[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 22:53:18 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แด่เธอ... ผู้รู้สึกตัว โดย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ  (อ่าน 8004 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 22:52:47 »




แด่เธอ... ผู้รู้สึกตัว โดย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
โดย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ฟังหรือดาวน์โหลดเสียงอ่าน : http://www.ideaforlife.net/dhamma/sound_other/04.html

ของที่คว่ำอยู่
ย่อมถูกแผดเผา
ของที่หงายแล้ว
ย่อมไม่ถูกแผดเผา

    วันนี้เราจะขอพูดถึงเรื่องการดับทุกข์(ความทุกข์,สภาพที่ทนได้ยาก) ตามทัศนะของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงสอนว่า เราทุกคนสามารถมาถึงจุดที่สำคัญยิ่งแห่งการดับทุกข์ ดังนั้นข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติง่ายๆและลัดตรงตามประสบการณ์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสามารถให้คำมั่นแก่เธอทั้งหลายได้ว่า วิธีนี้จะสามารถปลดปล่อยเธอให้พ้นจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริง   

เมื่อเราพูดถึงวิธีสู่ความดับทุกข์(คำพูดนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง และการปฏิบัตินั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) วิธีปฏิบัติคือการเจริญสติในทุกๆอิริยาบถ กล่าวคือ การยืน การเดิน การนั่ง และการนอน การปฏิบัตินี้เรียกกันบ่อยๆว่า สติปัฏฐาน (ที่ตั้งของความรู้สึกตัว) แต่ไม่ว่าเราจะเรียกมันอย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกสำนึกที่ตัวเราเอง ถ้าเรารู้สึกตัวแล้ว  โมหะ(ความหลง) ก็จะหายไป เธอควรจะเจริญความรู้สึกตัวนี้ให้มาก ด้วยการมีความรู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวทางร่างกายของเธอทั้งหมด เช่นการพลิกมือ  การยกแขนขึ้นและลง การก้าวเท้าไปข้างหน้าและก้าวเท้ากลับ การหมุนศีรษะและการพยักหน้า การกะพริบตา  การอ้าปาก การหายใจเข้า การหายใจออก การกลืนน้ำลาย และอื่นๆ จะต้องรู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้  และ ความรู้สึกตัวนี้ เรียกว่า สติ เมื่อเธอรู้สึกที่เนื้อตัวของเธอ ความไม่รู้สึกตัวซึ่งเรียกว่าโมหะ หรือความหลงก็จะหายไป


การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือ การเจริญสติ เราควรจะพยายามเจริญความรู้สึกตัวนี้ในทุกๆอิริยาบถของการเคลื่อนไหว เมื่อเรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจะเกิดปัญญา(การรู้)ชนิดหนึ่งขึ้นในจิตใจ ซึ่งรู้ความจริงตามที่มันเป็น การเห็นตัวเราตามที่เป็นจริงคือการเห็นธรรมะ การเห็นธรรมะ มิใช่การเห็นเทวดา นรก หรือสวรรค์ แต่เป็นการเห็นตัวเราเองในขณะพลิกมือ ยกมือขึ้นและลง การเดินไปข้างหน้าและกลับ หมุนศีรษะ พยักหน้า กะพริบตา อ้าปาก หายใจเข้า หายใจออก กลืนน้ำลาย และอื่นๆ นี้คือรูป-นาม รูป คือร่างกาย    นามคือจิตใจ  ร่างกายและจิตใจอิงอาศัยซึ่งกันและกัน สิ่งที่เราสามารถเห็นคือ รูป  และจิตใจที่นึกคิด คือนาม เมื่อเรารู้รูปนาม เรารู้สึกถึงสิ่งที่เป็นจริงตามที่มันเป็น  เมื่อเธอเห็นด้วยตา เธอควรจะมีความรู้สึกตัวถึงการเห็นนั้น  เมื่อเธอเห็นด้วยจิตใจ เธอก็ควรจะมีความรู้สึกตัวถึงการเห็นนั้นเช่นเดียวกัน


    ธรรมะคือตัวเรานี่เอง ทุกคนคือธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง คนไทย คนจีน หรือชาวตะวันตก ทั้งหมดคือธรรมะ  การปฏิบัตินั้นอยู่ที่ตัวเรา  และคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถนำเราไปสู่สภาพแห่งการดับทุกข์อย่างแท้จริง  มนุษย์คือธรรมะ ธรรมะก็คือมนุษย์ เมื่อเรารู้ธรรมะ เราก็จะเข้าใจว่า ทุกๆสิ่งนั้น มิได้เป็นอย่างที่เราคิด  ทุกๆสิ่งคือสมมติ(สิ่งที่ยอมรับตกลงกัน) นี้คือปัญญาที่เกิดขึ้น  เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งในคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม  พระธรรมนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเราเห็นสิ่งนี้อย่างแท้จริง เราจะอยู่เหนือความเชื่อที่งมงายทั้งหลาย เพราะเรารู้ว่า ธรรมะก็คือตัวเรา  ตัวเราเท่านั้นที่จะนำชีวิตของเราเอง มิใช่ใดอื่น  นี้คือจุดเริ่มต้นของความสิ้นสุดแห่งทุกข์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 22:55:20 »


