.ภาพหาดูยาก สมัย โรคห่าระบาด
ภาพจาก : เว็บไซต์เด็กดีดอทคอม มะโรงห่าลง โรคอหิวาต์ หรือโรคห่าเป็นโรคดึกดำบรรพ์เคยเกิดในครั้งพุทธกาล ที่แคว้นเวสาลี พระพุทธเจ้าโปรดให้พระสงฆ์ ๕๐๐ รูป สวดพระปริตรทำน้ำมนต์ ช่วยระงับการแพร่ระบาดไว้ได้
โรคอหิวาต์ ในภาษามคธ เรียกว่า อหิวาตกโรค แปลยกศัพท์ว่า โรคร้ายอันเกิดขึ้นแล้วแต่ลม มีความเร็วดุจดังพิษแห่งงู แต่ความรู้ในสมัยต่อมา โรคอหิวาต์มาในน้ำ ต้นเหตุจริง ๆ เกิดจากคน คนแรกเป็นโรคอหิวาต์ ลักษณะอาการคล้ายโรค “ป่วง” คือ ถ่ายไม่หยุด แล้วก็มักถ่ายลงน้ำ เชื้ออหิวาต์ก็แพร่ออกไป
สมัยรัตนโกสินทร์ อหิวาต์ระบาดครั้งใหญ่ ๒ ครั้ง ครั้งที่จำกันได้คือ ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ชาวบ้านเรียกกันว่า ปีระกาห่าใหญ่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงบันทึกเป็นร้อยกรองถึงเหตุปีระกาห่าใหญ่ไว้ว่า โรคอหิวาต์ระบาดมาจากจังหวัดปริมณฑลเข้าเมืองหลวง คนตายราวสี่พัน ช่วงเวลาปีระกาห่าใหญ่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต วัดระฆัง ท่านถึงชีพิตักษัยได้ ๑ ปี สมเด็จฯ ท่านไปเข้าฝันคนบางช้าง ให้เอาพระสมเด็จฯ ของท่านแช่น้ำมนต์ดื่มแล้วก็หาย แต่หลวงพ่อบ้านแหลม แม่กลอง ไปเข้าฝันสมภาร ให้ไปดูคาถาที่จารึกไว้บนข้อพระหัตถ์ของท่าน สมภารท่านไปเจอคาถาสี่ตัว จดเอามาบอกชาวบ้านให้เอาไปท่องป้องกันตัว ให้พ้นจากโรคห่า สองเรื่องนี้ แม้จะไม่ตรงกัน แต่ก็บอกความจริงว่า ในเวลาที่คับขัน มนุษย์มักหันพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งทางใจเพราะไม่มีสิ่งอื่นใด จะมาช่วยได้ในยามนั้นเลย
โรคอหิวาต์ ครั้งที่ระบาดหนักกว่า เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๓ สมัยรัชกาลที่ ๒ ชาวบ้านเรียกว่า ปีมะโรงห่าลง มีคนตายกว่าสองหมื่น ตายกันชนิดที่เรียกว่า ศพเต็มคลองกองเต็มวัด ว่ากันอีกว่า ระบาดมาจากจังหวัดแถวชายทะเล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม หยูกยาไทยสมัยนั้นเอาไว้ไม่อยู่ ผู้คนอพยพหนีโรคห่ากันโกลาหล
เมื่อยาเอาชนะโรคห่าไม่ได้ รัชกาลที่ ๒ ท่านก็สู้ด้วยการหาที่พึ่งทางใจ จัดพิธีทางพุทธศาสนา เรียกว่าพิธีอาพาธพินาศ ขึ้นเมื่อวันจันทร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง โรคอหิวาต์ก็บรรเทาเบาลง ความศักดิ์สิทธิ์ของพิธี มีผลถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ โปรดให้แปลพระปริตรเป็นภาษาไทย เจ้านายและข้าราชการฝ่ายใน ฝึกสวดกันเป็นการใหญ่ ทุกวันทุกคืน
บทสวดพระปริตร เป็นกระแสใหญ่ของคนไทยในสมัยนั้นข้อมูล ย่อความจาก : คอลัมน์ ชักธงรบ
“มะโรงห่าลง” โดยกิเลน ประลองเชิง หน้า ๓ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
