[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 06:02:31 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์  (อ่าน 28841 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:19:18 »



พุทธวจนะในธรรมบท
The Buddha's Words in the Dhammapada
โดย.. เสฐียรพงษ์ วรรณปก


สารบัญ

๑. หมวดคู่ - The Pairs
๒. หมวดไม่ประมาท - Heedfulness
๓. หมวดจิต - The Mind
๔. หมวดดอกไม้ - The Flowers
๕. หมวดคนพาล - The Fool

๖. หมวดบัณฑิต - The Wise
๗. หมวดพระอรหันต์ - The Worthy
๘. หมวดพัน - The Thousands
๙. หมวดบาป - Evil
๑๐. หมวดลงทัณฑ์ - Punishment

๑๑. หมวดชรา - Old Age
๑๒. หมวดตน - The Self
๑๓. หมวดโลก - The World
๑๔. หมวดพระพุทธเจ้า - The Enlightened One
๑๕. หมวดความสุข - Happiness

๑๖. หมวดความรัก - Affections
๑๗. หมวดความโกรธ - Anger
๑๘. หมวดมลทิน - Impurity
๑๙. หมวดเที่ยงธรรม - The Just
๒๐. หมวดทาง - The Path

๒๑. หมวดเบ็ดเตล็ด - Miscellaneous
๒๒. หมวดนรก - Hell
๒๓. หมวดช้าง - The Elephant
๒๔. หมวดตัณหา - Craving
๒๕. หมวดภิกษุ - The Monk
๒๖. หมวดพราหมณ์ - The Brahmana



Pic by : http://www.oknation.net/blog/sarattatham/category/english
Credit by : http://www.dhammakid.com/board/ieo1aoa1-eoaoeo/oc1da1aaao-(aeoaaei-caa3)/

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ตุลาคม 2553 06:08:59 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:23:46 »



วิธีอ่านคำ ภาษาบาลี

คำในภาษาบาลี เมื่อนำมาเขียนถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้ว จะมีลักษณะที่ควรสังเกตประกอบการอ่าน ดังนี้

๑. ตัวอักษรทุกตัวที่ไม่มีเครื่องหมายใดอยู่บนหรือล่าง และไม่มีสระใดๆ กำกับไว้ ให้อ่านอักษรนั้นมีเสียง "อะ" ทุกตัว เช่น

     อรหโต อ่านว่า อะ-ระ-หะ-โต
     ภควา อ่านว่า ภะ-คะ-วา
     นมามิ อ่านว่า นะ-มา-มิ
     โลกวิทู อ่านว่า โล-กะ-วิ-ทู

๒. เมื่อตัวอักษรใดมีเครื่องหมาย    ฺ (พินทุ) อยู่ข้างใต้แสดงว่าอักษรนั้นเป็นตัวสะกดของอักษรที่อยู่ข้างหน้า ผสมกันแล้วให้อ่านเหมือนเสียง อะ+(ตัวสะกด) นั้น เช่น

     สมฺมา (สะ+ม = สัม) อ่านว่า สัม-มา
     สงฺโฆ (สะ+ง = สัง) อ่านว่า สัง-โฆ

ยกเว้นในกรณีที่พยัญชนะตัวหน้ามีเครื่องหมายสระกำกับอยู่แล้ว ก็ให้อ่านรวมกันตามตัวสะกดนั้น เช่น

     พุทฺโธ       อ่านว่า พุท-โธ
     พุทฺธสฺส    อ่านว่า พุท-ธัส-สะ
     สนฺทิฏฺฺฺฺ ฺฐิโย อ่านว่า สัน-ทิฏ-ฐิ-โย
     ปาหุเนยฺโย อ่านว่า ปา-หุ-เนย-โย

๓. เมื่ออักษรใดมีเครื่องหมาย    ํ (นฤคหิต) อยู่ข้างบนตัวอักษร ให้อ่านให้เหมือนอักษรนั้นมีไม้หันอากาศและสะกดด้วยตัว "ง" เช่น

     อรหํ     อ่านว่า อะ-ระ-หัง
     สงฺฆํ     อ่านว่า สัง-ฆัง
     ธมฺมํ     อ่านว่า ธัม-มัง
     สรณํ    อ่านว่า สะ-ระ-นัง
     อญฺญํ   อ่านว่า อัญ-ญัง

แต่ถ้าตัวอักษรนั้นมีทั้งเครื่องหมาย    ํ (นฤคหิต) อยู่ข้างบนและมีสระอื่นกำกับอยู่ด้วย ก็ให้อ่านออกเสียงตามสระที่กำกับ + ง (ตัวสะกด) เช่น
     พาหุํํํํ ํ อ่านว่า พา-หุง

๔. เมื่ออักษรใดเป็นตัวนำแต่มีเครื่องหมาย    ฺ (พินทุ) อยู่ข้างใต้ด้วย ขอให้อ่านออกเสียง "อะ" ของอักษรนั้นเพียงครึ่งเสียงควบไปกับอักษรตัวตาม เช่น

     สฺวากฺขาโต อ่านว่า สะหวาก-ขา-โต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 กุมภาพันธ์ 2553 20:47:17 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:30:10 »



๑. หมวดคู่
THE PAIRS


๑. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา
มโนเสฎฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฎฺฌฐน
ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ
จกฺกํว วหโต ปทํ ฯ ๑ ฯ

ใจเป็นผู้นำสรรพสิ่ง
ใจเป็นใหญ่ (กว่าสรรพสิ่ง)
สรรพสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ
ถ้าพูดหรือทำสิ่งใดด้วยใจชั่ว
ความทุกข์ย่อมติดตามตัวเขา
เหมือนล้อหมุนเต้าตามเท้าโค

Mind foreruns all mental conditions,
Mind is chief, mind-made are they;
If one speak or acts with a wicked mind,
Then suffering follows him
Even as the wheel the hoof of the ox.

