[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 19:54:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ลัทธิลวงโลก  (อ่าน 16770 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 17:06:10 »

ลัทธิอุบาทว์

นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ


ระยะนี้มีข่าวการฆ่าตัวตายหมู่ ที่เกี่ยวข้องกับการคลั่งลัทธิ เกิดขึ้นในหลายประเทศ
ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน โดยทั่วไปแล้ว การฆ่าตัวตายมักเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็น
โรคซึมเศร้ามากที่สุด แต่ในกรณีที่เกิดเป็นข่าวนี้จะเห็นได้ว่าผู้ที่ทำการฆ่าตัวตายส่วนใหญ่
มิได้มีอาการซึมเศร้าแต่ประการใด

จากข้อมูลที่ปรากฏในข่าว ดูเหมือนว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายหมู่ทั้งหลายนั้น กระทำไปด้วย
ความเชื่อบางอย่าง ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า จะเป็นจริงหรือมีความเป็นไปได้
ด้วยความรู้ที่อยู่ในปัจจุบัน

ความเชื่อที่ฝังแน่นโดยไม่มีพื้นฐานบนความเป็นจริงนี้ เรียกว่า "อาการหลงผิด (delusion)"
ซึ่งเป็นอาการหนึ่งที่พบในโรคจิตเป็นส่วนใหญ่ และไม่พบในคนปกติทั่วไป

อาการหลงผิดมีได้หลายรูปแบบ เช่น หลงผิดว่ามีคนปองร้าย (persecutory delusion)
หลงผิดว่าตนมีความสามารถเกินความเป็นจริง (grandiose delusion) หลงผิดทางร่างกาย
(somatic delusion) หลงผิดว่าคู่ของตนนอกใจ (delusion of infidelity)

อาการหลงผิดที่พบในกลุ่มคนที่ฆ่าตัวตายหมู่นั้น มีลักษณะผูกเป็นเรื่องราวอย่างเป็นระบบ
(systematized delusion) และมีอาการหลงผิดเป็นแบบเดียวกันทุกคน เช่น หลงผิดว่า
การตายของเขา จะทำให้วิญญาณของเขาได้ไปกับยานอวกาศที่มากับดาวหาง
เพื่อนำเขาไปสู่อีกภพหนึ่ง

อาการแบบนี้พบได้ในโรคจิตชนิดหนึ่งที่เรียกว่า โรคหลงผิดจากการชักนำ
(Induced delusion disorder) หรือที่ทางอเมริกันเรียกว่า โรคจิตที่เป็นร่วมกัน
(Shared psychotic disorder)

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 17:09:39 »


โรคนี้เดิมทีเดียว มักพบว่าเป็นร่วมกัน หรือมีอาการหลงผิด ในเรื่องเดียวกัน
ในคน 2 คน ที่มีความผูกพันทางอารมณ์กันอย่างมาก โดยที่มีคนหนึ่งชักนำให้
อีกคนหนึ่งเกิดอาการหลงผิดตามที่ตนเองเชื่อ จึงมีชื่อเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า
Folie a deux เพิ่งจะมีในระยะหลังนี้ที่พบว่ามีอาการเกิดขึ้นในคนกลุ่มใหญ่
และเป็นที่เปิดเผยขึ้นเพราะมีการฆ่าตัวตายหมู่ จนกลายเป็นที่สนใจของสาธารณชน

การที่จะเกิดการชักนำให้เกิดอาการหลงผิดในคนเป็นกลุ่ม เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บ่อย
เพราะต้องถึงพร้อมด้วยเงื่อนไขของผู้ชักนำ และผู้ถูกชักนำ

ผู้ชักนำทำให้ผู้อื่นเกิดอาการหลงผิดตามตน มักต้องมีลักษณะพิเศษ ที่ทำให้เกิด
ความเลื่อมใสศรัทธา ต้องมีความเป็นผู้นำ กล้าได้ กล้าเสีย มีท่าทีที่ดูเข้มแข็งมั่นคง
จนทำให้ผู้ตามคิดว่าจะสามารถฝากผีฝากไข้ไว้ได้

ในกรณีที่เป็นข่าว ผู้ชักนำอาจเป็นผู้ที่มีปัญหาทางจิตใจ จนถึงขั้นป่วยเป็นโรคจิต
แต่ก็มีความเฉลียวฉลาดและแสดงออกภายนอก เป็นลักษณะของคนที่มีจิตใจมั่นคง
เข้มแข็ง แม้ว่าภายในจิตใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นก็ตาม

ผู้ถูกชักนำให้เกิดอาการหลงผิดมักมีบุคลิกภาพที่อ่อนแอ ขาดความมั่นคงทางจิตใจ
ขาดเอกลักษณ์ของตนเอง และแสวงหาที่พึ่งพิง เหมือนดังไม้เลื้อยที่ไม่สามารถชู
ลำต้นของตนเองขึ้นได้ ในยามที่มีปัญหาจึงพยายามไขว่คว้าที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
จนถูกชักนำให้เกิดอาการตามเขาไปด้วย
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 17:11:37 »


คนที่เป็นแบบนี้ นับวันจะมีมากขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน ซึ่งมีความเจริญ
ทางด้านวัตถุและวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว ครอบครัว
ขาดความอบอุ่น และมีการแตกแยกได้ง่าย เกิดการล่มสลายของครอบครัว
ประกอบกับสถาบันศาสนาก็มีความอ่อนแอ จนทำให้คนจำนวนมากเสื่อมศรัทธา
และขาดที่พึ่งทางใจ จึงแสวงหาสิ่งใหม่หวังเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว บางครั้งก็ไปคว้า
เอาสิ่งที่เป็นอันตรายจนนำไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด

