時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:36:01 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:25:56 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:39:02 » |
|
แต่เมื่อเขาวิ่งหนี มันจะวิ่งตาม
ด้วยกฎอันนี้กระมัง เมื่อนางหนีรักออกจากเชตวันและมาสงบอยู่ ณ กรุงโกสัมพีนี้
เมื่อออกพรรษาแล้ว ข่าวการเสด็จสู่กรุงโกสัมพีของพระผู้มีพระภาคก็แพร่สะพัดมา
ซึ่งเป็นการแน่นอนว่าพระอานนท์จะต้องตามเสด็จมาด้วย
ชาวโกสัมพีทราบข่าวนี้ด้วยความชื่นชมโสมนัส
ภิกษุสงฆ์ต่างจัดแจงปัดกวาดเสนาสนะ เตรียมพระคันธกุฎีที่ประทับของพระศาสดา
พระเจ้าอุเทนเองซึ่งไม่ค่อยจะสนพระทัยในทางธรรมนักก็อดที่จะทรงปรีดาปราโมชมิได้
เพราะถือกันว่าพระศาสดาเสด็จไป ณ ที่ใด ย่อมนำความสงบสุขและมงคลไปสู่ที่นั้นด้วย
การสนทนาเรื่องการเสด็จมาของพระศาสดา มีอยู่ทุกหัวระแหงแห่งกรุงโกสัมพี
ศาสดาคณาจารย์เจ้าลัทธิต่าง ๆ ก็เตรียมผูกปัญหาเพื่อทูลถาม
บางท่านก็เตรียมถามเพื่อให้พระศาสดาจนในปัญหาของตนเอง
บางท่านก็เตรียมถามเพื่อความรู้ความเข้าใจจริง
และบางท่านก็เตรียมถามเพียงเพื่อเทียบเคียงความคิดเห็นเท่านั้น
หมู่ภิกษุสงฆ์ปีติปราโมชเป็นอันมาก เพราะการเสด็จมาของพระศาสดา
ย่อหมายถึงการได้ยินได้ฟังมธุรภาษิตจากพระองค์ด้วย
และบางท่านอาจจะได้บรรลุคุณวิเศษเบื้องสูง เพราะธรรมเทศนานั้นพระ
ใครจะทราบบ้างเล่าว่า ดวงใจของโกกิลาภิกษุณีจะเป็นประการใด
เมื่อบ่ายวันหนึ่งเพื่อนภิกษุณีนำข่าวมาบอกนางว่า
นี่ โกกิลา ท่านทราบไหมว่าพระศาสดาจะเสด็จมาถึงนี่เร็ว ๆ นี้ ?
อย่างนั้นหรือ ? นางมีอาการตื่นเต้นเต็มที่ "เสด็จมาองค์เดียวหรืออย่าไร ?
ไม่องค์เดียวหรอก ใคร ๆ ก็รู้ว่าเมื่อพระศาสดาเสด็จมา
จะต้องมีพระเถระผู้ใหญ่มาด้วย หรืออาจจะมาสมทบทีหลังก็ได้
แต่ท่านที่ต้องตามเสด็จแน่คือ พระอานนท์พุทธอนุชา
พระอานนท์ ! นางอุทาน พร้อมด้วยเอามือทาบอก
ทำไมหรือ โกกิลา ดูท่านตื่นเต้นมากเหลือเกิน ?
ภิกษุณีรูปนั้นถามอย่างสงสัย
เปล่าดอก ข้าพเจ้าดีใจที่จะได้เผ้าพระศาสดา
และฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์
ดีใจจนควบคุมตัวไม่ได้ นางตอบเลี่ยง
ใคร ๆ เขาก็ดีใจกันทั้งนั้นแหละโกกิลา
คราวนี้เราคงได้ฟังธรรมกถาอันลึกซึ้ง
และได้ฟังมธุรภาษิตของพระมหาเถระเช่นพระสารีบุตร
และพระมหากัสสป หรือพระอานนท์เป็นต้นภิกษุณีรูปนั้นกล่าว
วันที่รอคอยก็มาถึง พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์อรหันต์หมู่ใหญ่แวดล้อมเสด็จ
ถึงกรุงโกสัมพี พระราชาธิบดีอุเทน และเสนามหาอำมาตย์
พ่อค้าพระชาชน สมณพราหมณจารย์ ถวายการต้อนรับอย่างมโหฬารยิ่ง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:27:38 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:42:21 » |
|
ก่อนถึงซุ้มประตูโฆสิตารามประมาณกึ่งโยชน์
มีประชาชนจำนวนแสนคอยรับเสด็จ
มรรคาดารดาษไปด้วยกลีบดอกไม้นานาพันธุ์หลากสี
ที่ประชาชนนำมาโปรยปรายเพื่อเป็นพุทธบูชา
ในบริเวณอารามก่อนเสด็จถึงพระคันธกุฎี
มีภิกษุณีจำนวนมากรอรับเสด็จ ทุกท่านมีแววแห่งปีติปราโมช
ถวายบังคมพระศาสดาด้วยความเคารพอันสูงสุด
พระอานนท์ตามเสด็จพระพุทธองค์ด้วยกิริยาที่งดงามมองดูน่าเลื่อมใส
ทุกคนต่างชื่นชมพระศาสดาและพระอานนท์
และผู้ที่ชื่นชมในพระอานนท์เป็นพิเศษ
ก็เห็นจะเป็นโกกิลาภิกษุณีนั่นเอง
ทันใดที่นางได้เห็นพระอานนท์ ความรักซึ่งสงบตัวอยู่ก็ฟุ้งขึ้นมาอีก
คราวนี้ดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่าคราวก่อน
เพราะเป็นเวลาสามเดือนแล้วที่นางมิได้เห็นพระอานนท์
ความรักที่ทำท่าจะสงบลงนั้น
มันเป็นเหมือนติณชาติซึ่งถูกลิดรอน ณ เบื้องปลาย
เมื่อขึ้นใหม่ย่อมขึ้นได้สวยกว่า มากกว่า
และแผ่ขยายโตกว่า ฉะนั้น
นางรีบกลับสู่ห้องของตน บัดนี้
ใจของนางเริ่มปั่นปวนรวนเรอีกแล้ว
จริงทีเดียว ในจักรวาลนี้ไม่มีไฟอะไรร้อนแรงและดับยากเท่าไฟรัก
ความรักเป็นความเรียกร้องของหัวใจ
มนุษย์เราทำอะไรลงไปเพราะเหตุเพียงสองอย่างเท่านั้น
คือเพราะหน้าที่อย่างหนึ่ง
และเพราะความเรียกร้องของหัวใจอีกอย่างหนึ่ง
ประการแรก แม้จะทำสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง
มนุษย์ก็ไม่ค่อยจะเดือดร้อนเท่าใดนัก
เพราะคนส่วนมากหาได้รักหน้าที่เท่ากับความสุขส่วนตัวไม่
แต่สิ่งที่หัวใจเรียกร้องนี่ซิ ถ้าไม่สำเร็จ
หรือไม่สามารถสนองได้ หัวใจจะร่ำร้องอยู่ตลอดเวลา
มันจะทรมานไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ของมันหรือมนุษย์ผู้นั้นตายจากไป
โกกิลาภิกษุณีกำลังต่อสู้กับสิ่งสองอย่างนี้อย่างน่าสงสาร
หน้าทีของนางคือการทำลายความรักความใคร่
บันนี้นางเป็นภิกษุณี มิใช่หญิงชาวบ้านธรรมดา
นางจึงต้องพยายามกำจัดความรักความใคร่ระหว่างเพศให้หมดไป
แต่หัวใจของนางกำลังเรียกร้องหาความรัก
หน้าที่กับความเรียกร้องของหัวใจอย่างไหนจะแพ้ จะชนะ
ก็แล้วแต่ความเข้มแข็งของอำนาจฝ่ายสูงหรือฝ่ายต่ำ
