ทำไมพระไทยต้องไปเรียนที่อินเดียโดย
พระมหาวิเชียร ธมฺมวชิโร
นักศึกษาปริญญาเอก ภาควิชาพุทธศาสนา
ประเทศไทยและอินเดียมีความ สัมพันธ์อันแนบแน่นในด้านศิลปวัฒนธรรมหลายๆด้าน ที่เห็นได้ชัดได้แก่ ด้านภาษา และพิธีกรรมทางศาสนาแม้ว่าไทยจะรับวัฒนธรรมบางอย่างมาจากอินเดีย แต่ปัจจุบันคนไทยก็ยังไม่นิยมชมชอบวัฒนธรรมอินเดียมีเฉพาะคนบางกลุ่มเท่า นั้นที่ยังหลงใหลอยู่เช่นนักศิลปิน ช่างศิลป์และนักประวัติศาสตร์ เป็นต้นพิธีกรรมและวิถีชีวิตบางอย่างไทยได้รับมาจากอินเดียโดยการถ่ายทอดมา จากคนบางกลุ่มที่มาศึกษาเล่าเรียนที่อินเดียตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ในอดีตอินเดียไม่ได้เป็นที่ ยอมรับของประเทศอื่นที่จะมาศึกษาเล่าเรียนเป็นเพราะเหตุผลด้านความเป็นอยู่ และด้านวิชาการที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับปัจจุบันประเทศอินเดียเป็นที่ยอมรับ ด้านคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีและด้านภาษาแม้ในสาขาอื่นก็เป็นที่ยอมรับเช่นกัน อย่างเช่นศาสนา ปรัชญา ศิลปะ สังคม การเมืองการปกครองนโยบายการต่างประเทศ เป็นต้น คนต่างชาติเริ่มมาศึกษาสาขาวิชาต่างๆ มากขึ้นเพราะระบบการศึกษาของอินเดียได้พัฒนาดีขึ้นจนเป็นที่ยอมรับทั่วไป
ทุกวันนี้คนไทยให้การยอมรับ ระบบการศึกษาของอินเดียเช่นกันการจัดการศึกษาของไทยในปัจจุบันมีส่วนคล้าย คลึงกับระบบการศึกษาของอินเดียเช่น ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือระบบแอดมินชั่น (Admission) ที่ประเทศไทยได้นำไปใช้เมื่อต้นปีนี้แต่อินเดียได้ใช้ระบบนี้มานานแล้ว
ถ้าถามว่าทำไมคนไทยจึงมา เรียนที่อินเดียคงจะตอบได้หลายประเด็น แต่มีเพียง 3 ประเด็นเท่านั้นที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดสนใจให้คนไทยมาเรียนต่อที่อินเดียใน ขณะนี้คือ 1. อินเดียใช้ระบบการสอนเป็นภาษาอังกฤษ2. ค่าใช้จ่ายถูกกว่าการเรียนต่อในต่างประเทศอื่นๆ 3. มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ที่อินเดียมีการเรียนการสอนได้มาตรฐาน ส่วนประเด็นอื่นๆแล้วแต่จุดประสงค์แต่ละคน
ปัจจุบันคนไทยที่มาเรียนต่อ อินเดียเท่าที่ได้รู้จัก มีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1. กลุ่มศาสนาได้แก่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา 2. กลุ่มคนไทยเชื้อสายอินเดีย และ 3. กลุ่มคนทั่วไปที่สนใจซึ่งได้ศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆเหตุผลของกลุ่มคนไทย ดังกล่าวที่มาเรียนที่นี่จะไม่เหมือนกันเพราะเป้าหมายที่แตกต่างกัน
กล่าวเฉพาะกลุ่มพระสงฆ์ไทยที่มาเรียนที่นี่ก่อนที่จะเดินทางมาเรียนต่อที่อินเดียมีหลายคนถามว่า ทำไมต้องไปเรียนที่อินเดียไปเรียนอะไรที่นั่นและเรียนที่ไทยไม่ได้หรือ? ขณะนั้น ไม่มีคำตอบบอกแต่ว่ามีรุ่นพี่เรียนจบมาก่อน และมีความสนใจอยากจะมาเรียนดังนั้น เพื่อเป็นการตอบคำถามว่า ทำไมพระไทยต้องมาเรียนที่อินเดีย พร้อม ทั้งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มพระสงฆ์ไทยที่มาศึกษาต่อที่ประเทศ อินเดียในประเด็นต่างๆจะนำเสนอให้ผู้สนใจได้รับทราบในประเด็นนี้