๒. มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา
มโนเสฎฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน
ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ
ฉายาว อนปายินี ฯ ๒ * ฯ

ใจเป็นผู้นำสรรพสิ่ง
ใจเป็นใหญ่ (กว่าสรรพสิ่ง)
ถ้าพูดหรือทำสิ่งใดด้วยใจบริสุทธิ์
ความสุขย่อมติดตามเขา
เหมือนเงาติดตามตน

Mind forerunr all mental conditions,
Mind is chief,mind-made are they;
If one speaks or acts with a pure mind,
Then happiness follows him
Even as the shadow that never leaves.

* พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐเขียน อนุปายินี แปลว่า ติดตาม
แต่ฉบับของสมาคมบาลีปกรณ์เขียน อนปายินี (อนฺ+อป+อี)
แปลว่า ไม่พราก หรือติดตามนั่นแล ในที่นี้ข้าพเจ้าถือตามฉบับหลัง

๓. อกฺโกฉิ มํ อวธิ มํ
อชินิ มํ อหาสิ เม
เข จ ตํ อุปนยฺหนฺติ
เวรํ เตสํ น สมฺมติ ฯ ๓ ฯ

ใครมัวคิดอาฆาตว่า
"มันด่าเรา มันทำร้ายเรา
มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา"
เวรของเขาไม่มีทางระงับ

'He abused me, he beat me,
He defeated me, he robbed me'
In those who harbour such thoughts
Hatred never ceases.

๔. อกฺโกฉิ มํ อวธิ มํ
อชินิ มํ อหาสิ มํ
เข จ ตํ นูปนยฺหนฺติ
เวรํ เตสูปสมฺมติ ฯ ๔ ฯ

ใครไม่คิดอาฆาตว่า
"มันด่าเรา มันทำร้ายเรา
มันเอาชนะเรา มันขโมยของเรา"
เวรของเขาย่อมระงับ

'Heabused me, he beat me,
He defeated me, he robbed me'
In those who harbour not such thoughts
Hatred finds its end.

๕. น หิ เวเรน เวรานิ
สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ
เอส ธมฺโม สนนฺตโน ฯ ๕ ฯ

แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกนี้
เวรไม่มีระงับด้วยการจองเวร
มีแต่ระงับด้วยการไม่จองเวร
นี้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว

At any time in this world,
Hatred never ceases by haterd,
But through non-hatred it ceases,
This is an eternal law.

๖. ปเร จ น วิชานนฺติ
มยเมตฺถ ยมามเส
เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ
ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ฯ ๖ ฯ

คนทั่วไปมักนึกไม่ถึงว่า ตนกำลังพินาศ
เพราะวิวาททุ่มเถึยงกัน
ส่วนผ้ร้ความจริงเช่นนั้น
ย่อมไม่ทะเลาะกันอีกต่อไป

The common people know not
That in this Quarrel they will perish,
But those who realize this truth
Have their Quarrels calmed thereby.

๗. สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ
อินฺทฺริเยสุ อสํวุตํ
โภชนมฺหิ อมตฺตญฺญู
กุสีตํ หีนวีริยํ
ตํ เว ปสหตี มาโร
วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลํ ฯ ๗ ฯ

มารย่อมสามารถทำลายบุคคล
ผ้ตกดป็นทาสของความสวยงาม
ไม่ควบคุมการแสดงออก
ไม่ร้ประมาณในโภชนาหาร
เกียจคร้านและอ่อนแอ
เหมือนลมแรงพัดโค่นต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง

As the wind overthrows a weak tree,
So does Mara overpower him
Who lives attached to sense pleasures
Who lives with his senses uncontrolled,
Who knows not moderation in his food,
And who is indolent and inactive.

๘. อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ
อินฺทฺริเยสุ สุสํวุตํ
โภชนมฺหิ จ มตฺตญฺญู
สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
ตํ เว นปฺปสหตี มาโร
วาโต เสสํว ปพฺพตํ ฯ ๘ ฯ

มารย่อมไม่สามารถทำลายบุคคล
ผู้ไม่ตกเป็นทาสของความสวยงาม
รูจักควบคุมการแสดงออก
รู้ประมาณในโภชนาหาร
มีศรัทธา และมีความขยันหมั่นเพียร
เหมือนลมไม่สามารถพัดโค่นภูเขา

As the wind does not overthrow a rocky mount,
So Mara indeed does not overpower him
Who lives unattached to sense pleasures,
Who lives with his senses well-controlled,
Who knows moderation in his food,
And who is full of faith and high vitality.

๙. อนิกฺกสาโว กาสาวํ
โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน
น โส กาสาวมรหติ ฯ ๙ ฯ

คนที่กิเลสครอบงำใจ
ไร้การบังคับตนเองและไร้สัตย์
ถึงจะครองผ้ากาสาวพัสตร์
ก็หาคู่ควรไม่

whosoever, not freed from defilements,
Without self-control and truthfulness,
Should put on the yellow robe-
He is not worthy of it.

๑๐. โย จ วนฺตกสาวสฺส
สีเลสุ สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน
ส เว กาสาวมรหติ ฯ ๑๐ ฯ

ผู้หมดกิเลสแล้ว มั่นคงในศีล
รู้จักบังคับตนเอง และมีสัตย์
ควรครองผ้ากาสาวพัสตร์แท้จริง

But he who discared defilements,
Firmly established in moral precepts,
Possessed of self-control and truth,
Is indeed worthy of the yellow robe.