ขั้นต่อไป เราพยายามเจริญสติ ในทุกๆอิริยาบถของการเคลื่อนไหวของเราในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรากำมือ หรือเหยียดมือ เรารู้สึกตัวถึงการกระทำนั้น และเมื่อเรารู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวของเราทั้งหมด ความไม่รู้สึกตัวหรือโมหะ ก็จะหายไปเอง เมื่อเรามีความรู้สึกตัวอยู่ จะไม่มีความหลง เปรียบเหมือนการเทน้ำลงไปในถ้วยแก้ว  ขณะที่เราเทน้ำลงไป น้ำจะเข้าไปแทนที่อากาศ  และเมื่อเราเทน้ำจนเต็มแก้วแล้ว อากาศทั้งหมดในแก้วก็จะหายไป แต่ถ้าเราเทน้ำออก อากาศก็จะเข้าไปในถ้วยแก้วทันที  ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อมีโมหะอยู่ สติและปัญญาก็ไม่สามารถเข้ามาได้ เมื่อเราปฏิบัติการเจริญสติ ทำความรู้สึกที่ตัวของเราเอง  ความรู้สึกตัวนี้จะเข้ามาแทนที่โมหะ เมื่อมีสติอยู่  โมหะก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้  อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่า โทสะ โมหะ โลภะ (ความโกรธ ความหลง ความโลภ) มิได้มีอยู่จริง   ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ขณะที่เธอทั้งหลายฟังข้าพเจ้าพูดอยู่นี้ จิตใจของเธอเป็นอย่างไร  จิตใจของเธอที่กำลังฟังอยู่นี้เป็นธรรมชาติ  และเป็นอิสระจากโทสะ โมหะ โลภะ

บัดนี้เรามารู้จักศาสนา(“คำสอน”) พุทธศาสนา(“คำสอนของพระพุทธเจ้า”) บาป(“ความชั่ว ความมัวหมอง”)  และบุญ (“ความดี คุณงามความดี”) บาปคือความโง่  บุญคือความฉลาดหรือความรู้  เมื่อเธอรู้ เธอย่อมสามารถสละ ละวางได้ ศาสนาคือตัวมนุษย์นี้เอง และ พระพุทธศาสนา ก็คือสติปัญญา (การรู้ถึงความรู้สึกตัว) ซึ่งเกิดขึ้น และรู้อยู่ที่จิตใจ  คำว่า “พุทธะ” หมายถึง บุคคลผู้รู้ในการเจริญสติ  ในทุกๆอิริยาบถการเคลื่อนไหวของเรา เราเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดทั้งร่างกาย  เมื่อความคิดเกิดขึ้น  เราเห็นความคิดนั้น  เรารู้ และเราเข้าใจ  แต่ในกรณีของบุคคลธรรมดา เขาเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในความคิดและเป็นส่วนหนึ่งของความคิด  ดังนั้น เขาจึงไม่เห็นความคิด สมมติว่าเราเข้าไปอยู่ในมุ้งซึ่งอยู่ในห้องของบ้านหลังหนึ่ง  ขั้นแรกสุดเราจะต้องออกมาอยู่นอกมุ้ง เพื่อจะเห็นขอบเขตของมุ้งนั้น  และทำนองเดียวกัน เราจะต้องออกมาอยู่นอกห้อง และออกมาอยู่นอกบ้าน เพื่อที่จะเห็นว่า  เราถูกขังอยู่ในนั้นมาก่อน  ความคิดก็เช่นเดียวกัน เราไม่สามารถจะเห็นความคิด ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของความคิด เราจะต้องออกจากความคิดเพื่อที่จะได้เห็นความคิดได้อย่างชัดเจน  เมื่อเห็น  ความคิดก็จะหยุด
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 23:02:11 »

สาธุ อนุโมทนาครับ
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 23:11:44 »