คดีอำแดงเหมือน
ปัญหาของผู้หญิง ในกฎหมายสยาม
คดีของอำแดงเหมือน หมายถึง อำแดงเหมือน คนเดียวกับที่เป็นที่รู้จักว่ามีคนรักชื่อนายริด ทั้งอำแดงเหมือนกับนายริดเป็นเรื่องของบุคคลธรรมดา แต่เรื่องราวของเขามีการกล่าวถึงอย่างค่อนข้างแพร่หลาย คนจำนวนไม่น้อยรู้จักอำแดงเหมือนกับนายริดผ่านภาพยนตร์ และละครทีวี
เรื่องของอำแดงเหมือน มีการกล่าวถึงเหมือนขวัญกับเรียม แม่นากกับพ่อมาก แต่ไม่ใช่ในตำนานแห่งความรัก แต่เป็นเรื่องของคนสู้ชีวิต เพราะร้อยกว่าปีที่แล้วเธอเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง ด้วยการหนีตะรางไปทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวย้อนรอยเหตุการณ์ที่น่าสนใจในอดีต
บ้านชาวสยามสมัยรัชกาลที่ ๔ ถ่ายโดยจอห์น ทอมสัน
นักกฎหมาย กำธร เลี้ยงสัจธรรม เขียนวิเคราะห์อีกหลายประเด็นไว้อย่างน่าติดตาม ในนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับเดือนธันวาคมนี้ กับบทความชื่อ "ฎีกาของอำแดงเหมือนในรัชกาลที่ ๔ กับการพลิกคดีอำแดงป้อมในรัชกาลที่ ๑
เริ่มจากเรื่องของอำแดงเหมือน หรือนางสาวเหมือน บ้านเธออยู่เมืองนนทบุรี เป็นคนในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีคนรักที่มีอะไรกันชื่อนายริด แต่พ่อแม่เธอไม่รู้ เมื่อนายภูมาสู่ขอก็ยกให้ เธอไม่ยินยอมก็ทุบตี แล้วให้นายภูมาฉุดถึง ๒ ครั้ง เธอก็หนีกลับมา เมื่อนายริดเอาดอกไม้ธูปเทียนมาขมา พ่อแม่กลับโกรธถึงขั้นไล่ยิง เธอจึงหนีไปอยู่กับนายริด นายภูฟ้องนายริด ว่าลักพาภรรยาตนเอง ระหว่างดำเนินคดี เธอถูกคุมขังและกลั่นแกล้งทารุณเพื่อให้ยอมเป็นภรรยานายภู เธอหลบหนีออกมาและได้ทูลเกล้าฯถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชวินิจฉัยคดีอำแดงเหมือน สรุปไว้ดังนี้
๑. ถ้าความจริงเป็นไปตามฎีกา ให้ตัดสินให้อำแดงเหมือนเป็นภรรยานายริดตามความสมัครใจ เพราะอายุมากถึง ๒๐ ปีเศษแล้ว ควรจะหาสามีตามใจชอบได้ แต่ให้นายริด
เสียเงินค่าละเมิดให้แก่พ่อแม่อำแดงเหมือน และให้แก่นายภู
๒. แต่ถ้าความเป็นจริงต่างไปจากเรื่องที่กล่าวในฎีกานี้ ก็ให้ตัดสินตามหลักเกณฑ์ที่พระราชทานไว้ ๒ ประการดังนี้
ประการแรก เป็นเพราะพ่อแม่ของอำแดงเหมือนยอมยกลูกสาวให้แก่นายภูโดยมีค่าตอบแทน จึงต้องยอมให้นายภูมาฉุดลูกสาว ถ้าเป็นเช่นนี้ให้ตัดสินว่า พ่อแม่ไม่ได้เป็นเจ้าของลูก เหมือนกับคนเป็นเจ้าของช้างม้าวัวควาย จึงตั้งราคาขายตามใจ หรือเหมือนกับนายเงินเป็นเจ้าของทาสที่มีค่าตัว เกิดยากจนจะขายทาสนั้นตามค่าตัวเดิมได้ เมื่อพ่อแม่เกิดยากจนจะขายลูกได้เมื่อลูกยินยอม ถ้าไม่ยอมก็ขายไม่ได้ หรือยอมให้ขายตามที่ลูกยอมรับหนี้ค่าตัวเท่านั้น กฎหมายเก่าว่าไว้อย่างไรผิดไปจากนี้มิให้นำมาใช้ ย้อนรอยเหตุการณ์ที่น่าสนใจในอดีต
สาวชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ ๔
ถ่ายโดยจอห์น ทอมสัน (John Thomson)
ช่างภาพชาวอังกฤษที่เข้ามาสยามเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๘ - ๒๔๐๙
ดังนั้น ถ้าพ่อแม่ของอำแดงเหมือนเอาเธอไปขายให้แก่นายภูเป็นเงินเท่าไร ก็ให้พ่อแม่เธอใช้เงินนั้นให้แก่นายภูเอง เพราะเห็นชัดว่าอำแดงเหมือนไม่ยอมให้พ่อแม่เอาชื่อตนไปขาย อำแดงเหมือนหนีพ่อแม่ตามนายริดไปนั้น ถ้าเอาเงินทองสิ่งของของพ่อแม่ติดตัวไปด้วยโดยพ่อแม่ไม่ยอมก็ให้รีบเอามาคืน เว้นแต่ผ้านุ่งห่มและเงินหรือสิ่งของเล็กน้อย เพื่อจะได้เป็นเสบียงเลี้ยงตัวอยู่ในระยะแรก
ประการที่สอง ยกเลิกกฎหมายเก่าที่ว่า "หญิงหย่าชาย หย่าได้" กันมาก่อนหน้านี้ ให้กลับไปใช้ตามกฎหมายเก่านั้นตามเดิม
บทความของกำธรยังกล่าวต่อไปจนถึงคดีอำแดงป้อมในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ว่าการวินิจฉัยคดีอำแดงเหมือนดังกล่าว ส่วนหนึ่งเท่ากับเป็นการพลิกคดีอำแดงป้อมไปด้วย
เมื่ออำแดงป้อมภรรยานายบุญศรีมาฟ้องหย่าสามี นายบุญศรีไม่ยอมหย่าและให้การว่าเธอนอกใจมีชู้ แต่เจ้าหน้าที่กลับเข้าข้างเธอให้หย่าได้ นายบุญศรีทูลเกล้าฯ ถวายฎีการ้องเรียนเจ้าพนักงาน ทำให้ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รับสั่งให้ตรวจสอบกฎหมายในศาลหลวงแล้วมีพระราชโองการให้อำแดงป้อมหย่าได้ตามที่กฎหมายเก่าระบุว่า "ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเปนหญิงหย่าชาย หย่าได้" แต่ก็ให้ยกเลิกกฎหมายนี้เสีย
กำธรยังกล่าวถึงกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์บุคคลสำคัญในแวดวงกฎหมายสยาม ทรงตีความเรื่องนี้ไว้ใน "เล็กเชอร์ว่าด้วยผัวเมีย" ที่มา :
สุขใจข่าวสด www.sookjai.com อัพเดตข่าวทันใจ ตลอด 24 ชั่วโมง (
matichon online : วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 12:12:58 น.)
ภาพจาก : thaigoodview.comบั้งไฟ มีชาดกที่แพร่หลายเก่าแก่อยู่ชาดกหนึ่ง เรื่อง คัทธนกุมาร เป็นชาดกของคนไทยภาคอีสาน กล่าวถึง พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติมาเกิด มีอยู่ด้วยกันหลายผูก ความตอนหนึ่งในชาดกมีเล่าถึงประวัติของบั้งไฟอยู่ด้วย ความว่า
ในกาลครั้งนั้น ท้าวคัทธนโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่ปราสาทใหม่ พระฤาษีทั้งหลายซึ่งเลื่อมใสในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ก็ชวนกันทำพิธีสมโภชเป็นการใหญ่ เพราะฤาษีเหล่านั้นเป็นฤาษีที่มีฤทธิ์ ได้บอกกล่าวไปยังพระยาครุฑ พระยานาค พญายักษ์ เจ้าผี ทั้งหลายทั้งปวงให้มาช่วยกันจัดงานมหรสพสมโภช ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ป่าวร้องบริวารของตนให้มาช่วยงานกันมืดฟ้ามัวดิน มีการขับฟ้อนเพลงปรบ เป่าปี่ สีซอ ประโคมดุริยดนตรีกันอึงมี่ เป็นที่สนุกสนานกันถึง ๗ วัน ๗ คืน
