ความทรงจำนอกมิติ : โลกร้อน-อเมริกากับรัสเซีย คลินตัน-กอร์กับบุ
ผู้อ่านแทบจะทุกคนก็รู้ว่าสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต หรือระหว่างค่ายประชาธิปไตยตัวแทนกับประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์นั้นได้จบมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1989-90 แต่ทั้ง 2 ก็ดูเหมือนเป็นศัตรูกันลึกๆ ที่ภายใน โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่กลายเป็นประเทศรัสเซียไป เพราะคิดเอาเองว่าดูจะไม่ไว้ใจทุนนิยมที่เสรีอย่างสุดๆ คงจะบกพร่องบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร รัสเซียจึงมีมาเฟียค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นปกติสำหรับประเทศที่มีประชาธิปไตยตัวแทนใหม่ๆ และผู้อ่านแทบจะทุกคนก็รู้ว่า ที่สหรัฐอเมริกานั้น ทุกวันนี้มีพรรคการเมืองที่ใหญ่จริงๆ อยู่ 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน กับเดโมแครต ที่ผลัดกันได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี - ที่ผู้เขียนคิดว่าความคิดหลักอันสำคัญที่สุดคือ ความเป็นอเมริกันอย่างเดียวที่เหมือนกันเปี๊ยบ นั่นคือ ประชาชนมีอิสรเสรีอย่างที่สุดเท่าที่จะมีได้ ทั้งของปัจเจกบุคคล และทั้งสังคมของมนุษย์โดยรวม ซึ่งก็คือโอกาสของความเท่าเทียมกันของมนุษย์ผู้ใหญ่ยิ่งที่สุดและมีวิวัฒนาการทางด้านชีววิทยาหรือเฉพาะทางด้านกายภาพอันพิเศษสูงที่สุด อย่างน้อยก็ในโลกนี้ที่ตาสามารถมองเห็นได้ ผู้เขียนคิดเพียงแต่ว่าวัฒนธรรมความเป็นอเมริกันนั้นเป็นเรื่องของความจริงทางสังคมตามที่ตาเรามองเห็น และสังคมเองก็เป็นผลรวมของปัจเจกแต่ละคนส่วนหนึ่งคิด ซึ่งย่อมแตกต่างกันระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือสังคมกับสังคม และแตกต่างกันที่ยุคสมัยหรือกาลเวลา จึงคิดว่าหากเรามองธรรมชาติหรือจักรวาลตามความจริงที่แท้จริงด้วยสายตาของคนตะวันออก วัฒนธรรมความเป็นอเมริกันเป็นวัฒนธรรมที่ขัดกับธรรมชาติอย่างที่สุด โดยทุกสิ่งทุกอย่างทุกปรากฏการณ์ที่มีของมันเองนั้น ชาวตะวันออกจะคิดว่ามันล้วนถูกควบคุมด้วยกฎแห่งกรรม - ส่วนหลักการรองๆ ของพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตนั้นจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็ต่างกันที่ดีกรีมากกว่ารูปแบบแผน และที่จะพูดกันในที่นี้คือเรื่องของดิน ฟ้า ป่า อากาศ เรื่องของเกียวโตโปรโตคอล ที่เดโมแครตโดยบิล คลินตัน และอัล กอร์ เซ็นในยกแรก แต่ต่อมาในยกสุดท้ายที่สำคัญกว่า-รีพับลิกันประธานาธิบดีบุช-เชนีย์ กลับไม่เซ็น ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับความเป็นอเมริกันอยู่แล้ว ไม่เห็นด้วยกับระบบต่างๆ กับวัฒนธรรมของตะวันตก โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ชูแต่ “ตัวกูของกู” กับตัณหาราคะ และผู้เขียนเชื่อว่าระบบสังคมของตะวันตก ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการทางกายภาพแยกส่วน ตามที่ตาเห็นอย่างเดียวโดยไม่สนใจจิตภาพและจิตวิญญาณ ท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่โลกพัง ในฐานะของประชาชนของโลกคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมจะหนีไปอยู่โลกอื่นไม่ได้ จึงได้แต่หวังที่จะให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ที่ทำลายธรรมชาตินี้เสีย
ตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงเรื่องของโลกร้อนและระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศสูง - เพราะบรรษัทน้ำมันกับการพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้า พูดง่ายๆ ก็เพราะน้ำมือของมนุษย์กับความโลภจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีที่ก็เป็นน้ำมือของมนุษย์เหมือนกัน - และผลพวงจากโลกร้อนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะทำให้น้ำแข็งตามขั้วโลกและยอดภูเขาสูงๆ เช่น ภูเขาหิมาลัยละลายกลายเป็นน้ำ ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำทะเลหรือมหาสมุทรมีระดับสูงขึ้นอันเป็นสาเหตุของน้ำท่วมโลก เราคิดกันง่ายๆ แค่นั้น ทั้งหมดเป็นเหตุให้เกิดภาวะของปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติมากขึ้นๆ ในที่ต่างๆ ของโลกดังที่เราได้ยินได้อ่านกันเป็นประจำวัน ถี่ขึ้นและถี่มากขึ้นจนประชาชนทั้งโลกเคยชินและชาชินกับมันจนเฉยเมย ยกเว้นผู้ที่อยู่ในสถานที่นั้นและกำลังประสบกับภัยนั้นๆ เพราะจริงๆ แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะสายเกินไป นอกจากรอว่าเมื่อใดภัยนั้นจะมาถึงเรา สุดท้ายโลกก็พัง ซึ่งมันจะเกิดและต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
นั่น-ในฐานะนักเขียนที่อ่านวิทยาศาสตร์มาบ้างจึงเชื่อมั่นอย่างไม่มีข้อสงสัย ซึ่งก็ได้นำมาเขียนตลอดมา แล้วนั่น-ในฐานะนักเขียนที่อ่านเรื่องทางจิตและศาสนา โดยเฉพาะความรู้ที่เร้นลับ (mysticism) มาบ้าง จึงเชื่อมั่นอย่างไม่มีข้อสงสัยเหมือนกัน ซึ่งก็ได้นำมาเขียนตลอดมาเช่นกัน แถมยังระบุปีและเวลาเสียด้วย
แปลก! ที่เรื่องปรากฏการณ์ภาวะภัยธรรมชาติ - ที่ใครๆ พูดถึง ใครๆ ก็กลัวกัน แทนที่ทุกประเทศในโลก - รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ โดยไอพีซีซี ที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับลมฟ้าอากาศกว่า 2,500 คนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สรุปเบ็ดเสร็จว่าน้ำท่วมโลกแน่นอนภายในก่อนสิ้นศตวรรษที่ 21 นี้ เพราะโลกร้อนและจากน้ำทะเลเอ่อขึ้นมาท่วมโลก และแม้เวลานี้เราทุกคนต่างก็เห็นกันชัดๆ แต่เราไม่ได้ข่าวจากรัสเซียเลย ทั้งเราก็ไม่รู้ว่านักวิทยาศาสตร์ของรัสเซียที่อยู่ที่ไอพีซีซีว่าอย่างไรบ้างในเรื่องนี้ ผู้เขียนเองก็เคยเรียนวิทยาศาสตร์ทั่วไปมาบ้าง แม้ว่าจะไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์สายตรงก็ตาม แต่เชื่อมั่นแทบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่านักวิทยาศาสตร์ - หากไม่มีข้อมูลพร้อมหรือแปลข้อมูลผิดก็อาจจะผิดได้ แต่วิทยาศาสตร์ไม่เคยผิดเลย การที่ผู้เขียนพูดว่าเราไม่ได้ข่าวจากรัสเซียในเรื่องนี้เลยนั้น อาจดูเหมือนว่ารัสเซียไม่สนใจ หรือเป็นประหนึ่งว่ารัสเซียไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนและน้ำจะท่วมโลกภายในเร็ววันนี้ เหมือนกับยูเอ็น หรือเหมือนนักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษ อเมริกา หรือประเทศในค่ายประชาธิปไตย ฯลฯ แล้วก็ตีโพยตีพายป่าวร้องให้ประเทศต่างๆ หันมาใช้พลังงานทางเลือกแทนน้ำมัน เราไม่รู้ร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ ว่ารัสเซียมองเรื่องของโลกร้อนและน้ำท่วมโลกหรือภัยธรรมชาติที่ย่อมจะเกิดกับทุกๆ ประเทศในโลกอย่างไร