ผู้หญิงนั้นลงได้ทุ่มเทความรักให้แก่ใครแล้ว
ก็มั่นคงเหนียวแน่นยิ่งนัก ยากที่จะไถ่ถอน
และความรักที่ไม่มีทางสมปรารถนาเลยนั้น
เป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง
ดวงใจของเธอจะระบมบ่มหนอง
ในที่สุดก็แตกสลายลงด้วยความชอกช้ำนั้น
อนิจจา ! โกกิลา
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:28:23 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:45:08 » |
|
แม้เธอจะรู้ว่าความรักของเธอไม่มีทางจะสมปรารถนาได้เลย
แต่เธอก็ยังรัก สุดที่จะหักห้ามและไถ่ถอนได้
อีกคืนหนึ่งที่นางต้องกระวนกระวายรัญจวนจิตถึงพระอานนท์
นอนพลิกไปพลิกมา นัยน์ตาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย
นาน ๆ จึงจะจับนิ่งอยู่ที่เพดานหรือขอบหน้าต่าง
นางรู้สึกว้าเหว่เหมือนอยู่ท่ามกลางป่าลึกเพียงคนเดียว
ทำไมนางจึงว้าเหว่ ในเมื่อคืนนั้นเป็นคืนแรกที่พระศาสดาเสด็จมาถึง
ราชามหาอำมาตย์และพ่อค้าคหบดีมากหลายมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค
เหมือนสายน้ำที่หลั่งไหลอยู่มิได้ขาดระยะ
มันเป็นเรื่องของผู้หญิงที่ผู้ชายน้อยคนนักจะเข้าใจและเห็นใจ
ภิกษุณีโกกิลาถอนสะอื้นเบา ๆ
เมื่อเร่าร้อนและกลัดกลุ้มถึงที่สุด
น้ำตาเท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาความระทมขมขื่นลงได้บ้าง
เพื่อนที่ดีในยามทุกข์สำหรับผู้หญิงก็คือน้ำตา
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรอีกแล้วจะเป็นเครื่องปลอดประโลมใจได้เท่าน้ำตา
แม้มันจะหลั่งไหลจากขั้วหัวใจ
แต่มันก็ช่วยบรรเทาความอึดอัดลงได้บ้าง
เนื่องจากผู้หญิงถือว่าชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของความรัก
ตรงกันข้ามกับผู้ชายซึ่งมันจะเห็นว่าความรักเป็นเพียงบางส่วนของชีวิตเท่านั้น
เมื่อเกิดความรักผู้หญิงจึงทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจให้แก่ความรักนั้น
ทุ่มเทอย่างยอมเป็นทาส โกกิลาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในโลก
เธอจะหลีกเลี่ยงความจริงในชีวิตหญิงไปได้อย่างไร
พระดำรัสของพระศาสดาซึ่งทรงแสดงแก่พุทธบริษัทเมื่อสายัณห์
ยังคงแว่วอยู่ในโสตของนาง พระองค์ตรัสว่า
ไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก
เพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน
แลเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย
ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง.........................
พระพุทธดำรัสนี้ช่างเป็นความจริงเสียนี่กระไร
แต่เธอจะพยายามหักห้ามใจมิให้คิดถึงพระอานนท์สักเท่าใดก็หาสำเร็จไม่
เธอตกเป็นทาสแห่งความรักแล้วอย่างหมดสิ้นหัวใจ
รุ่งขึ้นเวลาบ่ายนางเที่ยวเดินชมโน่นชมนี่ในบริเวณโฆสิตาราม
เพื่อบรรเทาความกระวนกระวายกลัดกลุ้มรุ่นร้อน
เธอเดินมาหยุดยืนอยู่ริมสระซึ่งมีบัวบานสะพรั่ง
รอบ ๆ สระมีม้านั่งทำด้วยไม้และมีพนักพิงอย่างสบาย
เธอชอบมานั่งเล่นบริเวณสระนี้เสมอ ๆ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:29:05 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:47:25 » |
|
ดูดอกบัว ดูแมลงซึ่งบินวนไปเวียนมาอยู่กลางสระ
ลมพัดเฉื่อยฉิวหอบเอากลิ่นดอกบัวและกลิ่นน้ำคละเคล้ากันมา
ทำให้นางมีความแช่มชื่นขึ้นบ้าง
ธรรมชาติเป็นสิ่งมีคุณค่าต่อชีวิตเสมอ
มันเป็นเพื่อนที่ดีทั้งยามสุขและยามทุกข์
ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติมักจะเป็นชีวิตที่ชื่นสุขเบาสบาย
ยิ่งมนุษย์ทอดทิ้งห่างเหินจากธรรมชาติมากเท่าใด
เขาก็ยิ่งห่างความสุขออกไปทุกทีมากเท่านั้น
ขณะที่นางกำลังเพลินอยู่กับธรรมชาติอันสวยงาม
และดูเหมือนความรุ่มร้อนจะลดลงได้บ้างนั้นเอง
นางได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่เบื้องหลัง
ทันทีที่นางเหลียวไปดู
ภาพ ณ เบื้องหน้านางเข้ามาทำลายความสงบราบเรียบเสียโดยพลัน
พระอานนท์และโฆสิตมหาเศรษฐีเจ้าของอารามนั่นเอง
นางรู้สึกตะครั่นตะครอ มือและริมฝีปากนางเริ่มสั้นน้อย ๆ
เหมือนคนเริ่มจะจับไข้ เมื่อพระอานนท์เข้ามาใกล้
นางถอยหลังไปนิดหนึ่งโดยมิได้สำนึกว่าเบื้องหลังของนาง ณ บัดนี้คือสระน้ำ
บังเอิญเท้าข้างหนึ่งของเธอเหยียบดินแข็งก้อนหนึ่ง
เธอเสียหลักและล้มลง
พระอานนท์และโฆสิตมหาเศรษฐีตกตะลึงจังงังยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นศิลา
สักครู่หนึ่งจึงได้สติ แต่ไม่ทราบจะช่วยเธอประการใด
เธอเป็นภิกษุณีอันใคร ๆ จะถูกต้องมิได้
อย่าพูดถึงพระอานนท์เลย
แม้โฆสิตมหาเศรษฐีเองก็ไม่กล้ายื่นมือประคองนางให้ลุกขึ้น
นางพยายามช่วยตัวเองจนสามารถลุกขึ้นมาสำเร็จ
แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระอานนท์ ก้มหน้านิ่งด้วยความละอาย
น้องหญิง เสียงทุ้ม ๆ นุ่มนวลของพระอานนท์ปรากฏแก่โสตของนาง
เหมือนแว่วมาตามสายลมจากที่ไกล
อาตมาขออภัยด้วยที่ทำให้เธอตกใจและลำบาก เธอเจ็บบ้างไหม ?
เสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยของพระอานนท์
ได้เป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจนางให้ชื่นบาน
อะไรเล่าจะเป็นความชื่นใจของสตรีมากเท่ารู้สึกว่า
ชายที่ตนพะวงรักมีความห่วงใยในตน
สตรีเป็นเพศที่จำความดีของผู้อื่นได้เก่งพอ ๆ กับการให้อภัย
และลืมความผิดพลาดของชายอันตนรัก
เหมือนเด็กน้อยแม้จะถูกเฆี่ยนมาจนปวดร้าวไปทั้งตัว
แต่พอมารดาผู้เพิ่งจะวางไม้เรียว
แล้วหันมาปลอบด้วยคำอันอ่อนหวานสักครู่หนึ่ง
และแถมด้วยขนมชิ้นน้อย ๆ บ้างเท่านั้น เด็กน้อยจะลืมเรื่องไม้เรียว
กลับหันมาชื่นชมยินดีกับคำปลอบโยนและขนมชินน้อย
เขาจะซุกตัวเข้าสู่อ้อมอกของมารดา และกอดรักเหมือนอาลัยอย่างที่สุด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:30:12 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:51:09 » |
|
การให้อภัยแก่คนที่ตนรักนั้น
ไม่มีที่สิ้นสุดในหัวใจของสตรี
และบางทีก็เป็นเพราะธรรมชาติอันนี้ด้วยที่ทำให้เธอชอกช้ำแล้วชอกช้ำอีก
แต่มนุษย์ทั้งบุรุษและสตรีเป็นสัตว์โลกที่ไม่ค่อยรู้จักเข็ดหลาบ
จึงต้องชอกช้ำด้วยกันอยู่เนือง ๆ
นางช้อนสายตาขึ้นมองพระอานนท์แววหนึ่งแล้ว
คงก้มหน้าต่อไปไม่มีเสียงตอบจากนาง
เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย
เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าเธอดีใจหรือเสียใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
น้องหญิง เสียงพระอานนท์ถามขึ้นอีก
เธอเจ็บบ้างไหม ? อาตมาเป็นห่วงว่าเธอจะเจ็บ
ไม่เป็นไร พระคุณเจ้า เสียงตอบอย่างยากเย็นเต็มที
เธอมาอยู่ที่นี่สบายดีหรือ ?
พอทนได้ พระคุณเจ้า
แม่นางต้องการอะไรเกี่ยวกับปัจจัย 4 ขอให้บอกข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าขอปวารณาไว้ ท่านเศรษฐีพูดขึ้นบ้าง
แล้วพระอานนท์และโฆสิตเศรษฐีก็จากไป
นางมองตามพระอานนท์ด้วยความรัญจวนพิศวาส
นางรู้สึกเหมือนอยากให้หกล้มวันละห้าครั้ง
ถ้าการหกล้มนั้นเป็นเพราะเธอได้เห็นพระอานนท์อันเป็นที่รัก
นางเดินตามพระอานนท์ไปเหมือนถูกสะกด
ความรักทำให้บุคคลทำสิ่งต่าง ๆ อย่างครึ่งหลับครึ่งตื่น
ครู่หนึ่งนางจึงหยุดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
แล้วเหลียวหลับกลับสู่ที่อยู่ของนาง
นางกลับสู่ภิกขุนูปัสสยะที่พักของภิกษุณี ด้วยหัวใจที่เศร้าหมอง
ความอยากพบและอยากสนทนาด้วยพระอานนท์นั้นมีมากสุดประมาณ
บุคคลเมื่อมีความปรารถนาอย่างรุนแรง
ย่อมคิดหาอุบายเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ปรารถนานั้น
เมื่อไม่ได้โดยอุบายที่ชอบก็พยายามทำโดยเล่ห์กลมารยา
แล้วแต่ว่าความปรารถนานั้นจะสำเร็จได้โดยประการใด
โดยเฉพาะความปรารถนาในเรื่องรักด้วยแล้ว
ย่อมหันเหบิดเบือนจิตใจของผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมันให้กระทำได้ทุกอย่าง
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า..................................
เมื่อใดความรักและความหลงครอบงำ เมื่อนั้นบุคคลก็มืดมนเสมือนคนตาบอด
นางปิดประตูกุฏินอนเหมือนคนเจ็บหนัก
ภิกษุณีผู้อยู่ห้องติดกันได้ยินเสียงครางจึงเคาะประตูเรียก
ท่านเป็นอะไรไปหรือ โกกิลา ?
สุนันทาภิกษุณีถามด้วยความเป็นห่วง
ไม่เป็นไรมากดอกสุนันทา ปวดศีรษะเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนจะมีอาการไข้ตะครั่นตะครอ เนื้อตัวหนักไปหมด โกกิลาตอบ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:30:54 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:53:43 » |
|
ฉันยาแล้วหรือ ?
เรียบร้อยแล้ว
อ้อ................มีอะไรจะให้ข้าพเจ้าช่วยท่านบ้าง
ไม่ต้องเกรงใจนะ ข้าพเจ้ายินดีเสมอ
มีธุระบางอย่าง ถ้าท่านเต็มใจจะช่วยเหลือก็พอทำได้
โกกิลาพูดมีแววแช่มชื่นขึ้น
มีอะไรบอกมาเถิด ถ้าข้าพเจ้าช่วยได้ก็ยินดี
สุนันทาตอบด้วยความจริงใจ
ท่านรู้จักพระอานนท์มิใช่หรือ ?
รู้ซิ โกกิลา พระอานนท์ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักท่าน
เว้นแต่ผู้ไม่รู้จักพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น
ท่านมีธุระที่พระอานนท์หรือ ?
