"เขียวที่รัก"คงพอจะจำเรื่องนี้กันได้นะครับ..
แต่ในภาคนี้เอามาแอ๊บใหม่ เพราะข้อมูลที่เขียนลงไว้ในอกาลิโกหายไปพร้อมกับเว็บฯหมดแล้ว
คงเหลือแต่ท่อนกลางที่ไปค้นหามาได้ ขาดหัวกะท้าย แต่ก็ไม่เสียดายครับ เพราะถือคติที่ว่า..
นิยายเป็นของนอกกาย ไม่ตายเสียก็เขียนเอาใหม่ได้..
ก็เลยกะว่าจะเอามาเรียบเคียงเรียงร้อยใหม่ ในชื่อใหม่.. ปีนังรังญาเซโด
อย่าเพิ่งสงสัยชื่อเรื่องนะครับ ตอนนี้ขอให้เห็นสักแต่ว่าเห็นไปก่อน..
แล้วจะมาเฉลยตอนจบ พร้อมกับความเป็นมาของ"เขียว"ด้วย
เชิญติดตามอ่านได้เลยครับ..
สำหรับผู้ที่เคยอ่านมาแล้ว ขอให้อ่านใหม่อีกรอบน่อ เพื่อความปะติดปะต่อในเรื่องราว..
บริษัทเวิกพ้อยจำกัด... ไม่ให้การสนับสนุน
แต่น แตน แต๊นนน...
ตัดฉากมา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง.....ผมถูกเพื่อนดองเค็มให้นั่งคอย อยู่ประมาณยี่สิบนาที
ความหิวเริ่มบีบคั้น ให้ตัดสินใจโทรไปอีกที
คราวนี้ได้ผลดีเกินคาด เพราะแค่เรียกหมายเลขขึ้นมายังไม่ทันจะกดปุ่มโทรออก ก็มีเสียงเรียกเข้า
ของหมายเลขที่กำลังจะติดต่อ วิ่งสวนทางกลับมาพอดี
ผมรีบเลื่อนนิ้วจากตำแหน่งปุ่มที่กำลังจะโทรออก มายังปุ่มรับสายด้วยความเร็วที่เรียกได้ว่า ถ้าเป็นรถ
ที่วิ่งสวนทางกันด้วยความเร็วสูงบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ คนขับแทบจะมองกันไม่ทัน ว่ารถของอีกฝ่ายหนึ่งสีอะไร
"ถึงแล้ว รีบมารับด่วน แบตฯจะหมด แล้วค่อยคุยกัน"ตึ๊ด! ผมใช้ภาษาขนาดกระทัดรัด ที่เข้าใจง่าย(สำหรับคนไม่คิดมาก) ไม่ต้องเกริ่นนำ และมีคำลงท้ายให้มากความ
ประโยคเดียวครอบคลุมทุกความรู้สึก
แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ความรู้สึกช้า..
ใช้เวลาอีกประมาณสิบห้านาทีก็ถึงร้านอาหารปักษ์ใต้สไตล์ปีนังเป็นร้านขนาดกลาง รูปแบบทรงไทยภาคกลาง สร้างด้วยไม้ครอบปูน
กวาดสายตานับดูคร่าวๆแล้ว ไม่น่าจะเกินยี่สิบโต๊ะ
บรรยากาศภายในร้านโปร่งโล่ง ตกแต่งร้านด้วยภาพเขียนสีน้ำมันแนวแอ๊บสแตร๊ก
ซึ่งไม่ว่าผมจะตะแคงคอทำมุมกี่องศา ทำตาเบลอๆ ดูกี่ครั้ง ก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร
ริมทางเดินและมุมโต๊ะ ประดับตกแต่งด้วยเครื่องปั้นฯที่ดูคล้ายของเก่า และกระถางต้นไม้เล็กๆ
เอาไว้ผลิตออกซิเจนให้ลูกค้าได้สูดหายใจไปเลี้ยงปอดกันฟรีๆ โดยไม่คิดค่าบริการ
บริกรทั้งชายและหญิงหน้าตาและท่าทางคุ้นๆอยู่ในสมองส่วนรับจำ จะว่าเป็นแขกก็ไม่ใช่ เป็นไทยก็ไม่เชิง
มารู้จากเพื่อนเอาทีหลัง ว่าเป็นลูกหลานเหลน ของคู่ศึกมหาสงครามในสมัยกรุงศรีอยุธยาของเรานี่เอง
เมื่อดูโดยรวมแล้ว ร้านสวยนั่งสบายพอประมาณ..
