.![](http://www.sookjaipic.com/images_upload/91713338552249_1.JPG)
Model : แบบจำลองชุมชนย่านสำเพ็ง
![](http://www.sookjaipic.com/images_upload/40413019640578_6.JPG)
![](http://www.sookjaipic.com/images_upload/25414067920711_7.JPG)
ถนนโล่งโจ้ง ยังอุตส่าห์ประมาทให้รถเหยียบ!. เฮ้อ!
สำเพ็ง : ตลาดใหญ่ที่สุดของพระนครยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ Sampheng : Bangkok’s Biggest Market in Early Rattanakosin Periodในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ นอกกำแพงพระนคร มีย่านชุมชนหนาแน่นอยู่แห่งเดียว คือ สำเพ็ง ถนนสายเดียวที่อยู่นอกกำแพงพระนครก็คือตรอกสำเพ็ง เป็นทางเดินแคบๆ ตั้งต้นจากประตูสะพานหันออกมาเป็นระยะทางกว่า ๘๐๐ เมตร มีบ้านเรือนร้านค้าของชาวจีนตั้งเรียงรายโดยตลอด นับเป็นย่านการค้าสำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ โดยเป็นแหล่งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างคึกคัก ทั้งการกระจายสินค้าที่มาจากเมืองจีนและรวบรวมสินค้าไทยที่จะส่งออก ทั้งเป็นแหล่งค้าปลีกที่คนกรุงเทพฯ นิยมมาซื้อหาสินค้านานาชนิด ในตลาดสำเพ็งมีร้านขายของกินของใช้ทั้งสำหรับคนจีนและคนไทย และยังมีสถานเริงรมย์ เช่น โรงบ่อน และสำนักนางโลม (โคมเขียว) โรงเรือนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในย่านนี้เป็นแบบจีน ปลูกประชิดแออัดกันจึงเกิดไฟไหม้บ่อยครั้ง
สานโคม Weaver of Chinese Paper Lantern"โคมกระดาษ" เป็นเครื่องใช้ตามบ้านเรือนและใช้ในพิธีต่างๆ ของคนจีน
ในชุมชนจีนจึงมีคนสานโคมขายเป็นอาชีพ ซึ่งรวมถึงการเขียนตัวอักษรลงบนโคม
โคมสำหรับแขวนหน้าร้านค้ามักเขียนตัวอักษรสีแดงเป็นชื่อร้าน
ส่วนโคมที่ใช้ในงานศพเขียนตัวอักษรสีน้ำเงิน
(ในสำเพ็งมีตรอกเล็กๆ ชื่อ
ตรอกโรงโคม เป็นแหล่งที่ทำโคมขายกันมาก)
ภัตตาคาร : สถานที่พบปะทางสังคม
เยาวราชเป็นย่านที่ขึ้นชื่อว่ามีภัตตาคารชั้นนำหลายแห่งตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่คนกรุงเทพฯ
เริ่มนิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยนอกจากอาหารรสเลิศแล้ว ภัตตาคารที่เยาวราช
ยังถือเป็นที่สังสรรค์อันมีรสนิยม อีกทั้งมีความสำคัญในวงสังคมชาวจีนโดยเป็นสถานที่
พบปะเจรจาเรื่องต่างๆ ตามธรรมเนียมจีนที่นิยมเริ่มต้นพูดคุยเรื่องสำคัญที่โต๊ะอาหาร
ตั้งแต่การเจรจาทางธุรกิจ การไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้ง การนัดดูตัวชายหญิงเพื่อหมั้นหมาย
ไปจนถึงเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงแต่งงานที่ขึ้นหน้าขึ้นตา
ภัตตาคารที่เป็นตำนานความหรูหรามีระดับที่สุดของย่านเยาวราช คือห้อยเทียนเหลา
หรือหยาดฟ้าภัตตาคาร อยู่ที่ถนนเสือป่า ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ ๒๔๗๗