สังคมฝรั่งนั้นมีโอกาสที่จะเกิดความว้าเหว่ได้มาก เพราะเมื่อเด็กโตขึ้น ก็มักทิ้ง
พ่อแม่ไปอยู่ที่อื่น และมีการติดต่อกันน้อยมาก บางครั้ง รู้ข่าวอีกทีก็ฆ่าตัวตาย
ไปเสียแล้ว จะเห็นได้ว่าในกลุ่มคนที่ฆ่าตัวตายหมู่นั้น มีความสัมพันธ์ในครอบครัว
ที่ไม่แน่นแฟ้นทั้งสิ้น

สังคมไทยในอดีต มีความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อนข้างใกล้ชิด จนแทบจะเรียกได้ว่า
มีคนคอยสอดส่องติดตามเรื่องราวของกันและกันตลอดเวลา หาความเป็นส่วนตัวไม่ได้
การฆ่าตัวตายหมู่ของคนไทยที่เกิดขึ้น 6 คน เมื่อหลายปีก่อนจึงเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
ที่หัวหน้าครอบครัว มีอาการหลงผิด และชักนำให้คนอื่นหลงผิดตามไปด้วย
ว่าฆ่าตัวตายแล้วจะได้ไปอยู่กับพระนารายณ์

สังคมไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มจะเลียนแบบฝรั่งมากขึ้น บางครั้งครอบครัวก็ต้อง
แยกกันอยู่เพราะความจำเป็น ในการหางานทำเพื่อเลี้ยงชีพ ครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน
บางทีก็ยังเกิดความว้าเหว่ เพราะไม่มีเวลาให้กันมากพอ โอกาสที่คนจะแสวงหา
ที่พึ่งทางใจในรูปแบบใหม่ๆ จึงมีได้มาก
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 17:14:07 »


หลายปีที่ผ่านมามีลัทธิบางอย่างเกิดขึ้นในบ้านเรา รวมทั้งที่นำเข้ามาจาก
ต่างประเทศด้วย และมีคนไปหลงใหล คลั่งไคล้บ้างตามสมควร เช่น
บางลัทธิเลิกนับถือพ่อแม่ไปเลย และมีการจับคู่กันเองในกลุ่มเดียวกัน
ปรากฏว่ามีคนที่มีปัญหาในครอบครัว ไปเข้าลัทธิหลายราย รวมทั้งผู้ป่วย
โรคจิตบางรายด้วย

รูปแบบของศาสนาเองก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจนคล้ายกับเป็นลัทธิใหม่
แม้ว่าเปลือกนอกหรือชื่อจะเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคารพนับถือ
ไปบูชาวัตถุที่ซื้อขายกันได้ โดยมีความเชื่อว่าจะสามารถคุ้มครอง ป้องกันภัย
อันตรายได้สารพัด บังเอิญความเชื่อนี้มีคนยอมรับกันมาก และไม่ได้มีโทษภัย
อะไรชัดเจนจนทำให้คนต้องฆ่าตัวตาย จึงกลายเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันไปโดยไม่มีใคร
ยับยั้งได้ เพราะฝ่ายที่ขายก็ได้เงิน ฝ่ายที่ซื้อก็ได้ความสบายใจมีกำลังใจขึ้น

สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากในเรื่องนี้ ก็คือการหลอกลวงต้มตุ๋นกัน ผู้นำลัทธิบางคน
อาจทำไปด้วยความผิดปกติทางจิตใจ คือ มีอาการหลงผิดจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะ
หลอกลวงใคร แล้วก็ดึงดูดคนที่มีปัญหาทางจิตเข้าไปรวมกัน แต่บางรายอาจมีเจตนา
ที่ไม่สุจริต แสวงหาความร่ำรวยและผลประโยชน์อื่นๆ จากคนที่หลงงมงายเข้าไปหา


อย่างในกรณีสมีหลายรายที่ทำตัวเป็นผู้วิเศษ มีการเล่นบทผู้ทรงศีลบังหน้า แฝงไว้
ด้วยเบื้องหลังที่ชั่วร้าย ก็ยังมีคนหลงงมงาย เชื่อว่าเป็นผู้วิเศษอยู่จนทุกวันนี้ บางรายมี
พฤติกรรมเป็นพ่อค้าทั้งที่อยู่ในคราบนักบวช มีการหลอกลวงคนที่หลงเชื่อ จนต้อง
แจ้งความขึ้นโรงพักกันอยู่เนือง ๆ แต่ก็ไม่เคยสึกหรอ
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 17:16:19 »


การหลอกลวงที่ทำกันง่ายก็คือ เรื่องของการรักษาโรค ในประเทศไทยเรามี
เรื่องแปลกประหลาด คือ แพทย์ไม่สามารถโฆษณาได้ แต่คนที่ไม่ใช่แพทย์
กลับปล่อยให้โฆษณากันได้อย่างโจ่งแจ้ง ทางสื่อมวลชนทุกรูปแบบ เช่นอวดอ้าง
ว่ารักษาได้ทุกโรคไม่ว่าโรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังอะไรก็ตาม บางที่ก็ว่าใช้ยาลูกกลอน
บางครั้งก็ว่า ใช้การแตะหน้าผาก หรือใช้กระแสจิต

