[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 13:26:02 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธเจ้าหลวง  (อ่าน 3335 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553 10:52:39 »



  พระพุทธเจ้าหลวง  
 
  ๒๐ กันยายน  วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

      “ เราจะต้องเป็นผู้ที่ไม่หลับตา ถือเอาการซึ่งจะเป็นการดีต่อชาติอื่นซึ่งจะไม่เป็นการดี หรือ เป็นการด่วนเกินต้องการของประเทศสยามไป  อีกฝ่ายหนึ่งเราจะต้องไม่เป็นผู้หลงใหลหลับตาถือมั่นตามแบบอย่าง หรือ กฎหมายโบราณ ซึ่งอาจดีได้ในกาลครั้งหนึ่ง แต่เป็นการล่วงพ้นความพอดี ซึ่งเรามีความต้องการและมีความคิดอยู่บัดนี้

  (หมาย ความว่า เราจะต้องใช้ปัญญาในการแยกแยะให้ได้ว่า อะไรที่ทำแล้วเป็นผลดีกับชาติอื่นแต่ไม่เกิดผลดีแก่ชาติของตนเอง หรือเป็นเรื่องที่เกินพอดีเกินความต้องการของประเทศชาติ และเราต้องไม่ยึดติด ใช้ปัญญาให้เห็นความเหมาะสมว่าการยึดตามแบบอย่างเก่าๆหรือกฏหมายเก่าๆซึ่ง อาจได้ผลดีในช่วงเวลาหนึ่ง แต่อาจไม่สอดคล้องกับความต้องการหรือแนวคิดในเวลาปัจจุบันก็ได้: ผู้เรียบเรียง)

        คำที่เรากล่าวนี้ เราเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ และเราทั้งหลายจะเดินต่อไปด้วยกันในทางซึ่งสมควร และเป็นทางที่เจริญขึ้นเนืองนิตย์ จะละหลีกทางที่แรงเกินไปทั้งสองฝ่าย คือจะไม่หยุดนิ่งเกินไป หรือ ไม่เดินเร็วเกินไปกว่าที่สมควรจะเดิน จะทำสิ่งซึ่งเป็นการแน่นอนและเป็นการที่ดีแท้ทุกเมื่อ ”
 
   พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
   พระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ  และข้าทูลละอองธุลีพระบาท เมื่อเสด็จกลับจากยุโรป พุทธศักราช

เมื่อมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในบ้านเมือง ผู้นำประเทศควรจะทำอย่างไร ?
 
  วางเพลิงในวังหลวง
 
  มีบันทึกไว้ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุได้ ๒๓ พรรษา เกิดการวางเพลิงรุนแรงในวังหลวง ซึ่งเชื่อว่ามีชนวนมาจากชาวต่างชาติซึ่งกำลังล่าเมืองขึ้น คือ อังกฤษและฝรั่งเศสเข้าแทรกแซง มี วัตถุประสงค์ให้เกิดความร้าวฉานขึ้นในพระราชวงศ์ จะได้ถือโอกาสนั้นเข้าทำลายบ้านเมืองแบบเดียวกับที่เคยทำเมื่อคราวยึดเขมร และลาวเพื่อครอบครองแหลมอินโดจีน
 
          ก่อนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้นั้น มีบัตรสนเท่ห์มาก่อนแล้วว่าจะมีการลอบปลงพระชนม์กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ทำให้เกิดความระแวงกันขึ้นระหว่างวังหลวงกับวังหน้า กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญถึงกับเสด็จไปประทับในบ้านของกงสุลเยเนราลอังกฤษ เมื่อจุลศักราช ๑๒๓๖ (พ.ศ.๒๔๑๗)
   
          หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้น ก่อให้เกิดความสับสนตระหนกกังวลไปทั่ว พ่อค้าประชาชนต่างพากันหวาดกลัว เหตุการณ์ตึงเครียดอย่างหนัก พระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยถึงสถานการณ์ช่วง นั้นว่า การแถลงข้อเท็จจริงจะช่วยให้ประชาชนสิ้นความหวาดวิตกลงได้ จึงได้มีประกาศออกเป็นทางราชการความบางส่วนว่า
   
