.Model : แบบจำลองชุมชนย่านสำเพ็ง
ถนนโล่งโจ้ง ยังอุตส่าห์ประมาทให้รถเหยียบ!. เฮ้อ!
สำเพ็ง : ตลาดใหญ่ที่สุดของพระนครยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ Sampheng : Bangkok’s Biggest Market in Early Rattanakosin Periodในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ นอกกำแพงพระนคร มีย่านชุมชนหนาแน่นอยู่แห่งเดียว คือ สำเพ็ง ถนนสายเดียวที่อยู่นอกกำแพงพระนครก็คือตรอกสำเพ็ง เป็นทางเดินแคบๆ ตั้งต้นจากประตูสะพานหันออกมาเป็นระยะทางกว่า ๘๐๐ เมตร มีบ้านเรือนร้านค้าของชาวจีนตั้งเรียงรายโดยตลอด นับเป็นย่านการค้าสำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ โดยเป็นแหล่งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างคึกคัก ทั้งการกระจายสินค้าที่มาจากเมืองจีนและรวบรวมสินค้าไทยที่จะส่งออก ทั้งเป็นแหล่งค้าปลีกที่คนกรุงเทพฯ นิยมมาซื้อหาสินค้านานาชนิด ในตลาดสำเพ็งมีร้านขายของกินของใช้ทั้งสำหรับคนจีนและคนไทย และยังมีสถานเริงรมย์ เช่น โรงบ่อน และสำนักนางโลม (โคมเขียว) โรงเรือนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในย่านนี้เป็นแบบจีน ปลูกประชิดแออัดกันจึงเกิดไฟไหม้บ่อยครั้งสานโคม Weaver of Chinese Paper Lantern"โคมกระดาษ" เป็นเครื่องใช้ตามบ้านเรือนและใช้ในพิธีต่างๆ ของคนจีน
ในชุมชนจีนจึงมีคนสานโคมขายเป็นอาชีพ ซึ่งรวมถึงการเขียนตัวอักษรลงบนโคม
โคมสำหรับแขวนหน้าร้านค้ามักเขียนตัวอักษรสีแดงเป็นชื่อร้าน
ส่วนโคมที่ใช้ในงานศพเขียนตัวอักษรสีน้ำเงิน
(ในสำเพ็งมีตรอกเล็กๆ ชื่อ
ตรอกโรงโคม เป็นแหล่งที่ทำโคมขายกันมาก)
ภัตตาคาร : สถานที่พบปะทางสังคม
เยาวราชเป็นย่านที่ขึ้นชื่อว่ามีภัตตาคารชั้นนำหลายแห่งตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่คนกรุงเทพฯ
เริ่มนิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยนอกจากอาหารรสเลิศแล้ว ภัตตาคารที่เยาวราช
ยังถือเป็นที่สังสรรค์อันมีรสนิยม อีกทั้งมีความสำคัญในวงสังคมชาวจีนโดยเป็นสถานที่
พบปะเจรจาเรื่องต่างๆ ตามธรรมเนียมจีนที่นิยมเริ่มต้นพูดคุยเรื่องสำคัญที่โต๊ะอาหาร
ตั้งแต่การเจรจาทางธุรกิจ การไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง การนัดดูตัวชายหญิงเพื่อหมั้นหมาย
ไปจนถึงเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงแต่งงานที่ขึ้นหน้าขึ้นตา
ภัตตาคารที่เป็นตำนานความหรูหรามีระดับที่สุดของย่านเยาวราช คือห้อยเทียนเหลา
หรือหยาดฟ้าภัตตาคาร อยู่ที่ถนนเสือป่า ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ ๒๔๗๗
เป็นอาคาร ๓ ชั้นใหญ่โตโอ่อ่า มีห้องโถงจัดเลี้ยงบนชั้น ๓ และมีสถานที่เต้นรำพร้อมวงดนตรี