เป็นอาคาร ๓ ชั้นใหญ่โตโอ่อ่า มีห้องโถงจัดเลี้ยงบนชั้น ๓ และมีสถานที่เต้นรำพร้อมวงดนตรี
บนดาดฟ้า เป็นสถานลีลาศแห่งแรกๆ ในเมืองไทย
ภัตตาคารแห่งนี้จึงเป็นสถานที่สังสรรค์ยอดนิยม ในวงสังคมชั้นสูงของกรุงเทพฯ
และเป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองได้อย่างสมฐานะ
โพยก๊วน : สายสัมพันธ์กับบ้านเกิด
คนจีนส่วนใหญ่เดินทางมาทำมาหากินในเมืองไทยด้วยจุดมุ่งหมายที่จะหาเงิน
ส่งไปให้ครอบครัวที่เมืองจีน การส่งจดหมายพร้อมเงินกลับบ้าน ที่เรียกว่า “โพยก๊วน”
จึงเป็นภารกิจสำคัญ ซึ่งทำให้เกิดร้านโพยก๊วนจำนวนมากที่เยาวราช โดยแต่ละร้าน
จะให้บริการส่งเฉพาะถิ่น และมีตู้แยกโพยก๊วนตามแซ่เพื่อนำส่งถึงบ้านผู้รับ
ที่ร้านจะมีกระดาษใบเล็กให้ผู้ส่งเขียนข้อความถึงญาติพี่น้องและบอกจำนวนเงินที่ส่ง
รวมถึงมีบริการเขียนตามคำบอกสำหรับลูกค้าที่เขียนหนังสือไม่เป็น ร้านโพยก๊วน
จึงเป็นสื่อความผูกพันระหว่างคนจีนกับบ้านเกิด ผู้ที่มาส่งโพยก๊วนที่ร้าน
มักเป็นคนหาเช้ากินค่ำ แต่ก็พยายามอดออมเงินส่งให้ครอบครัว บางรายไม่มีเงิน
ก็สามารถขอกู้จากร้านส่งไปก่อนได้ แล้วค่อยใช้คืนเมื่อมารับใบตอบรับที่ส่งกลับ
มาจากเมืองจีน นอกจากนี้บางร้านยังจัดข้าวต้มไว้ให้กินโดยไม่ต้องเสียเงิน
ส่วนลูกค้าฐานะดีนั้น ร้านโพยก๊วนมีบริการไปรับเงินถึงบ้าน
วัดจีน : ศูนย์รวมความศรัทธาของชาวจีน
เดิมชุมชนจีนในเมืองไทยมีเพียงศาลเจ้าเป็นที่พึ่งทางใจตามความเชื่อ
ซึ่งมีทั้งลัทธิขงจื๊อ เต๋า และพระพุทธศาสนา ผสมผสานกัน
โดยแบ่งแยกเป็นศาลของชาวจีนแต่ละกลุ่มภาษา แต่ไม่มีวัดและพระสงฆ์
ชาวจีนต้องอาศัยวัดญวนหรือวัดไทยเพื่อประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา
จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงมีพระสงฆ์จากเมืองจีนเข้ามา และได้ก่อตั้ง
วัดจีนแห่งแรกด้วยความศรัทธาจากชาวจีนทุกกลุ่ม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔
คือ วัดเล่งเน่ยยี่ (
Wat Lengnoeiyi) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานนามว่า “วัดมงกรกมลาวาส” และพระราชทานสมณศักดิ์
แก่เจ้าอาวาสรูปแรก ถือเป็นจุดกำเนิดคณะสงฆ์จีนนิกายในเมืองไทย
ต่อมาจึงเกิดวัดจีนขึ้นอีกหลายแห่ง
บริเวณลานหน้าวัดมังกรกมลาวาสในสมัยก่อน คึกคักด้วยแผงขายของเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ
สำหรับศาสนิกชนที่มาไหว้พระไหว้เจ้า ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ ตลอดจนเสี่ยงทายโชคชะตา
นอกจากนี้ยังมีของกินของใช้ให้ซื้อกลับบ้าน นับเป็นแหล่งค้าขายที่เกิดขึ้น
สืบเนื่องจากความเชื่อในวิถีชีวิตจีน
"โรงงิ้ว" มุมนี้ถูกใจมากที่สุดค่ะ ใช้เวลาชมนานกว่าจุดอื่น