         “... แต่ความที่พูดจาดูร่ำลือกันนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้เชื่อว่าเป็นความจริง เพราะกรมพระราชวังกับข้าพเจ้า มิได้มีอริร้าวฉานแก่กันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ครั้นถึงวันจันทร์ เดือนอ้ายแรมห้าค่ำ ปีจอ ฉศก ข้าพเจ้าได้ทราบความอีกว่า กรมพระราชวังได้เตรียมทหารและคนซึ่งมิได้เป็นทหาร ซึ่งอยู่บ้านนอกนั้น เจ้าหมู่มูลนายก็ได้เรียกไพร่เหล่านั้นให้เข้ามาพร้อมกันในเดือนอ้าย ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อในความนั้นเป็นแน่ชัด
   
         ครั้นค่ำลงวันนั้น เวลา ๕ ทุ่มเศษ เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในโรงแก๊สในพระบรมมหาราชวัง ที่โรงแก๊สซึ่งเกิดเพลิงไหม้ขึ้นเป็นที่สำคัญน่ากลัวยิ่งนัก คือข้างฝ่ายตะวันตกของโรงแก๊ส เป็นโรงเก็บภูษามาลา อันนี้เป็นที่ไว้พระมหาพิชัยมงกุฎ และพระมหาชฎา และเครื่องต่างๆซึ่งเป็นต้นเครื่องสำหรับแผ่นดินสืบมาแต่โบราณ
   
         โรงภูษามาลา ที่ไว้เครื่องต้นนี้ห่างจากโรงแก๊สที่ติดเพลิงขึ้นนั้น ๒ วา หลังโรงภูษามาลานั้นติดกับฉนวนประตูดุสิตศาสดา ทางซึ่งจะออกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากฉนวนนั้น ก็ติดกับหอพระปริตรสาตราคมและพระที่นั่งราชฤดี ใกล้กับพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย และพระที่นั่งไพศาลทักษิณ และด้านใต้ของโรงแก๊สนั้นมีเขื่อนเพ็ชร์ พระราชวังชั้นในห่างจากโรงแก๊ส ๑๔ วา ๓ ศอก ที่โรงแก๊สที่เพลิงติดขึ้นนั้นอยู่ตรงกลาง เป็นที่คับแคบ แลของที่เป็นเชื้อเพลิงนั้นมีมากคือ ดินประสิวแลน้ำมัน เป็นต้น
   
         ถ้าเพลิงไหม้ติดลามขึ้นแล้ว พระที่นั่ง แลคลังของต่างๆที่อยู่ใกล้เคียงดังข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วนั้น ก็คงจะเป็นอันตรายทั้งสิ้น เพราะของเหล่านี้ติดเนื่องกัน โรงแก๊สซึ่งเกิดเพลิงขึ้นในเวลากลางคืนนั้นเป็นที่ลับ ที่สงัด มิได้มีผู้คนไปมาเล้าลม ซึ่งเพลิงติดขึ้นดังนั้นก็เป็นที่สงสัยหวาดหวั่นยิ่งนัก ในเวลาที่เพลิงติดขึ้นนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระปราบปรปักษ์แลข้าราชการได้ช่วยกันดับเพลิงนั้น ถ้าเพลิงนั้นจะติดอยู่ช้า ฤามีลมเป่ามาก็จะรักษาไว้ไม่ได้เลย ฤาถ้ามีหม้อแก๊สแตก ก็จะเป็นอันตรายแก่คนเป็นอันมากซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง
   
         ในเวลานั้นเพราะเหตุบังเกิดขึ้น ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้มีความหวาดหวั่นเป็นอันมาก เพราะเพลิงเกิดขึ้นในที่สำคัญ จะเกิดขึ้นด้วยเหตุอันใดก็ไม่รู้ เกรงว่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุกลอุบายอันใดอันหนึ่ง การอันนี้ก็เป็นการเหลือที่จะคาดคะเนว่าจะเป็นการเท็จฤาจริงให้แน่ได้ เหตุที่บังเกิดขึ้นได้ดังนี้แล้ว ครั้นจะเชิญท่านเสนาบดีมาประชุมปรึกษาในเวลากลางคืนนั้นก็เห็นว่าเป็นเวลา ดึกถึงเจ็ดทุ่ม เกินเวลาแล้ว
   