เปรียบเหมือนกันการนำแมวมาไว้ในบ้านของเรา ให้คอยกำจัดหนูซึ่งกำลังรบกวนเราอยู่ แมวและหนูนั้นเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ  ในตอนแรกแมวอาจจะตัวเล็กและอ่อนแอมาก  ในขณะที่หนูตัวโตและมีพละกำลัง เพราะฉะนั้นถ้าแมวกระโดดเข้าตะครุบหนู แมวก็จะถูกลากไปในขณะที่หนูวิ่งหนี และหลังจากที่เกาะไว้ได้สักพักหนึ่งก็ต้องปล่อยไป เราไม่สามารถตำหนิแมว แต่เราจะต้องให้อาหารแก่แมวนั้น เราให้อาหารแก่แมวนั้นบ่อยๆ และในไม่ช้าแมวก็จะมีพละกำลังมากและเข้มแข็ง และเมื่อหนูมาแมวก็สามารถจับหนูได้ เมื่อหนูถูกจับได้มันจะหัวใจวายตายทันทีก่อนที่แมวจะกินมัน ความคิดก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราเจริญสติ แล้วเมื่อความคิดเกิด เราจะรู้สึกถึงความคิดนั้นและความคิดก็จะหยุด ความคิดจะไม่ติดต่อเพราะเรารู้สึกถึงมัน ความคิดหายไปเพราะเรามีสติ สมาธิ (การตั้งใจ) และปัญญา พร้อมกันในขณะนั้น สติหรือความรู้สึกตัว หมายถึงการตื่นตัว เช่นเดียวกับแมวที่จ้องจะจับหนู เมื่อความคิดเกิดขึ้นเราไม่ต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของความคิดนั้น ความคิดจะเกิดและดับด้วยตัวของมันเอง เมื่อมีสติอยู่จะไม่มีโมหะ เมื่อไม่มีโมหะ ก็จะไม่มีโทสะ โมหะ โลภะ นี้เรียกว่า นาม-รูป เมื่อนามคิด แลเรารู้เท่าถึงความลวงหลอก เรารู้ทัน เรารู้การป้องกัน เรารู้การแก้ สิ่งนี้คือ สติ

    ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย, ความประพฤติถูกต้องดีงาม) คือความปกติ ศีล คือผลของจิตใจที่เป็นปกตินี้เป็นสิ่งเดียวกับ สติ สมาธิ ปัญญา วิธีของการเจริญความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่สามารถสิ้นสุดทุกข์ได้ ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจและที่ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น คือการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้เอง ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิหลับตา ถ้าเรานั่งหลับตาเราก็ไม่สามารถทำงานได้ ถ้าขโมยมาเขาก็จะขโมยของเราได้ ดังนั้นเราควรจะลืมตาและเราก็สามารถทำงานทุกชนิดได้ และทุกขณะเราสามารถปฏิบัติ และทุกขณะเราสามารถปฏิบัติการเจริญสติ ไม่ว่าเราจะเป็นนักศึกษา ครูอาจารย์ พ่อแม่ บุตรธิดา ตำรวจ ทหาร หรือข้าราชการ เราทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบได้ในขณะที่ปฏิบัติการเจริญสติ ทุกๆ คนสามารถ กระทำหน้าที่ของตนเองในขณะเจริญสติ กระทำได้อย่างไร เพราะเรามิได้นั่งหลับตา เราจึงสามารถทำหน้าที่ของเราไปตามปกติและเห็นจิตใจของเราในขณะเดียวกัน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 23:29:53 »


จิตใจมิได้มีตัวตนที่แท้จริง ทันทีที่จิตใจนึกคิดเราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ การเจริญสติ คือการเขย่าธาตุรู้ในตัวของบุคคล ทุกคนมีสิ่งที่เป็นจริงในจิตใจของตนอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่สามารถเห็นมันเราก็จะไม่เข้าใจมัน แต่มันก็คงยังอยู่ ณ ที่นั้น บัดนี้ ถ้าเราดูเราก็จะเห็น เมื่อเราเห็นโดยอาการเช่นนี้เรียกว่าการเห็นธรรมะ การเห็นธรรมะชนิดนี้สามารถกำจัด โทสะ โมหะ โลภะได้

    มรรค (วิถีทางอันสูงส่ง, การดูชีวิตจิตใจ) คือวิถีแห่งการปฏิบัติอันนำไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์ วิถีแห่งการปฏิบัติคือการรู้สึกตัวเท่าทันความคิด ร่างกายของเราทำงานไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่จิตใจของเราจะต้องดูความคิด ทุกข์เกิดขึ้น และเพราะเราไม่เห็นมัน มันจึงชนะเรา และยังให้เราเป็นทาส มันนั่งอยู่บนศีรษะของเราและตบหน้าเรา แต่ถ้าเราสามารถ รู้ และเข้าใจมันแล้ว มันก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ ทุกข์เปรียบเหมือนกับปลิงที่เกาะติดแน่นกับตัวเราและดูดเลือดของเรา ถ้าเราพยายามดึงมันออก มันก็จะยิ่งเกาะแน่นขึ้นและเราก็จะเจ็บปวดยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราฉลาด เราเพียงแต่ใช้น้ำผสมกับใบยาและปูนกินหมาก และบีบน้ำที่ผสมแล้วนั้นลงบนตัวปลิง ปลิงมันกลัวและมันจะหลุดของมันเอง ดังนั้นเราไม่ต้องไปแกะมันออกหรือไปดึงมัน เพื่อที่จะกำจัดมัน เช่นเดียวกันบุคคลที่ไม่รู้พยายามจะหยุดโทสะ โมหะ โลภะ เขาเหล่านั้นพยายามต่อสู้และกดมันไว้ แต่สำหรับบุคคลผู้รู้เพียงมีสติเข้าไปดูจิตใจและเห็นความคิด

