เมื่อมาถึงยอดดอย คุณจะได้พบกับหมู่บ้านสันติคีรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีนยูนาน ที่มีวิถีการใช้ชีวิตด้วยการทำเกษตรกรรมอย่างไร่ชาและปลูกพืชเมืองหนาว โดยคนที่นี่มักจะแจกรอยยิ้มเป็นการต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือน แต่นอกเหนือจากมิตรไมตรีแล้ว วิวทิวทัศน์สุดวิเศษ อย่างการปลูกชาไล่ระดับตามไหล่เขา ก็ทำเอาหลายคนต้องขอคาราวะให้กับความงามของสีเขียวๆ และท้องฟ้าสีครามสลับขาว
หลังจากดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติที่เหมือนหลุดจากภาพเขียนของจิตรกรเอก ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ของการเดินทาง นั่นก็คือ การดื่มชาท่ามกลางขุนเขา ซึ่งคุณสามารถชมนกชมไม้ได้จนหนำใจ จากนั้นก็เชิญพาตัวและใจไปใจกลางไร่ชา ซึ่งทางเจ้าบ้านเขาก็จะเตรียมโต๊ะไม้ไผ่สำหรับจิบชา ที่มีการตั้งโคมเต็งลั้ง ซึ่งเป็นโคมไฟจีนสีแดงสด ที่ประดับตกแต่งเคียงคู่ด้วยยอดอ่อนของใบชาสีเขียวสด
แหม...เห็นแค่โต๊ะก็ไม่อยากลงจากดอยแล้ว
ความสุขของการเยือนดอยแม่สลองยังไม่หมดลงแค่นั้น เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณได้นั่นลงแล้วลิ้มรสของชาเขียว ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แล้วกวาดสายตาไปให้ทั่ว จากนั่นค่อยๆ สูดอากาศบริสุทธ์ และให้ลมหนาวพัดผ่านกาย ช่างเป็นประสบการณ์ที่ยากจะควานหาได้ในเมืองหลวง อย่างนี่สิจึงจะเรียกได้ว่า เหยียบดอยแม่สลองแล้วจริงๆ
สำหรับโปรแกรมปิดท้ายการขึ้นดอยในครั้งนี้ คงต้องยกให้กับอาหารเลิศรสอย่างหมูน้ำค้าง ที่มีกรรมวิธีในการสรรสร้างอย่างละเมียดละมัย เพราะต้องเฝ้ารอฤดูหนาวเพื่อพาเนื้อหมูไปตากน้ำค้าง ซึ่งอาจฟังดูยุ่งยาก แต่ก็คุ้มค่ากับการได้รับประทานเพื่อเติมพลังก่อนกลับคืนสู่ความวุ่นวายของเมืองหลวงได้ดีเสียจริงๆ
ส่วนเรื่องของเส้นทางการไปสัมผัสความสุขอย่างเต็มรูปแบบของดอยแม่สลอง เราขอแนะนำให้มุ่งหน้าจาก อ.เมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 10 มายัง อ.แม่จัน 29 กม. จากนั้น เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวง หมายเลข 1089 (แม่จัน-ท่าตอน) บริเวณหลัก กม. 856 ก่อนถึงทางเข้าตัว อ.แม่จันเล็กน้อย ผ่านน้ำพุร้อนป่าตึง (กม.78) ลานทองวิลเลจ (ระหว่าง กม. 73-74) และบ้านห้วยหินฝน เมื่อถึงด่านตรวจยาเสพติด สามแยกกิ่วสะไต หลัก กม. 55 ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางขึ้นดอยอันแสนคดเคี้ยวอีก 15 กม. คุณก็จะพบกับสวรรค์บนดิน