"ถ้าไม่เป็นการลำบากแก่ท่าน
ข้าพเจ้าอยากวานให้ท่านช่วยนิมนต์พระอานนท์มาที่นี่
ข้าพเจ้าอยากฟังโอวาทจากท่าน
เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังป่วย ชีวิตเป็นของไม่แน่
พระพุทธองค์ตรัสไว้มิใช่หรือว่า ความแตกดับแห่งชีวิต
ความเจ็บป่วย กาลเป็นที่ตาย
สถานที่ทิ้งร่างกายและคติในสัมปรายภพเป็นสิ่งที่ไม่มีเครื่องหมาย
ใคร ๆ รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอท่านอาศัยความอนุเคราะห์
เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้าไปหาพระอานนท์
แล้วเรียนท่านตามคำของข้าพเจ้าว่าโกกิลาภิกษุณีขอนมัสการท่านด้วยเศียรเกล้า
เวลานี้นางป่วยไม่สามารถลุกขึ้นได้
ถ้าพระคุณเจ้าจะอาศัยความกรุณาไปเยี่อมไข้
จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่นางหาน้อยไม่
เวลานั้นบ่ายมากแล้ว ความอบอ้าวลดลง
บริเวณอารามซึ่งมีพันธุ์ไม้หลายหลาก ดูร่มรื่นยิ่งขึ้น
นกเล็ก ๆ บนกิ่งไม้วิ่งไล่กันอย่างเพลิดเพลิน
บางพวกร้องทักทานกันอย่างสนิทสนมและชื่นสุข
ดิรัจฉานเป็นสัตว์โลกที่มีความรู้น้อยและความสามารถน้อย
มันมีความรู้ความสามารถแต่เพียงหากินและหลบหลีกภัยเฉพาะหน้า
แต่ดูเหมือนมันจะมีความสุขยิ่งกว่ามนุษย์ซึ่งถือตนว่าฉลาด
และมีความสามารถเหนือสัตว์โลกทั้งมวล
เป็นความจริงที่ว่าความสุขนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจ
มนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในเพศไหนและภาวะอย่างใด
ถ้าสามารถพอใจในภาวะนั้นได้ เขาก็มีความสุข
คนยากจนหาเช้ากินค่ำ อาจจะมีความสุขกว่ามหาเศรษฐี
หรือมหาราชผู้เร่าร้อนอยู่เสมอ เพราะความปรารถนาและทะยายอยากอันไม่รู้จักสิ้นสุด
มนุษย์เราจะมีสติปัญญาฉลาดปานใดก็ตาม
ถ้าไร้เสียแล้วซึ่งปัญญาในการหาความสุขให้แก่ต้นโดยทางที่ชอบ
เขาผู้นั้นควรจะทะนงตนว่า ฉลาดกว่าสัตว์ละหรือ ?
มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้ความยากความดิ้นรนออกหน้า
แล้ววิ่งตามเหมือนวิ่งตามเงาของตนเองในเวลาบ่าย
ยิ่งวิ่งตามก็ดูเหมือนเงาจะห่างตัวออกไปทุกที
ทุกคนต้องการและมุ่งมั่นในความสุข
แต่ความสุขก็เหมือนเป็นเงานั่นเอง
ความสุขมิใช่เป็นสิ่งที่เราจะต้องแสวงหาและมุ่งมอง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:31:46 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:55:51 » |
|
หน้าที่โดยตรงที่มนุษย์ควรทำนั้นคือการมองทุกข์ให้เห็น
พร้อมทั้งตรวจสอบพิจารณาสาเหตุแห่งทุกข์นั่น
แล้วทำลายสาเหตุแห่งทุกข์เสีย
โดยนัยนี้ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง
เหมือนผู้ปรารถนาความสุขความเจริญแก่ประเทศชาติ
ถ้าปราบเสี้ยนหนามและเรื่องร้ายในประเทศมิได้
ก็อย่าหวังเลยว่าประชาชาติจะเจริญและผาสุก
หรือเหมือนผู้ปรารถนาสุขแก่ร่างกาย
ถ้ายังกำจัดโรคในร่างกายมิได้ ความสุขกายจะมีได้อย่างไร
แต่ถ้าร่างกายปราศจากโรคมีอนามัยดี ความสุขกายก็มีมาเอง
ด้วยประการฉะนี้ปรัญชาเถรวาทจึงให้หลักเราไว้ว่า
"มองทุกข์ให้เห็นจึงเป็นสุข
อธิบายว่า เมื่อเห็นทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์และค้นหา{สมุฏฐาน}ของทุกข์
แล้วทำลายสาเหตุแห่งทุกข์นั้นเสีย
เหมือนหมอทำลายเชื้ออันเป็นสาเหตุแห่งโรค
ยิ่งทุกข์ลดน้อยลงเท่าใด ความสุขก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ความทุกข์ที่ลดลงนั่นเองคือความสุข
เหมือนทรรศะทางวิทยาศาสตร์ที่ถือว่าความเย็นนั้นไม่มี มีแต่ความร้อน
ความเย็นคือความร้อนที่ลดลง
เมื่อความร้อนลดลงถึงที่สุดก็กลายเป็นความเย็นที่สุด
ทำนองเดียวกัน เมื่อความทุกข์ลดลงถึงที่สุดก็กลายเป็นความสุขที่สุด
ขึ้นแห่งความสุขนั้นมีขึ้นตามขั้นแห่งความทุกข์ที่ลดลง
คำสอนทางศาสนาเมื่อว่าโดยนัยหนึ่งจึงเป็นเรื่องของ
ศิลปะแห่งการลดทุกข์ นั่นเอง
พระอานนท์ได้รับคำบอกเล่าจากสุนันทาภิกษุณีแล้ว
ให้รู้สึกเป็นห่วงกังวลถึงโกกิลาภิกษุณียิ่งนัก
ท่านคิดว่าหรือจะเป็นเพราะนางหกล้มเมื่อบายนี้กระมัง
จึงเป็นเหตุให้นางป่วยลง อนิจจา ! โกกิลาเธอรักเรา
เราหรือจะไม่รู้ แต่เธอมาหลงรักคนที่ไม่มีหัวใจจะรักเสียแล้ว
เหมือนเด็กน้อยผู้ไม่ประสาต่อความตาย นั่งร่ำร้องเร่งเร้า
ขอคำตอบจากมารดาผู้นอนตายสนิทแล้ว
ช่างน่าสงสารสังเวชเสียนี่กระไร
ผู้หญิงมีความอ่อนแอทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
พระศาสดาจึงกีดกันหนักหนาในเบื้องแรกที่จะให้สตรีบวชในศาสนา
ทั้งนี้เป็นเพราะพระมหากรุณาของพระองค์ที่ไม่ต้องการให้สตรีลำบาก
มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่สตรีทนได้ดีกว่าบุรุษ นั้นคือการทนต่อความเจ็บปวด
พระอานนท์มีพระรูปหนึ่งเป็นปัจฉาสมณะไปสู่สำนักภิกษุณีเพื่อเยื่อมไข้
แต่เมื่อเห็นอาการไข้ของโกกิลาภิกษุณีแล้ว
ความสงสารและกังวลของท่านก็ค่อย ๆ คลายตัวลง
ความฉลาดอย่างเลิศล้ำของพระพุทธอนุชาแทงทะลุความรู้สึกและ
เคลัญญาการของนาง ท่านรู้สึกว่าท่านถูกหลอก
ท่านไม่เชื่อเลยว่านางจะเป็นไข้จริง
แต่เอาเถิดพระอานนท์ปรารถกับตัวท่านเอง
โอกาสนี้ก็เป็นโอกาสดีเหมือนกันที่จะแสดงบางอย่างให้นางทราบ
เพื่อนางจะได้ละความพยายาม เลิกรัก เลิกหมกมุ่นในโลกียวิสัย
หันมาทำความเพียรเพื่อละสิ่งที่ควรละ
และเจริญในสิ่งที่ควรทำให้เจริญให้เหมาะสมกับเพศภิกษุณีแห่ง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:33:13 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:58:26 » |
|
คงจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่นางไปตลอดกาลนาน
คงจะเป็นปฏิการอันประเสริฐสำหรับความรักของนางผู้ภักดีต่อเราตลอดมา
โกกิลาผู้ประหารกิเลส
แลแล้วพระอานนท์ก็กล่าวว่า