สื่อมวลชนบางกลุ่มก็ชอบประโคมข่าว เพื่อเป็นการแต่งเติมสร้างสีสัน เวลาไป
สัมภาษณ์ใครก็ต้องแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงๆ เข้าไว้ กลัวว่าจะไม่น่าเชื่อถือ
บางทีไม่ได้เป็นจิตแพทย์ก็ไปประโคมข่าวว่า เป็นจิตแพทย์ซ้ำยังต้องชื่อดังอีกต่างหาก
บางคนที่ไม่ได้เป็นจิตแพทย์ก็เลยฉวยโอกาส และพยายามทำให้คนหลงเชื่ออย่างนั้น
ด้วยการไม่ปฏิเสธ บางทีไม่มีปริญญาเอก แต่ก็อ้างว่าตัวเป็นด็อกเตอร์โดยไม่มีการตรวจสอบ

พฤติกรรมแบบนี้เป็นอันตรายต่อสังคม เพราะเป็นการหลอกลวงประชาชน
ให้เกิดความเข้าใจผิด ยิ่งถ้าปล่อยให้รักษาโรคด้วยก็น่าสงสาร ประชาชน
ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าเป็นแพทย์ยังต้องมีจรรยาบรรณ และตรวจสอบควบคุม
โดยแพทย์สภา แต่พวกที่ไม่ใช่แพทย์กลับไม่มีการควบคุม

ได้เวลาที่ประชาชนจะได้รับความคุ้มครอง นอกเหนือจากได้เวลาอยู่ดีกินดีหรือยังครับ
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 18:31:09 »


"จิม โจมส์  -  ลัทธิฆ่าตัวตายหมู่"


             http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killed.jpg
ลัทธิลวงโลก



ยูโทเปีย เป็นแนวคิดเชิงอุดมคติเกี่ยวกับโลกอันสมบูรณ์แบบตามทฤษฎีของเพลโต
ในสมัยกรี กโรมัน (347 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เซอร์โทมัสมอร์
(Sir Thomas More) นักปรัชญามนุษยนิยมชาวอังกฤษ ได้นิยามคำว่า "ยูโทเปีย"
(Utopia) ในหนังสือที่เขาแต่ง ซึ่งกล่าวถึงเกาะแห่งหนึ่งที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
มีความสามัคคีกลมเกลียว ไม่มีความขัดแย้ง สงครามหรือการใช้ความรุนแรงเข้าหากัน
 
แต่ในโลกแห่งความจริงแล้วไม่มีใครสามารถสร้าง "ยูโทเปีย" ได้หรอก ...แต่มีคนหนึ่ง
เขาเชื่อมากๆ ว่าเขาสามารถสร้าง "ยูโทเปีย" ได้
 
เขาคือ "จิม โจนส์"
 
จิม โจนส์ มีบุคลิกภาพเป็นนักต่อต้านสังคม จากเริ่มแรกทำอาชีพเป็นเซลล์แมน
เมื่อเขาได้รู้เรื่อง "ยูโทเปีย" เขาไม่ยอมเชื่อว่าสถานทีแห่งนั้นไม่สามารถสร้างได้
ในโลกใบนี้ ด้วยความคิดนี้เขาได้ชักชวนสาวกและผู้เสื่อมใสศรัทธาในตัวเขา
จากนั้นก็ตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิใหม่ ออกเดินทางไปตั้งอาณาจักรยูโทเปียที่กลางป่าลึก
ในประเทศกีอาน่า ดินแดนอาณานิคมฝรั่งเศส ในทวีปแอฟริกา
 
การสร้างสังคมอุดมสุขของ จิม โจนส์ ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่นานมันก็ยิ่ง
เหลวแหลก ในที่สุดสังคมในฝันของเขาก็เกิดอาการซ็อก ...วันที่ 18 พฤศจิกายน 1978
จิม โจนส์และสาวกร่วม 914 คน พากินยาพิษฆ่าตัวตาย ...

และนี่คือเหตุการณ์ฆ่าตัวตายที่ได้รับการบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นการ
ฆ่าตัวตายหมู่โดยเจตนามากที่สุดในโลก
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 18:34:47 »

                http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killeda.jpg
ลัทธิลวงโลก



Jim Jones หรือ James Warren Jones (1931 - 1978)


จิม โจนส์ เกิดเมื่อ 13 พฤษภาคม 1931 ในครอบครัวยากจนที่รัฐอินเดียน่า
ประเทศอเมริกา เจมส์บิดาของเขาซึ่งเป็นสมาชิก KKK นั้นทิ้งครอบครัวไป
ตั้งแต่เขาอายุ 12 ปี ลีเน็ตต้าผู้เป็นแม่ซึ่งเลี้ยงเขามาลำพังคนเดียวนั้นรัก
ลูกตัวเองมาก และมักจะบอกกับคนอื่นว่าลูกของเธอเป็นเหมือนนักบุญ
มาตั้งแต่เกิด ลีเน็ตต้าเข้าร่วมในโครงการอาสาสมัครของท้องถิ่นและ
ให้ความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสคนอื่นๆ ประกอบกับเขตที่จิมอาศัยอยู่นั้นเป็น
Fundamentalism (กลุ่มผู้มีความเชื่อในไบเบิ้ลว่าทุกคำในไบเบิ้ลนั้นเป็นความจริง)
เสียส่วนใหญ่ จิมจึง เติบโตขึ้นเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างแรงกล้า
เขาเริ่มท่องจำไบเบิ้ลตั้งแต่อายุ 8 ปี และเมื่ออายุ 12 เขาก็สามารถเทศน์
เด็กในละแวกบ้านราวกับเป็นนักบวชจริงๆ เมื่ออายุได้ 17 ปี จิมก็ไปเป็น
นักเรียนฝึกหัดเพื่อจะเป็นบาทหลวงของเมโธดิสต์ พออายุ 21 ปี เขาก็ได้
พบกับ มัลเซลีน บอลด์วินด์ ซึ่งเป็นนางพยาบาล (มีบางที่กล่าวว่าเธอเป็น
ลูกของนักเผยแพร่ศาสนาด้วย) และแต่งงานกัน พร้อมกันนั้นเอง
จิมก็ถอนตัวออกจากเมโธดิสต์ออกมาเป็นนักเผยแพร่ศาสนา
 