๑๑. อสาเร สารมติโน
สาเร จ อสารททสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจํฉนฺติ
มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา ฯ ๑๑ ฯ

ผู้ใดเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
เห็นสิ่งที่เป็นสาระ ว่าไร้สาระ
ผู้นั้นมีความคิดผิดเสียแล้ว
ย่อมไม่ประสบสิ่งที่เป็นสาระ

In the unessential they imagine the essential,
In the essential they see the unessential;
They who feed on wrong thoughts as such
Never achieve the essential.

๑๒. สารญฺจ สารโต ญตฺวา
อาสารญฺจ อสารโต
เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ
สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา ฯ ๑๒ ฯ

ผู้ที่เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
และสิ่งที่ไร้สาระว่าไร้สาระ
มีความคิดเห็นชอบ
ย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระ

Knowing the essential as the essential,
And the unessential as the unessential,
They who feed on right thoughts as such
Achieve the essential.

๑๓. ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ
วุฎฺฐิ สมติวิชฺฌติ
เอวํ อภาวิคํ จิตฺตํ
ราโค สมติวิชฺฌติ ฯ ๑๓ ฯ

เรือนที่มุงไม่เรียบร้อย
ฝนย่อมไหลย้อยเข้าได้
ใจที่ไม่อบรมฝึกหัด
ราคะกำหนัดย่อมครอบงำ

Even as rain into an ill-thatched house,
Even so lust penetrates an undeveloped mind.

๑๔. ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ
วุฎฺฐิ น สมติวิชฺฌติ
เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ
ราโค น สมติวิชฺฌติ ฯ ๑๔ ฯ

เรือนที่มุงเรียบร้อย
ฝนย่อมไหลย้อยเข้าไม่ได้
ใจที่อบรมเป็นอย่างดี
ราคะไม่มีวันเข้าครอบงำ

Even as rain gets not into a well-thatched house,
Even so lust penetrates not a well-developed mind.

๑๕. อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ
ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ
โส โสจติ โส วิหญฺญติ
ทิสิวา กมฺมกิลิฎฺฐมตฺตโน ฯ ๑๕ ฯ

คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกหน้า
คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกเดือดร้อนยิ่งนัก
เมื่อมองเห็นแต่กรรมชั่วของตน

Here he grieves, hereaafter he grieves,
In both worlds the evil-doer grieves;
He mourns, he is afflicted,
Beholding his own impure deeds.

๑๖. อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ
กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ
โส โมทติ ดส ปโมทติ
ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโน ฯ ๑๖ ฯ

คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกนี้
คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกหน้า
คนทำดีย่อมร่าเริงในโลกทั้งสอง
คนทำดีย่อมร่าเริง เบิกบานใจยิ่งนัก
เมื่อมองเห็นแต่กรรมบริสุทธิ์ของตน

Here he rejoices, hereafter he rejoices,
In both worlds the well-doer rejoices;
He rejoices, exceedingly rejoices,
Seeing his own pure deeds.

๑๗. อิธ ตปฺปติ เปจิจ ตปฺปติ
ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ
ปาปํ เม กตนิติ ตปฺปติ
ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโต ฯ ๑๗ ฯ

คนทำชั่วย่อมเดือดร้อนในโลกนี้
คนทำชั่วย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า
คนทำชั่ว ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง
เมื่อคิดได้ว่า ตนทำแต่กรรมชั่ว
ตายไปเกิดในทุคติ ยี่งเดือดร้อนหนักขึ้น

Here he laments, hereafter he laments,
In both worlds the evil-doer laments;
Thinking; 'Evil have I done', thus he laments,
Furthermore he laments,
When gone to a state of woe.

๑๘. อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ
กตปุญฺโญ อุภยตฺถ นนฺทติ
ปุญฺญํ เม กตนฺติ นนิทติ
ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโต ฯ ๑๘ ฯ

คนทำดีย่อมสุขใจในโลกนี้
คนทำดีย่อมสุขใจในโลกหน้า
คนทำดีย่อมสุขใจในโลกทั้งสอง
เมื่อคิดว่าตนได้ทำแต่บุยกุศล ย่อมสุขใจ
ตายไปเกิดในสุคติ ยิ่งสุขใจยิ่งขึ้น

Here he is happy, hereafter he is happy,
In both worlds the well-doer is happy;
Thinking; 'Good have I done', thus he is happy,
When gone to the state of bliss.

๑๙. พหุมฺปิ เจ สํหิตํ ภาสมาโน
น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต
โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ
น ภาควา สามญฺญสฺส โหติ ฯ ๑๙ * ฯ

คนที่ท่องจำตำราได้มาก
แต่มัวประมาทเสีย ไม่ทำตามคำสอน
ย่อมไม่ได้รับผลที่พึงได้จากการบวช
เหมือนเด็กเลี้ยงโค นับโคให้คนอื่นเขา

Though much he recites the Sacred Texts,
But acts not accordingly, the heedless man
is like the cowherd who counts others'kine;
He has no share in religious life.

