[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 01:00:32 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : บุพนิมิตเผ่าพันธุ์ใหม่-จากกายและจิตรู้สู่จิตวิญญาณ  (อ่าน 2213 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 15:33:54 »




บุพนิมิตเผ่าพันธุ์ใหม่-จากกายและจิตรู้สู่จิตวิญญาณ
คอลัมน์ - ความทรงจำนอกมิติ
นพ.ประสาน ต่างใจ

14 สิงหาคม 2548 กองบรรณาธิการ

เชื่อว่าผู้อ่านของเราทุกคนคงต้องรู้จักธรรมชาติของความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ไหลเลื่อนเคลื่อนที่เป็นองค์รวมที่ไล่วนไปตามลำดับเป็นอย่างดี ระหว่างห่วงต่างๆ ของมหาห่วงโซ่แห่งการดำรงอยู่


ที่ผู้เขียนเอามาเขียนตลอดเวลา (the great chain of beings or existence) ระหว่าง สสาร ชีวิต มนุษย์ (และการดำรงอยู่เป็นสังคมของมนุษย์) จิตสำนึกหรือจิตรู้ (conscious mind) และจิตวิญญาณ ซึ่งทุกๆ ห่วงและแต่ละห่วงของมหาห่วงโซ่ล้วนเชื่อมโยงกันอย่างที่จะแยกออกจากกันไม่ได้ ดังนั้น ชื่อของบทความวันนี้ - โดยวลีหลัง - บ่งถึงความหมายว่าจิตจะสามารถมีวิวัฒนาการสู่จิตวิญญาณหรือธรรมจิต (spirituality) ได้ก็ต่อเมื่อรูปกาย รวมทั้งและโดยเฉพาะสมอง (ดู Paul MacLean : The Triune Brain, 1970) ได้วิวัฒนาการมาจนถึงที่สุดแล้ว พร้อมกับวิวัฒนาการของจิตรู้ที่ไล่สูงขึ้นมาด้วย - จากจิตหยาบดิบหรือจิตสัญชาตญาณของสัตว์ สู่จิตอารมณ์ของสัตว์ชั้นสูง และสู่สติปัญญาความฉลาดของเผ่าพันธุ์ตามลำดับ - พร้อมกันนั้น บทความบทนี้ก็ยังต้องการชี้บ่งว่า เป็นเพราะระบบและรูปแบบทางกายภาพของเราและสังคมของเรา ที่ใช้มันมาเพื่อการดำรงอยู่ (existence) - ที่เราคิดว่าจำเป็น และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ - ต่างหาก ที่เป็นอุปสรรคต่อวิวัฒนาการของจิต และทำให้จิตไม่สามารถที่จะมีวิวัฒนาการต่อไปตามครรลองของธรรมชาติแห่งความเป็นองค์รวมได้ นั่นคือบทความนี้ จะขยายความคิดของนักคิดระดับโลกจำนวนมากที่เชื่อว่า อารยธรรมที่ตั้งอยู่บนระบบสังคมเศรษฐกิจและการเมืองที่ดั่ง - อีกที - อยู่บนโครงสร้างทางกายภาพ (physicals) เพียงด้านเดียวที่เราใช้เพื่อการดำรงอยู่ของเรามายาวนาน - โดยเฉพาะในช่วง 400 ปีหลังจากยุคฟื้นฟูและยุคแห่งเหตุผล - กำลังจะถึงจุดจบเมื่อถึงเวลาซึ่งก็คือเวลานี้ และเมื่ออุปสรรคที่เกิดจากระบบและโครงสร้างหมดสิ้นไป ต่อไปนับแต่นี้จิตก็จะสามารถวิวัฒนาการไล่สูงขึ้นไปได้ง่าย

เมื่อนักคิดระดับนำของโลกมาพบกัน เป็นทรานสแอตแลนติก ไดอะล็อก (transatlantic dialoc) เมื่อช่วงปลายของศตวรรษที่แล้ว รายการสนทนาครั้งนั้นก็มีคนรวบรวมขึ้นมาพิมพ์จำหน่าย หนังสือเล่มนั้นกลายเป็นหนังสือขายดีของปีเริ่มต้นศตวรรษใหม่ที่ผ่านมาสำหรับนักวิชาการส่วนหนึ่ง (Ervin Laszlo, Peter Russell, Stanislav Grof : Consciousness Revolution, 1999) น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้ไม่มีขายในบ้าน