         ข้าพเจ้าจึงสั่งข้าราชการซึ่งเป็นพนักงานทั้งปวงที่มาช่วยดับเพลิงในเวลา กลางคืนนั้น ให้นอนอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ประจำซองอยู่ตามพนักงาน เพราะกลัวว่าจะมีเหตุขึ้นอีกในเวลากลางคืนนั้น..”

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553 11:21:58 »



เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์(ร.5)เมื่อทรงพระเยาว์ ถ่ายโดยชาวต่างชาติ


               อาจเป็นด้วยพระอำนาจของพระสยามเทวาธิราช จึงช่วยให้ดับไฟที่ไหม้โรงแก๊สนั้นได้ทัน เรื่องไฟไหม้ในพระบรมมหาราชวังนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ตอบปัญหาประจำวันในหนังสือสยามรัฐ ประจำวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ความตอนหนึ่งว่า “... จน วันหนึ่ง มีคนร้ายลอบเข้าไปจุดไฟในพระบรมมหาราชวังใกล้กับตึกที่เก็บดินดำ โดยประสงค์ที่จะให้ดินดำนั้นระเบิดขึ้น เคราะห์ดีที่เจ้านายข้าราชการในวังหลวง เห็นเหตุการณ์และดับไฟเสียทัน มิฉะนั้นจะเกิดเหตุร้ายแรง และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอาจถึงสวรรคตเสียแต่ในต้นรัชกาล
       
              เมื่อ เกิดเหตุนี้ขึ้นแล้ว ความอลเวงทางการเมืองก็เกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างหนัก กรมพระราชวังบวรฯเสด็จไปประทับอยู่ในกงสุลของชาติมหาอำนาจนั้น และยอมพระองค์อยู่ใต้อารักขาของชาตินั้น เมืองไทยขณะนั้นจึงล่อแหลมหวุดหวิดจะมีมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงและยึดเอาเป็นเมืองขึ้น เดชะบุญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถระงับเหตุต่างๆได้ทันท่วงที และเดชะบุญที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีใจซื่อสัตย์ จงรักภักดีและอาจหาญ ได้อุตสาหะบากบั่นเข้าไปถึงกงสุลต่างประเทศและเชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรฯออก มาได้ เมืองไทยจึงรอดมาได้ไม่เสียเอกราช...”

             เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนี้ ทำให้นึกโยงมาปัจจุบันโดยเฉพาะปัญหาทางภาคใต้ที่กำลังมีข่าวลือ มีความสับสนของข่าวสาร และในระดับบริหารก็มีข่าวลวงสารพัดชนิด ในระดับประชาชนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปสารพัดทิศทาง ความระแวงเกิดขึ้นไปทั่ว (แต่ความระวังกลับไม่ค่อยจะมีมากนัก)   ย้อน กลับไปครั้งนั้นเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ ซึ่งสมัยนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นวินาศกรรมครั้งสำคัญทีเดียว เพราะเกิดขึ้นในวังหลวง ต้องถือว่าร้ายแรงมาก นึกสภาพเราในฐานะพลเมืองคงจะสะเทือนขวัญไม่น้อยทีเดียว

           วิธีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าครั้งนี้  เมื่ออ่านแล้วทำให้เห็นว่าทรงตัดสินพระทัยได้อย่างเฉียบขาด ทันเหตุการณ์ และทรงมีความเป็น"ผู้นำ"อย่างแท้จริง ในประกาศนั้นจะเห็นว่าทรงใช้ "ความจริง"สยบ"ข่าวลือ" ทั้งการแจกแจงเนื้อหาเหตุร้ายที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสเหมาะที่จะแถลงไขความคลุมเครือที่เกี่ยวข้องกับข่าวลือ เป็นโอกาสที่ถ่วงน้ำหนักได้พอดีในการทำความเข้าใจกับราษฎรและส่งสาส์นถึงฝ่ายตรงข้ามไปในตัวด้วย 