ผู้จัดการร้านรู้จักกันกับเพื่อนที่พามา เป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่พูดแขกชัดเจนเสียจนฟังไม่ทัน
เวลาพูดต้องยกมือยกไม้ ส่ายหัวด๊อกแด๊ก เหมือนอินเดียไปโน่น เคราะห์ดีไป ที่บริเวณนั้นไม่มีต้นไม้ใหญ่
ให้อาเฮียแกวิ่งวนรอบระหว่างคุยกัน ไม่อย่างนั้นเราคงต้องเดินวน ตามไปฟัง คงจะเวียนหัวน่าดู
พูดคุยทักทายด้วยภาษาไทยเข้าใจกันดี แต่พอผมแกล้งอำ บอกให้เลี้ยงชุดใหญ่สักมื้อ
กลับฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องขึ้นมาเสียนี่!
อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้ครับ..ไม่บอกก็คงรู้ว่าเป็นร้านอาหารของคนไทย ที่มาเปิดสาขาทำมาหากินที่นี่
อยากให้มากิน
เนื้อกวางผัดพริกไทยดำสูตรไหหลำ อร่อยดีทีเดียวเชียว(เหมือนสนับสนุนให้มีการฆ่าเลยนิ)
ที่นี่เขามีฟาร์มเลี้ยงกวางไว้กินเองครับ ไม่ได้สั่งมาจากยุโรปเมืองไกล ราคาจึงไม่แพงนัก
เรียกได้ว่าฆ่ากินกันเอง ไม่ได้ยืมมือใครฆ่า ให้กรรมสบช่องต้องสนองหลายทอดออกไปอีก!
เมนูอีกอย่างที่อยากจะแนะนำ ก็คงจะเป็น
มะม่วง-มันราดกระทิสด เมนูนี้ไม่มีบาป..ของหวานจานนี้แยกเป็นมะม่วงและก็มันนะครับ
ส่วนของมะม่วงจะเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ลูกโต ขนาดที่ว่าเฉือนแบ่งมาแล้ว มันยังดูชิ้นใหญ่คับจาน
ส่วนของมันก็คือมันทับ ปิ้งเสียบไม้ที่ขายคู่กับกล้วยทับบ้านเรานั่นล่ะครับ แต่เมนูนี้เอามันมานึ่งแทนที่จะปิ้ง
ไม่ต้องมีวิธีการอะไรให้ยุ่งยาก
แค่ปอกมะม่วงหั่นเป็นชิ้นโตๆ เรียงใส่จาน ใบเขื่อง วางมันนึ่งร้อนๆใกล้ๆกัน เผื่อว่ามันเหงาคิดถึงบ้าน
จะได้พูดคุยปรับทุกข์กัน ก่อนที่จะโดนชำแหละตัดแบ่งไปกิน
จากนั้นก็เอาหัวกระทิสดราดลงไป โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสี่ห้ากลีบ(ไม่รู้จะโรยมาให้เกะกะทำไม)
แล้วก็มีกับข้าวยืนพื้น อีกสองสามอย่าง (ภาษาของบ้านผม) แปลว่าอาหารปรกติ ที่ทำกินกันเป็นประจำ
ในแต่ละภาค หรือแต่ละท้องถิ่น ไม่ใช่กับข้าวที่ต้องสั่งมายืนกินกันนะครับ...
