[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 มิถุนายน 2568 10:02:13 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ‘หนุมาน’ เทพแห่งสรรพวิทยา  (อ่าน 1950 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2637


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2559 17:56:17 »



‘หนุมาน’ เทพแห่งสรรพวิทยา
ผู้เขียน ส.พลายน้อย
ที่มา คอลัมน์ จิปาถะ มติชนรายวัน

ในบรรดาวรรณกรรมปรัมปราของอินเดีย เรื่องรามายณะได้รับการยกย่องว่าเป็นเสมือนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ คนอินเดียนับถือกันว่าใครได้อ่านได้ฟังแล้วชำระบาปได้ ที่สำคัญก็คือ พระราม นางสีดา และหนุมาน ได้รับการเคารพนับถือเป็นเทพ แม้เพียงแต่ออกพระนามหรือนามก็ถือว่าได้บุญ ได้กุศล หรือได้รับความคุ้มครองเป็นอย่างดี

มีเรื่องกล่าวกันว่า เคยมีคนสอนให้นกแก้วออกพระนามพระรามแทน, นกแก้วก็ร้อง “รามๆ” ตลอดทั้งวัน มีนิทานอินเดียเรื่องหนึ่งเล่าถึงเหตุที่นกแก้วออกพระนามพระรามได้คล่องไว้ว่า เมื่อครั้งทศกัณฐ์ทำสงครามกับพระราม และถูกพระรามสังหาร เผอิญมีมหาดเล็กของทศกัณฐ์หลงรอดอยู่ตนหนึ่ง ยักษ์ตนนั้นได้หมอบกราบอยู่แทบเท้าพระราม แล้วทูลอ้อนวอนว่า

“เป็นพระมหากรุณาที่ได้ทรงละเว้นไม่ประหารข้าพเจ้า แต่ขอได้โปรดชุบชีวิตเพื่อนของข้าพเจ้าอีกสักตนหนึ่งเถิด” พูดพลางก็ชี้ไปที่เพื่อนที่นอนตายอยู่ข้างๆ พระรามมีพระกรุณาก็พรมน้ำทิพย์ให้ ยักษ์ตนนั้นก็มีชีวิตขึ้นมา พระรามตรัสว่า“เราช่วยเจ้าแล้ว เจ้าต้องหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะลักษมัณกำลังมา เขากำลังโกรธ เขาจะฆ่าเจ้าเสีย”

“แต่เราไม่มีแรงจะวิ่งหนี พระลักษมัณคงจะฆ่าเราอย่างแน่นอน โปรดช่วยเราอีกสักครั้งเถิด”

ด้วยความกรุณา พระรามได้ประทานปีกให้ยักษ์ทั้งสอง มหาดเล็กกลายเป็นนกแก้ว ส่วนเพื่อนเป็นนกอีกชนิดหนึ่ง ทั้งสองได้บินหนีไป นกแก้วระลึกถึงคุณพระรามจึงร้อง “รามราม” อยู่เสมอ เขาว่าที่นกแก้วเรียนพูด “รามราม” ได้เร็วก็มาจากเรื่องนี้

มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อครั้งท่านมหาตมะคานธีถูกยิง ท่านได้อุทานออกมาว่า “เห ราม” ด้วยความเคยชิน เพราะท่านนับถือพระราม ในปัจจุบันคนที่ไปเมืองพาราณสีและไปที่ท่าน้ำแม่คงคาที่มีการแห่ศพไปเผากันเป็นประจำ ก็จะได้ยินเสียงร้องสรรเสริญพระรามและนางสีดาอยู่เสมอ เมืองพาราณสีจึงเป็นเมืองเดียวที่มีคนร้อง “สีตา-ราม” อยู่ไม่ขาด