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 18:39:12 »


จิมเริ่มทำการเผยแพร่คำสอนโดยมีกลุ่ม เป้าหมายหลักเป็นคนผิวดำในเขตเกตโต้
(Ghetto) และตั้งโบสถ์มวลชน (Peoples Temple) ขึ้นมาในปี 1957
แน่นอนว่าเงินทุนย่อมมีน้อย เขาจึงเริ่มธุรกิจการเพาะพันธุ์ลิงมาขายเพื่อ
หาเงินมาช่วยเหลือคนผิวดำ คนที่มีทัศนคติแบ่งแยกสีผิวไม่พอใจใน
การกระทำของจิม เขาถูกด่าว่าอย่างไม่มีเหตุผล มีคนปาหินใส่บ้าน
ซึ่งบางครั้งก็ยกระดับมาเป็นระเบิดขวด ถึงกระนั้นจิมก็ไม่ยอมแพ้และ
ทำการเผยแพร่ศาสนาต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งในขณะนั้นพลเมืองผิวดำของ
อินเดียน่าโพลิสกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอเมริกากำลังรณรงค์
การมีส่วนร่วมในการปกครองของคนผิวดำและอาศัยว่า จิมมีพรสวรรค์
ในการเทศน์ ผู้ศรัทธาในตัวเขาจึงเพิ่มขึ้นและโบสถ์มวลชนก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว


              http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedb.jpg
ลัทธิลวงโลก
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 18:42:21 »


ปี 1959 จิมรับเด็กเชื้อสายนิโกรและเด็กเชื้อสายเกาหลีอย่างละคน
มาเป็นบุตรบุญธรรม นอกเหนือไปจากลูก 2 คนของเขากับมัลเซลีน
และเรียกครอบครัวของตัวเองว่า Rainbow Family ทั่วอินเดียน่าโพลิส
เต็มไปด้วยโปสเตอร์ของจิม เขาให้ความช่วยเหลือแก่คนผิวดำในรูปของ
อาหารและที่หลับนอน ซึ่งรวมไปถึงการหางานให้ทำด้วย เป็นไปได้ว่า
เขาอาจจะได้เป็นนักศาสนาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก หากยุคสมัย
ก็ทำให้หนทางนั้นบิดเบือนไป
 
อเมริกาในยุคปี 60 นั้นเต็มไปด้วยความคิดเรื่องการต่อต้านสงคราม
และการรณรงค์สิทธิเสรีภาพ จิมได้รับอิทธิพลความคิดจากบาทหลวง
คิง มัลคอม และแบล็คแพนเธอร์มาอย่างมาก
 
เขาตั้งอุดมคติเป็นสังคมแบบสังคมนิยม ซึ่งไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ
และเริ่มทำการรณรงค์เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสี ผิวทั้งการออกเดินขบวน
และออกรายการโทรทัศน์ และการที่ ทิมส์ สโตน (ทนายซึ่งเป็นฮิปปี้มาก่อน)
เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของเขาในช่วงนี้ก็ยิ่งทำให้จิมยึดมั่นในแนวคิดนั้นมากยิ่งขึ้น
จากนั้น จิม โจนส์ ก็ตั้งสัทธิของตนเองขึ้นคือ "ลัทธิดินแดนสวรรค์"

เมื่อจิม โจนส์ ตั้งลัทธิตนเองได้ เขาประกาศว่า

"ในลัทธิของพวกเราจะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
ความรุนแรงจะต้องหมดไปจากโลก เหมือนสะเก็ดเนื้อหนัง
หลุดออกไปจากมือ จากเท้าคนป่วยขี้เรื้อนกุดถัง"

บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 18:45:44 »

               http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedc.jpg
ลัทธิลวงโลก


โครงการหนึ่งที่จิม โจนส์ สร้างศรัทธาต่อสาวก คือโครงการต่อต้านการฆ่าตัวตาย
เมื่อปี 1977 จิม โจนส์ และสาวกผู้ติดตามกว่า 500 เดินทางไปสะพานโกลเดนเกท
เพื่อต่อต้านการฆ่าตัวตาย ซึ่งสะพานแห่งนี้ชาวอเมริกันนิยมมาฆ่าตัวตายมากที่สุด
และอีกครั้งงจิมและสาวกหนึ่งคันรถบัสเดินทางไปที่คุกแห่งหนึ่งเพื่อเยี่ยม
นักข่าวคนหนึ่งที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกในข้อหาที่ไม่ยอมเปิดเผย ซึ่งการกระทำ
ของศาลถือว่าผิดต่อรัฐอย่างร้ายแรงมาก จิมตั้งเวทีปราศรัยหน้าคุก เขาเรียกร้อง
ให้ชาวอเมริกันมีเสรีภาพต่อการพูด คิดและเขียน และยินดีเป็นโซ่กลางระหว่าง
อำนาจรัฐและวงการสื่อมวลชน
 
นั่นเองที่ทำให้จิม โจนส์ ได้รับถ้วยรางวัลและเหรียญเชิดชูเกียรติต่อการทำงาน
รับใช้สังคมมากมาย ในจำนวนนั้นเขาได้รับเหรียญ "ลาเฮอราลด์" เป็นเหรียญ
สำหรับผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน (เมื่อปี 1978)