งานนั้น พวกท่านที่มาในงาน ก็คิดกันตั้งบั้งไฟ เป็นความว่า
“เขาพร้อมกันแต่งบั้งไฟโฮทั้งหลายด้วยฮ้อยด้วยพัน ด้วยหมื่น ด้วยแสน มากนัก เขาก็กระทำด้วยหมื่อ (ดินปืน) ตอกใส่ในบั้ง (กระบอก) ให้แน่น แก่นด้วยอันตอกตีให้เต็มดีด้วยหมื่อแล้ว แลสักฮู (เจาะรู) ให้ซอด (ทะลุ) ทุกบั้ง ทั้งน้อยบั้งใหญ่หมด แลหมื่น แลแสน (แต่ละกระบอกจุน้ำหนักดินปืนประมาณ ๑ หมื่น ถึงแสน) หมื่อก็มี เขาก็เอายัง เซิกมาเคียร (เชือกมาพัน) แลเอายัง ข้าวสุกข้าวแห้ง (ข้าวตาก) ใบไม้อันเป็นคำกินนั้น มายัดให้เป็นมอน (เครื่องอุด) ด้นอันดีทุกแห่งแล้ว ผีและไปสวรทั้งหลาย ก็พร้อมกันคาดเคียรใส่ด้วยโหวดแลหางแล้ว ก็ประดับประดาไปด้วยลวดแพ ข่ายแก้ว ข่ายคำ ลำนำไปด้วยแก้ว ๗ ประการ (ตระการ) งานไปด้วยกระดาษเงิน กระดาษดำ เป็นประดุจดังจักบินไปด้วยทางอากาศได้นั้นแท้ดีหลี แล..”ย้อนรอยเหตุการณ์ที่น่าสนใจในอดีต
ภาพจาก : thaigoodview.comตีคลีกีฬาโบราณที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรื่อง สังข์ทอง เราจะพบว่า มีกีฬา “ตีคลี” ปรากฏในพระราชนิพนธ์นั้น
การตีคลี ตีกันอย่างไร ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง สังข์ทอง ว่า ต้องขี่ม้า แล้วถือคันคลี ความว่า
• พระสังข์
จึงบังคมลาปิตุรงค์
มาทรงอาชาเฉิดฉาย
กรกุมคันคลีกรีดกราย
ชักม้าเรียงร่ายรำมา
• การตีคลีตั้งต้นโดย พระอินทร์
ชักบังเหียนหันหกเผ่นโจน
พลางโยนลูกตีคลีไป
• ฝ่ายรับ โดย พระสังข์
พระสังข์คอยขยับรับไว้ได้
เดาะคลีตีตอบไปทันใด
สหัสนัยน์กลอกกลับรับรอง
ต่างแกว่งคันคลีเป็นทีท่า
ขับม้ามีฝีเท้าเคล่าคล่อง
เวียนวนวกวิ่งชิงคลอง
เปลี่ยนทำนองเข้าออกหยอกล้อ
หม่อมหลวง บุญเหลือ เทพยสุวรรณ เล่าถึงเจ้าพระยาเทเวศร์ ผู้บิดาว่า
“ท่านยังเคยเล่าให้ลูก ๆ ของท่านฟังว่า ท่านเป็นคนสุดท้ายในเมืองไทยที่ขี่ม้าตีคลีได้ เพราะลูกศิษย์ที่ท่านได้สอนไว้ ตายก่อนท่านไปเสียหมด ลูกชายก็สอนให้ไม่ทัน เพราะกีฬาขี่ม้าตีคลีนั้น พ้นจากความนิยมไป ประกอบกับตัวท่านและลูกชายที่เติบโตขึ้นพอจะสอนให้ ก็ติดราชการอย่างอื่น ไม่มีเวลาที่จะฝึกสอนให้ได้เพราะฝึกสอนยาก กีฬาขี่ม้าตีคลีของไทยนี้ ไม่เหมือนกับกีฬาที่เรียกว่า โปโล ของฝรั่ง ไม้ตีคลีมีลักษณะเปรียบได้กับช้อนที่มีด้ามยาวมาก ส่วนที่เป็นด้ามของช้อนนั้น มีลักษณะเป็นราง วิธีเล่นนั้น เอาไม้คลีช้อนลูกขึ้นจากพื้นดินโยนขึ้น แล้วเอาด้ามตี