มีภาพเคลื่อนไหวประกอบเสียงดนตรีจีน น่ารักมาก ![](http://www.sookjaipic.com/images_upload/67739137676027_1.JPG)
โรงงิ้ว แหล่งความบันเทิงและถ่ายทอดคติธรรม
"งิ้ว" เป็นการแสดงเก่าแก่ของชาวจีน มักจัดแสดงในงานบุญใหญ่ๆ
โดยสร้างโรงขึ้นชั่วคราวตามสถานที่ที่ไปแสดง แต่ในยุคเฟื่องฟูของแหล่ง
บันเทิงบนถนนเยาวราช มีโรงงิ้วที่สร้างอย่างใหญ่โตถาวรแบบโรงภาพยนตร์
เกิดขึ้นหลายโรงตามสองฝั่งถนนสายนี้ บางโรงมีที่นั่งถึง ๔๐๐ ที่
และมีที่ยืนชม ได้อีก ๑๐๐ ที่
ช่วงที่โรงงิ้วเยาวราชได้รับความนิยมสูงสุดคือระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๕-๒๕๐๕
มีการแสดงงิ้ววันละ ๒ รอบ รอบละ ๓ ชั่วโมงครึ่ง เรื่องที่แสดงแต่ละเรื่อง
หรือแต่ละตอนจะแสดงอยู่ประมาณสองวัน โดยจะเพิ่มหรือลดวันตามจำนวนผู้ชม
นอกจากความบันเทิง งิ้วยังเป็นสื่อที่มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดคติธรรม
และความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ โดยโรงงิ้วที่เยาวราช
ส่วนใหญ่เป็นงิ้วแต้จิ๋วที่นิยมแสดงเรื่องในประวัติศาสตร์ซึ่งมีคติสอนใจ
เมื่อจะเริ่มแสดงแต่ละเรื่องจะมีงิ้วชุดเบิกโรงที่เรียกว่า “ป่วงเซียง”
เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนแสดงงิ้วเรื่อง งิ้วเบิกโรงชุดหนึ่งที่นิยมคือ “หลักก๊กฮงเลี่ยง”
เป็นเรื่องของ ๖ แคว้นที่จะรบกันแย่งชิงความเป็นใหญ่ แต่มีอำมาตย์
ผู้ใหญ่ของจีนมาเจรจาให้ปรองดองกัน และแต่งตั้งเจ้าผู้ครองแคว้น
ทั้ง ๖ เป็นขุนพลของจีน
ร้านจันอับ ร้านขนมแห่งชีวิต
"จันอับ" เป็นคำรวมเรียกขนมหวานแบบแห้งหลายชนิดของคนจีน
สำหรับกินกับน้ำชา เช่น ข้าวพอง ถั่วตัด งาตัด ถั่วลิสงเคลือบ ฟักเชื่อม
โดยเป็นทั้งของกินเล่นในชีวิตประจำวัน ใช้รับรองแขก เป็นของไหว้เจ้า
และเป็นเครื่องประกอบในงานมงคลทุกงานตามคติของชาวจีน
ที่ถือว่าความหวานคือสัญลักษณ์ของความสุข อีกทั้งจันอับ
ยังมีความหมายถึงความเจริญงอกงามเพราะทำจากเมล็ดธัญพืช
หลายอย่างที่งอกได้ง่าย
ในการแต่งงานของคนจีนจะต้องใช้ขนมจันอับเป็นส่วนหนึ่ง
ในขบวนของหมั้น และนำไปมอบให้ญาติมิตรพร้อมบัตรเชิญ
ร่วมพิธีแต่งงาน ร้านจันอับจึงมักบริการจัดสำรับขนมสำหรับ
ใช้ในพิธีอย่างสวยงาม
ด้วยเหตุที่จันอับถือเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในวิถีชีวิตจีน
ในย่านเยาวราชจึงมีร้านจันอับอยู่หลายร้าน เป็นกิจการ
ในครอบครัวที่ถ่ายทอดสูตรการทำขนมจากรุ่นสู่รุ่น
ร้านเหล่านี้นอกจากมีขนมจันอับหลายอย่างรวมถึงขนมเปี๊ยะแล้ว
ยังมีสิงโตน้ำตาลที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
ร้านทอง Gold Shopชาวจีนมีค่านิยมในการสะสมทรัพย์สินเงินทอง เมื่อเข้ามาทำมาหากิน
ในเมืองไทยมีรายได้ นอกจากจะส่งกลับไปให้ครอบครัวที่เมืองจีนแล้ว
ก็จะเก็บออมเงินส่วนหนึ่งซื้อทรัพย์สินสะสมไว้เป็นการสร้างฐานะ