บนดาดฟ้า เป็นสถานลีลาศแห่งแรกๆ ในเมืองไทย
ภัตตาคารแห่งนี้จึงเป็นสถานที่สังสรรค์ยอดนิยม ในวงสังคมชั้นสูงของกรุงเทพฯ
และเป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองได้อย่างสมฐานะ
โพยก๊วน : สายสัมพันธ์กับบ้านเกิด
คนจีนส่วนใหญ่เดินทางมาทำมาหากินในเมืองไทยด้วยจุดมุ่งหมายที่จะหาเงิน
ส่งไปให้ครอบครัวที่เมืองจีน การส่งจดหมายพร้อมเงินกลับบ้าน ที่เรียกว่า “โพยก๊วน”
จึงเป็นภารกิจสำคัญ ซึ่งทำให้เกิดร้านโพยก๊วนจำนวนมากที่เยาวราช โดยแต่ละร้าน
จะให้บริการส่งเฉพาะถิ่น และมีตู้แยกโพยก๊วนตามแซ่เพื่อนำส่งถึงบ้านผู้รับ
ที่ร้านจะมีกระดาษใบเล็กให้ผู้ส่งเขียนข้อความถึงญาติพี่น้องและบอกจำนวนเงินที่ส่ง
รวมถึงมีบริการเขียนตามคำบอกสำหรับลูกค้าที่เขียนหนังสือไม่เป็น ร้านโพยก๊วน
จึงเป็นสื่อความผูกพันระหว่างคนจีนกับบ้านเกิด ผู้ที่มาส่งโพยก๊วนที่ร้าน
มักเป็นคนหาเช้ากินค่ำ แต่ก็พยายามอดออมเงินส่งให้ครอบครัว บางรายไม่มีเงิน
ก็สามารถขอกู้จากร้านส่งไปก่อนได้ แล้วค่อยใช้คืนเมื่อมารับใบตอบรับที่ส่งกลับ
มาจากเมืองจีน นอกจากนี้บางร้านยังจัดข้าวต้มไว้ให้กินโดยไม่ต้องเสียเงิน
ส่วนลูกค้าฐานะดีนั้น ร้านโพยก๊วนมีบริการไปรับเงินถึงบ้าน
วัดจีน : ศูนย์รวมความศรัทธาของชาวจีน
เดิมชุมชนจีนในเมืองไทยมีเพียงศาลเจ้าเป็นที่พึ่งทางใจตามความเชื่อ
ซึ่งมีทั้งลัทธิขงจื๊อ เต๋า และพระพุทธศาสนา ผสมผสานกัน
โดยแบ่งแยกเป็นศาลของชาวจีนแต่ละกลุ่มภาษา แต่ไม่มีวัดและพระสงฆ์
ชาวจีนต้องอาศัยวัดญวนหรือวัดไทยเพื่อประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา
จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงมีพระสงฆ์จากเมืองจีนเข้ามา และได้ก่อตั้ง
วัดจีนแห่งแรกด้วยความศรัทธาจากชาวจีนทุกกลุ่ม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔
คือ วัดเล่งเน่ยยี่ (
Wat Lengnoeiyi) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานนามว่า “วัดมงกรกมลาวาส” และพระราชทานสมณศักดิ์
แก่เจ้าอาวาสรูปแรก ถือเป็นจุดกำเนิดคณะสงฆ์จีนนิกายในเมืองไทย
ต่อมาจึงเกิดวัดจีนขึ้นอีกหลายแห่ง
บริเวณลานหน้าวัดมังกรกมลาวาสในสมัยก่อน คึกคักด้วยแผงขายของเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ
สำหรับศาสนิกชนที่มาไหว้พระไหว้เจ้า ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ ตลอดจนเสี่ยงทายโชคชะตา
นอกจากนี้ยังมีของกินของใช้ให้ซื้อกลับบ้าน นับเป็นแหล่งค้าขายที่เกิดขึ้น
สืบเนื่องจากความเชื่อในวิถีชีวิตจีน
"โรงงิ้ว" มุมนี้ถูกใจมากที่สุดค่ะ ใช้เวลาชมนานกว่าจุดอื่น
มีภาพเคลื่อนไหวประกอบเสียงดนตรีจีน น่ารักมาก โรงงิ้ว แหล่งความบันเทิงและถ่ายทอดคติธรรม