คุยเสียเพลิน อาหารเดินทางมาครบ ระบบช่วยย่อยฯพร้อมทำงาน เสียงเพลงเบาๆในร้านเริ่มทำหน้าที่ขับกล่อม
สัมผัสทั้ง 6 อันมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย สัมผัสใจ พร้อมที่จะสร้างอุปปาทาน ผ่านอายตนะ
วางอยู่ตรงหน้า ให้ได้ชมชิม..
กรุ๊งกริ๊งงงงง.... กรุ๊งกริ๊งงงงง !!!!!ไม่มีใครเข็นรถไอติมเข้ามาขายในร้านหรอกครับ
เป็นเสียงสัญญาณเรียกเข้ามือถือของผมเอง
จากการคัดเลือกเสียงเรียกเข้า จำนวนมากมายหลายสิบเสียง ก็มีเสียงนี้แหละที่เข้าวิน
หน้าจอบอก ว่าเป็นเบอร์ของน้องคนสวยรวยอารมณ์ขัน ที่เพิ่งจะจากกันเมื่อสักครู่นี่เอง
โปรแกรมเก็บข้อมูลในมือถือนี่ทั้งฉลาดทั้งเก่งไม่ใช่น้อยเลยนะครับ
บอกแค่ครั้งเดียวก็จำได้แล้ว ว่าหมายเลขไหนเป็นของใคร ชื่อเสียงเรียงนามอะไร จำได้หมด
ไม่ยักกะเหมือนผม ที่บอกสักกี่ครั้ง ก็ยังจำไม่ค่อยจะได้
ซึ่งมักจะโดนคุณครูสมัยมัธยมบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าสอนเท่าไหร่ไม่รู้จักจำ.. ทำไมนะ!
ผมกดปุ่มรับสาย
"สวัสดีครับน้องต่าย(ชื่อของน้องเขา (สงสัยจะเกิดปีกระต่าย))
ถึงที่พัก ตึ๊ด! นาน....."
...แบตฯหมด! เพิ่งจะชมไปแหม็บๆ... ผมขอยืมโทรศัพท์ของเพื่อนโทรกลับไป เพื่อไม่ให้ฝ่ายปลายสายต้องรอนาน
"Hello!..." เสียงรับสายสั้นๆ แปลว่าสวัสดี
"Hi! " are you fine ? ผมถือโอกาสอำ เพราะปลายสายคงไม่คุ้นกับเบอร์นี้
"be fine yes. thank ! already you?" "I am fine. but , a little hungry. " (ภาษาอังกฤษฉบับคิดค้นเอง ไม่มีหลักและกฏเกณฑ์ตายตัว )
"you don't to come to are deceive me. I can remember your sound." ปรากฏว่าน้องเขาจับไต๋ผมได้
แสดงว่ายังอำไม่เก่งพอ
สรุปว่าน้องเขาโทรมาถามว่าถึงที่พักและกินอะไรแล้วยัง
และอยากชวนให้ออกมากินข้าวด้วยกันกับเพื่อนๆของเค้าอีกสองคน
ผมตอบปฏิเสธไป ด้วยความเสียดายเล็กน้อย ด้วยเกรงใจเพื่อนที่ต้องกลับบ้านไปทำงานต่อ
และเกรงใจกับข้าวที่สั่งมาตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าด้วย
ก็เลยออกปากชวนให้แบกหรือลากเพื่อนๆของน้องเขามาทานด้วยกันเสียที่นี่
แต่พอต่างคนต่างคำนวนระยะทางระหว่างกันดูแล้ว ก็ไกลโขอยู่
กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้!
ต่างคนก็เลยต้องต่างกิน ท้องใครท้องท่าน.. คุยเรื่องงานกันอีกเล็กน้อย ก็ชวนกันวางสายไปด้วยความละมุนละม่อม..
และคราวนี้ผมจะได้จัดการกับอาหารที่อยู่บนโต๊ะเสียที.. http://www.tairomdham.net/index.php/topic,474.0.htmlขอบพระคุณทีมาทั้งหมดมากมายค่ะ...