             ในตอนท้ายของบทความที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้เกี่ยวกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลพวงจากการที่สถาบันสงฆ์เป็นเสาหลักสำคัญหนึ่งในการปกป้องบ้านเมือง  สถาบันพระพุทธศาสนาไม่เคยแยกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ และความมั่นคงของชาติสยามมาแต่ครั้งสุโขทัย อยุธยา เรื่อยมาแล้ว (ความจริงแต่ครั้งพุทธกาลพระบรมศาสดาก็ทรงคลี่คลายปัญหาการเมืองอยู่หลายครั้ง) ที่น่าสนใจค้นคว้าคือ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีแนวคิดการห้ามพระยุ่งเกี่ยวกับการเมือง? แนวคิดนี้มาจากไหน? และมีจุดประสงค์อะไร?

   
          อันความกรุณาปรานี     
      จะมีใครบังคับก็หาไม่
      หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ   
      จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
     
      พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 ตุลาคม 2553 13:38:32 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553 11:33:45 »


             อีก ครั้งหนึ่งที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ จนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จออกบัญชาการดับไฟ วันนั้นตรงกับวันเสาร์ที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๒ เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ ไฟเริ่มไหม้จากหมู่บ้านบริเวณหลังวังบูรพาภิรมย์ ระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนพาหุรัด ต้นเพลิงเกิดขึ้นตรงห้องแถวของพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นสรรพสาตรศุภกิจ ซึ่งทรงให้จีนฮุนกับจีนเปงเช่า ตั้งเป็นโรงจำหน่ายยาฝิ่นอยู่ชิดติดกับมุมของวังบูรพาภิรมย์ด้านตะวันตก
     
      ต้นเพลิงเกิดจากครัวไฟพุ่งขึ้นไหม้ติดไปยังห้องชั้นบน จีนเจ้าของห้องกลับปิดประตูไว้ มัวแต่สาละวนกับการเก็บเข้าของหนีไฟ เพื่อนบ้านจะเข้าไปช่วยดับไฟก็เข้าไปไม่ได้ ไฟจึงลามออกไปติดร้านถ่ายรูป ขณะนั้นลมเริ่มแรงจัดขึ้นควันโขมงคลุ้งไปทั่ว ไฟลุกติดต่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ลามไปทั่ว เห็นไฟลุกแดงฉานเต็มท้องฟ้า
   
          ภายในวังบูรพาภิรมย์ของพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ต่างช่วยกันเตรียมน้ำไว้อย่างพร้อมเพรียง ลูกไฟที่แตกกระจายว่อนไปในอากาศนั้นก็หล่นลงในวังบูรพา แต่พวกทหารจากโรงหล่อได้เตรียมการดับไฟไว้ได้ ถึงกระนั้นหลังคาก็ร้อนจัดจนเกรียมทีเดียว ไฟไหม้ลามข้ามจากฟากถนนบูรพาไปติดที่ตึกของพระประจักษ์ยุทธธน และบ้านของนายพะยอมช่างทองฝีมือดีเป็นเหยื่อไฟถัดและโหมหนักเข้าไปถึง บ้านพระยาราชโกษา
   
          ลมแรงพาไฟให้ไหม้ลุกลามห้องแถวถนนพาหุรัดไปจนถึงใกล้กับวัดมงคล สมาคม ห้องแถว ๒๖ ห้องของกรมหมื่นสรรพสารทวอดหมดสิ้น บรรดาเรือนโรงของราษฎรที่อยู่ทางด้านหลังนั้นกลายเป็นทะเลเพลิง ไฟไหม้ไปถึงศาลาโรงธรรมบ้านลาว บ้านของพระประดิษฐ์ฯและหลวงราชถานฯ บ้านหลวงศรีสยุมพรเจ้ากรมน้ำสรง เป็นห้องแถวไม้ซึ่งเป็นเชื้อไฟอย่างดี ที่ทำให้ไฟลามไปถึงห้องแถวของพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ข้างถนนพาหุรัด
   
         พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถพระที่นั่ง ตรงมายังที่เกิดไฟไหม้พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตาม เสด็จมาอีกมาก เมื่อเสด็จมาถึงได้ทรงบัญชาการดับไฟอยู่ ณ ช่วงถนนพาหุรัด ระหว่างนั้นทอดพระเนตรพวกพลตระเวนและพลทหารซึ่งทำการดับไฟอย่างเสี่ยงต่ออันตราย บางคนก็ได้รับบาดเจ็บและถูกไฟลวก แต่ไฟยังคงโหมอย่างหนักจนไปถึงหน้าโรงพักพลตระเวน บ้านที่รอดพ้นอย่างมหัศจรรย์ได้แก่บ้านของหลวงทวยหาญฯกับบ้านของนายแปะซึ่ง ตั้งอยู่ตรงมุมถนนพาหุรัด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้มีพระราชดำรัสกับพระบรมวงศ์พระองค์หนึ่งซึ่ง อยู่ใกล้ๆว่า
       “ ต้องให้เขา ” ทรงหมายถึงรางวัลและความดีความชอบของพวกที่ได้ช่วยดับไฟครั้งนั้น
   
         อาจเป็นด้วยอำนาจพระบารมีและบุญญาภินิหาร ในชั่วโมงต่อมาขณะที่ไฟยังไหม้โหมแรงอยู่นั้น ก็ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ไฟจึงซาและสงบลงทันที ประชาชนชาวพระนครต่างแซ่ซ้องสาธุการในพระบารมีปกเกล้าครั้งนี้กันทั่วหน้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯประทับที่วังบูรพาภิรมย์จนถึงเวลา ๕ โมงเศษ จึงเสด็จกลับยังพระบรมมหาราชวัง ไฟไหม้ครั้งนั้นตึกรามบ้านช่องเสียหายประมาณ ๑๕๐ กว่าหลัง ค่าเสียหายไม่น้อยกว่า ๕๐๐๐ชั่ง เจ้าหน้าที่ได้จับกุมจีนเปงผู้เป็นต้นเพลิงไว้ได้.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2553 11:52:05 »


   ผ้าเช็ดพระพักตร์  
   
              จากหนังสือเรื่อง อนุสรณ์จากอดีต โดย ชาลี เอี่ยมกระสินธ์ ได้มีบันทึกคำบอกเล่าของเจ้าจอมมารดาอ่อนในรัชกาลที่ ๕ เมื่อ วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ ณ วังสวนปาริจฉัตถ์ไว้ เป็นเหตุการณ์ตอนหนึ่งในสมัย ร.ศ.๑๑๒ ซึ่งฝรั่งเศสเข้ามา รุกรานไทย ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเสด็จตรวจป้อมปืน เมืองสมุทรปราการ เพื่อเตรียมรับมือฝรั่งเศส มีเจ้านายหลายพระองค์ตามเสด็จฯด้วย รวมทั้งพระพันวัสสา สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และเจ้าจอมมารดาอ่อน มีพระยาชลยุทธฯเป็นผู้ควบคุมป้อมปืนนั้น ได้มีการทดลองวิถีกระสุนปืนใหญ่ประจำป้อม ซ้อมยิงกระสุน จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย
       
               ในครั้งนั้นได้เสด็จตรวจพลและรับสั่งกับนายและพลทหารประจำป้อมนั้นอย่างทั่ว ถึง. บังเอิญขณะเสด็จตรวจพลนั้น เกิดอุบัติเหตุมีพลทหารเรือผู้หนึ่ง ถูกของมีคมบาดเท้า จนเป็นแผลลึกโลหิตไหลโทรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯผ่านไปพอดี เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องกะทันหัน ทหารเรือผู้นั้นมีใบหน้าซีดเซียวเพราะเลือดออกมาก พระองค์จึงรับสั่งให้รีบจัดการช่วยเหลือโดยด่วน ทรงควักเอาผ้าเช็ดพระพักตร์ออกมาส่งให้นายทหารที่อยู่ใกล้ที่สุด และรับสั่งให้จัดการพันแผลที่เท้าทหารเรือผู้นั้นให้แน่น เพื่อป้องกันมิให้เลือดออกมาก ทหารเรือเคราะห์ร้ายและเคราะห์ดีในเวลาเดียวกันผู้นั้น ก้มลงกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้าหลวง ด้วยความซาบซึ้งในพระเมตตา
       