"งิ้ว" เป็นการแสดงเก่าแก่ของชาวจีน มักจัดแสดงในงานบุญใหญ่ๆ
โดยสร้างโรงขึ้นชั่วคราวตามสถานที่ที่ไปแสดง แต่ในยุคเฟื่องฟูของแหล่ง
บันเทิงบนถนนเยาวราช มีโรงงิ้วที่สร้างอย่างใหญ่โตถาวรแบบโรงภาพยนตร์
เกิดขึ้นหลายโรงตามสองฝั่งถนนสายนี้ บางโรงมีที่นั่งถึง ๔๐๐ ที่
และมีที่ยืนชม ได้อีก ๑๐๐ ที่
ช่วงที่โรงงิ้วเยาวราชได้รับความนิยมสูงสุดคือระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๕-๒๕๐๕
มีการแสดงงิ้ววันละ ๒ รอบ รอบละ ๓ ชั่วโมงครึ่ง เรื่องที่แสดงแต่ละเรื่อง
หรือแต่ละตอนจะแสดงอยู่ประมาณสองวัน โดยจะเพิ่มหรือลดวันตามจำนวนผู้ชม
นอกจากความบันเทิง งิ้วยังเป็นสื่อที่มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดคติธรรม
และความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ โดยโรงงิ้วที่เยาวราช
ส่วนใหญ่เป็นงิ้วแต้จิ๋วที่นิยมแสดงเรื่องในประวัติศาสตร์ซึ่งมีคติสอนใจ
เมื่อจะเริ่มแสดงแต่ละเรื่องจะมีงิ้วชุดเบิกโรงที่เรียกว่า “ป่วงเซียง”
เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนแสดงงิ้วเรื่อง งิ้วเบิกโรงชุดหนึ่งที่นิยมคือ “หลักก๊กฮงเลี่ยง”
เป็นเรื่องของ ๖ แคว้นที่จะรบกันแย่งชิงความเป็นใหญ่ แต่มีอำมาตย์
ผู้ใหญ่ของจีนมาเจรจาให้ปรองดองกัน และแต่งตั้งเจ้าผู้ครองแคว้น
ทั้ง ๖ เป็นขุนพลของจีน
ร้านจันอับ ร้านขนมแห่งชีวิต
"จันอับ" เป็นคำรวมเรียกขนมหวานแบบแห้งหลายชนิดของคนจีน
สำหรับกินกับน้ำชา เช่น ข้าวพอง ถั่วตัด งาตัด ถั่วลิสงเคลือบ ฟักเชื่อม
โดยเป็นทั้งของกินเล่นในชีวิตประจำวัน ใช้รับรองแขก เป็นของไหว้เจ้า
และเป็นเครื่องประกอบในงานมงคลทุกงานตามคติของชาวจีน
ที่ถือว่าความหวานคือสัญลักษณ์ของความสุข อีกทั้งจันอับ
ยังมีความหมายถึงความเจริญงอกงามเพราะทำจากเมล็ดธัญพืช
หลายอย่างที่งอกได้ง่าย
ในการแต่งงานของคนจีนจะต้องใช้ขนมจันอับเป็นส่วนหนึ่ง
ในขบวนของหมั้น และนำไปมอบให้ญาติมิตรพร้อมบัตรเชิญ
ร่วมพิธีแต่งงาน ร้านจันอับจึงมักบริการจัดสำรับขนมสำหรับ
ใช้ในพิธีอย่างสวยงาม
ด้วยเหตุที่จันอับถือเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในวิถีชีวิตจีน
ในย่านเยาวราชจึงมีร้านจันอับอยู่หลายร้าน เป็นกิจการ
ในครอบครัวที่ถ่ายทอดสูตรการทำขนมจากรุ่นสู่รุ่น
ร้านเหล่านี้นอกจากมีขนมจันอับหลายอย่างรวมถึงขนมเปี๊ยะแล้ว
ยังมีสิงโตน้ำตาลที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
ร้านทอง Gold Shopชาวจีนมีค่านิยมในการสะสมทรัพย์สินเงินทอง เมื่อเข้ามาทำมาหากิน
ในเมืองไทยมีรายได้ นอกจากจะส่งกลับไปให้ครอบครัวที่เมืองจีนแล้ว
ก็จะเก็บออมเงินส่วนหนึ่งซื้อทรัพย์สินสะสมไว้เป็นการสร้างฐานะ