    เปรียบเหมือนกับการเปิดไฟฟ้า บุคคลที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าจะพยายามหมุนที่หลอดไฟ แทนที่จะไปแตะที่สวิตช์ หลอดไฟจึงไม่ติด แต่สำหรับบุคคลผู้ซึ่งรู้เกี่ยวกับไฟฟ้า จะรู้จักเกี่ยวกับวิธีใช้สวิตช์ไฟและดวงไฟก็สว่างขึ้น โทสะ โมหะ โลภะ เปรียบเหมือนกับหลอดไฟฟ้า ความคิดเปรียบ
เหมือนกับสวิตช์ ความคิดเป็นต้นเหตุของความผิดปกติเหล่านี้ ถ้าเราต้องการขจัดความยุ่งเหยิงผิดปกติเหล่านี้ ให้เรามาจัดการที่ความคิด เมื่อเรามีสติ เฝ้าดูความคิดอยู่ โทสะ โมหะ โลภะ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แท้จริงแล้วนั้นไม่มีโมหะ ไม่มีโลภะ และไม่มีโทสะ  เราแตะสวิตช์ไฟที่นี่เพื่อให้เกิดความสว่างขึ้นที่นั่น เราเจริญสติที่นี่เพื่อยังความสิ้นสุดแก่ทุกข์ทั้งปวง ทุกข์เกิดจากโมหะ เมื่อเรามีสติ ก็ย่อมไม่มีโมหะ และดังนั้นก็ย่อมจะไม่มีทุกข์ด้วย เมื่อเราเคลื่อนมือของเรา เรารู้สึก และการรับรู้ถึงความรู้สึกนี้คือสติ และเมื่อเรามีสติ เราจะแยกออกจากความคิดและสามารถเห็นความคิด
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 23:40:09 »


เธอไม่ควรใส่ใจมากเกินไปต่อการเคลื่อนไหว แต่ใช้สติเฝ้าดูความคิดปรุงแต่ง เพียงเฝ้าดูความคิดเฉยๆ อย่าไป “จ้อง” มัน เมื่อความคิดเกิดขึ้นจงปล่อยให้มันผ่านไปทันที แท้จริงแล้วนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโมหะ โมหะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่รู้สึกตัว เปรียบเหมือนกับเมื่อเราสร้างบ้านหลังใหม่หนูยังไม่มี แต่เมื่อเรานำสิ่งของต่างๆ มาไว้ในบ้านหนูก็มา บางครั้งเมื่อคนมาวิพากษ์วิจารณ์มาตำหนิเรา เราจะรู้สึกผิดหวังท้อแท้ ด้วยการปฏิบัตินี้ความรู้สึกตัวถึงความท้อแท้ผิดหวังจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันดุจดั่งแมวตะครุบหนู เมื่อเราสามารถรักษาจิตใจของเราให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ โทสะ โมหะ โลภะ ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ เมื่อความคิด ความทุกข์ หรือความสับสนเกิดขึ้น อย่าได้พยายามหยุดมันแต่ให้สังเกตมัน และเราจะเข้าใจถึงธรรมชาติของมัน ทันทีที่ความคิดเกิดขึ้นปัดมันทิ้งออกไปทันที และให้มาอยู่กับความรู้สึกตัว ความคิด ความทุกข์ จิตใจที่สับสนก็จะอันตรธานไปโดยตัวของมันเอง

    ทุกครั้งที่ความคิดอุบัติขึ้นเรารู้มัน แม้เมื่อขณะนอนหลับ เมื่อเราเคลื่อนไหวร่างกายของเราขณะนอนหลับนั้น เราก็รู้สึกตัวด้วย นี้เป็นเพราะความรู้สึกตัวของเราสมบูรณ์ เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป บุคคลที่สามารถเห็นความคิดเป็นผู้ที่ใกล้กระแสของนิพพาน (กิเลสดับเชื้อ) และแล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ถ้าความคิดรวดเร็ว ปัญญาก็จะรวดเร็วด้วย ถ้าความคิดหรืออารมณ์ลึกมาก ปัญญาก็จะลึกมากด้วยเช่นกัน และถ้าทั้ง ๒ สิ่งนี้ลึกเท่าๆ กันและปะทะกันก็จะเกิดการแตกออกอย่างฉับพลันของสภาวะที่มีอยู่แล้วในคนทุกคน ด้วยการอุบัติขึ้นนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใจจะไม่ยึดติดอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และวัตถุแห่งการนึกคิด เช่นเดียวกันกับการถอดกลไกการขับเคลื่อนของรถยนต์ เมื่อชิ้นส่วนต่างๆ ถูกถอดออกจากกัน รถยนต์แม้จะยังดำรงอยู่แต่ก็ไม่สามารถจะขับเคลื่อนได้อีกต่อไป
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 24 ตุลาคม 2553 23:53:30 »