         “...ท่านเจ้าจอมมารดาอ่อนเล่าว่า...สีหน้าของ ทหารคนนั้นมีเลือดฝาดขึ้นทันที และดูเหมือนจะลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เท้านั้น เมื่อได้รับผ้าเช็ดพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่หัว..” เวลา นั้นนั้นสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สมเด็จพระพันวัสสา ได้ประทานเงินรางวัล จากการปฏิบัติหน้าที่จนต้องบาดเจ็บ รวมทั้งเจ้านายอีกหลายพระองค์ วันนั้นทหารเรือผู้นั้นจึงได้รับเงินไปไม่น้อย พระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานแก่พลทหารเรือนั้น นับว่าเป็นขวัญและกำลังน้ำใจอย่างสำคัญแก่นายทหารและพลทหารทั้งหลายเป็น อย่างมาก.

              เพราะ เมตตาอันหาที่สุดมิได้ เพราะกรุณาที่มิได้เลือกแม้คนเล็กๆเพียงธุลีดิน คือมหาราชอันเป็นที่รักนิรันดร์กาล นี่คือตัวอย่างเรื่องเล็กๆแต่สำคัญยิ่ง คือ"ใจ"ของใครก็ตามที่คิดจะเป็นผู้นำต้องหล่อเลี้ยงด้วยคุณธรรมแห่งพรหมวิหารสี่ สามารถปกแผ่ความร่มเย็นไปสู่ราษฎร และ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม.
     

         ปัณฑา สิริกุล     เรียบเรียง ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๖  เพิ่มเติม ๗ กันยายน ๒๕๔๘
       
         ข้อมูล
              :   เจ้าชีวิต สยามก่อนยุคประชาธิปไตย  โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์
              :   หนังสือ อนุสรณ์จากอดีต โดย ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์
           
http://www.moomkafae.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=191308&Ntype=1

http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=93.0
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2553 07:33:44 »





ร. 5 สวรรคตปี 2468)

ประวัติต้นรัชกาลที่ 6 โดย ราม  วชิราวุธ ( ร. 6 )
เป็นบันทึกของพระองค์ท่านในปี 2466(ร. 5 สวรรคตปี 2468)


 ยิ้ม  http://www.cmadong.com/board/index.php/topic,3102.500.html
เรียนขออนุญาต คุณเริง 2520 นำมาเผยแพร่ ร่วมเทอดพระเกียรติค่ะ




บันทึกการเข้า
คำค้น: ร.5 พระปิยมหาราช บันทึก พระราชดำรัส เหตุการณ์ อนุสรณ์จากอดีต 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร - ดวงจิตผู้รู้อยู่
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
เงาฝัน 5 5916 กระทู้ล่าสุด 27 เมษายน 2553 17:17:14
โดย เงาฝัน
'สมุดภาพพระพุทธประวัติ' ๘o ภาพ โดย ครูเหม เวชกร จิตรกรฝีมือเอก « 1 2 3 4 5 »
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เงาฝัน 84 77504 กระทู้ล่าสุด 03 กรกฎาคม 2553 11:05:24
โดย เงาฝัน
หลวงปู่บุดดาตอบเรื่อง'นิพพาน..และจิต'
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
มดเอ๊ก 2 3390 กระทู้ล่าสุด 03 กรกฎาคม 2553 03:38:16
โดย หมีงงในพงหญ้า
พระพุทธศาสนากับจักรวาลฟิสิกส์สมัยใหม่
กระบวนการ NEW AGE
เงาฝัน 3 10143 กระทู้ล่าสุด 09 กันยายน 2553 02:15:05
โดย เงาฝัน
วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
เงาฝัน 10 7157 กระทู้ล่าสุด 11 กันยายน 2553 08:21:05
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.647 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 17 ธันวาคม 2566 08:55:57