น่าเสียดายความจริงจิมน่าจะได้เป็นนัก ศาสนาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลกก็ว่าได้
แต่แล้วจิมก็เปลี่ยนไปเป็นคนชั่วและคนดีในเวลาเดียวกัน ...
แน่นอนการกระทำของจิมหลายคนไม่เห็น ด้วย โดยเฉพาะพวกเหยียดสีผิว
ทำให้ผู้คนเริ่มจับตามองการเคลื่อนไหวของโบสถ์ ทำให้จิมรู้สึกอ่อนไหวต่อปัญหา
ซึ่งเพ่งเล็งมายังตัวเขา จิมเห็นรัฐบาลและผู้แยกตัวออกจากโบสถ์เป็นศัตรูและ
จัดให้มีองครักษ์อยู่ข้าง ตัวเขาเกือบตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งส่งคนไปคอยจับตา
ดูบ้านของผู้แยกตัวออกจากโบสถ์ด้วย
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 18:49:01 »


                 http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedd.jpg
ลัทธิลวงโลก


หลังจาก The Cuban Missile Crisis ในปี 1962 จิมแสดงท่าทีหวาดกลัว
ต่อปรมาณูเป็นอย่างมาก ในไม่ช้าเขาก็อ้างว่าได้รับบัญชาจากพระเจ้า
"ในไม่ช้าโลกจะถูกปรมาณูฆ่าล้างผลาญ มีแต่ผู้อยู่ในเวโลโอริซอนเด้ในบราซิล
และยูเกียในแคลิฟอร์เนียเท่านั้นที่จะรอดชีวิต" เขาตัดสินใจย้ายโบสถ์ และนี่ก็คือ
จุดเริ่มต้นที่จิมก้าวพลาดจากหนทางของคนปกติ

ปี 1965 จิมย้ายโบสถ์ของเขามายังยูเกียในแคลิฟอร์เนียตามคำทำนายของตัวเอง
เขาเทศน์เรื่องความเสมอภาคในเชื้อชาติ ให้ความช่วยเหลือผู้ไม่อาจปรับตัวเข้ากับสังคม
คนตกงาน คนมีคดีติดตัว ผู้ติดยาเสพติด โบสถ์เติบโตอย่างรวดเร็ว หากในขณะเดียวกัน
จิมก็เริ่มมีท่าทีรุนแรงขึ้น ระหว่างการเทศน์เรื่องไคน์และอาเบล จู่ ๆ จิมก็ขว้างไบเบิ้ลทิ้ง
"ผมไม่เชื่อในพระเจ้าที่ถูกสมมติขึ้นหรอก บนฟ้ามีสวรรค์อยู่ที่ไหน โลกที่เราอยู่นี่แหละ
คือนรกเพียงหนึ่งเดียว" เป็นการปฏิเสธในหลักคำสอนจนยากจะเชื่อได้ว่าเขาเป็น
นักศาสนาจริง หากสำหรับผู้คนซึ่งใช้ชีวิตอยู่อย่างยากแค้น คำพูดเหล่านี้กินใจพวกเขาเป็นพิเศษ
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 18:53:47 »


ปี 1967 จิมย้ายโบสถ์ไปยังซานฟรานซิสโก คนนับพันคนมาชุมนุม
ที่โบสถ์ทุกครั้งที่มีพิธีมิซซา จิมให้ความช่วยเหลือผู้ยากจนและได้แรงงาน
เป็นสิ่งตอบแทนเช่นที่ผ่านมา แต่ถึงตรงนี้เขามีสาวกในมือมากราวกับเป็น
กิจการขนาดใหญ่ เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น สร้าง
เส้นสายในหมู่นักการเมืองซึ่งทำให้โบสถ์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าเขา
ก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารเมืองและมีฐานะ ถึงขนาดมีนักการเมืองระดับ
ประเทศมาหาถึงบ้าน ในตอนนี้จิมเป็นเหมือนกับวีรบุรุษของเหล่าสาวกทีเดียว
หากในความเป็นจริงแล้ว สภาพจิตใจของจิมไม่ค่อยปกตินัก เขาอารมณ์
รุนแรงและต้องพึ่งยาระงับประสาท บ่อยครั้งแนวคิดของจิมเอนเอียงไปยัง
ระบอบสังคมนิยม แม้แต่ในพิธีมิซา เขาก็เริ่มเทศน์ "ในนามของระบบ
สังคมนิยมอันศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งกล่าวว่ามีเพียงผู้ที่เชื่อใน
Christian Communalism นี้เท่านั้นจึงจะเป็นผู้มีอิสระ และในขณะเดียวกัน
ก็เริ่มการรักษาโรคด้วยปาฏิหารย์เช่นการรักษามะเร็งหรือ รักษาคนตาบอด

จิมชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมดแก่โบสถ์และมาใช้ชีวิตในโบสถ์
โดยบอกว่านี่เป็นการสร้างหนทางสู่สวรรค์ เมื่อมีคนแคลงใจก็กล่าวว่าเพราะ
คนผู้นั้นมีความศรัทธาไม่เพียงพอ และบอกกับสาวกของตัวเองว่าสังคมภายนอก
เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่ควรจะเชื่อข้อมูลของคนนอกโบสถ์ และในช่วงนี้เอง
ที่เขาเริ่มมีความสัมพันธ์ ฉันท์ชู้สาวกับสาวก (ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย)
ทำให้ชีวิตแต่งงานของเขาและมัลเซลีนเริ่มระหองระแหง จิมสร้างฮาเร็มขึ้น
ในหมู่สาวก แต่กลับตั้งกฏให้งดเว้นการมีเซ็กซ์ระหว่างสามีภรรยาเพื่อให้
ความสัมพันธ์ของครอบครัวอ่อนลง เด็กๆ ถูกแยกจากพ่อแม่ และการทำ
เช่นนี้เองทำให้ความสนใจทุกประการของสาวกมารวมกันยังโบสถ์และ
ทำให้ พวกเขาปล่อยมือจากทรัพย์สมบัติไปอย่างง่ายดาย
(แน่นอนว่าเข้ากระเป๋าโบสถ์แทน)
 