เมื่ออาการปรากฏนี้เกิดขึ้น เราไม่ได้ตาย เราก็ยังสามารถทำงานไปตามหน้าที่ของเรา เราสามารถกินดื่มและนอนหลับ แต่บัดนี้โดยกฎของธรรมชาติทุกสิ่งเป็นความว่าง และนี้คือกฎที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สมมติว่ามีเชือกเส้นหนึ่ง ขึงตึงระหว่าเสา ๒ ต้น และเราตัดมันขาดที่กึ่งกลาง เชือกก็จะขาดออกจากกัน ถ้าเราต้องการผูกมันเข้าด้วยกันอีก เราไม่สามารถที่จะกระทำได้ ถ้าเราแก้เชือกออกจากเสาต้นหนึ่งเพื่อนำไปผูกที่กึ่งกลางแล้ว เราก็ไม่สามารถผูกมันเข้าที่เสาต้นเดิมได้อีก เรื่องนี้เปรียบเหมือนกับประสาทสัมผัสทั้งหกของบุคคลที่ประจักษ์แจ้งธรรมชาติดั้งเดิมของเขา เมื่อตาของเขากระทบเข้ากับวัตถุสิ่งหนึ่ง จะไม่มีความยึดติด เช่นเดียวกับน็อตที่เกลียวหวานไม่สามารถทำหน้าที่ยึดเกาะได้อีก

    คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อยังความสิ้นสุดแก่ความทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งนี้ เราจะเกิดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับคำสอนของพระองค์ และจะคาดคิดเกี่ยวกับเรื่องการเกิดใหม่ สวรรค์ นรก และอื่นๆ การคาดคิดซึ่งควรจะละทิ้งนั้นกลับระบาดอยู่ในใจของเรา คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไร้กาลเวลา และไม่ถูกจำกัดอยู่ด้วยภาษา เชื้อชาติ สัญชาติหรือศาสนาใดๆ ตามหลักฐานในสติปัฏฐานสูตร ถ้าเธอปฏิบัติสติปัฏฐานอย่างต่อเนื่องดุจดังลูกโซ่นั้นคือเจริญสติในทุกขณะแล้ว ความเป็นพระอรหันต์ (ผู้ดับกิเลสได้ ดับเชื้อได้ เห็นจริงรู้แจ้งในตัวของตัว) หรือภาวะแห่งพระอนาคามี (“ผู้ไม่หวนกลับ”) เป็นสิ่งที่หวังได้ อย่างนานภายใน ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน และอย่างเร็วที่สุด ๗ วัน ถ้าเธอเจริญสติตามวิธีที่ข้าพเจ้าอธิบายให้ฟัง และมีสติอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นลูกโซ่แล้ว อย่างนานที่สุดภายใน ๓ ปี ความทุกข์ก็จะลดน้อยลงถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ และในบางกรณีอาจจะหมดสิ้นโดยสมบูรณ์ สำหรับบุคคลบางคนนั้นอาจจะได้รับผลนี้ภายในเวลา ๑ ปี หรือภายในเวลา ๙๐ วัน จะไม่มีความดีใจหรือเสียใจ ความพอใจหรือความไม่พอใจ หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้เป็นหนทางที่ง่าย เหตุที่ยากก็เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีแต่ความสงสัยและลังเล
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553 00:21:42 »


เมื่อเรามีความมั่นใจในทุกๆ ก้าวของการปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยากเย็นอะไร เธอสามารถปฏิบัติมันได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง แต่เธอควรจะรู้ถึงการปฏิบัติอย่างถูกต้องและแท้จริง ถ้าเธอสามารถรับรองตัวของเธอเองได้แล้ว ก็หมายความว่าเธอมีที่พึ่งในตัวเอง ศาสนาหมายถึงที่พึ่ง อันนี้หากว่าเธอได้ศึกษาตำรามาเป็นเวลาหลายปี นั้นก็ยังคงเป็นเพียงทฤษฎีอยู่ แต่ถ้าเธอได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง เธอจะไม่ต้องเสียเวลานานถึงเพียงนั้น และสิ่งที่เธอรู้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีกว่านักทฤษฎีอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ ในภาษาบาลี มีคุณภาพทางจิตใจที่สำคัญอยู่สองสิ่ง สิ่งแรกคือ สติ การเรียกกลับมาที่จิตใจ และสิ่งที่สองคือ สัมปชัญญะ ความรู้สึกที่ตัวของเราเอง เมื่อเรามีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือของเรา เรามีทั้งสติและสัมปชัญญะ ผลแห่งการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นสิ่งที่มิอาจหาค่าได้ เราไม่อาจซื้อความไม่ทุกข์ แต่จะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตัวของเราเองจนกระทั่งสิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ก่อนแล้ว