* สํหิต หมายถึง สํหิตา หรือคัมภีร์ว่าด้วยกฎสนธิของคำและวิธีสวด
พระเวทให้ถูกต้องแบ่งเป็น ๓ คัมภีร์คือ ฤคเวทสํหิตา สามเวทสํหิตา
และอถรรพเวทสํหิตา ภายหลังเพิ่มยชุรเวทสํหิตาอีก ๒ คัมภีร์ รวมเป็น ๕
พุทธศาสนายืมศัพท์นี้มาใช้ เมื่อเราไม่มีพระเวทอย่างพราหมณ์ คำนี้จึง
หมายความเพียง ตำรา หรือคัมภีร์ศาสนา ส่วนพระอรรถกถาจารย์ให้
แปลว่า คำอันประกอบด้วยประโยชน์ ท่านคงคิดว่าคำนี้เขียน สหิตํ (ส + หิตํ) กระมัง


๒๐. อปฺปมฺปิ เจ สํหิตํ ภาสมาโน
ธมฺมสฺส โหติ อนุธมฺมจารี
ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ
สมฺมปฺปชาโน สุวิมุตฺตจิตฺโต
อนุปาทิยาโน อิธ วา หุรํ วา
ส ภาควา สามญฺญสฺส โหติ ฯ ๒๐ ฯ

ถึงจะท่องจำตำราได้น้อย
แต่ประพฤติชอบธรรม
ละราคะ โทสะ และโมหะได้
รู้แจ้งเห็นจริง มีจิตหลุดพ้น
ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ทั้งปัจจุบันและอนาคต
เขาย่อมได้รับผลที่พึงได้จากการบวช

Though little he recites the Sacred Texts,
But puts the precepts into practice,
Forsaking lust, hatred and delusion,
With rigth knowledge, with mind well freed,
Cling to nothing here or hereafter,
He has a share in religious life.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 09:38:24 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:45:18 »



๒. หมวดไม่ประมาท
HEEDFULNESS


๒๑. อปฺปมาโท อมตํปทํ
ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ
เย ปมตฺตา ยถา มตา ฯ ๒๑ ฯ

ความไม่ประมาท เป็นทางอมตะ
ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
ผู้ไม่ประมาท ไม่มีวันตาย
ผู้ประมาท ถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว

Heedfulness is the way to the Deathless;
Heedlessness is the way to death.
The heedful do not die;
The heedless are like unto the dead.

๒๒. เอตํ วิเสสโต ญตฺวา
อปฺปมาทมฺหิ ปณฺฑิตา
อปฺปมาเท ปโมทนฺติ
อริยานํ โคจเร รตา ฯ ๒๒ ฯ

บัณฑิตรู้ข้อแตกต่าง
ระหว่างความประมาทกับความไม่ประมาท
จึงยินดีในความไม่ประมาท
อันเป็นแนวทางของพระอริยะ

Realzing this distinction,
The wise rejoice in heedfulness,
Which is the way of the Noble.

๒๓. เต ฌายิโน สาตติกา
นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกมา
ผุสนฺติ ธีรา นิพฺพานํ
โยคกฺเขมํ อนุตฺตรํ ฯ ๒๓ ฯ

ท่านผู้ฉลาดเหล่านั้น หมั่นเจริญกรรมฐาน
มีความเพียรมั่นอยู่เป็นนิจศีล
บรรลุพระนิพพานอันเป็นสภาวะที่สูงส่ง
อิสระจากกิเลสเครื่องผูกมัด

These wise, constantly meditative,
Ever earnestly persevering,
Attain the bond-free, supreme Nibbana.

๒๔. อุฎฺฐานวโต สติมโต
สุจิกมฺมสฺส นิสสมฺมการิโน
สญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน
อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ ฯ ๒๔ ฯ

ยศย่อมเจริญแก่ผู้ขยัน
มีสติ มีการงานสะอาด
ทำงานด้วยความรอบคอบระมัดระวัง
เป็นอยู่โดยชอบธรรม ไม่ประมาท

Of him who is energetic, mindeful,
Pure in deed, considerate, self-restrained,
Who lives the Dhamma and who is heedful,
Reputation steadily increases.

๒๕. อุฎฺฐาเนนปฺปมาเทน
สญฺญเมน ทเมน จ
ทีปํ กยิราถ เมธาวี
ยํ โอโฆ นาภิกีรติ ฯ ๒๕ ฯ

ด้วยความขยัน ด้วยความไม่ประมาท
ด้วยความสำรวมระวัง และด้วยการข่มใจตนเอง
ผู้มีปัญญาควรสร้างเกาะ (ที่พึ่ง) แก่ตนเอง
ที่ห้วงน้ำ (กิเลส) ไม่สามารถท่วมได้

By diligence, vigilance,
Restraint and self-mastery,
Let the wise make for himself an island
That no flood can overwhelm.

๒๖. ปมาทมนุยุญฺชนติ
พาลา ทุมฺเมธิโน ชนา
อปฺปมาทญฺจ เมธาวี
ธนํ เสฎฺฐํว รกฺขติ ฯ ๒๖ ฯ

คนพาล ทรามปัญญา
มักมัวประมาทเสีย
ส่วนคนฉลาด ย่อมรักษาความไม่ประมาท
เหมือนรักษาทรัพย์อันประเสริฐ

The ignorant, foolish folk
Induge in heedlessness,
But the wise preserve heedfulness
As their greatest treasure.

๒๗. มา ปมาทมนุยุญฺเชถ
มา กามรติสนฺถวํ
อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต
ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ ฯ ๒๗ ฯ

พวกเธออย่ามัวประมาท
อย่ามัวเอาแต่สนุกยินดีในกามคุณอยู่เลย
ผู้ไม่ประมาท เพ่งพินิจตามความเป็นจริงเท่านั้น
จึงจะบรรลุถึงความสุขอันไพบูลย์ได้

Devote not yourselves to negligence;
Have no intimacy with sensuous delights.
The vigilant, meditative person
Attains sublime bliss.

๒๘. ปมาทํ อปฺปมาเทน
ยถา นุทติ ปณฺฑิโต
ปญฺญาปาสาทมารุยฺห
อโสโก โสกินี ปชํ
ปพฺพตฎฺโฐว ภุมฺมฎฺเฐ
ธีโร พาเล อเวกฺขติ ฯ ๒๘ ฯ

เมื่อใดบัณฑิตกำจัดความประมาทด้วยความไม่ประมาท
เมื่อนั้นเขานับว่าได้ขึ้นสู่ "ปราสาทคือปัญญา"
ไร้ความเศร้าโศก สามารถมองเห็นประชาชน ผู้โง่เขลา
ผู้ยังต้องเศร้าโศกอยู่ เหมือนคนยืนบนยอดภูเขา
มองลงมาเห็นฝูงชนที่ยืนอยู่บนพื้นดิน ฉะนั้น

When banishing carelessness by carefulness,
The sorrowless, wise one ascends the terrace of wisdom
And surveys the ignorant, sorrowing folk
As one standing on a mountain the groundlings.