ในเมืองไทยไม่มีใครสอนให้ภาวนาถึงพระราม แม้จะมีคาถานารายณ์ขว้างจักรและอื่นๆ แต่ก็รู้จักกันเฉพาะในพวกที่นิยมไสยศาสตร์ รู้กันเฉพาะบางคน เมื่อครั้งผู้เขียนเป็นเด็กเรียนหนังสือ ที่วัดถึงได้คาถา “นโมพุทธายะ” ไว้ภาวนาก่อนนอน และได้คาถา “หนุมาน” ไว้ภาวนาเมื่อมีการต่อสู้ และผู้ใหญ่ก็ชอบพูดคุยถึงหนุมานกันมาก เพราะมีทั้งคาถาและรอยสักรูปหนุมาน รวมไปถึงเครื่องรางของขลังที่ทำเป็นรูปหนุมานจากเกจิอาจารย์หลายสำนัก ซึ่งจะเล่าเท่าที่นึกได้ต่อไป จะมากน้อยอย่างไรก็แล้วแต่สุขภาพจะอำนวย




เมื่อผู้เขียนมีโอกาสได้อ่านหนังสือมากขึ้น จึงทราบว่าเรื่องหนุมานไม่ได้มีเฉพาะในอินเดียและไทยเท่านั้น แม้ประเทศอื่นๆ ที่ได้รับวัฒนธรรมอินเดีย ก็พลอยนับถือหนุมานไปด้วย ครั้นพระถังซำจั๋งไปสืบพระศาสนาในอินเดีย ก็ทำให้เกิดเรื่อง “ไซอิ๋ว” มีเห้งเจียเป็นพระเอก คนจีนก็นับถือเห้งเจียเป็นเทพเจ้า มีศาลเจ้าเห้งเจียอยู่หลายแห่ง ทั้งยังเผยแพร่เข้ามาเมืองไทยอีกด้วย

ในอินเดียซึ่งเป็นต้นแบบก็มีทั้งรามายณะฉบับใหญ่ของวาลมีกิ และมีฉบับย่อของเมืองต่างๆ อีกหลายเล่ม ที่เป็นเรื่องเล่าในทัศนะของชาวบ้าน ซึ่งเป็นหนังสือหาอ่านได้ยาก แม้บางเรื่องจะมีผู้แปลถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้วก็ตามก็ยังไม่ได้อ่านกันทั่วถึง ผู้เขียนพยายามหาอ่านมาหลายสิบปีก็ทราบแต่เพียงบางส่วน ขณะนี้อายุเกินวัย 86 ปี เวลาเหลือน้อยลงทุกวินาที จึงคิดว่าถ้าเก็บเรื่องที่พบที่เห็นมาเล่ารวมไว้ให้อ่านกันเล่น บางทีจะมีประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจอย่างเดียวกันบ้าง อย่างน้อยก็จะได้รู้จักหนุมานมากขึ้นกว่าที่รู้จักกันในเมืองไทยหรือในเรื่องรามเกียรติ์ ทั้งนี้ก็แล้วแต่จะพิจารณา ถ้าเห็นว่าใครๆ ก็รู้ก็ยุติ ไม่ยากอะไร

เท่าที่ทราบหนุมานในแต่ละถิ่นแต่ละที่มีพฤติกรรมต่างกัน แม้แค่รูปลักษณ์ของหนุมานก็ต่างกันกับที่เรารู้ในเมืองไทย หรือในรามเกียรติ์ อันที่จริงคนไทยก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องรามเกียรติ์เกิดขึ้นในเมืองไทย เพราะชื่อบ้านเมืองหลายแห่งตรงกัน เช่น เมืองอโยธยา เมืองลพบุรี ซึ่งว่าเป็นเมืองของหนุมาน มีเขาสรรพยา เขาสมอคอน และอื่นๆ อีกหลายแห่ง แสดงถึงความเชื่อความศรัทธาของเราที่มีต่อเรื่องรามเกียรติ์ เช่นเดียวกับที่เราเชื่อว่าขุนช้างขุนแผนเป็นเรื่องจริง เพราะมีสถานที่เป็นหลักฐาน

คนอินเดียไม่เพียงแต่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเท่านั้น แต่เขาได้เขียนเป็นหลักฐานไว้ให้ศึกษาก็มี กวีอินเดียที่ยกย่องหนุมานมากก็คือ “ตุลสีทาส” และมีเขาเพียงคนเดียวที่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า“มีใครบ้างในโลกที่ไม่รู้จักวานร ซึ่งมีนามกร สังกัต โมจัน?”