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 18:58:21 »


จิมถูกครอบงำด้วยความคิดว่าพวกเขาจะ ถูกข่มเหง เขาสั่งให้สาวก
เรียกตัวเองว่า "บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์" และเริ่มเทศน์เกี่ยวกับ Translation
ซึ่งมีใจความว่า

"ท้ายที่สุดนั้น สาวกทุกคนต้องฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อที่วิญญาณ
ของทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวและได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์ ที่ดาวดวงอื่น"


จิมยึดติดกับความคิดนี้จนถึงกับมีการทำรายชื่อของคนที่ไม่เห็นด้วย
กับการฆ่าตัวตายหมู่และกล่าวโจมตีคนเหล่านั้นต่อหน้าคนอื่น
 
ปี 1973 ก่อนที่การต่อต้านโบสถ์มวลชนจะเป็นรูปร่างขึ้น จิมเริ่มวางแผน
จะย้ายสาวกไปยังกูยาน่าในอเมริกาใต้และสร้าง "โจนส์ทาวน์" ขึ้นบนพื้นที่
กว่า 300 เอเคอร์ กล่าวกันว่าเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเตรียมการนี้กินเงินเป็น
ล้านดอลล่าร์ที เดียว จิมเรียกมันว่า "ยูโทเปีย" นี่คือยูโทเปียของจิม เขาจะใช้
ที่แห่งนี้เผยแพร่ความคิดของเขาแก่สาวก ที่แห่งนี้ทุกคนจะอยู่อย่างเท่าเทียมและสงบสุข ...
 
โจนส์ทาวน์ถูกสร้างขึ้นโดยมีหนทางสื่อสารกับโลกภายนอกเพียงไปรษณีย์
และโทรศัพท์คลื่นสั้น ซึ่งการสื่อสารเหล่านี้ก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด
ที่นี่เป็นเหมือนเมืองในระบบเผด็จการของจิม สาวกชายหญิงถูกแยกออกไป
อยู่คนละเขต เด็กถูกกันไปอยู่อีกที่หนึ่ง ในความเป็นจริงแล้วโจนส์ทาวน์ถูก
ดูแลด้วยกลุ่มคนผิวขาวหยิบมือเดียว คนผิวดำต้องทำงานใช้แรงงานตั้งแต่
เช้าจรดเย็นก่อนจะถูกบังคับให้เข้าพิธีใน ตอนกลางคืน ซึ่งต่อเนื่องไปจนถึง
ตี 2-ตี 3 ของอีกวัน
 
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 19:00:37 »


หนำซ้ำระบบสาธารณูปโภคของที่นี่ก็ใช่ ว่าจะดีนัก ทุกคนต้องต่อสู้กับ
โรคเมืองร้อนและโรคระบาดต่างๆ กฏมากมายถูกกำหนดขึ้น คนที่จำไม่ได้
คนที่ไม่ปฏิบัติตามและคนที่ทำท่าจะหนีออกไปจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
ซึ่งการลงโทษได้ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้กำลังเป็นการทรมานและ
จากการทรมานเป็นการใช้กำลังทางเพศ ว่ากันว่า ผู้ใดที่คิดหลบหนีจาก
ยูโทเปียของจิม ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง ผู้ใหญ่ หากถูกจับได้จะถูกนำมาทิ้งที่บ่อลึก
ซึ่งรู้จักในชื่อ "โพรงแห่งทุกข์ทรมาน" โดยจะโยนทิ้งในเวลาเที่ยงคืน
จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั้นอีกเลย และนานวันเข้า
สาวกหลายรายในโจนส์ทาวน์เริ่มเบื่อหน่าย โดยเฉพาะการเผยแพร่ความเชื่อ
ของจิมผ่านเครื่องกระจายเสียงติดตั้งลำโพงที่ หน้าวิหารเทวาลัยมันเริ่มหนวกหู
เพราะต้องทนเสียงประกาศทั้งวันทั้งคืน จนหลายคนคิดว่านี้ไม่ใช่ดินแดน
แห่งสรวงสวรรค์อย่างที่โฆษณาไว้ ในปีเดียวกันนี้เองจิมถูกจับในข้อหาทำ
อนาจารต่อผู้ชายที่มัคคาซ่าร์ปาร์ค (ที่ชุมนุมเกย์) เขายอมเซ็นในเอกสาร
ยอมรับความผิดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขึ้นศาลเพื่อเป็นการ "เตรียมตัว"
โบสถ์มวลชนมีการซ้อมพิธีฆ่าตัวตายหลายครั้งตั้งแต่ก่อนการย้ายไปกูยาน่า
ครั้งแรกสุดนั้นถูกจัดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1976 จิมรวบรวมสาวก 30 คนมา
โดยกล่าวว่าจะฉลองด้วยการดื่มไวน์ และเมื่อทุกคนดื่มแล้วก็บอกว่า
"ไวน์นี้มีพิษ พวกเราคงจะตายในไม่ช้า" แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องโกหกและ
หลังจากนั้น จิมก็มีทำการ "ซ้อม" ทำนองนี้อีกหลายครั้ง
(คราวนี้บอกล่วงหน้าว่ามียาพิษ) มีการตรวจว่าสาวกได้ดื่มไวน์ในแก้ว
ไปจนหมดหรือไม่ เหมือนกับเป็นการวัดความจงรักภักดีอย่างหนึ่ง

บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 19:03:17 »



ปี 1977 โบสถ์มวลชนย้ายสาวกมากกว่าพันคนไปยังกูยาน่า การ "ซ้อม"
ก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ กล่าวกันว่าในปีสุดท้ายนี้ มีการซ้อมฆ่าตัวตายถึง 43 ครั้งทีเดียว
(วันไหนที่มีการซ้อม เวรทำอาหารจะถูกยกเลิกล่วงหน้า เมื่อซ้อมเสร็จจึง
ค่อยมาเตรียมอาหารกัน ดังนั้นพอไม่มีเวรทำอาหาร สาวกจึงรู้ว่าวันนี้จะมีการซ้อม)
 
ในปีนี้ เกรซ สโตน ซึ่งเคยเป็นคนรักของจิม ออกมาแฉเบื้องหลังของโบสถ์
ทำให้สื่อมวลชนเปิดศึกโจมตีโบสถ์มวลชน ส่งผลให้อดีตสาวกจำนวนมาก
ออกมาฟ้องศาลและสาวกซึ่งหนีจากโจนส์ทาวน์ไปขอความช่วยเหลือจาก
สถานฑูตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เกิดกลุ่มแอนตี้โจนส์ขึ้นมา
แล้วรัฐบาลอเมริกาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ สส.ไรอัน จากรัฐแคลิฟอร์เนีย
ยื่นจดหมายขอไปทำการตรวจโจนส์ทาวน์แก่จิม เนื่องจากได้รับคำร้องเรียน
จากอดีตสาวกและครอบครัวของสาวกที่ยังอยู่ที่นั่น แล้วม่านสุดท้ายของ
โศกนาฏกรรมในโจนส์ทาวน์ก็ถูกยกขึ้น


                  http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killede.jpg
ลัทธิลวงโลก
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 19:05:52 »


14 พฤศจิกายน 1978 ไรอันพร้อมกับนักข่าว อดีตสาวกและครอบครัว
ของสาวกจำนวน 19 คนได้ไปยังกูยาน่า หลังจากการเจรจาผ่านทนาย
เป็นเวลาหลายชั่วโมง โจนส์ทาวน์ก็ยอมเปิดประตูรับพวกเขาเข้าสู่ภายใน
ในครั้งแรกนั้น การตรวจเป็นไปอย่างไม่มีปัญหา เด็กๆ เล่นอยู่ในสนามเด็กเล่น
อย่างร่าเริง ผู้ใหญ่ทำงานในไร่อย่างอิสระไม่มีทีท่าว่าถูกบังคับ พอตกค่ำ
จิมก็จัดเลี้ยงพวกเขาและกล่าวอย่างภูมิใจว่าผักผลไม้และกาแฟเหล่านี้
ล้วนเก็บสดๆ มาจากไร่ของที่นี่เอง พวกไรอันเกือบจะเชื่อว่าข้อครหาต่อ
โจนส์ทาวน์เป็นเพียงข่าวลือ หากในวันที่ 4 ของการพักที่โจนส์ทาวน์นี้เอง
นักข่าวคนหนึ่งก็พบกระท่อมที่ผิดปกติหลังหนึ่ง ในกระท่อมนั้นคนแก่และ
คนเจ็บถูกจับนอนเรียงกันบนเตียงเก่าๆ จนแน่นไปหมด ในห้องเต็มไปด้วย
กลิ่มเหม็น แมลงวันบินให้ว่อน มีกระทั่งตัวหนอนคลานอยู่จนทั่ว เมื่อนักข่าว
จะถ่ายรูปก็มียามมาห้ามไว้ และเมื่อพวกไรอันถามเรื่องนี้กับจิม เขาก็ร้อง
เอะอะโวยวายขึ้นมาทันที (จิมในตอนนั้นป่วยเป็นโรคเบาหวานและยาที่เขากิน
ก็มีผลต่อสภาพจิตใจอย่างมาก ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็โกรธ)
 
18 พฤศจิกายน ไรอันออกจากโจนส์ทาวน์ตามกำหนดการและพาสาวก
จำนวน16 คนซึ่งต้องการถอนตัวกลับไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน
ลารี่ เลย์ตัน หนึ่งในสาวกที่ถอนตัวมา ก็ชักปืนออกมายิงพวกไรอัน พร้อมกับที่
กลุ่มคนติดอาวุธออกมาล้อมเครื่องบินไว้และเริ่มการยิง สส.ไรอันและผู้ติดตาม
รวม 5 คนเสียชีวิต หลังจากการโจมตีนี้ ในเวลา 5 โมงเย็นวันเดียวกัน เพียง
40 นาทีหลังการโจมตีสนามบิน จิมรวบรวมสาวกทั้งหมดมาร่วมในพิธีของ "ไวท์ไนท์" 
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 19:12:28 »