โดยในยุคที่คนจีนจำนวนมากยังมีสถานภาพเป็นคนต่างด้าว
ไม่สามารถซื้อที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ ก็นิยมซื้อทองรูปพรรณเก็บไว้
ทำให้มีร้านทองเกิดขึ้นหลายร้านในย่านคนจีนที่เยาวราช
ซึ่งพัฒนาเป็นร้านใหญ่โตตามเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูในย่านนี้
และกลายเป็นร้านทองชั้นแนวหน้าที่ถือกันว่าเป็นแหล่ง
จำหน่ายทองคำคุณภาพสูงสุดของประเทศ
นอกจากนี้ร้านทองที่เยาวราชยังเป็นผู้นำด้านรูปแบบการตกแต่ง
ภายในร้าน ซึ่งร้านที่อื่นๆ จะทำตามจนเป็นเอกลักษณ์ของร้านทอง
โดยแต่เดิมนิยมทาสีเขียวครามตกแต่งด้วยไฟสีแดง ก่อนจะหัน
มานิยมทาสีแดงในภายหลัง
วาระที่คนจีนนิยมซื้อทองกันมากคือตรุษจีน ซึ่งมีการแจกเงินแต๊ะเอีย
ผู้ได้รับเงินมักจะนำมาซื้อทองเก็บไว้ในสมัยก่อนเมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน
ร้านทองที่เยาวราชจะนำวงดนตรีจีนมาบรรเลงสร้างความคึกคัก
และมีของแจกแถม ทำให้มีลูกค้าเข้าคิวซื้อทองกันแน่นขนัด
โรงเรียนจีน เมื่อชาวจีนจำนวนมากสามารถก่อร่างสร้างตัวและสร้างครอบครัวในเมืองไทย
จึงมีความตั้งใจลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ทำให้มีโรงเรียนจีนเกิดขึ้น
เพื่อสอนภาษาและวัฒนธรรมจีนให้กับลูกหลาน โรงเรียนจีนแห่งแรก
ในเมืองไทยตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ โดยใช้หลักสูตรของประเทศจีน
หลังจากนั้นชาวจีนแต่ละกลุ่มภาษาก็ตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่ง
ซึ่งใช้ภาษาจีนในการเรียนการสอน
จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๖๔ รัฐบาลไทยได้ออกพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน
และพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ส่งผลให้โรงเรียนจีนต้องเปลี่ยน
มาสอนภาษาไทยเป็นหลัก ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกหลานจีนค่อยๆ
กลายเป็นคนไทยได้อย่างกลมกลืน
โรงเรียนเผยอิง เป็นโรงเรียนจีนชั้นนำแห่งหนึ่งในย่านเยาวราช
สร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคของกลุ่มพ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋ว ตั้งอยู่ในบริเวณศาลเจ้าเก่า
(เล่าปุนเถ้ากง) ซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวจีนในย่านนี้มาแต่เดิม
โดยเปิดสอนมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๓ และเจริญก้าวหน้ามาถึงปัจจุบัน
นักเรียนจากโรงเรียนนี้หลายคนได้กลายเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยในเวลาต่อมา
ศาลเจ้า จากความศรัทธาสู่งานสาธารณกุศล
ความศรัทธาต่อเทพเจ้าของชาวจีน นอกจากทำให้มีการสร้างศาลเจ้า
ไว้สักการบูชาแล้ว ยังก่อให้เกิดงานสาธารณกุศลต่างๆ ไปด้วยกัน