"น้องหญิง ชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น่าละอาย
ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสน และจบลงด้วยเรื่องเศร้า
อนึ่ง..............ชีวิตนี้เริ่มต้นและจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ
เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้
และเมื่อจะหลับตาลาโลกเราก็ต้องร้องไห้อีก
หรือย่างน้องก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลั่งน้ำตา
เด็กร้องไห้ พร้อมด้วยกำมือแน่น
เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ
แต่เมื่อหลับตาลาโลกนั้น ทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึก
และเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปเลย
น้องหญิง อาตมาขอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังสักเล็กน้อย
อาตมาเกิดแล้วในศากยวงศ์อันมีศักดิ์
ซึ่งเป็นที่เลืองลือว่าบริสุทธิ์ยิ่งในเรื่องตระกูล
อาตมาเป็นอนุชาแห่งพระบรมศาสดา
และออกบวชติดตามพระองค์เมื่ออายุได้ 36 ปี
ราชกุมารผู้มีอายุถึง 36 ปีที่ยังมีดวงใจผ่องแผ้ว
ไม่เคยผ่านเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาเลยนั้นเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก
หรืออาจจะหาไม่ได้เลยก็ได้
น้องหญิงอย่านึกว่าอาตมาจะเป็นคนวิเศษเลิศลอยกว่าราชกุมารทั้งหลาย
อาตมาเคยผ่านความรักมาและประจักษ์ว่าความรักเป็นความร้าย
ความรักเป็นสิ่งทารุณเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน
อาตมากลัวต่อความรักนั้น
ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก
แต่ความรักไม่เคยให้ความหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ
ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้วจะเป็นพิษแก่จิตใจ
ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น
ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง
เธออย่าพอใจในเรื่องความรักเลย
เมื่อหัวใจถูกลูบไล้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า
แต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่
น้องหญิง อย่าหวังอะไรให้มากนัก
จงมองดูชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง
อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า
ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่นซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่ง
และแตกกระจายเป็นฟองฝอย
จงยืนมองดูชีวิต
เหมือนคนผู้ยื่นอยู่บนฝั่งมองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทรฉะนั้น
โกกิลาเอย เมื่อความรักเกิดขึ้น
ความละอายและความเกรงกลัวในสิ่งที่ควรกลัวก็พลันสิ้นไป
เหมือนก้อนเมฆมหึหาเคลื่อนตัวเข้าบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง
ธรรมดาสตรีนั้นควรจะยอมตายเพราะความละอาย
แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความละอายมักจะตายไปก่อนเสมอ
เมื่อความใคร่เกิดขึ้นความละอายก็หลบหน้า
เพราะเหตุนี้พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า
ความใคร่ทำให้คนมืดบอด
อนึ่งโลกมนุษย์ของเรานี้เต็มไปด้วยชีวิตอันประหลาดพิสดารต่างชนิดและต่างรส
ชีวิตของแต่ละคนได้ผ่านมาและผ่านไป
ด้วยความระกำลำบากทุกข์ทรมาน
ถ้าชีวิตมีความสุขก็เป็นความหวาดเสียวที่จะต้องจากชีวิตอันรื่นรมย์นั้นไป
โกกิลาเอย มนุษย์ทั้งหลายผู้ยังมีอวิชชาเป็นผ้าบังปัญญาจักษุนั้น
เป็นเสมือนทารกน้อยผู้หลงเข้าไปในป่าใหญ่อันรกทึบ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:34:06 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 11:01:31 » |
|
ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายอันน่าหวาดเสียวและว้าเหว่เงียบเหงา
มนุษย์ส่วนใหญ่แม้จะร่าเริงแจ่มใสอยู่ในหมู่ญาติและเพื่อนฝูง
แต่ใครเล่าจะทราบว่าในส่วนลึกแห่งใจเขาจะว้าเหว่
และเงียบเหงาสักปานใด
แทบทุกคนว้าเหว่ไม่แน่ใจว่าจะยึดเอาอะไรเป็นหลักของชีวิตที่แน่นอน
เธอปรารถนาจะเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ ?
น้องหญิง บัดนี้เธอมีธรรมเป็นเกาะที่พึ่งแล้ว
จงยึดธรรมเป็นที่พึ่งต่อไปเถิด อย่าหวังอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย
โดยเฉพาะความรักความเสน่หาไม่เคยเป็นที่พึ่งจริงจังให้แก่ใครได้
มันเป็นเสมือนตอที่{ผุ}จะล้มลงทันทีเมื่อถูกคลื่นซัดสาด
ธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์
ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเพศใดภาวะใด
การกระทำที่นึกขึ้นภายหลังแล้วต้องเสียใจนั้น
พระศาสดาทรงสอนให้เว้นเสีย เพราะฉะนั้นแม้จะประสบปัญหาหัวใจ
หรือได้รับความทุกข์ยากลำบากสักปานใด ก็ต้องไม่ทิ้งธรรม
มนุษย์ที่ยังมีอาสวะอยู่ในใจนั้น
ย่อมจะมีวันพลั้งเผลอประพฤติผิดธรรมไปบ้าง
เพราะยังมีสติไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อได้สติในภายหลังแล้ว
ก็ควรจะตั้งใจประพฤติธรรมสั่งสมความดีกันใหม่
ยิ่งพวกเรานักบวชด้วยแล้วจำเป็นต้องมีอุมดคติ
การตายด้วยอุดมคตินั้นมีค่ากว่าการเป็นอยู่โดยไร้อุดมคติ"
"น้องหญิง ธรรมดาว่าไม้จันทน์นั้น แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น
หัสดินก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลา
อ้อยแม้เข้าสู่หีบยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน
บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม
พระศาสดาทรงย้ำว่าพึงสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาธรรม
{โกกิลา}เอย เธอได้สละเพศฆราวาสมาแล้ว