กติกาในการเล่น ท่านเคยเล่าให้ลูก ๆ ฟัง แต่ผู้ที่ไม่เคยเห็นการเล่น ย่อมไม่สามารถจะเข้าใจได้ หม่อมหลวง วราห์ (พระยาเทเวศร บุตรเจ้าพระยาเทเวศร) ซึ่งได้บังคับบัญชากรมพระอัศวราชต่อจากท่าน ได้เคยเห็นการเล่น และพยายามเล่าให้น้อง ๆ ฟัง แต่น้อง ๆ ก็ไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่กีฬาชนิดนี้ได้สูญหายไปเสียแล้วจากเมืองไทย”"ธูปเทียนแพ" พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า การบูชาบุคคลที่พึงควรบูชานั้น เป็นมงคลอันสูงสุดประการหนึ่งในมงคล ๓๘ ประการ การบูชานั้น มีหลายวิธี แต่จะที่กล่าวถึงนี้คือ การบูชาด้วยของหอม คือ ดอกไม้ ธูป เทียน
เจ้าคุณ พระยาอนุมานราชธน ท่านได้อธิบายไว้ว่า เดิมที คงบูชาด้วยดอกไม้ก่อน ต่อมาก็ถึงธูป คือเผาไม้หอมให้กลิ่นกระจาย แล้วจึงมาถึงเทียน เป็นการบูชาด้วยไฟ เพื่อความสะอาด บริสุทธิ์ มาถึงในปัจจุบัน การบูชาด้วยของหอมจึงพร้อมกันด้วยกันทั้ง ๓ สิ่ง คือ ดอกไม้ ธูป และเทียน
การบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน นั้น มีหลักอยู่ว่า บูชาคนเป็นไม่จุดไฟบูชา แต่ถ้าบูชาคนตายจึงจุดไฟ ท่านผู้ที่แสดงหลักนี้ให้ปรากฏคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต ได้อัญเชิญพระบรมศพจากพระที่นั่งอัมพรสถานไปตามถนนราชดำเนินเข้าสู่พระราชวังหลวง ราษฎรที่เฝ้ารับเสด็จสองข้างทางจุดธูป เทียน บูชากันตลอดทาง
การบูชาคนเป็น เช่น การลาบวช การไหว้หลังจากแต่งงาน ใช้ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องบูชา และไม่จุดไฟ ใช้ผูกเป็นแพทั้งธูป เทียน โดยใช้ธูป ๑๐ ดอก เทียน ๑๐ เล่ม จัดเป็นแพละ ๕ อย่างละ ๒ แพ ดอกไม้ ๑ กระทง การบูชาก็คือ มอบให้ท่าน พร้อมกับกราบด้วยความเคารพอย่างสูง ซึ่งเป็นความเคารพที่สูงที่สุดที่คนไทยจะพึงเคารพกันได้ โดยหลักแล้ว ท่านก็รับเอาไปเป็นของท่าน แต่โดยทางปฏิบัติ ในการลาบวชสำหรับคนทั่ว ๆ ไป ท่านผู้รับจะคืนให้โดยอนุโลม เพื่อให้ใช้บูชาท่านผู้อื่นต่อ ๆ ไป เป็นโดยทางประหยัด
การจัดลำดับที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ ถ้าเป็นของสำนักพระราชวัง วังเจ้านาย บ้านข้าราชการรุ่นเก่าจะจัดลำดับ โดยให้แพเทียนทั้ง ๒ แพ อยู่ข้างล่าง เอาแพธูป ๒ แพ วางข้างบนผูกมัดให้เรียบร้อย แล้ววางกระทงดอกไม้ มีกรวยบนหลังแพธูป การจัดลำดับนี้ ท่านผู้รู้อธิบายว่า เป็นไปโดยลำดับ คือ ดอกไม้ ธูป เทียน แต่ถ้าไปซื้อจากร้านค้าของคนจีนแถวบางลำพูหรือถนนบำรุงเมือง จีนผู้ขายอธิบายว่า ธูปแข็งกว่าเทียน ควรจะอยู่ข้างล่าง และก็จัดไว้ขายให้คนซื้อนำไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย
การบูชาพระเทพบิดร ไม่ว่าจะในวันฉัตรมงคลหรือวันจักรี เจ้านาย ข้าราชการรุ่นเก่า ท่านจุดธูป ๑ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาพร้อมด้วยดอกไม้ ๑ กระทง ทำตามที่ปรากฏในพระราชบัญญัติสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และหมายรับสั่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปัจจุบันเพื่อป้องกันอัคคีภัย จึงบูชาโดยไม่ต้องจุดไฟ
การลาตายก็เช่นกัน ท่านลากันด้วยธูป ๑ ดอก เทียน ๑ เล่ม ดอกไม้ ๑ กระทง ท่านผู้รับลา ท่านก็จุดธูปเทียนนั้น เป็นการบูชา ท่านไม่ใช้ธูปเทียนแพบูชาในกรณีดังกล่าวภาพจาก : newslifeclub.blogspot.com"กลึ้ง และ พรหม" ในกฎมณเฑียรบาลเก่าที่ว่าด้วยพระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด บรรยายถึงกระบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระเจ้าแผ่นดิน และฝ่ายใน คือ สมเด็จพระอัครมเหสี ๑ พระภรรยาเจ้า ๑ แม่อยั่วเมืองซ้าย คือ พระราชเทวี ๑ แม่อยั่วเมืองขวา คือ พระอัครชายา ๑ ทั้ง ๕ พระองค์นี้ กระบวนอิสริยยศไม่เสมอกันดูได้จากเครื่องสูงของพระเจ้าแผ่นดิน มี เศวตฉัตร ๙ ชั้น และ ๗ ชั้น ๕ ชั้น ๓ ชั้น กลึ้ง แลพรหม ๓๒
• ของสมเด็จพระอัครมเหสี มี ฉัตร ๕ ชั้น ๔ ชั้น ๓ ชั้น กลึ้ง แลพรหม ๑๖
• ของพระภรรยาเจ้า มี ฉัตร ๓ ชั้น ๒ ชั้น กลึ้ง แลพรหม ๘
• ของพระราชเทวี มี ฉัตร ๒ ชั้น แลบัวหงาย กลึ้ง แลพรหม ๘
• ของพระอัครชายา มี ฉัตร ๒ ชั้น แลบัวหงาย กลึ้ง แลพรหม ๘
กลึ้ง ก็คือ “กลึ้ง” ซึ่งเป็นนาม แปลว่า พระกลด (ร่มชั้นเดียว) ไม่ใช่ “กลิ้ง” ซึ่งเป็นกิริยา อันพอจะเข้าใจได้ว่า ในแต่ละกระบวนมีพระกลดไว้กันแดด กันฝน มีเจ้าพนักงานเชิญถวาย แต่ “พรหม” คืออะไร เป็นคำถามที่หาคำตอบได้ไม่ยาก เพราะสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ และเจ้าคุณ พระยาอนุมานฯ ท่านค้นคว้าและโต้ตอบกันไปมาถี่ถ้วน จนได้ความว่า “พรหม” แปลว่า”ขน” ใช้ทำเป็นแส้คันยาว เชิญไปในกระบวน แต่ไม่ได้เชิญเฉย ๆ คงเชิญอย่างสะบัดแส้ไปด้วยเพื่อไล่แมลงต่าง ๆ มีผึ้ง ต่อ แตน ไม่ให้มาเกะกะ
คำว่า กลึ้ง แลพรหม ๓๒ นั้น ต้องแปลว่า มีพระกลด ๑ และมีแส้คันยาวขนจามรี ๓๒ เพราะ “พรหม” ซึ่งแปลว่า ขน และขนนั้นเป็นขนของจามรี (คล้ายวัว หางเหมือนม้า มีในอินเดียมาก) ต่อมา พรหม กลายเป็น “จามร” และหมดสภาพจากแส้กลายเป็นแผ่นแบน ๆ ทำด้วยวัสดุต่าง ๆ รูปคล้ายพัด และในสมัยรัชกาลที่ ๔ เปลี่ยนเป็นใช้พุ่มดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ให้คนแต่งเขียว แต่งแดง คือ เรียกว่า อินทร์ พรหม เดินในกระบวน แทนจามร
ในกระบวนของเทวรูป ซึ่งเชิญในพิธีนั้น ปรากฏว่า “เอาราชยานแลพรหม ๑๖ มารับ” ไม่มี “กลึ้ง” เหมือนเชิญเสด็จพระราชดำเนิน