Who in the world does’t know, Monkey, that your name is Sankat Mochan?

คำว่า “สังกัต โมจัน” นั้นว่ามาจากคำสันสกฤตหมายความว่า เป็นผู้ปลดเปลื้องจากอันตราย (ในสิ่งทั้งปวง)

คนอินเดียนับถือหนุมานอย่างไร จะได้เล่าต่อไป


 

ได้กล่าวมาแล้วว่าคนอินเดียนับถือยกย่องหนุมานว่าเป็น “สังกัตโมจัน” คือเป็นผู้ปลดเปลื้องจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ความเชื่อดังกล่าวไม่ใช่เรื่องความเชื่อในระดับชาวบ้าน แม้ในพวกที่มีความรู้สมัยใหม่ก็เชื่อกันว่าหนุมานเป็นผู้เชี่ยวชาญในสรรพ วิทยาหลายสาขา จึงได้ยกย่องให้เป็น “มหาเทพแห่งสรรพวิทยา” ก็มี

หลายปีมาแล้วหนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวว่า หนุมานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการบริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีและ บริหารจัดการซาร์ตาร์ ภากัตซิงห์แห่งอินเดีย ที่เปิดเมื่อ พ.ศ.2550

ข่าวการแต่งตั้งหนุมานซึ่งไม่มีตัวตน ให้เป็นประธานกรรมการบริหารวิทยาลัยไม่ใช่ข่าวลือ หรือข่าวที่พูดกันอย่างเลื่อนลอย เพราะทางวิทยาลัยได้จัดห้องทำงานไว้ห้องหนึ่ง เหมือนกับว่าหนุมานได้มานั่งทำงานจริงๆ คือให้มีโต๊ะทำงาน มีเครื่องคอมพิวเตอร์ และมีเก้าอี้ 4 ตัว หันเข้าหาที่นั่งของประธาน (หนุมาน) ซึ่งว่างเปล่า แต่ดูแล้วก็อยู่ในลักษณะพร้อมที่จะมีการประชุมได้ทันที

นอกจากนี้ ภายในห้องยังมีกลิ่นกำยานหอมกรุ่น เหมือนเข้าไปในเทวาลันที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้าผู้ที่จะเข้าไปในห้องนี้จะ ต้องถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าเข้าไปเช่นเดียวกับเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย

เมื่อมีผู้สอบถามนายวิเวก กังทิ ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารวิทยาลัย ถึงเหตุที่ทำเช่นนี้ ก็ได้รับคำตอบว่า ที่ทำเช่นนั้นเพราะมีความเชื่อว่างานใดก็ตามที่เทพหนุมานอำนวยพร งานนั้นก็ย่อมจะประสบความสำเร็จเรียบร้อย เพราะหนุมานเคยรับใช้พระรามทำงานที่ยากสำเร็จมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยกภูเขาทั้งลูก หรือกระโดดข้ามมหาสมุทร ซึ่งเป็นงานที่ยากก็ไม่พ้นความสามารถ จริงอยู่ที่หนุมานไม่เคยทำงานด้านบริหารธุรกิจ แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร นี่คือศรัทธาของคนอินเดียที่มีต่อหนุมาน

นานมาแล้วครูสอนวรรณคดีคนหนึ่งปรารภว่าเรื่องรามเกียรติ์ไทย ถ้าไม่ได้หนุมานทั้งพระรามพระลักษณ์ก็ตายหมด เมื่อพระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ถ้าหนุมานไปเอาสังกรณีที่ภูเขาสรรพยามาแก้ ไม่ทันก็ตาย แล้วเขาถามว่าที่อินเดียเรียกภูเขานี้ว่าอย่างไร ผู้เขียนตอบไม่ได้เพิ่งมาทราบภายหลังว่าหนุมานไปเก็บ “สัญชีวนี บูตี” (Sanjuvni Bootee) ที่ภูเขาหิมาลัย เคยอ่านรายงานของนักสำรวจชาวญี่ปุ่นไปสำรวจพืชสมุนไพรและไม้มีประโยชน์บน ภูเขาหิมาลัย ก็ว่ามีสมุนไพรอยู่หลายชนิด แสดงว่ามีเค้าความจริงอยู่มาก