ซึ่งเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ยากที่ใคร ๆ จะสละได้
ขอให้เธอเสียสละต่อไปเถิด และสละให้ลึกกว่านั้น
คือไม่สละแต่เพียงเพศอย่างเดียว
แต่จงสละความรู้สึกอันจะเป็นข้าศึกต่อเพศเสียด้วย
เธอเคยฟังสุภาษิตอันกินใจยิ่งมาแล้วมิใช่หรือ
ในคนร้อยคนหาคนกล้าได้หนึ่งคน
ในคนพันคนหาคนเป็นบัณฑิตได้หนึ่งคน
ในคนแสนคนหาคนพูดจริงได้เพียงหนึ่งคน
ส่วนคนที่เสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่
คือไม่ทราบจะคำนวณเอาจากคนจำนวนเท่าใดจึงจะเฟ้นได้หนึ่งคน
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นนักเสียสละตัวอย่างของโลก
เคยมีกษัตริย์องค์ใดบ้างทำได้เหมือนพระพุทธองค์
ยอมเสียสละความสุขความเพลินใจทุกอย่างที่ชาวโลกปองหมาย
มาอยู่กลางดินกินกลางทราย
ก็เพื่อทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่มนุษยชาติ
การเสียสละของพวกเรา
เมื่อนำไปเทียบกับการเสียสละของพระบรมศาสดาแล้ว
ของเราช่างเล็กน้อยเสียนี่กระไร
"น้องหญิง พระศาสดาตรัสว่าบุคคลอาจอาศัยตัณหาละตัณหาได้
อาจอาศัยมานะละมานะได้ อาจอาศัยอาหารละอาหารได้
แต่เมถุนธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ชักสะพานเสีย
คืออย่าทอดสะพานเข้าไปเพราะอาศัยละไม่ได้
ข้อว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้น
คือละความพอใจในรสของอาหาร
จริงอยู่.................สัตว์โลกทั้งมวลดำรงชีพอยู่ได้เพราะอาหาร
ข้อนี้พระศาสดาก็ตรัสไว้
แต่มนุษย์และสัตว์เป็นอันมากติดข้องอยู่ในรสแห่งอาหาร
จนต้องกระเสือกกระสนกระวนกระวาย
และต้องทำชั่วเพราะรสแห่งอาหารนั้น
ที่ว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้น คือ
อาศัยอาหารละความพอใจในรสแห่งอาหารนั้น
บริโภคเพียงเพื่อยังชีพให้ชีวิตนี้เป็นไปได้เท่านั้น
เหมือนคนเดินทางข้ามทะเลยทรายเสบียงอาหารหมด
และบังเอิญลูกน้อยตายลงเพราะหิวโหย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:35:16 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 11:05:01 » |
|
เขาจำใจต้องกินเนื้อบุตรเพียงเพื่อให้ข้ามทะเลทรายได้เท่านั้น
หาติดในรสแห่งเนื้อบุตรไม่
ข้อว่าอาศัยตัณหาละตัณหานั้นคือ
เมื่อทรายว่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์
ก็มีความทะยานอยากที่จะเป็นบ้าง
เมื่อพยายามจนได้เป็นแล้ว ความทะยานอยากอันนั้นก็หายไป
อย่างนี้เรียกว่าอาศัยตัณหาละตัณหา
ข้อว่าอาศัยมานะละมานะนั้นก็คือ เมื่อได้ยินได้ฟังภิกษุหรือภิกษุณี
หรืออุบาสกอุบาสิกาชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบันเป็นต้น
ก็มีมานะขึ้นว่า เขาสามารถทำได้ ทำไมเราซึ่งเป็นมนุษย์
และมีอวัยวะทุกส่วนเหมือนเขาจะทำไม่ได้บ้าง
จึงพยายามทำความเพียร เผากิเลสจนได้บรรลุโสดาปัตติผลบ้าง
อรหัตตผลบ้าง อย่างนี้เรียกว่าอาศัยมานะละมานะ
เพราะเมื่อบรรลุแล้วมานะนั้นย่อมไม่มีอีก
ดูก่อนน้องหญิง ส่วนเมถุนธรรมนั้น
ใคร ๆ จะอาศัยละมิได้เลย
นอกจากจะพิจารณาเห็นโทษของมันแล้วเลิกละเสีย
ห้ามใจมิให้เลื่อนใหลไปยินดีในกามสุขเช่นนั้น
น้องหญิง พระศาสดาตรัสว่ากามคุณนั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน
มีสุขน้อยแต่ทุกข์มาก มีโทษมากมีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์เป็นผล
พระอานนท์พูดจบ คอยจับกิริยาของโกกิลาภิกษุณีว่า
จะมีความรู้สึกอย่างไร ธรรมกถาของท่านได้ผล
ภิกษุณีค่อย ๆ ลุกจากเตียงสลัดผ้าห่มออก
คลานมาหมอบลงแทบเท้าของพระอานนท์
สะอึกสะอื้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
นางพูดอะไรไม่ออก นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง
อันความเสียใจและละอายนั้น
ถ้ามันแยกกันเกิดคนละครั้งก็ดูเหมือนจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก
แต่เมื่อใดทั้งความเสียใจ และความละอายใจเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
และในกรณีเดียวกันด้วยแล้ว
ย่อมเป็นความทรมานสำหรับสตรีอย่างยิ่งยวด
นางเสียใจเหลือเกินที่ความรักของนางมิได้รับสนองเลยแม้แต่น้อย
คำพูดของพระอานนท์ล้วนแต่เป็นคำเสียดแทงใจสำหรับนางผู้ยังหวังความรักจากท่านอยู่
ยิ่งกว่านั้นเมื่อนางทราบว่าพระอานนท์มิได้เชื่อในอาการลวงของนางเลย
นางจึงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง ละอายสุดที่จะประมาณได้
นางจึงไม่สามารถพูดคำใดได้เลย นอกจากถอนสะอื้นอยู่ไปมา
ครู่หนึ่งพระอานนท์จึงพูดว่า น้องหญิง
หยุดร้องไห้เสียเถิด การร้องไห้ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
ไม่ช่วยเรื่องหนักใจของเธอให้คลายลงได้"
อนิจจา พระอานนท์ช่างพูดอย่างพระอริยะแท้
ข้าแต่พระคุณเจ้า นางพูดทั้งเสียงสะอื้น
ภิกษุผู้เป็นปัจฉาสมณะของพระอานนท์ต้องเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง
เกรงว่าไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาได้
ข้าพเจ้าจะพยายามกล้ำกลืนฝืนใจปฏิบัติตามโอวาทของท่าน
แม้จะเป็นความทรมานสักปานใด ข้าพเจ้าก็จะอดทน
และขอเทิดทูนบูชาพระพุทธอนุชาไว้ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง
ข้าพเจ้าไม่เจียมตัวเอง จึงต้องทุกข์ทรมานถึงปานนี้
ข้าพเจ้าเป็นเพียงหญิงทาสทูนหม้อน้ำ ข้าพเจ้าเพิ่งสำนึกตนเวลานี้เอง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:36:01 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 11:07:33 » |
|
ความรักความอาลัยทำให้ข้าพเจ้าลืมกำเนิด
ชาติตระกูลและความเหมาะสมใด ๆ ทั้งสิ้น
มาหลงรักพระพุทธอนุชาผู้ทรงศักดิ์
ข้าแต่ท่านผู้สืบอริยวงศ์ กายกรรม วจีกรรมที่ข้าพเจ้าล่วงเกินท่าน
และจะพึงขอโทษนั้นไม่มีส่วนมโนกรรมนั้นมีอยู่