    การทำบุญและการรักษาศีลเปรียบประดุจดั่งข้าวเปลือกซึ่งไม่อาจจะกินได้แต่ก็เป็นประโยชน์ เพราะเราจะใช้มันสำหรับการเพาะปลูกในปีถัดไป การทำตนเองให้สงบนั้นเปรียบดั่งเช่นข้าวสารที่ยังมิได้หุงและก็ยังคงกินไม่ได้ ความสงบนั้นมี ๒ อย่าด้วยกัน อย่างแรกคือความสงบแบบสมถะ (ความจดจ่ออยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งหรือสงบแบบไม่รู้) อย่างที่สองคือ ความสงบแบบวิปัสสนา (ปัญญาญาณ, เห็นแจ้งรู้จริงสัมผัสได้ ไม่ทุกข์) ในการกระทำสมถภาวนานั้น เธอจะต้องนั่งนิ่ง หลับตาและเฝ้าดูลมหายใจเข้าและลมหายใจออกของเธอเมื่อลมหายใจละเอียดอ่อนมากเข้าบางครั้งเธอจะไม่รู้สึกถึงลมหายใจนั้น และเธอรู้สึกสงบมาก แต่โทสะ โมหะ โลภะ ไม่สามารถถูกขจัดออกไป เพราะยังคงมีความไม่รู้อยู่ และเธอเองก็ไม่รู้สึกถึงตัวความคิดของเธอ แต่วิปัสสนาภาวนานั้นสามารถขจัดโทสะ โมหะ โลภะ และความสงบชนิดนี้สามารถมีได้ในทุกหนทุกแห่ง และในทุกเวลา ดังนั้นแล้วเราจึงไม่จำเป็นต้องนั่งปิดหูปิดตา ตาของเราสามารถดู หูของเราสามารถได้ยิน แต่เมื่อความคิดเกิดขึ้นเราเห็นมัน ความสงบแบบนี้เป็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคนทุกคน

    จิตใจดั้งเดิมของเรานั้นสะอาด สว่าง และสงบ สิ่งซึ่งมิได้สะอาดสว่างและสงบนั้น มิใช่จิตใจของเรา มันคือกิเลส (ยางเหนียว) เราพยายามที่จะเอาชนะกิเลสนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นกิเลสมิได้มีอยู่จริงแล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องกระทำเพียงอย่างเดียวคือ เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัดเมื่อเราเห็นจิตใจอย่างชัดเจนโมหะก็จะไม่มีอยู่
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553 00:31:45 »



คำว่า “สะอาด” ชี้เฉพาะไปที่ภาวะธรรมชาติของจิตใจ ซึ่งไม่ถูกแปดเปื้อนหรือถูกครอบคลุมโดยสิ่งใด เรามีสติปัญญาแทงตลอดเข้าไปถึงจิตใจ และเห็นจิตใจอย่างชัดเจน รู้ว่าจิตใจนั้นมีความสมดุล และไม่มีสิ่งใดมากระทบมันได้ นี้คือความสะอาดของจิตใจ ความ “สว่าง” ของจิตใจเปรียบดั่งแสงที่ส่องสว่างซึ่งช่วยให้เราเกิดความปลอดภัยไม่ว่าเราจะไป ณ ที่ใด ในภาวะแห่งความสว่างแจ่มจรัสนี้ เราเห็นชีวิตจิตใจของเราเองตลอดเวลาทุกๆ นาที ทุกๆ วินาที และทุกๆ ขณะ นี้คือ ความสว่างของจิตใจ ความ “สงบ” หมายถึงการหยุด ความสิ้นสุดของโทสะ โมหะ โลภะ ความเร่าร้อนปั่นป่วนและความทุกข์ยากทั้งมวลอีกทั้งยังหมายถึงการยุติการแสวงหาวิธีหรือระบบต่างๆ อีกด้วย เราไม่จำเป็นต้องออกเสาะแสวงหาครูอาจารย์อีก เพราะเรารู้อย่างแท้จริง เพื่อตัวเราเอง และในตัวเราเอง เมื่อเรารู้จักจิตใจเราอย่างแท้จริง เรารู้ว่าจิตใจนั้นสะอาด สว่าง และสงบในทุกเวลา