โดยในยุคที่คนจีนจำนวนมากยังมีสถานภาพเป็นคนต่างด้าว
ไม่สามารถซื้อที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ ก็นิยมซื้อทองรูปพรรณเก็บไว้
ทำให้มีร้านทองเกิดขึ้นหลายร้านในย่านคนจีนที่เยาวราช
ซึ่งพัฒนาเป็นร้านใหญ่โตตามเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูในย่านนี้
และกลายเป็นร้านทองชั้นแนวหน้าที่ถือกันว่าเป็นแหล่ง
จำหน่ายทองคำคุณภาพสูงสุดของประเทศ
นอกจากนี้ร้านทองที่เยาวราชยังเป็นผู้นำด้านรูปแบบการตกแต่ง
ภายในร้าน ซึ่งร้านที่อื่นๆ จะทำตามจนเป็นเอกลักษณ์ของร้านทอง
โดยแต่เดิมนิยมทาสีเขียวครามตกแต่งด้วยไฟสีแดง ก่อนจะหัน
มานิยมทาสีแดงในภายหลัง
วาระที่คนจีนนิยมซื้อทองกันมากคือตรุษจีน ซึ่งมีการแจกเงินแต๊ะเอีย
ผู้ได้รับเงินมักจะนำมาซื้อทองเก็บไว้ในสมัยก่อนเมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน
ร้านทองที่เยาวราชจะนำวงดนตรีจีนมาบรรเลงสร้างความคึกคัก
และมีของแจกแถม ทำให้มีลูกค้าเข้าคิวซื้อทองกันแน่นขนัด
โรงเรียนจีน เมื่อชาวจีนจำนวนมากสามารถก่อร่างสร้างตัวและสร้างครอบครัวในเมืองไทย
จึงมีความตั้งใจลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ทำให้มีโรงเรียนจีนเกิดขึ้น
เพื่อสอนภาษาและวัฒนธรรมจีนให้กับลูกหลาน โรงเรียนจีนแห่งแรก
ในเมืองไทยตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ โดยใช้หลักสูตรของประเทศจีน
หลังจากนั้นชาวจีนแต่ละกลุ่มภาษาก็ตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่ง
ซึ่งใช้ภาษาจีนในการเรียนการสอน
จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๖๔ รัฐบาลไทยได้ออกพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน
และพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ส่งผลให้โรงเรียนจีนต้องเปลี่ยน
มาสอนภาษาไทยเป็นหลัก ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกหลานจีนค่อยๆ
กลายเป็นคนไทยได้อย่างกลมกลืน
โรงเรียนเผยอิง เป็นโรงเรียนจีนชั้นนำแห่งหนึ่งในย่านเยาวราช
สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคของกลุ่มพ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋ว ตั้งอยู่ในบริเวณศาลเจ้าเก่า
(เล่าปุนเถ้ากง) ซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวจีนในย่านนี้มาแต่เดิม
โดยเปิดสอนมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๓ และเจริญก้าวหน้ามาถึงปัจจุบัน
นักเรียนจากโรงเรียนนี้หลายคนได้กลายเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยในเวลาต่อมา
ศาลเจ้า จากความศรัทธาสู่งานสาธารณกุศล