เร็วๆ นี้ผู้เขียนเผอิญได้อ่านรายงาน 2 ฉบับที่พูดถึงเรื่องดิน ฟ้า ป่า อากาศ (ที่ใช้คำที่ความหมายเหมือนกัน (climate) แต่ใช้เรียกถึง 2 คำนั้น เพราะผู้เขียนคุ้นกับคำว่าลมฟ้าอากาศมานานนักหนาแล้ว แต่เร็วๆ นี้พบคำใหม่ที่คิดว่าสมบูรณ์กว่าจึงใช้คละกัน) ในวารสารวิทยาศาสตร์ (Nexus 2010 กับ Dawn 2009) จึงเล่าให้ผู้อ่านฟังดูว่าฝ่ายใดน่าเชื่อกว่า
ดังที่ได้เคยบอกมาแล้ว ในโลกนี้และปัจจุบันนี้ มีวารสารด้านวิทยาศาสตร์อยู่ 2 ฉบับเท่านั้นที่ชมรมนักวิทยาศาสตร์ให้ความเชื่อถือมากที่สุด โดยแทบจะไม่มี หรือจะพูดว่าไม่มีข้อสงสัยเลยก็ว่าได้ วารสารรายเดือนทั้ง 2 ฉบับนั้นตีพิมพ์ออกมาโดยสมาคมวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดอย่างเป็นทางการ - ของประเทศในเครือของจักรภพอังกฤษ กับประเทศสหรัฐอเมริกาคนละฉบับ (Nature กับ Science) และในวารสารเนเจอร์นั่นเองได้มีรายงานละเอียดของการเจาะชั้นหิมะของธารน้ำแข็ง ชั้นของตะกอนดินพื้นมหาสมุทร (sediment cores) ซึ่งบอกถึงอายุของยุคสมัยต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้เจาะจากสถานีวอสต็อกของรัสเซียที่ขั้วโลกใต้ที่ทวีปแอนตาร์กติก ซึ่งผลของการวิจัยไปตรงกันกับผลของการวิจัยศึกษาวงแหวนของต้นไม้ (tree rings) ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์คำนวณได้อย่างแม่นยำว่า แท้ที่จริงโลกเรากำลังย่างเท้าเข้าสู่ยุคน้ำแข็งเต็มรูปแบบต่างหาก (ไมใช่สมัยน้ำแข็งย่อย little ice-age นะครับ) ผลวิจัยที่วอสต็อกยิงตรงกันเป๊ะๆ กับทฤษฎีของมีลูติน มีแลงโกวิช นักคณิตศาสตร์ชาวฮังการีที่ประกอบด้วย 3 วัฏจักรของความสัมพันธ์ของโลกกับดวงอาทิตย์ ทฤษฎีเดียวที่นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับลมฟ้าอากาศแทบทุกคนให้ความเชื่อถือมาตั้งแต่ปี 1941 ซึ่งอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดยุคน้ำแข็งสมบูรณ์ของโลก ซึ่งเกิดขึ้น “สม่ำเสมอ” ในทุกๆ 100,000 -110,000 ปี 3 วัฏจักรที่ประกอบด้วย หนึ่ง วงโคจรของโลกไปรอบดวงอาทิตย์ - จากค่อนข้างเป็นวงกลม (circular) เป็นวงรี (elliptical) ยาวในทุก 100,000 ปี ทำให้โลกรับแสงแดดแตกต่างกัน สอง แกนของโลกทำมุมเอียงห่างจากดวงอาทิตย์ (ระหว่าง 21.5-24.5 ดีกรี ในทุก 41,000 ปี) ทำให้โลกโดยเฉพาะซีกโลกด้านเหนือได้รับแสงแดดไม่เท่ากัน สาม การเคลื่อนที่ของงเวลาที่เท่ากันของกลางวันกับกลางคืน (equinoxses) ที่เกิดจากการสั่นไหว (wobbling) ของแกนโลกไปตามแนวโคจรของโลก ซึ่งเกิดขึ้นทุก 23,500 ปี การคำนวณของทั้ง 3 วัฏจักรนี้จะทำให้โลกจะต้องมียุคน้ำแข็งที่สมบูรณ์เต็มรูปแบบในทุก 110,000 ปี เช่นเดียวกันกับที่เรามีฤดูกาลประจำปี
นั่น-เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสต์เกี่ยวกับลมฟ้าอากาศเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับโลกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1941 และบางคนก็เชื่อมาจนถึงวันนี้ ถ้าหากไม่ไปหลงเชื่อ คาร์ล เซกัน นักดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคอนเนลที่ใหญ่มากๆ-ป๊อปปูลาร์ที่สุดของอเมริกาและของโลก นักดาราศาสตร์ นักดาวเคราะห์ระดับโลกและองค์การนาซา เป็นนักคิดนักเขียนที่ได้รับรางวัลมากมาย รวมทั้งรางวัลพูลลิเซอร์ คาร์ล เซกัน