    เมื่อเรารู้จักจิตใจ เราจะรู้ถึงภาวะที่ความทุกข์เกิด และภาวะที่ความทุกข์ดับ เรารู้ความคิดทุกครั้งที่มันคิด เรารู้แม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้น และไม่ว่าเราจะเคลื่อนไหวด้วยอิริยาบถใด เรารู้มันทั้งหมด เรารู้ด้วยการเฝ้าดูโดยปกติธรรมดา โดยไม่จำเป็นต้องพยายามหรือฝืน การรู้นี้เป็นสิ่งที่รวดเร็วมาก มันรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า ยิ่งกว่าไฟฟ้า และยิ่งกว่าสิ่งใดๆ การรู้เป็นสิ่งเดียวกับปัญญา เป็นสิ่งเดียวกับสติปัญญา สติและสมาธิและปัญญา ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งเดียวกัน ปัญญารอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ แม้แต่ว่าเสียงที่แผ่วเบาที่สุดเกิดขึ้นเราก็รู้ เมื่อลมพัดมาถูกผิวหนังของเราเราก็รู้ ความคิดไม่ว่าจะเกิดในลักษณะอาการเช่นใดเราก็รู้ เมื่อความคิดอยู่ลึกปัญญาก็ลึกด้วย เมื่อความคิดว่องไวกิเลสก็ว่องไวและปัญญาก็ว่องไวด้วย ไม่ว่าความคิดจะเกิดโดยรวดเร็วเพียงใด ปัญญาจะรู้ความคิดนั้น
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553 00:45:59 »


นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (“การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน”) เมื่อไม่มีอวิชชา (การไม่รู้) สายโซ่ซึ่งยังให้เกิดทุกข์ก็ขาดสะบั้นลง เพราะการรู้เข้าไปแทนที่ เธออาจจะเคยได้ยินมาว่าพระพุทธเจ้าทรงตัดผมของพระองค์เพียงครั้งเดียว และผมของพระองค์ก็ไม่ขึ้นมาอีกเลย ข้อนี้เป็นปริศนาธรรม เมื่อผมถูกตัดออกไปมันไม่อาจจะกลับมาติดได้ดั่งเดิม ข้อนี้ฉันใด การตัดอวิชชาออกไปอย่างเด็ดขาด โดยที่มันไม่อาจจะหวนกลับมาได้อีก ก็เป็นฉันนั้น นี้คือกฎตายตัวของธรรมชาติ ดุจดังเชือกที่ขึงตึงไว้กับเสาสองต้น เมื่อเราตัดให้ขาดออกจากกันที่ตรงกลางก็ไม่อาจจะกลับเข้ามาผูกติดกันได้อีกเมื่อเราเห็นมาถึงจุดนี้เราจะรู้ว่า ภาวะเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในคน แล้วทำไมมันจึงกลายเป็นเรื่องยากเย็น มันไม่ใช่เป็นที่ยากแต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย มันเป็นสิ่งที่ทั้งยากและง่าย

    มีภาษิตบทหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยกล่าวไว้ว่า “คนจนมั่งมี เศรษฐีทุกข์ไส้” ทำไมจึงทุกข์ ทำไมจึงจน เศรษฐีนั้นรวยเฉพาะแต่ในเรื่องเงินทองเท่านั้น แต่ยากจนเพราะไม่เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของตน ส่วนคนยากจนใดที่เห็นถึงกฎของธรรมชาติข้อนี้ ถือว่าเป็นผู้มั่งคั่งโดยแท้ เงินทองไม่อาจจะนำใครมาถึงจุดนี้ได้ คนทุกคนมีความสามารถทัดเทียมกันที่จะมาถึงจุดนี้ เพราะว่าทุกคนมีเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คนไทย คนจีน หรือชาวตะวันตก และไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาใดๆ ด้วย เราทั้งหมดมีจิตใจดั้งเดิมเป็นสิ่งเดียวกัน ข้อนี้เป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับที่ร่างกายของคนทุกคนประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ อย่างเดียวกัน ข้าพเจ้าสามารถให้คำมั่นแก่พวกเธอทั้งหลายได้ว่า ตัวเธอทุกคนนี้แหละปฏิบัติได้ แต่เธอจะต้องมีความจริงใจ

    ข้าพเจ้าเชื่อในคำพูดที่ว่า พระธรรมนั้นมีอยู่ก่อนการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นเพียงบุคคลแรกที่ทรงค้นพบ ก่อนการอุบัติของพระพุทธเจ้านั้น พระธรรมถูกปกปิดอยู่ พระพุทธเจ้าเป็นเพียงแต่ทรงเปิดเผยพระธรรมนั้น ธรรมชาติที่แท้จริงนี้ดำรงอยู่แล้วในคนทุกคน เมื่อเธอลุกขึ้นยืน ธรรมชาติที่แท้จริงนี้ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเธอ เมื่อเธอนั่งลง มันก็นั่งตามด้วย เมื่อเธอนอนหลับมันก็นอนหลับพร้อมๆ กับเธอ และเมื่อเธอไปเข้าห้องน้ำ มันก็ยังติดตามเธอไปที่นั่นด้วย มันไปทุกหนทุกแห่งพร้อมกับเธอ ดังนั้นเธอจึงสามารถปฏิบัติได้ในทุกสถานที่ เธอควรจะรู้ถึงวิธีการปฏิบัติ เธอควรจะรู้ถึงวิธีการดูความคิด เมื่อเธอรู้ถึงต้นตอหรือแหล่งที่มาของความคิด นี้เป็นจุดที่สำคัญยิ่ง จากจุดนี้หนทางอันยิ่งใหญ่จะเปิดเผยตัวของมันเอง
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 25 ตุลาคม 2553 01:10:08 »