๒๙. อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสุ
สุตฺเตสุ พหุชาคโร
อพลสฺสํว สีฆสฺโส
หิตฺวา ยาติ สุเมธโส ฯ ๒๙ ฯ

ผู้มีปัญญามักไม่ประมาท เมื่อคนอื่นพากันประมาท
และตื่น เมื่อคนอื่นหลับอยู่
เขาจึงละทิ้งคนเหล่านั้นไปไกล
เหมือนม้าฝีเท้าเร็ว วิ่งเลยม้าแกลบ ฉะนั้น

Heedful among the heedless,
Wide-awake among those asleep,
The wise man advances
As a swift horse leaving a weak nag behind.

๓๐. อปฺปมาเทน มฆวา
เทวานํ เสฎฺฐตํ คโต
อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ
ปมาโท ครหิดต สทา ฯ ๓๐ ฯ

ท้าวมฆวานได้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ
เพราะผลของความไม่ประมาท
บัณฑิตจึงสรรเสริญความไม่ประมาท
และติเตียนความประมาททุกเมื่อ

By vigilance it was that
Indra attained the lordship of the gods.
Earnestness is ever praised,
Carelessness is ever despised.

๓๑. อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ
ปมาเท ภยทสิสิ วา
สญฺโญชนํ อณุ ถูลํ
ฑหํ อคฺคีว คจฺฉติ ฯ ๓๑ * ฯ

ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาท
เห็นภัยในความประมาท
ย่อมเผากิเลสเครื่องผูกมัดได้
เหมือนไฟเผาเชื้อทุกชนิด

The bhikkhu who delights in earnesstness
And discerns dangers in negligence,
Advances, consuming all fetters,
Like fire burning fuel, both small and great.

* ภยทสฺสิ วา ที่ถูกเขียนภยทสฺสี วา แต่สระอี เป็น อิ ด้วยอำนาจ
ฉันทลักษณ์ อีกนัยหนึ่งเขียนติดกันเป็น ภยทสฺสิวา

๓๒. อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ
ปมาเท ภยทสฺสิ วา
อภพฺโพ ปริหานาย
นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก ฯ ๓๒ ฯ

ภิกษุผู้ไม่ประมาท
เห็นภัยในความประมาท
ไม่มีทางเสื่อม
ย่อมอยู่ใกล้นิพพานเป็นแน่แท้

The bhikkhu who delights in earnestness,
And discerns dangers in negligence,
Is not lisble to fall away;
He is certainly in the presence of Nibbana.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 09:40:19 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:51:12 »



๓. หมวดจิต
The MIND


๓๓. ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ
ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ
อุชุ กโรติ เมธาวี
อุชุกาโรว เตชนํ ฯ ๓๓ ฯ

จิตดิ้นรน กลับกลอก
ป้องกันยาก ห้ามยาก
คนมีปัญญาสามารถดัดให้ตรงได้
เหมือนช่างศรดัดลูกศร

The flickering , fickle mind,
Difficult to guard, difficult to control,
The wise man straightens,
As a fletcher straightens an arrow.

๓๔. วาริโชว ถเล ขิตฺโต
โอกโมกต อุพฺภโต
ปริผนํทติทํ จิตฺตํ
มารเธยฺยํ ปหาตเว ฯ ๓๔ ฯ

มัสยาถูกเขาจับโยนไปบนบก ย่อมดิ้นรน
เพื่อจะกลับไปยังแหล่งน้ำที่เคยอาศัย
จิตใจเราก็เช่นเดียวกัน ดิ้นรนไปหากามคุณ
เพราะฉะนั้น จึงควรละเว้นกามคุณเสีย

Like a fish drawn its watery abode
And thrown upon land,
Even so does the mind flutter,
Hence should the realm of passions be shunned.

๓๕. ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน
ยตฺถกามนิปาติโน
จิติตสิส ทมโถ สาธุ
จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ ฯ ๓๕ ฯ

จิตควบคุมยาก เปลี่ยนแปลงเร็ว
ใฝ่ในอารมณ์ตามที่ใคร่
ฝึกจิตเช่นนั้นได้เป็นการดี
เพราะจิตที่ฝึกดีแล้ว นำความสุขมาให้

Good is it to control the mind
Which is hard to check and swift
And flits wherever it desires.
A subdued mind is conducive to happiness.

๓๖. สุทุทฺทสั สุนิปุณํ
ยตฺถกามนิปาตินํ
จิตฺตํ รกิเขถ เมธาวี
จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ ฯ ๓๖ ฯ

จิตเห็นได้ยาก ละเอียดยิ่งนัก
มักใฝ่ในอารมณ์ตามที่ใคร่
ผู้มีปัญญาจึงควรควบคุมจิตไว้ให้ดี
เพราะจิตที่ควบคุมได้แล้ว นำสุขมาให้

Hard to perceive and extremely subtle is this mind,
It roams wherever it desires.
Let the wise man guard it;
A guarded mind is conducive to happiness.

๓๗. ทูรงฺคมํ เอกจรํ
อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ
โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ฯ ๓๗ ฯ

จิตท่องเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว
ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกายนี้
ใครควบคุมจิตนี้ได้
ย่อมพ้นจากบ่วงมาร

Faring afar, solitary, incorporeal
Lying in the body, is the mind.
Those who subdue it are freed
From the bond od Mara.