กลุ่มพระสงฆ์ไทยที่มาเรียนต่อที่อินเดีย
ปัจจุบันมีพระสงฆ์ไทยที่มา ศึกษาต่อที่ประเทศอินเดียเป็นจำนวนมากกล่าวเฉพาะมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ที่พระสงฆ์ไทยกำลังศึกษาต่อ ในปี 2549 นี้ เช่นมหาวิทยาลัยฮินดูพาราณสี BanarasHindu University เมืองพาราณสีมี จำนวน 67 รูปมหาวิทยาลัยเดลีUniversity of Delhi มี จำนวน 24 รูปมหาวิทยาลัย ปูเณ่ PuneUnivsersityมีจำนวน 13 รูป และมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกหลายรูปจากการพบเห็นและพูดคุยกับพระสงฆ์ที่มาศึกษา ต่อ มีพระสงฆ์ไทย 3 กลุ่มที่มาศึกษาต่อที่อินเดียคือ.-
1. กลุ่มแรก ได้แก่พระสงฆ์ฝ่ายการศึกษาหมาย ถึงพระสงฆ์ที่ทำงานในมหาวิทยาลัยของสงฆ์ไทยทั้ง 2 แห่ง คือมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยซึ่งเป็นอาจารย์สอน และเป็นเจ้าหน้าที่รวมทั้งพระสงฆ์ที่ทำงานในโรงเรียนพระปริยัติธรรมทั้งสาย นักธรรมบาลี และ สายสามัญศึกษาประจำวัดต่างๆ ซึ่งเป็นทั้งผู้บริหาร และครูสอนที่ลามาศึกษาต่อ
2. กลุ่มที่สอง ได้แก่พระสงฆ์ฝ่ายบริหารคณะสงฆ์หมาย ถึง พระสงฆ์ที่เป็นพระสังฆาธิการที่มีตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ ได้แก่ เจ้าอาวาสผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าคณะต่างๆ และพระเลขานุการ เป็นต้น ที่ลามาศึกษาต่อ
3. กลุ่มที่สามได้แก่ พระสงฆ์ทั่วไปที่มีความประสงค์จะมาศึกษาต่อเพิ่มวิทยฐานะความรู้และนำไปช่วยเผยแผ่ศาสนา
เหตุผลที่พระสงฆ์ไทยมาเรียนต่อที่อินเดียถ้าจะให้ตอบเฉพาะตัวแล้วการมาศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย มี 2 สาเหตุด้วยกัน คือ
1. อยากพัฒนาภาษาอังกฤษ
2. ต้องการเวลาในการศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่
แต่ถ้าพิจารณาเหตุผลหลายๆ อย่างจากพระสงฆ์หลายรูปแล้วแต่ละรูปจะมีเหตุผลในการมาศึกษาต่อที่นี่ที่ไม่ เหมือนกันแต่เมื่อพิจารณาองค์ประกอบหลายๆอย่างแล้วพอจะสรุปเหตุผลทั้งหมดที่ พระสงฆ์มาศึกษาที่นี่ ได้ดังนี้
1. เป็นประเทศที่เหมาะแก่การเรียนต่อสำหรับพระสงฆ์
ดังที่ทราบว่าประเทศอินเดีย เป็นดินแดนถิ่นกำเนิดของพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัย พุทธกาลพระพุทธศาสนาเข้าไปสู่ประเทศไทยได้ก็เพราะพระสงฆ์จากอินเดียที่นำไป เผยแผ่ในปัจจุบันแม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมไปจากอินเดียแล้วแต่ว่ายังมี หลักฐานอันเป็นมรดกทางศาสนาไว้ให้ชาวพุทธรุ่นหลังได้เห็นอยู่นักปราชญ์ชาว อินเดียหลายคนได้เขียนตำราเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากมายหลายมหาวิทยาลัยใน อินเดียได้เปิดการสอนสาขาบาลีและพระพุทธศาสนามีนักศึกษาหลายชาติที่มาศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา อย่างเช่น ไทย พม่าเวียดนาม กัมพูชา มองโกเลีย ภูฐาน ธิเบต ลาว เนปาลและศรีลังกา เป็นต้นหรือแม้แต่ชาวตะวันตกบางประเทศ ยังมาศึกษาด้วยและชาวพุทธหลายประเทศได้มาสร้างวัดที่อินเดียสามารถกล่าวได้ ว่าอินเดียในปัจจุบันยังคงเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาความเป็นพุทธศาสนายัง ปรากฏให้ได้ซึมซับอยู่มีธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างที่คนอินเดียปฏิบัติดัง เช่นสมัยพุทธกาลซึ่งทำให้มองเห็นภาพในอดีตและทำให้เข้าใจถึงความเป็นอยู่ใน สมัยนั้นได้อย่างแท้จริงเพราะดินแดนเป็นประเทศที่ให้กำเนิดพระพุทธศาสนาและ เป็นแหล่งที่สามารถผลิตวิชาการทางศาสนาแก่ชาวพุทธได้พระสงฆ์จึงนิยมที่จะมา ศึกษาที่นี่และชาวพุทธไทยก็ยอมรับการไปศึกษาต่อที่อินเดียของพระสงฆ์ด้วย หลายสิ่งหลายอย่างมาประกอบแล้วอินเดียจึงเป็นประเทศที่เหมาะสมแก่การเรียน ของพระสงฆ์ไทยในขณะนี้
2. มีพระสงฆ์ไทยเคยมาเรียนจบจากที่นี่
ประเทศอินเดียถือว่าเป็น ประเทศแรกและประเทศเดียวที่มีพระสงฆ์ไทยมาศึกษาต่อมากที่สุดดูตามสถิติ ข้อมูลแต่ละมหาวิทยาลัยในอินเดียที่พระสงฆ์ไทยเคยมาศึกษาต่อและจบการศึกษาไป เมื่อรวมแล้วน่าจะมีประมาณ 1,000 รูปขึ้นไปมหาวิทยาลัยฮินดู พาราณสี เมืองพาราณสีถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีพระสงฆ์ไทยรุ่นแรกมาศึกษาต่อ อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2507 จากนั้น พระสงฆ์ไทยได้มาศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆในอินเดียหลายแห่งด้วยกัน จากการมีพระนักศึกษารุ่นแรก ก็มีรุ่นที่สอง สามและรุ่นอื่นๆ ตามมาเพราะผลิตผลและผลงานของรุ่นพี่ที่มาศึกษาต่อเมื่อท่านเหล่านั้นได้กลับ ไปไทยได้แสดงความรู้ ความสามารถ ปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ทำให้พระนักศึกษารุ่นน้องๆอยากมาศึกษาต่อด้วย นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยใดที่มีพระสงฆ์ไทยเคยเรียนมาก่อนจะสะดวกและง่ายในการติดต่อกับ มหาวิทยาลัย ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย เอกสารการศึกษารวมทั้งแนวการศึกษาต่างๆ ด้วย
3. ได้วิทยฐานะที่ถูกต้องและได้เรียนในสาขาวิชาที่ต้องการ
ในอดีตระบบการศึกษาของพระ สงฆ์ไทยและของรัฐบาลได้แยกออกจากกันทุกอย่างการศึกษาของพระสงฆ์จึงไม่มีทิศ ทางที่แน่นอนและรัฐบาลไทยยังไม่มีการรับรองวุฒิบัตรและปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยสงฆ์นอกจากนี้ การศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์เปิดสอนเพียงระดับปริญญาตรีและผู้บริหารคณะสงฆ์ ยังไม่เปิดโอกาสให้พระสงฆ์ไปเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐได้ทั้งมหาวิทยาลัยของ รัฐก็ยังไม่อนุญาตให้เรียนได้ด้วยทำให้พระสงฆ์บางรูปผู้จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยของสงฆ์ที่ประสงค์จะแสวงหาความรู้เพิ่มเติมและได้รับการรับรอง คุณวุฒิทางกฎหมายที่ถูกต้องต้องเดินทางมาเรียนที่อินเดียเพราะมหาวิทยาลัย ของอินเดียให้การรับรองปริญญาบัตรของสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย
ในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งคือ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้รับการรับรองสถานภาพและปริญญาบัตร จากรัฐบาลไทยแล้วได้เปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอกและ มหาวิทยาลัยทางโลกหลายแห่งได้อนุญาตให้พระสงฆ์เข้าไปเรียนต่อได้แต่ว่าการ เปิดหลักสูตรการศึกษาในระดับโทและเอกของมหาวิทยาลัยสงฆ์มีบางสาขาวิชา และรับจำนวนจำกัดด้วยส่วนมหาวิทยาลัยทางโลกที่อนุญาตให้พระสงฆ์เข้าไปเรียน อนุญาตให้เรียนต่อได้เฉพาะบางสาขาวิชาเช่นกันไม่สามารถเรียนต่อได้ทุกวิชา พระสงฆ์บางรูปที่ประสงค์จะเรียนต่อในคณะที่ต้องการที่ประเทศไทยแต่ว่าไม่มี ที่เรียน หรืออาจจะสอบเข้าไม่ได้ จึงต้องมาเรียนต่อที่อินเดียแต่ส่วนมากแล้วจะมาเรียนในคณะที่ต้องการ
4. มีเวลาเรียนอย่างเต็มที่
ดูจากกลุ่มพระสงฆ์ไทยที่มา เรียนต่อที่อินเดียแล้วเห็นได้ว่าพระสงฆ์ไม่ใช่มีหน้าที่แค่ทำพิธีกรรมและ เรียนอย่างเดียวบางคนอาจจะคิดว่าพระสงฆ์ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากบิณฑบาตมาฉัน เช้า ไปสวดมนต์ฉันเพลนอกวัด และจำวัดกลางคืนมีชาวพุทธหลายท่านที่เข้าใจอย่างนี้ที่จริงแล้ววิถีชีวิตของ พระสงฆ์คือชีวิตแห่งการเรียนรู้ทุกรูปที่บวชมาแล้วต้องเรียนหนังสือตั้งแต่ ปีแรก เริ่มตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี ชั้นโทและชั้นเอก เป็นเวลา 3 ปีถ้ารูปใดประสงค์จะเรียนต่อสายบาลี ต้องเรียนอีกอย่างน้อย 9 ปีจึงจะจบหลักสูตร นี้กล่าวเฉพาะการเรียนสายนักธรรมและบาลีแต่บางรูปที่เรียนทั้ง 2 สายคือสายนักธรรมบาลี และทางโลกคือระดับมัธยมศึกษา ระดับปริญญาตรี โท และปริญญาเอกต้องใช้เวลาเรียนเช่นเดียวกับคนทั่วไปพระสงฆ์ผู้ที่ศึกษาใช่ว่า จะเรียนหนังสืออย่างเดียวต้องรับภาระหน้าที่อย่างอื่นด้วย เช่นทำงานด้านการสอนเช่นเป็นครูสอนภายในวัดเป็นอาจารย์สอนประจำมหาวิทยาลัย และโรงเรียนทั่วไปทำงานด้านการปกครองเช่นเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะต่างๆและเป็นพระเลขานุการ เป็นต้น บางรูป อาจทำหน้าที่ด้านการเผยแผ่พระศาสนา เช่นเป็นพระนักเทศน์อบรมข้าราชการและเยาวชนและพระธรรมทูต เป็นต้นการทำงานของพระสงฆ์ ถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะปฏิเสธไม่ได้แม้ว่าขณะเรียนหนังสืออยู่ ก็ต้องทำงานไปด้วยดังนั้น การมาศึกษาต่อที่อินเดียจะทำให้มีเวลาในการศึกษาอย่างเต็มที่ทั้งมีสมาธิ พร้อมที่จะเรียนรู้วิชาการต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและสามารถที่จะเรียนจบได้ภายในเวลาที่กำหนด
5. ค่าเรียนไม่แพงเหมือนในต่างประเทศอื่น
ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเป็น เหตุผลหนึ่งที่พระสงฆ์ต้องเดินทางมาเรียนที่อินเดียประเทศอินเดียแม้ว่าจะ เป็นประเทศที่ใหญ่มีประชากรนับพันล้านแต่รัฐก็ยังส่งเสริมให้ทุกคนได้รับการ ศึกษาทุกคนสามารถจะศึกษาต่อในระดับที่ต้องการได้เพราะค่าใช้จ่ายในการศึกษา เล่าเรียนที่ถูกมากนอกจากนี้รัฐบาลอินเดียยังได้สนับสนุนให้ชาวต่างชาติมา ศึกษาต่อในประเทศอินเดียด้วย เช่น ทุน ICCR และ JRF ฯลฯโดยในแต่ละปีทางรัฐบาลจะมีทุนให้นักศึกษาต่างชาติแต่ละประเทศๆ ละ 10 ถึง 14 ทุนมาศึกษาต่อที่อินเดียส่วนผู้ที่ไม่ได้ทุนการศึกษาจากรัฐบาล ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองแต่ว่าจ่ายไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาในต่าง ประเทศอื่นพระสงฆ์ไทยที่เลือกมาเรียนที่นี่เพราะค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าเมือง ไทยโดยเฉพาะหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก จะมีพระสงฆ์มาเรียนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในหลักสูตรปริญญาเอกจะ ถูกกว่าประเทศไทยมากที่เมืองไทยอาจจะเสียค่าเล่าเรียนถึง 5 แสนบาทขึ้นแต่ที่อินเดียเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมแรกเข้าประมาณ700 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 25,000 บาทในขณะนี้(ในบางสาขาวิชาที่เกี่ยวกับวิชาชีพอาจจะจ่ายแพงมากกว่านี้) ที่เหลือคงจ่ายเฉพาะค่าที่พักและอาหารเฉลี่ยแล้ว ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร ไม่เกิน400,000 บาท
พระสงฆ์ที่มาเรียนที่ อินเดียส่วนมากจะได้รับทุนการศึกษามาจากหน่วยงานหรือวัดที่สังกัดอยู่ บางรูปอาศัยทุนญาติโยมที่อุปถัมภ์และบางรูปก็อาศัยทุนญาติพี่น้องอย่างไรก็ ตาม พระสงฆ์ที่มาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะการอุปถัมภ์ของชาวพุทธไทยที่มีความเข้าใจ และเห็นใจพระสงฆ์บางคนรับเป็นเจ้าภาพถวายทุนการศึกษาเรียนจนจบหลักสูตรทั้ง ปริญญาโทและเอกดังที่ทราบแล้วว่าพระสงฆ์ที่เข้ามาบวชศึกษาเล่าเรียน เพราะไม่มีโอกาสที่จะได้ศึกษาเช่นเดียวกับทางโลกเพราะขาดปัจจัยด้านทุน ทรัพย์และความพร้อมหลายๆอย่างดังเช่นทางโลกถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาแล้ว คงไม่มีโอกาสได้มาศึกษาในระดับสูงได้เช่นนี้ฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ทางคณะสงฆ์หรือรัฐบาลควรส่งเสริมสนับสนุนให้ทุนการศึกษาแก่พระ สงฆ์ได้เล่าเรียนทั้งในประเทศไทยและอินเดีย
6. ใช้เวลาในการเรียนไม่นาน
การศึกษาในต่างประเทศไม่ว่า เฉพาะในอินเดียหรือในประเทศอื่นๆต้องมีความลำบากแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่ ค่าใช้จ่ายที่พักอาศัยอาหารการกิน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการศึกษาในต่างประเทศที่ใช้เวลาไม่มากจะลดความลำบากและประหยัดเวลาไป ได้การศึกษาในระดับอุดมศึกษาแต่ละประเทศแต่ละระดับจะใช้เวลาไม่เหมือนกัน เฉพาะการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่อินเดียเมื่อเปรียบเทียบกับไทยแล้ว จะใช้เวลาศึกษาน้อยกว่าไทย คือการศึกษาในระดับปริญญาตรี ใช้เวลา 3 ปี ปริญญาโท 2 ปีอนุปริญญาเอก 1 ถึง 2 ปีและในระดับปริญญาเอก 2 ถึง3 ปีเมื่อพิจารณาเวลาการศึกษาแล้วการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่อินเดียจะใช้เวลา ไม่มาก ถ้าเรียนได้ไปตามระบบการประหยัดเวลาในการศึกษาได้ ก็เท่ากับการช่วยประหยัดงบประมาณไปด้วย
7. ได้พัฒนาภาษาอังกฤษ
ประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่ง ของพระสงฆ์ไทย แม้กระทั่งคนไทยทั่วไปที่ต้องการมาศึกษาในต่างประเทศก็เพราะต้องการจะพัฒนา ภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นการศึกษาในประเทศไทยก็สามารถจะพัฒนาภาษาอังกฤษได้เช่น กัน แต่ว่าจะพัฒนาได้ช้าได้ผลไม่เต็มที่ และไม่ได้ประสบการณ์จริงทั้งนี้เพราะไม่ได้นำมาภาษามาใช้ในระบบหรือชีวิต ประจำวัน
คนไทยเชื่อกันว่าการไปศึกษา ในต่างประเทศ จะสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษได้เร็ว ได้ผลอย่างเต็มที่และได้สัมผัสกับเจ้าของภาษาจริงๆ โดยเฉพาะด้านการเขียน อ่านและพูดอาจเป็นจริงได้ในบางประเทศแต่ว่าในประเทศอินเดียอาจจะไม่เป็นเช่น นั้นสิ่งที่คนไทยยอมรับในการใช้ภาษาอังกฤษของคนอินเดียคือระบบการเรียนการ สอนเป็นระบบอังกฤษ ได้เขียน ได้อ่านตำราภาษาอังกฤษและได้พบปะพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อนต่างชาติ (เฉพาะบางมหาวิทยาลัยเท่านั้น)แต่สิ่งที่คนไทยไม่ยอมรับคือสำเนียงการพูด ภาษาอังกฤษของคนอินเดียบางคนก็พูดได้ดีแบบสไตล์อังกฤษแต่ส่วนมากจะพูดกันแบบ สไตล์อังกฤษบ่นภาษาแขก (ฮินดี) ซึ่งทำให้คนไทยงงได้อย่างไรก็ตาม ตามเมืองใหญ่ๆ ของอินเดีย จะสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษเพราะได้เรียนมาตั้งแต่เล็กๆ ในระบบการศึกษาของอินเดีย ตั้งอนุบาลจนถึงปริญญาใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนซึ่งระบบนี้ ได้รับการถ่ายทอดมาจากประเทศอังกฤษสมัยยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษการ ที่คนไทยได้มาสัมผัส ได้มาเรียนรู้ในระบบการศึกษาของอินเดียคือการได้เรียนรู้ระบบการศึกษาของ ประเทศอังกฤษไปด้วยโดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยตามเมืองใหญ่ ๆ อย่างเช่นเดลีปูเน่แบงกะลอเป็นต้น
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษใน ประเทศอินเดียทุกวันนี้มีมาตรฐานที่ค่อนข้างดีและเป็นที่ยอมรับสำหรับคนไทย เป็นจุดเริ่มต้นบันไดที่เปิดโอกาสให้คนบางคนได้เรียนรู้ในระบบอังกฤษมีความ สามารถ และได้ประสบการณ์ที่จะเรียนรู้และนำไปใช้ในอนาคตเพื่อเป็นฐานไปสู่การเรียน รู้ที่ดีกว่านี้ได้เป็นอย่างดี
ประการหนึ่งการมาศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย บางสาขาวิชาไม่ต้องมีผลรับรองการทดสอบภาษาอังกฤษอย่างเช่น TOEFL และ IELTSฯลฯ คนไทยบางคนที่ภาษาไม่ค่อยดีที่ไม่สามารถสอบผ่านภาษาอังกฤษเพื่อมารับรองผล การเรียนต่อได้หรือต้องการมาพัฒนาภาษาให้ดีจึงนิยมมาเรียนที่นี่
พระสงฆ์ไทยที่มาเรียนที่นี้ ก็เพื่อจะเรียนรู้และพัฒนาภาษาอังกฤษเช่นกัน เพราะในภาวะปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษได้มีบทบาทต่อการทำงานในทุกตำแหน่ง แม้ในด้านพระพุทธศาสนาพระสงฆ์ก็มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติร่วมกับต่างประเทศ อย่างเช่นการประชุมพุทธศาสนาโลก การเสนอผลงานทางวิชาการ เป็นต้นและด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็เช่นกันถ้าพระสงฆ์สามารถสื่อสารและ ตอบโต้ภาษาอังกฤษได้จะทำให้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปและทำให้พระพุทธศาสนา เผยแผ่ไปได้ทั่วโลก