ขอเล่าเรื่องลิงญี่ปุ่นและจีนต่อ เพราะเป็นเรื่องที่มีความเชื่อใกล้เคียงกัน และในปัจจุบันก็ยังเชื่อกันว่าลิงเป็นบริวารของหนุมาน
 
คนญี่ปุ่นนิยมชมชื่นลิงมาแต่โบราณ มีหลักฐานที่พบเห็นตามข้างถนนในชนบทนิยมทำเสาโกชินปักไว้ เสาหินโกชินนี้จะสลักรูปลิง 3 ตัว มีเรื่องกล่าวกันว่า พระชื่อเดนเกียวเป็นผู้ริเริ่มสลักรูปลิงบนเสาหินเป็นครั้งแรก เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ให้ประชาชนระลึกถึงคำสอนแทนตัวหนังสือ ซึ่งคนอ่านหนังสือไม่ออกมาเห็นรูปลิงก็อาจเข้าใจได้
 
อาการของลิงทั้งสามตัวต่างกัน ตัวหนึ่งเอามือปิดตาทั้งสองข้าง หมายความว่าอย่าดูสิ่งที่ชั่วร้ายหรือมองอะไรในแง่ร้าย อีกตัวหนึ่งเอามือปิดหู หมายความว่าอย่าฟังเรื่องที่ไม่ดี ไม่เป็นมงคล หรือเรื่องชั่วร้ายทั้งปวง และอีกตัวหนึ่งเอามือปิดปาก หมายความว่าอย่าพูดเรื่องที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์หรือพูดในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล คำสอนทั้ง 3 ประการนี้ถือว่าสำคัญมาก ที่สังคมยุ่งเหยิงอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะใช้ตา หู และปาก แบบไม่มีสตินั่นเอง
 
ในสมัยโบราณคนญี่ปุ่นมีเทศกาลโกชิน เรียกว่าวันโกชิน คือวันลิงนั่นเอง เมื่อถึงวันลิง ชาวบ้านจะไปชุมนุมกันที่เสาหินสลักรูปลิงนี้ มีการกินเลี้ยงรื่นเริงอย่างสนุกสนานและจะไม่ยอมหลับนอนทั้งคืน เพราะเชื่อกันว่าวิญญาณในรูปของแมลงที่อยู่ในตัว จะออกจากร่างในขณะนอนหลับ แล้วขึ้นไปรายงานความประพฤติของตนบนสวรรค์ คนที่ไม่ต้องการให้สวรรค์รู้ จึงไม่ยอมนอนหลับในคืนนั้น
 
เหตุที่คนญี่ปุ่นทำเสาโกชินปักไว้ข้างถนนนั้น นอกจากจะใช้เป็นเครื่องเตือนสติดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านยังเชื่อกันว่า หลักโกชินยังเป็น “เจ้าที่” คอยพิทักษ์ดูแลถนน ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่คนเดินทางอีกด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อกันอีกว่ารูปลิงเป็นเครื่องรางป้องกันพวก “ตาร้าย” (evil eyes) หรือภูตผีที่จะมารังควานรบกวนเด็กได้อีกด้วย
 
หลายสิบปีมาแล้วผู้เขียนได้รับทุนไปอบรมการจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น เห็นเขาทำรูปลิงด้วยผ้า ไม้ และดินเป็นของเล่นให้เด็ก และตามเสื้อผ้าของเด็กเล็กก็จะมีรูปลิงติดอยู่ทางด้านหลังด้วย คล้ายเป็นของขลังไว้คอยป้องกันขับไล่ภูตผีปิศาจมิให้มาทำอันตรายเด็ก
 
อย่างไรก็ตาม ลิงสามตัวนี้ก็ทำรายได้ให้คนญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย คือเขาเอาไปทำเป็นของที่ระลึกขายชาวต่างประเทศที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ทำด้วยไม้ก็มี ทำด้วยโลหะก็มี ผู้เขียนซื้อชนิดที่แกะไม้มาฝากคนที่ชอบพอหลายชุด เพราะเห็นว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ทำด้วยมือ