ข้าพเจ้ารักท่าน และรักอย่างสุดหัวใจ
ถ้าการที่ข้าพเจ้ารักท่านนั้นเป็นความผิด
ขอท่านผู้ประเสริฐโปรดให้อภัยในความผิดพลาดอันนั้นด้วย"
นางพูดจบแล้วนั่งก้มหน้า น้ำตาของนางหยดลงบนจีวรผืนบาง
เสมือนหยดน้ำค้างถูกสลัดลงจากใบหญ้า เมื่อลมพัดเป็นครั้งคราว
"น้องหญิง เรื่องชาติเรื่องตระกูลนั้นอย่านำมาปรารมภ์เลย
อาตมามิได้เคยคิดถึงมันเป็นเวลานานแล้ว
ที่อาตมาไม่รักน้องหญิง มิใช่เพราะอาตมามาเกิดในตระกูลอันสูงศักดิ์
ส่วนเธอเป็นทาสีดอก แต่เป็นเพราะอาตมาเห็นโทษแห่งความรักความเสน่หา
ตามที่ศาสดาทรงสอนอยู่เสมอ
เวลานี้อาตมามีหน้าที่ต้องบำรุงพระศาสดาผู้เป็นนาถะของโลก
และพยายามทำหน้าที่กำจัดอาสวะในจิตใจ
มิใช่เพิ่มอาสวะให้มากขึ้น
เมื่ออาสวะยังไม่สิ้นย่อมจะต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารอีก
จะเป็นเวลานานเท่าใดก็สุดจะคำนวณ
พระศาสดาตรัสว่าการเกิดบ่อย ๆ เป็นความทุกข์
เพราะเมื่อมีการเกิด ความแก่ ความเจ็บ
และความทรมานอื่น ๆ ก็ติดตามมาเป็นสาย
นอกจากนี้ผู้วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอาจจะมีบางชาติที่ประมาทพลาดพลั้งไปแล้ว
ต้องตกไปในอบายเป็นการถอยหลังไปอีกมาก
กว่าจะตั้งต้นได้ใหม่ก็เป็นการเสียเวลาของชีวิตไปมิใช่น้อย"
"น้องหญิง เธออย่าน้อยใจในชาติตระกูลอันต่ำต้อยของเธอเลย
บุคคลจะเกิดในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ หรือศูทรก็ตาม
ย่อมตกอยู่ภายใต้กฎธรรมดาเหมือนกันหมด คือ
เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บ และในที่สุดก็ต้องตาย
ความตายย่อมกวาดล้างสรรพสัตว์ไปโดยมิได้ละเว้นใครไว้เลย
และใคร ๆ ไม่อาจต่อสู้ด้วยวิธีใด ๆ ได้
นอกจากนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีเลือดสีแดง
รู้จักกลัวภัยและใคร่ความสุขเสมอกัน
เหมือนไม้นานาชนิดเมื่อนำมาเผาไฟย่อมมีเปลวสีเดียวกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้จะมัวมาแบ่งแยกกันอยู่ทำไมว่า
คนนั้นเป็นวรรณะสูง คนนี้เป็นวรรณะต่ำ
มาช่วยกันกระพือสันติสุขให้แก่โลกที่ร้อนระอุนี้จะมิดีกว่าหรือ
มนุษย์ไม่ว่าจะเกิดในวรรณะใด
เมื่อประพฤติดีก็เป็นคนดีเหมือนกันหมด
เมื่อประพฤติชั่วก็เป็นคนชั่วเหมือนกันหมด
เพราะฉะนั้นขอให้น้องหญิงเลิกน้อยใจในเรื่องชาติตระกูลของตัว
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:38:57 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 11:10:18 » |
|
และตั้งหน้าพยายามทำความดีเถิด
ขอให้น้องหญิงเชื่อว่าการที่อาตมาไม่สามารถสนองความรักของน้องหญิงได้นั้น
มิใช่เป็นเพราะอาตมารังเกียจเรื่องชาติเรื่องตระกูลของเธอเลย
แต่มันเป็นเพราะอาตมารังเกียจตัวความรักนั่นต่างหาก
ภคินีเอย อันธรรมดาว่าความรักนั้นมันเป็นธรรมชาติที่เร่าร้อนอยู่แล้ว
ถ้ายิ่งมันเกิดขึ้นในฐานะที่ผิดที่ไม่เหมาะสมเข้าอีก
มันก็จะยิ่งเพิ่มแรงร้อนมากขึ้น
การที่น้องหญิงจะรักอาตมา
หรืออาตมาจะรักเธออย่างเสน่หาอาลัยนั่นแลเรียกว่า
ความรักอันเกิดขึ้นในฐานะที่ผิดหรือไม่เหมาะสม
ขอให้เธอตัดความรักความอาลัยเสียเถิด
แล้วเธอจะพบความสุขความปลอดโปร่งอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งสูงกว่าประณีตกว่า
พระอานนท์ละภิกขุนูปัสสยะไว้เบื้องหลังด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด
ท่านเดินลัดเลาะมาทางริมสระแล้วนั่งลง ณ ม้ายาวมีพนักตัวหนึ่ง
ภิกษุเป็นปัจฉาสมณะก็นั่งลง ณ ริมสุดข้างหนึ่ง
พระอานนท์ถอนหายใจยาวและหนักหน่วง
เหมือนจะระบายความหนักอกหนักใจออกมาเสียบ้าง
ครู่หนึ่งท่านจึงบอกให้ภิกษุรูปนั้นกลับไปก่อน
ท่านต้องการจะนั่งพักผ่อนอยู่ที่นั่นสักครู่
ถ้าพระศาสดาเรียกหาก็ให้มาตามที่ริมสระนั้น
ท่านนั่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บางครั้งรู้สึกสงสารภิกษุณีโกกิลาอย่างจับใจ
แต่ด้วยอัธยาศัยแห่งมหาบุรุษประดับด้วยบารมีธรรมนั้นต่างหากเล่า
จึงสามารถข่มใจและสลัดความรู้สึกสงสารอันนั้นเสีย
ท่านปรารถกับตนเองว่า อานนท์ เธอเป็นเพียงโสดาบันเท่านั้น
ราคะ โทสะ และโมหะยังมิได้ละเลย
เพราะฉะนั้นอย่าประมาท อย่าเข้าใกล้
หรือยอมพบกับภิกษุณีโกกิลาอีก
ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย
บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมัน
อานนท์ จงเอาสติเป็นขอสำหรับเหนี่ยวรั้งช้าง
คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจ
บุคคลผู้มีอำนาจมากที่สุด
และควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาตนของตนเองไว้ในอำนาจได้
สามารถชนะตนเองได้
พระศาสดาตรัสว่าผู้ชนะตนเองได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม
เธอจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด อย่าเป็นผู้แพ้เลย
พระอานนท์ตรึกตรองและให้โอวาทตนเองอยู่พอสมควรแล้ว
ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ท่านไม่มีอะไรปิดบังสำรับพระผู้มีพระภาค
เพราะฉะนั้น..............ท่านจึงกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้{พระจอมมุนี}ทรงทราบ
รวมทั้งที่ท่านปรารถกับตนเอง และให้โอวาทตนเองนั้นด้วย
พระมหาสมณะทรงทราบเรื่องนี้แล้ว
ทรงประทานสาธุการแก่พระอานนท์ แล้วตรัสให้กำลังใจว่า
อานนท์ เธอเป็นผู้มีบารมีอันได้สั่งสมมาดีแล้ว
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแห่งเธอ เรื่องที่เธอจะตกไปสู่ฐานะที่ต่ำกว่านี้นั้นเป็นไม่มีอีก
แล้วพระศากยมุนีก็ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ
เมื่อพระอานนท์ทูลถามสาเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น จึงตรัสว่า............