เรา บังเอิญผู้เขียนกับหมอประเวศ วะสี ต่างก็ได้ก๊อบปี้ของหนังสือนี้มาคนละเล่มโดยการอนุเคราะห์ของเพื่อนที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม "จิตวิวัฒน์" อีกคนหนึ่ง เดวิด สปิลเลน เป็นผู้ก๊อบปี้มาให้ จิตวิวัฒน์ได้นำไปก๊อบปี้ต่อที่ผู้อ่านท่านใดที่สนใจก็อาจไปขอยืมอ่านได้จากห้องสมุด "รุ่งอรุณ" ที่ถนนสาทร ผู้เขียนเคยยกบางส่วนบางตอนมาเล่าไว้ในคอลัมน์นี้อย่างน้อยก็สามสี่ครั้งแล้ว วันนี้จะขอนำข้อสรุปข้อหนึ่งของนักคิดที่ยิ่งใหญ่ - ทั้งสามที่ต่างเป็นนักวิทยาศาสตร์เลื่องชื่อ ในสายงานของตนมาใช้อีกครั้ง - จริงๆ แล้ว ชื่อของบทความนี้ ผู้เขียนได้มาจากการสรุปใจความของส่วนนำของหนังสือเล่มนั้น ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ

ข้อสรุปมีว่า อารยธรรม "สมัยใหม่" ของสังคมโลกานุวัตรกำลังถึงจุดจบ แต่นั่นคือความวิกฤติ วิกฤตการณ์จากสองมูลเหตุที่เกิดจากความคิดความเคยชินของเรา ประการแรก ด้วยความคิดและด้วยวิทยาศาสตร์กายภาพ เราเชื่อมั่นว่าระบบต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อสนองตอบต่อความจริงทางโลก (ที่มีเท่าตาเห็นและที่ประสาทสัมผัสภายนอกบอกเรา) นั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ ประการที่สอง จากความคิดที่สรุปเช่นนั้นทำให้เรามาสงสัยต่อไปว่า หากระบบที่เราใช้อยู่เกิดมีปัญหา ต่อไปนี้เราควรดำรงชีวิตและนำพาสังคมของเราต่อไปอย่างไรดี ในเมื่อขณะนี้ เราไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ได้อีกต่อไปโดยไม่ก่อความล่มสลายหายนะอย่างใหญ่หลวงให้กับเราทั้งหมดโดยรวม - ไม่ว่าจากภัยพิบัติธรรมชาติ และ/หรือจากความไม่สงบในที่นั่นและที่นี่ เช่น การก่อการร้าย สงคราม การอพยพลี้ภัย ฯลฯ ความไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปด้วยวิถีที่เรารู้จัก และเคยชินจะเป็นเรื่องใหม่สิ่งท้าทายใหม่ๆ ที่เผ่าพันธุ์ของเราไม่ได้เตรียมตัวหรือคิดมาก่อน ต่อไปนี้ เราทำอะไรอย่างเดิม หาทางแก้ไขชีวิตเดิมๆ ไม่ได้อีกแล้ว เราจะ "ไปให้ไกลไปให้ถึง พัฒนาอย่างยั่งยืน" เช่นเราจะคิดผลิตสินค้าให้เพิ่มขึ้นและหวังว่าจีดีพีจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้คนจนพอมีกินแต่คนรวยรวยมากขึ้น - คงทำไม่ได้อีก จะฝันเห็นนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวบ้านเรามากๆ โดยให้เขาเชื่อเราว่าสึนามิที่มาแบบไม่รู้ตัว ไม่มีทางเกิดขึ้นมาอีก - คงทำไม่ได้อีก เราคงไม่สามารถแม้จะวางแผนสร้างถนนสร้างเขื่อนหรือตัดต้นไม้ไปกี่ต้นหรือจะปลูกทดแทนกี่ต้น หรือทำอย่างอื่นแบบที่เราเคยทำได้อีกต่อไป เมื่อทำแบบเก่าก็ไม่ได้หรือคิดแก้วิกฤติใหม่ด้วยวิธีที่เคยใช้แก้ก็ไม่ได้ เราจึงมีเส้นทางที่เหลือเพียงอย่างเดียวที่ตัวเราเองแต่ละคน นั่นคือเราเองที่จะต้องเปลี่ยนแปลง

ในความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ระดับนำที่มาพบกันดังกล่าว พวกเขาล้วนเชื่อว่า อารยธรรมของเรา - ระบบสังคมเศรษฐกิจการเมือง - ได้มาถึงจุดจบแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเชื่อว่า มนุษยชาติกำลังเผชิญหน้ากับความล่มสลายที่ยิ่งใหญ่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์จริงๆ ด้วยข้อเท็จจริงเช่นที่กล่าวมานี้ เราจะทำอย่างไร? ถึงจะอยู่รอดจากภัยพิบัติเหล่านั้น? หากเส้นทางมีเพียงอย่างเดียวอย่างว่า เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร?

นั่น แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องสองเรื่องสองประการที่อาจเกี่ยวเนื่องเป็นเหตุปัจจัยกันโดยตรงก็ได้ หรือไม่เกี่ยวกันในฐานะเป็นเหตุปัจจัยกันเลยก็ได้ แต่มูลเหตุอาจเป็นทั้งสองโดยสืบเนื่องกันมาในด้านลึก - เรื่องของจิตวิญญาณ - ดังที่ผู้เขียนยืมเอามาเขียน (จากนักคิดอีกหลายๆ คน) ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนดังที่เขียนและพูดมาตลอด ทั้งสองประการ - ภัยพิบัติต่างๆ ที่นำมาซึ่งจุดจบแห่งอารยธรรมและนำพาความล่มสลายแทบเท่า "ระดับโลก (massextinction)" อย่างหนึ่งกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transformation) ของปัจเจกบุคคล พร้อมๆ กับส่งอิทธิพลให้คนทั่วไปจำนวนมากจำนวนหนึ่งเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย อีกประการหนึ่ง ทั้งหมดนี้ชี้บ่งกำเนิดการของ "สังคมที่ยั่งยืน" ที่มีจิตวิญญาณเป็นพื้นฐานของมนุษยชาติทั่วทั้งโลก จากข้อมูลหลากหลายที่เคยเอามาเขียนไปมากแล้ว ผู้เขียนกับนักคิดส่วนหนึ่งเชื่อว่า วิวัฒนาการของจิตวิญญาณจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2013 - ราว 8 ปีจากวันนี้ เป็นต้นไป บทความนี้จะเน้นถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายใน - จากกาย (วัฒนธรรมหลงรูป) สู่จิตรู้ (ระบบเศรษฐกิจโลกานุวัตร) และสุดท้ายสู่จิตวิญญาณ (หรือธรรมจิต) อย่างไร?




ก่อนการเปลี่ยนแปลง (transformation) ดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นในหรือหลังช่วงปี 2013 คือช่วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์นานัปการที่เกิดจากสภาวะล่มสลายของโลกธรรมชาติที่ได้ค่อยๆ ทวีความร้ายแรงขึ้นมาเรื่อยๆ ดังที่เราทุกคนต่างก็ได้เห็นกันในระดับหนึ่งตั้งแต่ช่วงหลังของทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา นั่นเป็นทศวรรษที่มีสภาพโลกร้อนอย่างที่สุดและร้อนยาวนานที่สุด และหลังจากนั้น สภาพโลกธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอย่างชัดแจ้งพร้อมๆ กับความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติธรรมชาติ เป็นต้นว่าน้ำท่วมฉับพลันที่จีนในช่วงรอยต่อของศตวรรษ เป็นต้นว่าเฮอริเคนและทอร์นาโดที่มีจำนวนมากขึ้นและรุนแรงมากขึ้นที่อเมริกา เป็นต้นว่า คลื่นความร้อนที่คร่าชีวิตชาวฝรั่งเศสไปเป็นเรือนหมื่นคนเมื่อสามปีก่อน เป็นต้นว่า แผ่นดินไหวในที่ต่างๆ ที่เกิดบ่อยขึ้นและหนักหน่วงยิ่งขึ้นกระทั่งเกิดเป็นคลื่นสึนามิที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปกว่า 250,000 คน รวมทั้งร่วมหมื่นคนที่ประเทศไทย รวมทั้งโรคระบาดชนิดต่างๆ - หลายต่อหลายโรคเป็นโรคที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อนทั้งสิ้น นั่นเรายังไม่นับวิกฤติน้ำมันและความถดถอยทางเศรษฐกิจที่เริ่มรู้สึกได้ทั่วกันในที่ต่างๆ และนั่นเรายังไม่นับความขัดแย้งทางการเมือง การก่อการร้าย สงครามและความไม่สงบอื่นๆ ในที่ต่างๆ ทั่วโลก โลกเราจะประสบกับสภาพการณ์เช่นนั้น จากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม และการหมดไปของทรัพยากรทั้งหมดจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานภาพทางสังคมการเมืองและเศรษฐกิจไปอีกช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่ง และแล้วหลังจากนั้น ภัยธรรมชาติรวมทั้งมหาพิบัติทางภูมิศาสตร์และภูมิดาราศาสตร์ก็จะทยอยปรากฏขึ้นอย่างถี่กระชั้นและรุนแรงอย่างที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไม่เคยมีมาก่อน ดังที่ริชาร์ด ลีกคีย์ ดังที่พอล แอร์ลิช ดังที่สถาบันจับตาโลก ดังที่ซูซาน แดนนอน และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ได้เขียนไว้ ตามที่ผู้เขียนนำมาเขียนเล่าและอ้างอิงไว้ผ่านคอลัมน์นี้มาอย่างยาวนาน