ดังศาลเจ้าไต้ฮงกง อันเกิดจากความศรัทธาต่อพระภิกษุไต้ฮง
ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ซ้อง
นยุคนั้นเกิดโรคระบาดผู้คนล้มตายกันมาก ท่านได้จัดการเก็บศพไปฝัง
โดยไม่รังเกียจ ทั้งตั้งโรงรักษาโรค จัดหาอาหารและสิ่งของให้ผู้เดือดร้อน
จึงเป็นที่เลื่อมใสของชาวจีนสืบมา ครั้นมีการเชิญรูปสลักไต้ฮงกง
เข้ามาในเมืองไทย พ่อค้าจีนจึงร่วมใจกันก่อตั้ง “คณะเก็บศพไต้ฮงกง”
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ เพื่อเก็บศพไร้ญาติ และได้สร้างศาลแห่งนี้ขึ้น
ซึ่งภายหลังได้จัดตั้งมูลนิธิฮั่วเคี้ยวป๊อเต็กเซี่ยงตึ๊ง หรือป่อเต็กตึ๊ง
และขยายงานการกุศลไปอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่การรักษาพยาบาล
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ไปจนถึงให้การศึกษา ส่วนที่ศาลเจ้า
ก็มีงานบุญใหญ่ประจำปีคืองานทิ้งกระจาด ซึ่งเป็นการทำบุญ
ให้ดวงวิญญาณและแจกทานให้คนยากไร้ โดยตั้งพิธีหน้ารูปไต้ฮงกง
สวดเชิญวิญญาณมาชุมนุมรับส่วนกุศล หลังจากนั้นจึงแจกทาน
อันประกอบด้วย ข้าวสารอาหารแห้ง และของใช้ต่างๆ
แต่ละปีมีผู้มารับทานจำนวนมาก
ถนนเยาวราช พ.ศ. ๒๔๙๐–๒๕๐๐
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถนนเยาวราชเจริญเฟื่องฟูสูงสุด
กลายเป็นถนนสายหลักของชุมชนจีน พร้อมทั้งก้าวขึ้น
เป็นย่านธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และเป็นศูนย์รวม
ความทันสมัยของกรุงเทพฯ
โดยเป็นที่ตั้งของตึกสูงสุด ของประเทศถึง ๓ แห่ง
ห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่สุด แหล่งรวมร้านค้าทองคำ
มาตรฐานสูงสุด ตัวแทนจำหน่ายสินค้าชั้นนำ
จากต่างประเทศ กิจการธนาคาร ตลอดจนห้างร้าน
ขายของกินของใช้แบบจีนมากมาย ซึ่งหลายร้าน
ได้ขยายกิจการสู่ระดับประเทศ นอกจากนี้
ยังมีภัตตาคารชั้นเลิศหลายแห่ง มีโรงงิ้วหลายโรง
ที่สร้างขึ้นถาวรเหมือนโรงภาพยนตร์ ซึ่งไม่เคยมีที่อื่น
อีกทั้งมีโรงน้ำชาเป็นถานเริงรมย์แบบใหม่
เยาวราชจึงเป็นแหล่งบันเทิงยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ
ในยุคนั้น ความเจริญของถนนเยาวราชซึ่งเป็นศูนย์รวม
ความเป็นที่สุดของประเทศในหลายๆ ด้าน เป็นภาพสะท้อน
ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชาวจีนที่เข้ามาทำมาหากิน
ในเมืองไทยด้วยความมานะบากบั่น และได้สร้างความก้าวหน้า
อย่างใหญ่หลวงให้กับเศรษฐกิจยุคใหม่ของไทย
ส่วนหนึ่งของภาพถ่ายเก่าหาชมยาก![](http://www.sookjaipic.com/images_upload/19558210008674_1.JPG)
สร้างทางรถไฟ
Railroad construction![](http://www.sookjaipic.com/images_upload/58718328509065_2.JPG)
ลากรถรับจ้าง -
Pulling a rickshaw ![](http://www.sookjaipic.com/images_upload/71533481528361_3.JPG)
ขายของหาบเร่ -
Street peddler