๓๘. อนวฎฺฐิตจิตฺตสิส
สทฺธมฺมํ อวิชานโต
ปริปุลวปสาทสฺส
ปญฺญา น ปริปูรติ ฯ ๓๘ ฯ

ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์
แก่ผู้มีจิตไม่มั่นคง
ไม่รู้พระสัทธรรม
มีความเลื่อมใสไม่จริงจัง

He whose mind is inconstant,
He who knows not the true doctrine,
He whose confidence wavers-
The wisdom of such a one is never fulfilled.

๓๙. อนวสฺสุตจิตฺตสฺส
อนนุวาหตเจตโส
ปุญฺญปาปปหีนสฺส
นตฺถิ ชาครโต ภยํ ฯ ๓๙ ฯ

ผู้มีสติตื่นตัวอยู่เนืองนิตย์
มีจิตเป็นอิสระจากราคะและโทสะ
ละบุญและบาปได้
ย่อมไม่กลัวอะไร

He who is vigilant,
He whose mind is not overcome by lust and hatred,
He who has discarded both good and evil-
For such a one there is no fear.

๔๐. กุมภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา
นครูปมํ จิตฺตมิทํ ถเกตฺวา
โยเชถ มารํ ปญฺญาวุเธน
ชิตญฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยา ฯ ๔๐ ฯ

เมื่อรู้ว่าร่างกายนี้แตกดับง่ายเหมือนหม้อน้ำ
พึงป้องกันจิตให้มั่นเหมือนป้องกันเมืองหลวง
แล้วพึงรบกับพญามารด้วยอาวุธคือปัญญา
เมื่อรบชนะแล้วพึงรักษาชัยชนะนั้นไว้
ระวังอย่าตกอยู่ในอำนาจมารอีก

Realizing that body is fragile as a pot,
Establishing one's mind as firm as a fortified city,
Let one attack let one guard one's conqust
And afford no rest to Mara.

๔๑. อจิรํ วตยํ กาโย
ปฐวึ อธิเสสฺสติ
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ
นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ ๔๑ ฯ

อีกไม่นาน ร่างกายนี้
จักปราศจากวิญญาณ
ถูกทอดทิ้ง ทับถมแผ่นดิน
เหมือนท่อนไม้อันหาประโยชน์มิได้

Soon, alas! will this body lie
Upon the ground, unheeded,
Devoid of consciousness,
Even as useless log.

๔๒. ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา
เวรี วา ปน เวรินํ
มิจฺฉาปณิหิตํ จิตฺตํ
ปาปิดย น ตโต กเร ฯ ๔๒ ฯ

จิตที่ฝึกฝนผิดทาง
ย่อมทำความเสียหายได้
ยิ่งกว่าศัตรูทำต่อศัตรู
หรือคนจองเวรทำต่อคนจองเวร

Whatever harm a foe may do to a foe,
Or a hater to a hater,
An ill-directed mind
Can harm one even more.

๔๓. น ตํ มาตา ปิตา กยิรา
อญฺเญ วาปิจ ญาตกา
สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ
เสยฺยโส นํ ตโต กเร ฯ ๔๓ ฯ

มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ให้ไม่ได้
ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้
แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้
และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย

What neither mother ,nor father,
Nor any other relative can do,
A well-directed mind does
And thereby elevates one.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 08:33:51 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 19:56:25 »



๔. หมวดดอกไม้
THE FLOWERS


๔๔. โก อิมํ ปฐวึ วิเชสฺสติ
ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ
โก ธมฺมปทํ สุเทสิตํ
กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติ ฯ ๔๔ ฯ

ใครจักครองแผ่นดินนี้
พร้อมทั้งยมโลก และเทวโลก
ใครจักเลือกเฟ้นพระธรรมบท
ที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว
เหมือนนายมาลาการผู้ฉลาด
เลือกเก็บดอกไม้

Who will conquer this earth(life)
With Yama's realm and with celestial world?
Who will investigate the well-taught Dhamma-Verses
As a skilful garland-maker plucks flowers?

๔๕. เสโข ปฐวึ วิเชสฺสติ
ยมโลกญฺจ อิมํ สเทวกํ
เสโข ธมฺมปทํ สุเทสิตํ
กุสโล ปุปฺผมิว ปเจสฺสติ ฯ ๔๕ ฯ

พระเสขะจักครองแผ่นดินนี้
พร้อมทั้งยมโลกและเทวโลก
พระเสขะจักเลือกเฟ้นพระธรรมบท
ที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว
เหมือนนายมาลาการผู้ฉลาด
เลือกเก็บดอกไม้

A learner(sekha) will conquer this earth
With Yama's realm and with celestial world.
He will investigate the well-taught Dhamma-Verses
As a skilful garland-maker plucks flower.

๔๖. เผณูปมํ กายมิทํ วิทิตฺวา
มรีจิกมฺมํ อภิสมฺพุธาโน
เฉตฺวาน มารสฺส ปปุปฺผกานิ
อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คจฺเฉ ฯ ๔๖ ฯ

เมี่อรู้ว่าร่างกายนี้แตกสลายง่าย และว่างเปล่า
เช่นเดียวกับฟองน้ำ และพยับแดด
ก็ควรทำลายบุษปศรของกามเทพ
ไปให้พ้นทัศนวิสัยของมัจจุราชเสีย

Perciving this body to be similar unto foam
And comprehending its mirage-nature,
One should destroy the flower-tipped arrows of Love
And pass beyond the sight of the King of Death.