แต่ดังที่ ปีเตอร์ รัสเซลล์ นักฟิสิกส์จากเคมบริดจ์ที่มาได้ดีทางจิตวิทยาวิจัยศาสตร์ (experimental psychology) ได้กล่าวไว้ในหนังสือที่อ้างแล้วข้างบนนั้นว่า เขาเชื่ออย่างแน่นหนาว่า มนุษยชาติจะประสบภัยพิบัติอย่างสุดแสนจะสาหัสสุดเท่าที่จะคาดคิดได้ โดยเฉพาะความล่มสลายทางวัตถุไปแทบทั้งหมด นั่นคือจุดจบของอารยธรรมตะวันตกโลกานุวัตรที่เริ่มจากความล่มสลายหายนะอย่างรุนแรงของระบบเศรษฐกิจและระบบนิเวศธรรมชาติ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเผ่าพันธุ์ของมนุษย์จะสูญสิ้นไปทั้งหมด แม้ว่านครและเมืองใหญ่ๆ จะร้างผู้คนไปแทบทั้งนั้น แต่เราก็จะมีหย่อมหรือชุมชนน้อยๆ ของมนุษย์อยู่ที่นั่นและที่นี้ สุดท้าย ปีเตอร์ รัสเซลล์ ก็สรุปว่า "นั่นฟังแล้วเหมือนกับว่าผมเป็นคนมองโลกทางด้านร้าย แต่จริงๆ แล้วผมก็ยังมองโลกในด้านดี คือยังมองว่า มนุษยชาติคงไม่สิ้นสูญพันธุ์ไปทั้งหมด...แม้เราจะมีชีวิตอย่างสุดทารุณโหดร้ายจากสภาพการณ์ "ไร้วัตถุ" แต่เราก็จะมีล้นเหลือในทางจิตใจและจิตวิญญาณ...."

จริงๆ แล้ว ความคิดเห็นที่กล่าวมาข้างบนนั้นแทบว่าจะมีความเป็นเอกภาพ - โดยหลักการที่ไม่มีใครคัดค้านโต้แย้ง - ระหว่างนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ในระดับนำของโลกอย่างแทบไม่มีผู้ยกเว้น นั่นคือมิติแห่งความเปลี่ยนแปลงที่จะมีสามมิติด้วยกัน คือ หนึ่ง การเปลี่ยนพาราไดม์ขององค์ความรู้หรือวิทยาศาสตร์ไปทั้งหมด สอง การเปลี่ยนแปลงทางความคิดและวิธีคิดของสังคม และสาม วิวัฒนาการทางจิตที่จะผ่านพ้นตัวตนสู่จิตวิญญาณหรือธรรมจิตของปวงชนอันประเด็นหลักของบทความนี้