ขอเล่าเรื่องลิงญี่ปุ่นและจีนต่อ เพราะเป็นเรื่องที่มีความเชื่อใกล้เคียงกัน และในปัจจุบันก็ยังเชื่อกันว่าลิงเป็นบริวารของหนุมาน
 
คนญี่ปุ่นนิยมชมชื่นลิงมาแต่โบราณ มีหลักฐานที่พบเห็นตามข้างถนนในชนบทนิยมทำเสาโกชินปักไว้ เสาหินโกชินนี้จะสลักรูปลิง 3 ตัว มีเรื่องกล่าวกันว่า พระชื่อเดนเกียวเป็นผู้ริเริ่มสลักรูปลิงบนเสาหินเป็นครั้งแรก เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ให้ประชาชนระลึกถึงคำสอนแทนตัวหนังสือ ซึ่งคนอ่านหนังสือไม่ออกมาเห็นรูปลิงก็อาจเข้าใจได้
 
อาการของลิงทั้งสามตัวต่างกัน ตัวหนึ่งเอามือปิดตาทั้งสองข้าง หมายความว่าอย่าดูสิ่งที่ชั่วร้ายหรือมองอะไรในแง่ร้าย อีกตัวหนึ่งเอามือปิดหู หมายความว่าอย่าฟังเรื่องที่ไม่ดี ไม่เป็นมงคล หรือเรื่องชั่วร้ายทั้งปวง และอีกตัวหนึ่งเอามือปิดปาก หมายความว่าอย่าพูดเรื่องที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์หรือพูดในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล คำสอนทั้ง 3 ประการนี้ถือว่าสำคัญมาก ที่สังคมยุ่งเหยิงอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะใช้ตา หู และปาก แบบไม่มีสตินั่นเอง
 
ในสมัยโบราณคนญี่ปุ่นมีเทศกาลโกชิน เรียกว่าวันโกชิน คือวันลิงนั่นเอง เมื่อถึงวันลิง ชาวบ้านจะไปชุมนุมกันที่เสาหินสลักรูปลิงนี้ มีการกินเลี้ยงรื่นเริงอย่างสนุกสนานและจะไม่ยอมหลับนอนทั้งคืน เพราะเชื่อกันว่าวิญญาณในรูปของแมลงที่อยู่ในตัว จะออกจากร่างในขณะนอนหลับ แล้วขึ้นไปรายงานความประพฤติของตนบนสวรรค์ คนที่ไม่ต้องการให้สวรรค์รู้ จึงไม่ยอมนอนหลับในคืนนั้น
 
เหตุที่คนญี่ปุ่นทำเสาโกชินปักไว้ข้างถนนนั้น นอกจากจะใช้เป็นเครื่องเตือนสติดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านยังเชื่อกันว่า หลักโกชินยังเป็น “เจ้าที่” คอยพิทักษ์ดูแลถนน ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่คนเดินทางอีกด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อกันอีกว่ารูปลิงเป็นเครื่องรางป้องกันพวก “ตาร้าย” (evil eyes) หรือภูตผีที่จะมารังควานรบกวนเด็กได้อีกด้วย
 
หลายสิบปีมาแล้วผู้เขียนได้รับทุนไปอบรมการจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น เห็นเขาทำรูปลิงด้วยผ้า ไม้ และดินเป็นของเล่นให้เด็ก และตามเสื้อผ้าของเด็กเล็กก็จะมีรูปลิงติดอยู่ทางด้านหลังด้วย คล้ายเป็นของขลังไว้คอยป้องกันขับไล่ภูตผีปิศาจมิให้มาทำอันตรายเด็ก
 
อย่างไรก็ตาม ลิงสามตัวนี้ก็ทำรายได้ให้คนญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย คือเขาเอาไปทำเป็นของที่ระลึกขายชาวต่างประเทศที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ทำด้วยไม้ก็มี ทำด้วยโลหะก็มี ผู้เขียนซื้อชนิดที่แกะไม้มาฝากคนที่ชอบพอหลายชุด เพราะเห็นว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ทำด้วยมือ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กรกฎาคม 2559 17:58:41 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.742 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 20 มิถุนายน 2568 23:20:47