๔๗. ปุปฺผานิ เหว ปจนนฺตํ
พิยาสตฺตมนสํ นรํ
สุตฺตํ คามํ มโหโฆว
มจฺจุ อาทาย คจฺฉติ ฯ ๔๗ ฯ

มฤตยูฉุดคร่าคนผู้มัวเก็บดอกไม้ (กามคุณ)
มีใจเกี่ยวข้องอยู่ในกามคุณไป
เหมือนห้วงน้ำใหญ่หลากมา
พัดพาเอาชาวบ้านผู้หลับไหลไป

He who gathers flowers of sensual pleasure,
Whose mind is distracted-
Death carries him off
As the great flood a sleeping village.

๔๘. ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ
พฺยาสตฺตมนสํ นรํ
อติตฺตํเยว กาเมสุ
อนฺตโก กุรุเต วสํ ฯ ๔๘ ฯ

ผู้ที่มัวเก็บดอกไม้ (กามคุณ) เพลินอยู่
มีจิตใจข้องอยู่แต่ในกามคุณไม่รู้จักอิ่ม
มักตกอยู่ในอำนาจมฤตยู

He who gathers flowers of sensual pleasures,
Whose mind is distracted
And who is insatiate in desire-
Him death brings under its sway.

๔๙. ยถาปิ ภมโร ปุปฺผํ
วณฺณคนฺธํ อเหฐยํ
ปเลติ รสมาทาย
เอวํ คาเม มุนี จเร ฯ ๔๙ ฯ

มุนีพึงจาริกไปในเขตคาม
ไม่ทำลายศรัทธาและโภคะของชาวบ้าน
ดุจภมรดูดรสหวานของบุปผชาติแล้วจากไป
ไม่ให้สีและกลิ่นชอกช้ำ

As a bee takes honey from the flowers,
Leaving it colour and fragrance unharmed,
So should the sage wander in the village.

๕๐. น ปเรสํ วิโลมานิ
น ปเรสํ กตากตํ
อตฺตนาว อเวกฺเขยฺย
กตานิ อกตานิ จ ฯ ๕๐ ฯ

ไม่ควรแส่หาความผิดผู้อื่น
หรือธุระที่เขาทำแล้วหรือยังไม่ทำ
ควรตรวจดูเฉพาะกิจ
ที่ตนทำหรือยังไม่ทำเท่านั้น

Pay not attention to the faults of others,
Things done or left undone by others,
Consider only what by oneself
Is done or left undone.

๕๑. ยถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ
วณฺณวนิตํ อคนฺธกํ
เอวํ สุภาสิตา วาจา
อผลา โหติ อกุพฺพโต ฯ ๕๑ ฯ

วาจาสุภาษิต
ของผู้ทำไม่ได้ตามพูด
ย่อมไม่มีประโยขน์อะไร
ดุจดอกไม้สีสวย แต่ไร้กลิ่น

As a flower that is lovely
And colourful,but scentless,
Even so fruitless is the well-spoken word
Of one who follows it not.

๕๒. ยถาปิ รุจิรํ ปุปฺผํ
วณฺณวนฺตํ สคนฺธกํ
เอวํ สุภาสิตา วาจา
สผลา โหติ สุกุพฺพโต ฯ ๕๒ ฯ

วาจาสุภาษิต
ของผู้ทำได้ตามพูด
ย่อมอำนวยผลดี
ดุจดอกไม้สีสวยและมีกลิ่นหอม

As a flower that is lovely,
Colourful and fragrant,
Even so fruitful is the well-spoken word
Of one who practises it.

๕๓. ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา
กยิรา มาลาคุเณ พหู
เอวํ ชาเตน มจฺเจน
กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ ฯ ๕๓ ฯ

เมื่อเกิดมาแล้วจะต้องตาย
ก็ควรสร้างบุญกุศลไว้ให้มาก
เหมือนนายมาลาการร้อยพวงมาลัย
เป็นจำนวนมากจากกองดอกไม้

As from a heap of flowers
Many kinds of garlands can be made,
So many good deeds should be done
By one born a mortal.

๕๔. น ปุปฺผคนโธ ปฏิวาตเมติ
น จนฺทนํ ตครมลฺลิกา วา
สตญฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ
สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติ ฯ ๕๔ ฯ

กลิ่นปุปผชาติ ก้หอมทวนลมไม่ได้
กลิ่นจันทน์ กฤษณา หรือดอกมะลิ
ก็หอมทวนลมไม่ได้
แต่กลิ่นสัตบุรุษ หอมทวนลมได้
สัตบุรุษ ย่อมหอมฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ

The perfume of flower blows not againts the wind,
Nor does the fragrance of sandal-wood, Tagara andjasmine,
But the fragrance of the virtuous blows against the wind
The virtuous man pervades all directions.

๕๕. จนฺทนํ ตครํ วาปิ
อุปฺปลํ อถ วสฺสิกี
เอเตสํ คนฺธชาตานํ
สีลคนฺดธ อนุตฺตโร ฯ ๕๕ ฯ

กลิ่นศีล หอมยิ่งกว่า
ของหอมเหล่านี้ คือ
จันทน์ กฤษณา
ดอกอุบล และ กะลำพัก

Sandal-wood, Tagara,
lotus and wild jasmine-
Of all these kinds of fragrance,
The fragrance of virtue is by far the best.

๕๖. อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธ
ยายํ ตครจนฺทนี
โย จ สีลวตํ คนฺโธ
วาติ เทเวสุ อุตฺตโม ฯ ๕๖ ฯ

กฤษณา หรือจันทน์ มีกลิ่นหอมน้อยนัก
แต่กลิ่นหอมของท่านผู้ทรงศีลประเสริฐนัก
หอมฟุ้งกระทั่งถึงทวยเทพยดา

Little is the fragrance of Tagara
And that of sandal-wood,
But the fragrance of virtue is excellent
And blows even among the devas.

