อินทรีย์ประการที่ 2 คือ วิริยะ ได้แก่ความเพียร ความเพียรพยายาม ในการที่จะทำกรรมฐาน ทำกุศล ละอกุศล บาปอันใดที่ยังไม่เกิดก็เพียรอย่าให้มัน เกิดขึ้น บาปอันใดที่เกิดขึ้นแล้วเพียรละออกไป กุศลอันใดที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นก็เพียรให้มันเกิดขึ้น กุศลอันใดที่เกิดขึ้นแล้วก็เพียรพยายามให้เจริญขึ้น โดยเฉพาะเพียรตั้งสติ เพียรระลึกรู้อยู่เสมอ เพียรเดินจงกรม เพียรนั่งกรรมฐาน เพียรเจริญภาวนาอยู่ ขาดความเพียรแล้วก็ประสบความสำเร็จไม่ได้
อินทรีย์ประการที่ 3 คือ สติ เป็นตัวระลึกรู้ ตัวรู้ทัน ที่เป็นไปในสติปัฏฐานทั้ง 4 คือระลึกรู้ลงไปในกาย มีลมหายใจเข้าออก อิริยาบถใหญ่คือยืนเดินนั่งนอน อิริยาบถย่อยต่างๆ ระลึกรู้ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม คือ สิ่งที่ปรุงแต่งในจิตใจสภาพ ธรรมต่างๆ
อินทรีย์ประเภทที่ 4 สมาธิ สมาธิเป็นตัวตั้งมั่นในอารมณ์ สมาธิ ตั้งมั่น ก็ต้องมีความตั้งมั่นในขณะที่เจริญกรรมฐาน ก็ต้องมีสมาธิตั้งมั่นในอารมณ์ เป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ก็มีความตั้งมั่นแนบแน่นไปตามลำดับ เจริญวิปัสสนา ใช้ขณิกสมาธิพอเป็นขณะๆ ที่จะรู้เท่าทัน ตั้งมั่นในอารมณ์เป็นขณะทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย อุปจารสมาธิก็ใกล้ฌาณเข้าไป ชักไม่รำคาญในเสียง เสียงดังมาก็ไม่รู้สึกรำคาญพอได้ยิน อัปปนาสมาธิก็แนบแน่นดิ่งลงไปในอารมณ์
อินทรีย์ประการที่ 5 ปัญญา ปัญญาคือความรู้ ความรู้ความเข้าใจในวิธีการประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งไปเห็นรูปเห็นนามเป็นไตรลักษณะ
การปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์นั้น ท่านก็กล่าวไว้ว่า ทำศรัทธากับปัญญาให้ สมดุล ทำวิริยะกับสมาธิให้สมดุล ส่วนสติก็เป็นตัวกลางตัวประสานได้ทุกธรรม คือเข้าได้ทุกที่ ศรัทธากับปัญญา บางคนมีแต่ความเชื่อแต่ขาดปัญญาเขาเรียกว่างมงาย เชื่ออะไรก็เชื่อหัวปักหัวปำงมงายไปขาดเหตุผลขาดปัญญา ปัญญามากไป ไม่มีศรัทธา ก็ฟุ้งซ่านเหมือนกัน ไม่ได้ปฏิบัติสักที คนมีแต่ปัญญาปฏิบัติไม่ลง ไม่เชื่อไปหมด อาจารย์องค์นั้นก็ไม่ได้เรื่อง องค์นี้ก็ไม่ได้เรื่อง อันนั้นจะถูกมั้ย พอปฏิบัติกลัวไม่ถูก อันนั้นก็ไม่ถูก วิจัยธรรมมากเกินไป ไม่ศรัทธาไปหมด ปฏิบัติไปๆ มันก็ฟุ้งซ่าน ความเชื่อไม่มี ไม่มีความสมดุล มีศรัทธามีปัญญาสมดุลกันเชื่อด้วยมีปัญญาด้วย ความเพียรกับสมาธิให้สมดุลกัน
คือถ้าเพียรมากแต่ขาดสมาธิมันก็ไม่เคร่งเครียด บางทีเครียดหมดมันไม่มีสมาธิ บางทีก็ลำบากกายเปล่า เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน ทำมากทั้งวันทั้งคืนแต่สมาธิไม่เจริญเลย มันก็ไปทางทุกข์กายลำบากกาย แต่ถ้าหากสมาธิมาก ความเพียรน้อยกว่า มันก็ไม่เห็นธรรมไม่เห็นสภาวะ ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐานน้อย ที่จะให้เกิดความรู้เห็น เห็นสภาวะของความเกิดดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่เห็น มันดิ่งลงไป บางทีเราปฏิบัติไปนี่สมาธิมันมาก มันก็คอยจะนิ่งๆ ดิ่งลงไปเฉยๆ ไม่รับรู้อะไร เราต้องสร้างความเพียรให้ทัน คือเพียรระลึกเพียรพยายามที่จะให้มันเกิดการรู้เท่าทันขึ้น มันมีความสมดุลขึ้น ถ้าหากว่าบุคคลได้มีอินทรีย์ 5 ที่สมดุลกันการปฏิบัติก็จะได้รับผลขึ้น ที่ปฏิบัติอยู่ ไม่ค่อยมีความสมดุลย์กัน ก็ต้องอาศัยการพิจารณาสังเกตให้มันสม่ำเสมอ
คิดว่าได้แสดงมาพอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ที่สุดนี้ขอความสุข ความเจริญในธรรมจงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทุกท่านทุกคนเทอญ
http://www.phuketvegetarian.com/borad/data/4/0152-1.htmlPics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