ในหนังสืออีกเล่นหนึ่งของปีเตอร์ รัสเซลล์ (Peter Russell : The Global Brain Awaken, 1995) ปีเตอร์ รัสเซลล์ อ้างผลงานวิจัยหลากหลาย เป็นต้นว่างานวิจัยว่าด้วยผลของการปฏิบัติสมาธิที่เรียกว่า "ผลลัพธ์มหาริชี (maharishi effect)" ที่ชิคาโก ที่บอกว่าสถิติอาชญากรรมใน 11 ตำบล ที่มีคนมาหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากรทำสมาธิรวมกันทุกวันในเวลาหนึ่งปีเต็ม ปรากฏว่าอาชญากรรมมีจำนวนลดลง 8.2% ในขณะที่อีก 11 ตำบลที่มีลักษณะทางสังคมคล้ายๆ กัน แต่ไม่มีการทำสมาธิ อาชญากรรมเพิ่มขึ้น 8.3% และในปี 1993 การทดลองที่ประกอบด้วยผู้ปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจังจำนวน 4,000 คนที่วอชิงตันดี.ซี.เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม พบว่าไม่เพียงอาชญากรรมที่ลดลงถึง 18% เท่านั้น แต่เหตุร้ายต่างๆ เช่น แอคซิเดนท์ การเจ็บป่วยฉุกเฉิน การฆ่าตัวตาย ก็ล้วนมีสถิติลดลงมาเช่นเดียวกัน


บุพนิมิตเผ่าพันธุ์ใหม่-จากกายและจิตรู้สู่จิตวิญญาณ

นักวิทยาศาสตร์ใหม่หลายคน รวมทั้งปีเตอร์ รัสเซลล์ เชื่อว่า การทำสมาธิมีผลอย่างแน่นอนดังนี้

1.ผลทางด้านจิตวิญญาณจะไม่เพียงได้รับเฉพาะแต่กับผู้ปฏิบัติ แต่สามารถแผ่พลังงานสู่คนอื่นๆ ในชุมชนนั้นๆ ให้มีจิตที่ดีงามด้วย

2.โดยสถิติพบว่า ผลที่เป็นบวกจะปรากฏให้เห็นกับชุมชนนั้น หากอัตราของผู้ทำสมาธิต่อประชากรมีอย่างน้อยหนึ่งเปอร์เซ็นต์ขึ้น

3.พลังงานส่วนหนึ่งชี้บ่งไปทางด้านพลังงานแม่เหล็กที่มีความถี่คลื่น 7.2 เฮิรตซ์ และพลังงานจะเพิ่มเป็นสองเท่าหากมีระยะทางของผู้ทำสมาธิอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับการหมุนรอบตัวของโลก

4.ผลของสมาธิอาจมีผลต่อสังคมโลกโดยปฏิกิริยาห่วงโซ่ (chain reaction) หากจำนวนประชากรที่ทำสมาธิมีจำนวนมากพอจนถึง "จุดอันวิกฤติ" (critical mass) เมื่อจิตของทุกคนในสังคมโลกจะเปลี่ยนไปในทันที - เพียงมากหรือน้อย.


นักวิทยาศาสตร์ใหม่หลายคน รวมทั้งปีเตอร์ รัสเซลล์ เชื่อว่า การทำสมาธิมีผลอย่างแน่นอนดังนี้

1.ผลทางด้านจิตวิญญาณจะไม่เพียงได้รับเฉพาะแต่กับผู้ปฏิบัติ แต่สามารถแผ่พลังงานสู่คนอื่นๆ ในชุมชนนั้นๆ ให้มีจิตที่ดีงามด้วย

2.โดยสถิติพบว่า ผลที่เป็นบวกจะปรากฏให้เห็นกับชุมชนนั้น หากอัตราของผู้ทำสมาธิต่อประชากรมีอย่างน้อยหนึ่งเปอร์เซ็นต์ขึ้น

3.พลังงานส่วนหนึ่งชี้บ่งไปทางด้านพลังงานแม่เหล็กที่มีความถี่คลื่น 7.2 เฮิรตซ์ และพลังงานจะเพิ่มเป็นสองเท่าหากมีระยะทางของผู้ทำสมาธิอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับการหมุนรอบตัวของโลก

4.ผลของสมาธิอาจมีผลต่อสังคมโลกโดยปฏิกิริยาห่วงโซ่ (chain reaction) หากจำนวนประชากรที่ทำสมาธิมีจำนวนมากพอจนถึง "จุดอันวิกฤติ" (critical mass) เมื่อจิตของทุกคนในสังคมโลกจะเปลี่ยนไปในทันที - เพียงมากหรือน้อย.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2465 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2744 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2050 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1995 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2048 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.407 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2567 22:00:36