คืนสุดท้ายในโจนส์ทาวน์  

นางพยาบาลนำถังใส่ไซนาไนด์ออกมา ซึ่งไซยาไนด์เหล่านี้ถูกผสม
กลิ่มผลไม้ให้ดื่มง่าย พวกเขาฉีดไซยาไนด์ให้กับเด็กๆ ก่อน เพื่อที่เด็กๆ
จะไม่ร้องโวยวายออกมาให้เสีย "พิธี" จากคำให้การของผู้รอดชีวิต
ใช่ว่าสาวกทุกคนจะยินยอมพร้อมใจกับการฆ่าตัวตายนี้ มีทั้งผู้คัดค้าน
และผู้ที่พยายามจะหนี หากทั้งหมดก็ถูกสาวกคนอื่นจับไว้และกรอก
ไซยาไนด์ลงปากหรือถูกยิงอย่างไม่ ปราณี เด็กๆ พากันร้องไห้และ
พ่อแม่ก็เกิดอาการฮิสทีเรีย แต่โดยรวมๆ แล้วไม่มีการขัดขืนมากนัก
โดยเฉพาะคนชราซึ่งเฝ้ารอคิวของตัวเองอย่างสงบ คนที่ถึงคิวกล่าว
คำอำลากับคนรู้จักแล้วดื่มยา อีกประมาณ 5 นาที ก็จะเกิดอาการ
ทรมานทุรนทุรายจนกระทั่งตายไป
 
มีเพียงส่วนหนึ่งที่หนีรอดออกมาได้ จากสาวกกว่า 1100 คน มีเพียง
167 คนที่รอดมาได้และในจำนวน 900 กว่าคนที่เสียชีวิตนั้น
คาดการณ์ว่ามีถึง 300 กว่าคนที่ถูกฆ่าโดยคนอื่น มีทั้งศพที่ถูกยิงจาก
ข้างหลังและศพที่อยู่ห่างจากแก้วยาพิษจนไม่มีความเป็น ไปได้ที่เขาจะ
เอื้อมไปถึง เกือบ 300 ศพจากทั้งหมดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
ภายหลังมีการนำเทปซึ่งบันทึกคืนสุดท้ายของโบสถ์มวลชนมาออกอากาศ
"การฆ่าตัวตายนี้ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ นี่คือการต่อต้านอำนาจรัฐ
เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อการปฏิวัติ" ศพของจิมถูกพบบนแท่นพิธี ที่ศีรษะ
ด้านขวามีรอยกระสุน ไม่ทราบว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมกันแน่
แต่ดูจากสถานการณ์โดยรวม คนส่วนใหญ่ต่างก็ลงความเห็นว่านี่
น่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่า
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 19:15:38 »

            http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedf.jpg
ลัทธิลวงโลก


            http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedg.jpg
ลัทธิลวงโลก


            http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedh.jpg
ลัทธิลวงโลก


            http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedi.jpg
ลัทธิลวงโลก


                     http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedj.jpg
ลัทธิลวงโลก


            http://i617.photobucket.com/albums/tt252/aiandyai/killedk.jpg
ลัทธิลวงโลก



Credit :  ดัดแปลงจาก: Ohx3. http://ohx3.exteen.com/20061117/jim-jones แคมมี่ เด็กดีดอทคอม. http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=228 Listverse. http://listverse.com/2007/07/15/top-10-incredibl
บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 19:37:33 »

Jonestown: The Life and Death of Peoples Temple


บันทึกการเข้า
ไอย
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: leet


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 19:43:52 »


ลัทธิเทียมเท็จ


บทนำ

ตั้งแต่คริสตจักรยุคแรกจนถึงปัจจุบัน มีกลุ่มความเชื่อที่ผิดไปจากหลักข้อเชื่อ
ของคริสเตียนมากมาย และพวกนี้ก็มักจะอ้างว่ากลุ่มของตน หรือตนเป็น
ส่วนหนึ่งของคริสเตียน แต่แนวความเชื่อและการปฏิบัติมักจะแสดงออกมา
ตรงกันข้ามกับคริสเตียนทั่วๆไป

เมื่อคริสเตียนพูดถึงลัทธิเทียมเท็จ เราจะไม่พูดถึงศาสนหลักๆในโลกนี้...
แต่เราจะหมายถึงกลุ่มที่เขาอ้างว่าเป็นคริสเตียน..เช่นเขามีพระเจ้า หรือเรียกว่า
กลุ่มเทวนิยม..เขามีไบเบิ้ล...เขาพูดถึงพระเยซู ฯลฯ แต่การดำเนินชีวิต
ต่างจากมาตรฐานคริสเตียนปกติ เช่นมีภรรยาได้หลายๆคน นับถือผู้นำ
แทนพระเจ้า เชื่อหนังสือที่ผู้นำแต่งแทนพระคัมภีร์ เป็นต้น

จากการตั้งข้อสังเกตส่วนตัวเมื่อศึกษาชีวิตผู้นำของพวก Cults "ลัทธิเทียมเท็จ"
พวกเขาจะมาจาก คริสตจักรของคณะใดคณะหนึ่งของโปรเตสแตนต์
แล้วมาเปลี่ยนคำสอนเพื่อตอบสนองความคิดความต้องการของตน...
เช่นผู้นำมักมากในกาม ก็สอนว่ามีภรรยาได้หลายคน สาวกสาวอยากเข้าใกล้
พระเจ้าต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้นำ ผู้นำอยากดัง  คืออยากมีชื่อเสียง 
ผู้นำอยากสบาย สาวกต้องหาเงินทองมาสนับสนุนเป็นต้น หรือบางคนมี
ความต้องการหลายๆอย่างร่วมกันและสาวกไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบพฤติกรรม
เหล่านั้นเพราะเป็นสิทธิที่ผู้นำได้รับจากพระเจ้า เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว บางกลุ่มความเชื่อ เมื่อผู้นำหาเข็มทิศตัวเองไม่เจอ
นาวา ก็ล่ม...ก็ชวนสาวกฆ่าตัวตาย เช่น
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.755 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 25 มกราคม 2567 18:39:18