ความศรัทธาต่อเทพเจ้าของชาวจีน นอกจากทำให้มีการสร้างศาลเจ้า
ไว้สักการบูชาแล้ว ยังก่อให้เกิดงานสาธารณกุศลต่างๆ ไปด้วยกัน
ดังศาลเจ้าไต้ฮงกง อันเกิดจากความศรัทธาต่อพระภิกษุไต้ฮง
ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ซ้อง
นยุคนั้นเกิดโรคระบาดผู้คนล้มตายกันมาก ท่านได้จัดการเก็บศพไปฝัง
โดยไม่รังเกียจ ทั้งตั้งโรงรักษาโรค จัดหาอาหารและสิ่งของให้ผู้เดือดร้อน
จึงเป็นที่เลื่อมใสของชาวจีนสืบมา ครั้นมีการเชิญรูปสลักไต้ฮงกง
เข้ามาในเมืองไทย พ่อค้าจีนจึงร่วมใจกันก่อตั้ง “คณะเก็บศพไต้ฮงกง”
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ เพื่อเก็บศพไร้ญาติ และได้สร้างศาลแห่งนี้ขึ้น
ซึ่งภายหลังได้จัดตั้งมูลนิธิฮั่วเคี้ยวป๊อเต็กเซี่ยงตึ๊ง หรือป่อเต็กตึ๊ง
และขยายงานการกุศลไปอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่การรักษาพยาบาล
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ไปจนถึงให้การศึกษา ส่วนที่ศาลเจ้า
ก็มีงานบุญใหญ่ประจำปีคืองานทิ้งกระจาด ซึ่งเป็นการทำบุญ
ให้ดวงวิญญาณและแจกทานให้คนยากไร้ โดยตั้งพิธีหน้ารูปไต้ฮงกง
สวดเชิญวิญญาณมาชุมนุมรับส่วนกุศล หลังจากนั้นจึงแจกทาน
อันประกอบด้วย ข้าวสารอาหารแห้ง และของใช้ต่างๆ
แต่ละปีมีผู้มารับทานจำนวนมาก
ถนนเยาวราช พ.ศ. ๒๔๙๐–๒๕๐๐
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถนนเยาวราชเจริญเฟื่องฟูสูงสุด
กลายเป็นถนนสายหลักของชุมชนจีน พร้อมทั้งก้าวขึ้น
เป็นย่านธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และเป็นศูนย์รวม
ความทันสมัยของกรุงเทพฯ
โดยเป็นที่ตั้งของตึกสูงสุด ของประเทศถึง ๓ แห่ง
ห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่สุด แหล่งรวมร้านค้าทองคำ
มาตรฐานสูงสุด ตัวแทนจำหน่ายสินค้าชั้นนำ
จากต่างประเทศ กิจการธนาคาร ตลอดจนห้างร้าน
ขายของกินของใช้แบบจีนมากมาย ซึ่งหลายร้าน
ได้ขยายกิจการสู่ระดับประเทศ นอกจากนี้
ยังมีภัตตาคารชั้นเลิศหลายแห่ง มีโรงงิ้วหลายโรง
ที่สร้างขึ้นถาวรเหมือนโรงภาพยนตร์ ซึ่งไม่เคยมีที่อื่น
อีกทั้งมีโรงน้ำชาเป็นถานเริงรมย์แบบใหม่
เยาวราชจึงเป็นแหล่งบันเทิงยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ
ในยุคนั้น ความเจริญของถนนเยาวราชซึ่งเป็นศูนย์รวม
ความเป็นที่สุดของประเทศในหลายๆ ด้าน เป็นภาพสะท้อน
ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชาวจีนที่เข้ามาทำมาหากิน
ในเมืองไทยด้วยความมานะบากบั่น และได้สร้างความก้าวหน้า
อย่างใหญ่หลวงให้กับเศรษฐกิจยุคใหม่ของไทย
ส่วนหนึ่งของภาพถ่ายเก่าหาชมยากสร้างทางรถไฟ
Railroad constructionลากรถรับจ้าง -
Pulling a rickshaw ขายของหาบเร่ -
Street peddler