เป็นคนที่มีบุคลิกดีมาก ยิ้มง่ายและมีเสน่ห์สามารถเอาชนะใจสื่อประเภทต่างๆ ได้แทบทั้งหมดเลย และเป็นคาร์ล เซกัน ผู้นี้เองที่บอกในทศวรรษที่ 1970 ว่า เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ - ที่ได้จากน้ำมันฟอสซิลของคาร์บอนที่มนุษย์ขุดขึ้นมาใช้ - นี่เองที่เป็นต้นเหตุของอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นทำให้โลกร้อนขึ้นมากในช่วงนี้ และเพราะผู้เขียนคิดเอาเองว่า คาร์ล เซกัน เป็นคนที่มีเสน่ห์บุคลิกดีนี้เองบวกกับเหตุผลที่น่าเชื่อที่ทำให้สื่อประเภทต่างๆ ยอมรับและช่วยกันประโคมข่าวเรื่องภาวะโลกร้อนจนนักวิทยาศาสตร์แทบว่าจะทั่วทั้งโลกพากันลืมมิเลงโกวิชกับทฤษฎีของเขาไปเลย และที่สำคัญ-องค์การสหประชาชาติและไอพีซีซีเชื่อว่าเป็นเหตุที่ทำให้ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยเราเดือดร้อนกันไปทั่วในทุกวันนี้
แต่รัสเซียกับผลงานวิจัยที่วอสต็อกคิดไปอีกอย่าง พวกเขารู้สึกจะเชื่อทฤษฎีของมิแลงโกวิชกับ 3 วัฏจักรของความสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์กับโลกดังกล่าวไปแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ ทฤษฎีของมิแลงโกวิชที่เขาใช้เวลาถึงกว่า 20 ปี คำนวณอย่างรอบคอบนั้นดังได้กล่าวแล้ว ยุคน้ำแข็งใหญมีความคงที่ของมัน (regular) เหมือนกับฤดูกาลประจำปีที่เรามี คือมันย่อมจะมีในทุกๆ 110,000 ปี ไม่ว่าจะมีภาวะโลกร้อนจากการเผาน้ำมันหรือไม่ ข้อมูลจากวอสต็อกกราฟแตกต่างจาก “ไม้ตีลูกฮอกกี้” ที่อัล กอร์ กับภาพยนตร์ของเขา (Inconvenient Truth) ตรงที่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับน้ำมันฟอสซิลของคาร์บอนเลย (นั่นคือ จอร์จ บุช-ดิค เชนีย์ กับบรรษัทน้ำมันจงเจริญ!) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่เกิดจากโลกที่ร้อนของมันเองตามวัฏจักรทุกๆ 110,000 ปี ของยุคน้ำแข็งจริงๆ - ซึ่งจะต้องมีอุณหภูมิโลกสูงขึ้นไปก่อนถึง 800 ปีล่วงหน้า อุณหภูมิของโลกถึงจะค่อยๆ ลดต่ำลงในฤดูหนาวจนกระทั่งถึงยุคน้ำแข็งจริงๆ มาถึง และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่สูงขึ้นนั้น เป็นผลของโลกที่ร้อนขึ้นมากกว่าจะเป็นเหตุ ตามที่คลินตัน-กอร์และภาพยนตร์ รวมทั้งไอพีซีซีคิดและเชื่อมั่น
แต่ผู้เขียนทั้งเชื่อและไม่เชื่อข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ทั้งหมด แต่เชื่อคนละครึ่ง คือเชื่อว่า สาเหตุของภาวะโลกร้อนจากน้ำมันและตัณหาโลภจริตจากระบบทุนนิยมมีจริงๆ เช่นเดียวกับเชื่อมิแลงโกวิชว่ายุคน้ำแข็งมีจริง และขณะนี้โลกเราก็ถึงวันนั้นครบ 110,000 ปีจริงๆ คือทั้ง 2 กรณี ทั้งสาเหตุปฐมและตัวเร่งมีจริง เคยบอกมาแล้วว่าวิทยาศาสตร์ไม่เคยผิดหากเราแปลข้อมูลไม่ผิด และต้องรู้วิทยาศาสตร์สาขาอื่นๆ ด้วย เช่น สนามแม่เหล็กโลกตอนนี้หายไปไหน? หรือจุดดำที่ดวงอาทิตย์เป็นอย่างไร? หรือวงโคจรของระบบสุริยะกับกาแล็กซี? ฯลฯ ที่สำคัญคือเราต้องคิดประเด็นทางจิตหรือฟิสิกส์ใหม่ด้วย ก็จักรวาลนี้มีทั้งกายกับจิตหรือรูปธรรมกับนามธรรมไม่ใช่หรือ? คัมภีร์โบราณหรือศาสนาทุกศาสนาที่ได้มาจากปรีชาหยั่งรู้ (เช่น จากสมาธิ) ต่างบอกไว้เหมือนๆ กันว่ามนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงที่จิตวิญญาณ (spirituality) หลังปี 2012 ไปแล้ว.
http://www.thaipost.net/sunday/250710/25305