           

เมื่อเรามีทัศนะที่ถูกตรงและหนทางที่ถูกตรงแล้ว แน่นอนที่สุดเราย่อมจะลุถึงเป้าหมาย ในการฟังเทศนา การบริจาคทาน การรักษาศีล การปฏิบัติสมถภาวนา หรือแม้แต่วิปัสสนาภาวนา ถ้าเราไม่สามารถลุถึงที่หมายนี้ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความดีอย่างโลกๆ เท่านั้น แต่มิใช่ความดีอันแท้จริง แต่ถ้าเรามิได้บริจาคทานหรือรักษาศีลหรือปฏิบัติการภาวนา และก็ยังคงบรรลุถึงจุดนี้แล้ว กิจที่ต้องทำทั้งหมดเป็นอันสิ้นสุด ประดุจดังฟ้าที่ครอบคลุมดิน มันครอบคลุมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นพระไตรปิฎกทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ซึ่งรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมดได้รวมอยู่ที่จุดนี้ ถ้าเธอศึกษาพระไตรปิฎกจนจบ เธอควรที่จะมาถึงจุดนี้ แต่ถ้าเธอผ่านพระไตรปิฎกทั้งหมดแล้ว แต่มิได้มาถึงจุดนี้ เธอก็ยังคงมีแต่ความลังเลสงสัยและก็ยังคงมีแต่ทุกข์

    บัดนี้ เราไม่ต้องศึกษาพระสูตร พระวินัย หรือพระอภิธรรม(พระไตรปิฎก) แต่เราต้องมีความรู้สึกตัวมาถึงที่จุดนี้ เมื่อเรามาถึงจุดนี้เราก็จะรู้พระไตรปิฎกทั้งหมด ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังป่าแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยภิกษุจำนวนหนึ่ง พระองค์ทรงหยิบใบไม้แห้งกำมือหนึ่งขึ้นมา แล้วตรัสถามแก่ภิกษุว่า “ใบไม้ทั้งหมดในป่าและในมือของเราตถาคต เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วอย่างไหนจะมีมากว่ากัน” ภิกษุทั้งหลายตอบว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ใบไม้ทั้งหมดในป่าย่อมมีมากว่าใบไม้ที่อยู่ในมือของพระองค์อย่างเปรียบเทียบกันมิได้ พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “พระธรรมที่ตถาคตรู้นั้นมีมากเปรียบเหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่พระธรรมที่ตถาคตสอนแก่พวกเธอทั้งหลายนั้น เปรียบเหมือนใบไม้กำมือเดียว” โปรดเข้าใจความหมายนี้ให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าทรงสอนเฉพาะเรื่องทุกข์และการดับไปของทุกข์เท่านั้น มิได้มีสิ่งใดอื่น การศึกษาตำรา การบริจาคทาน การรักษาศีล การปฏิบัติสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา ควรจะนำเรามาที่จุดนี้ มิฉะนั้นแล้วก็เป็นสิ่งที่ไร้ค่า เมื่อเรามาถึงที่จุดนี้ กิจที่ต้องทำทั้งหมดก็เป็นอันสิ้นสุด

                                    จบ.




: http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9838005/Y9838005.html
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
คำค้น: การเจริญสติ ทำความรู้สึกตัว ทุกอิริยาบถ ความเคลื่อนไหว 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
จิตหลุดพ้นแล้ว ญาณย่อมมี โดย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ธรรมะจากพระอาจารย์
หมีงงในพงหญ้า 0 2369 กระทู้ล่าสุด 27 กรกฎาคม 2553 13:32:12
โดย หมีงงในพงหญ้า
การเห็นธรรม โดย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 1 2818 กระทู้ล่าสุด 27 ตุลาคม 2553 11:51:04
โดย 時々๛कभी कभी๛
ดูกายเคลื่อนไหว เห็นจิตใจนึกคิด ( CD อริยบถ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ )
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
มดเอ๊ก 0 1144 กระทู้ล่าสุด 03 กันยายน 2559 03:52:51
โดย มดเอ๊ก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ ไสยศาสตร์ ( หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ )
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
มดเอ๊ก 0 1334 กระทู้ล่าสุด 03 กันยายน 2559 03:55:13
โดย มดเอ๊ก
เจริญสติปัฏฐาน ๔ รู้ซื่อซื่อ ( หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ )
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
มดเอ๊ก 0 1242 กระทู้ล่าสุด 03 กันยายน 2559 03:58:48
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.395 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 11 พฤศจิกายน 2566 05:52:21