อานนท์ เธอคงลืมไปว่าพระโสดาบันนั้นมีการไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
จะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอนไม่วันใดวันหนึ่ง
เธออย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย
พระอานนท์มีอาการแช่มชื่นแจ่มใสขึ้น
เพราะพระดำรัสประโลมใจของพระศาสดานั้น
เย็นวันนั้นเอง พุทธบริษัทแห่งนครโกสัมพีผู้ใคร่ต่อธรรม
ในมือถือดอกไม้ธูปเทียนและสุคันธชาติหลากหลายต่างมุ่งหน้าสู่{โฆสิตาราม}
เพื่อฟังธรรมรสจากพระพุทธองค์
เมื่อพุทธบริษัทพรั่งพร้อมนั่งอย่างมีระเบียบแล้ว
พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสก (สบง - ผ้าสำหรับนุ่ง) ซึ่งย้อมไว้ด้วยดีแล้ว
ทรงคาดพระกายพันธนะ (ประคตเอว - ผ้ารัดเอว) อันเป็นประดุจสายฟ้า
ทรงครองสุคตมหาบังสุกุลจีวร
อันเป็นประดุจผ้ากัมพลสีเหลืองหม่น
เสด็จออกจากพระคันธกุฎีสู่ธรรมสภาด้วยพุทธลีลาอันงามยิ่งหาที่เปรียบมิได้
ประดุจวิลาสแห่งพระยาช้างตัวประเสริฐ
และประดุจอาการเยื้องกรายแห่งไกรสรสีหราชเสด็จขึ้นสู่บวรพุทธอาสน์
ที่ปูลาดไว้ดีแล้วท่ามกลางมณฑลมาล
ซึ่งประดับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา
ทรงเปล่งพระฉัพพรณรังสีประดุจพระอาทิตย์เปล่งแสงอ่อน ๆ บนยอดเขายุคันธร
เมื่อสมเด็จพระจอมมุนีเสด็จมาถึง พุทธบริษัทก็เงียบกริบ
พระพุทธองค์ทรงมองดูพุทธบริษัทด้วยพระหฤทัยอันเปี่ยมไปด้วยเมตตา
ทรงดำริว่า ชุมนุมนี้ช่างงามน่าดูจริง
จะหาคนคะนองมือคะนองเท้า
หรือมีเสียงไอเสียงจามไม่ได้เลย
ชนทั้งหมดนี้มีคารวะต่อเรายิ่งนัก
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:41:14 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 11:15:37 » |
|
ถ้าเราไม่พูดขึ้นก่อน แม้จะนั่งอยู่นานสักเท่าใดก็จะไม่มีใครพูดอะไรเลย
แต่เวลานี้เป็นเวลาแสดงธรรม
พระองค์ทรงดำริเช่นนี้แล้วจึงส่งข่ายแห่งพระญาณของพระองค์
ไปสำรวจพุทธบริษัท ว่าใครหนอจะสามารถบรรลุธรรมเบื้องสูงได้บ้างในวันนี้
ทรงเล็งเห็นอุปนิสัยแห่งภิกษุณีโกกิลาว่ามีญาณแก่กล้าพอจะบรรลุธรรมได้
พระพุทธองค์จึงทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ
ด้วยพระสุรเสียงอันไพเรากังวานดังนี้......................................
ดูก่อนท่านทั้งหลาย ทางสองสายคือกามสุขัลลิกานุโยค
การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุขสายหนึ่ง และอัตตกิลมถานุโยค
การทรมานกายให้ลำบากเปล่าสายหนึ่ง
อันผู้หวังความเจริญในธรรมพึงละเว้นเสีย
ควรเดินทางสายกลาง คือเดินตามอริยมรรคมีองค์ 8 คือ
ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดชอบ การทำชอบ
การประกอบอาชีพในทางสุจริต ความพยายามในทางที่ชอบ
การตั้งสติชอบและการทำสมาธิชอบ
ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความทุกข์เป็นความจริงประการหนึ่ง
ที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องประสบบ้างไม่มากก็น้อย
ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้าง ?
ท่านทั้งหลายความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็เป็นทุกข์
ความแห้งใจ หรือความโศกความร่ำไรรำพันจนน้ำตานองหน้า
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ
ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งของอันเป็นที่รัก
ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจ
ปรารถนาอะไรไม่ได้ดังใจ ทั้งหมดนี้
ล้วนเป็นความทุกข์ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้น
เมื่อกล่าวโดยสรุป การยึดมั่นในขันธ์ 5
ด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเอง เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่
ท่านทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวว่า
ความทุกข์ทั้งมวลย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุ
ก็อะไรเล่าเป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น
เรากล่าวว่าตัณหานั้นเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์
ตัณหาคือความทะยานอยากดิ้นรน ซึ่งมีลักษณะเป็นสาม
คือดิ้นรนอยากได้อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา เรียกกามตัณหาอย่างหนึ่ง
ดิ้นรนอยากเป็นนั่นเป็นนี่ เรียกว่าตัณหาอย่างหนึ่ง
ดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีแล้วเป็นแล้ว เรียกว่า{วิภวตัณหา}อย่างหนึ่ง
นี่แลคือสาเหตุแห่งทุกข์ขั้นมูลฐาน
ท่านทั้งหลาย การสละคืนโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่าง ๆ
ดับตัณหาคลายตัณหาโดยสิ้นเชิงนั่นแลเราเรียกว่านิโรธ คือความดับทุกข์ได้
ทางที่จะดับทุกข์ดับตัณหานั้นเราตถาคตแสดงไว้แล้ว คืออริยมรรคมีองค์ 8
ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด
อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย เราตถาคตเองเป็นที่พึ่งแก่ท่านทั้งหลายไม่ได้
ตถาคตเป็นแค่เพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น
ส่วนความเพียรพยายามเพื่อเผาบาปอกุศล
ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ทางมีอยู่
เราชี้แล้วบอกแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเดินเอง
พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันนั้น
เหมือนเจาะจงเทศนาแก่ภิกษุณีโกกิลาโดยเฉพาะ
นางรู้สึกเหมือนพระองค์ประทับแก้ปัญหาหัวใจของนางให้หลุดร่วง
สมแล้วที่ใคร ๆ พากันชมพระพุทธองค์ว่าเป็นเหมือน{ดวงจันทร์}
ซึ่งทุกคนรู้สึกเหมือนว่าจงใจจะส่องแสงสีนวลไปให้แก่ตนเพียงคนเดียว
โกกิลาภิกษุณีส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนา
ปลดเปลื้องสังโยชน์คือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจทีละชั้น
จนสามารถประหารกิเลสทั้งมวงได้สำเร็จมรรคผลชั้นสูงสุดในพระศาสนา
เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งด้วยประการฉะนี้..........................................THE END
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 12:12:33 โดย 時々Sometime »
|
บันทึกการเข้า
|
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 18:22:20 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
กำลังโหลด...