมันเป็นอดีตแล้ว มันผ่านไปแล้ว ท่านสอนให้ลืมอดีต อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ให้อยู่ในปัจจุบัน แสดงว่าไม่มีสติ ใจถึงไปอดีตไปอนาคต ไม่อยู่ในปัจจุบัน การเจริญสติก็เพื่อให้ใจอยู่ในปัจจุบัน ถ้าอยู่ในปัจจุบัน ก็จะเห็นว่าทุกอย่างเกิดดับ เกิดดับ ผ่านไปแล้ว เช่นคำพูดนี้ พูดปั๊บก็ผ่านไปแล้ว ถ้าไม่มีสติ ไม่อยู่ในปัจจุบัน ก็จะไปดึงเอาคำพูดที่เป็นอดีตแล้ว กลับมาให้อยู่ในปัจจุบันต่อ อย่างนี้เรียกว่าอุปาทาน ไม่ปล่อยวาง ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป ความจริงทุกอย่างไหลเหมือนกระแสน้ำ เวลาเรานั่งอยู่ท่าน้ำนี้ เราจะเห็นเรือไหลลอยไป แต่ถ้ามีอุปาทาน เวลาเห็นเรือที่เราชอบ ก็จะดึงกลับมา ทั้งๆที่ความจริงมันไม่กลับมาแล้ว มันไปแล้ว ถ้าอยู่ในปัจจุบันได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดจะดับ จะไม่เป็นปัญหา พวกเราชอบดึงอดีตกลับมาเรื่อย อดีตอันแสนหวานผ่านไปแล้ว ก็ดึงกลับมา คิดถึงมันอยู่เรื่อยๆ พวกเราถึงทุกข์กัน เพราะมีอุปาทานมีความอยาก ไม่ปล่อยวางเหตุการณ์ที่ไม่นิ่ง ที่ไหลเหมือนภาพยนตร์ ควรดูเหตุการณ์เหมือนดูภาพยนตร์
ถาม ยังทำไม่ได้
ตอบ จิตยังไม่นิ่ง ดึงจิตให้อยู่ในปัจจุบันไม่ได้ ยังวิ่งไปหาอนาคตไปหาอดีตอยู่ ความคิดปรุงแต่งเป็นตัวที่พาไปหาอดีตไปหาอนาคต ต้องใช้พุทโธดึงเอาไว้ ถ้าสติมีกำลัง ไม่ต้องใช้พุทโธก็ได้ ถ้าให้รู้เฉยๆได้ รู้ว่าทุกอย่างกำลังเกิดกำลังดับ เสียงที่เราพูดตอนนี้มันเกิดแล้วมันก็ดับไป ใครพูดอะไรก็ผ่านไปแล้ว ใครชมก็ผ่านไปแล้ว ใครด่าก็ผ่านไปแล้ว แต่เราชอบเอากลับมาฟังใหม่ เขาด่าตั้งแต่เมื่อเช้านี้ ตอนนี้ก็ยังคิดถึงคำด่าอยู่ มันผ่านไปแล้ว มันหมดไปแล้ว ใจเราต้องปล่อยวาง ไม่ไปหาอดีต ไม่ไปหาอนาคต
ถาม พูดถึงการวางนี้ เคยหลับแล้วมีสติไปเห็นความคิดในขณะหลับ แล้วอยู่ๆมีความรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในอากาศ ไม่ได้เป็นตัว เป็นความรู้สึก แล้วก็มีความสุขมาก ตื่นขึ้นมาก็นั่งยิ้ม ยึดอีกแล้วเจ้าค่ะ
ตอบ มันผ่านไปแล้ว
ถาม มันชอบยึด อะไรนิดๆหน่อยๆ ก็มีความสุข
ตอบ จิตเราสามารถผลิตความสุขได้ ผลิตความทุกข์ได้ บางทีก็เกิดจากตัวเรา ไปกระตุ้นให้ผลิตขึ้นมา คือความอยาก ก็จะผลิตความทุกข์ขึ้นมา ถ้าปล่อยวางก็จะผลิตความสบายใจขึ้นมา ส่วนใหญ่จะผลิตความทุกข์กัน เพราะอยากกัน ถ้าปล่อยวางก็จะผลิตความสุข
ถาม พระปัจเจกพุทธเจ้านี้สามารถเกิดได้ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไหมครับ
ตอบ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะปรากฏในช่วงที่ไม่มีพระพุทธศาสนา เพราะต้องตรัสรู้เอง พบพระอริยสัจ ๔ เอง ถ้ามีพระพุทธศาสนาก็ไม่ต้องค้นหาเอง เช่นพระอรหันตสาวก ไม่ได้ค้นพบพระอริยสัจ ๔ เอง
ถาม เช่นในปัจจุบันก็จะไม่มี
ตอบ ถ้าอยู่ในประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนเลย แล้วค้นพบพระอริยสัจ ๔ เอง ก็จะเป็นพระพุทธเจ้าได้
ถาม คืออาจเกิดได้
ตอบ ได้ แต่โอกาสที่จะมีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ มาปรากฏในเวลาใกล้กัน นี้ จะยากมาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการปรากฏของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ยากสุดๆแล้ว
ถาม ถ้าอยากเปิดตู้เย็นกินขนมอย่างนี้ ถ้าเราสามารถเบรกตัวเองได้ ไปเรื่อยๆ อย่างนี้จะเป็นการ
ตอบ ตัดกำลังของกิเลสลงไป จะตัดได้อย่างถาวร ก็ต้องเห็นว่าเป็นความทุกข์ เวลาเปิดตู้เย็นนี้ ไม่ใช่สุข แต่เป็นทุกข์ เพราะเหมือนไปเอายาเสพติดมาเสพ ที่เราไม่เสพยาเสพติดเพราะอะไร เพราะรู้ว่ามันทุกข์มากกว่าสุข ต้องเห็นว่ารูปเสียงกลิ่นรสนี้ เป็นยาเสพติด
ถาม เราก็ตัดใจ ไม่เปิดตู้เย็น
ตอบ ให้ภรรยาจัดอาหารให้กินก็แล้วกัน กินตามเวลาเหมือนกินยา ระหว่างมื้อก็ไม่กินอะไร ไม่ดื่มอะไรนอกจากน้ำเปล่า ถึงจะตัดกามตัณหาได้ ธรรมะบนเขา ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๒
"โรคจิต" กัณฑ์ที่ ๔๕๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๕