๕๗. เตสํ สมฺปนฺนสีลานํ
อปฺปมาทวิหารินี
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ
มาโร มคฺคํ น วินฺทติ ฯ ๕๗ ฯ

มารย่อมค้นไม่พบวิถีทาง
ของผู้ทรงศีลผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท
ผู้หลุดพ้นจากอาสวกิเลส เพราะรู้ชอบ

Of those who possess these virtues,
Who live without negligence,
Who are freed by perfect knowledge-
Mara finds not their way.

๕๘. ยถา สงฺการธานสฺมึ
อุชุฌิตสฺมึ มหาปเถ
ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถ
สุจิคนฺธํ มโนรมํ ฯ ๕๘ ฯ

ดอกบัว มีกลิ่นหอม รื่นรมย์ใจ
เกิดบนสิ่งปฏิกูล
ที่เขาทิ้งไว้ไกล้ทางใหญ่ ฉ้นใด

Just as on a heap of rubbish
Thrown u[on the highway
Grows the lotus sweetly fragrant
And delighting the heart.

๕๙. เอวํ สงฺการภูเตสุ
อนฺธภูเต ปุถุชฺชเน
อติดรจติ ปญฺญาย
สมฺมาสมิพุทฺธสาวโก ฯ ๕๙ * ฯ

ท่ามกลางหมู่ปุถุชน ผู้โง่เขลา
ผู้เป็นเสมือนสิ่งปฏิกูล
พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย่อมรุ่งเรืองด้วยปัญญา ฉันนั้น

Even so among those blinded mortals
Who are like rubbish,
The disciple or the Fully Enligtened one
Shines with exceeding glory by his wisdom.

* สงฺการภูเตสุ น่าจะแยกกันเป็น สงฺการภูเต สุ สุ เป็นนิบาต แต่
พระอรรถกถาจารย์ อธิบายในทำนองว่า คำนี้ใช้เป็นบทขยาย
ปุถุชฺชเน ที่ประกอบวิภัติต่างพจน์กัน ให้ถือเป็นข้อยกเว้นเรียก
ว่า วิเสสนวจนวิปัลลาส หมายถึง บทวิเศษณ์ต่างพจน์กัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 09:44:25 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:07:45 »



๕. หมวดคนพาล
THE FOOL


๖๐. ทีฆา ชาครโต รตฺติ
ทีฆํ สนฺตสฺส โยชนํ
ทีโฆ พาลาน สํสาโร
สทฺธมฺมํ อวิชานตํ ฯ ๖๐ ฯ

ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม

Long is the night to the wakeful,
Long is the Yojana to the weary,
Long is Samsara to the foolish
Who know not the true doctrine.

๖๑. จรญฺเจ นาะคจฺเฉยฺย
เสยฺยํ สทิสมตฺตโน
เอกจริยํ ทฬฺหํ กยิรา
นตฺถิ พาเล สหายตา ฯ ๖๑ ฯ

หากแสวงหาไม่พบเพื่อนที่ดีกว่าตน
หรือเพื่อนที่เสมอกับตน
ก็พึงเที่ยวไปคนเดียว
เพราะมิตรภาพ ไม่มีในหมู่คนพาล

If, as he fares, he finds no companion
Who is better or equal,
Let him firmly pursue his solitary course;
There is no fellowship with the foot.

๖๒. ปุตฺตา นตฺถิ ธน มตฺถิ
อิติ พาโล วิหญฺญติ
อตฺตา หิ อตฺตโน นตฺถิ
กุโต ปุตฺตา กุโต ธนํ ฯ ๖๒ ฯ

คนโง่มัวคิดวุ่นวายว่า
เรามีบุตร เรามีทรัพย์
เมื่อตัวเขาเองก็ไม่ใช่ของเขา
บุตรและทรัพย์จะเป็นของเขาได้อย่างไร

'I have some, I have wealth';
So thinks the food and is troubled.
He himeself is not his own.
How then are sons,how wealth?

๖๓. โย พาดล มญฺญติ พาลยฺยํ
ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส
พาโล จ ปณฺฑิตามานี
ส เว พาโลติ วุจฺจติ ฯ ๖๓ ฯ

คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

A fool aware of his stupidity
Is in so far wise,
But the fool thinking himself wise
Is called a fool indeed.

๖๔. ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล
ปณฺฑิตํ ปฏิรุปาสติ
น โส ธมฺมํ วิชานาติ
ทพฺพิ สูปรสํ ยถา ฯ ๖๔ ฯ

ถึงจะอยุ่ใกล้บัณฑิต
เป็นเวลานานชั่วชีวิต
คนโง่ก็หารู้พระธรรมไม่
เหมือนจวักไม่รู้รสแกง

Though through all his life
A fool associates with a wise man,
He yet understands not the Dhamma,
As the spoon the flavour of soup.

๖๕. มุหุตฺตมฺปิ เจ วิญฺญู
ปณฺฑิตํ ปยิรุปาสติ
ขิปฺปํ ธมฺมํ วิชานาติ
ชิวหา สูปรสํ ยถา ฯ ๖๕ ฯ

ปัญญาชน คบบัณฑิต
แม้เพียงครู่เดียว
ก็พลันรู้แจ้งพระธรรม
เหมือนลิ้นรู้รสแกง

Though,for a moment only,
An intelligent man associates with a wise man,
Quickly he understands the Dhamma,
As the tougue the flavour of soup.

๖๖. จรนฺติ พาลา ทุมฺเมธา
อมิตฺเตเนว อติตนา
กโรนฺตา ปาปกํ กมฺมํ
ยํ โหติ กฎุกปฺผลํ ฯ ๖๖ ฯ

เหล่าคนพาล ปัญญาทราม
ทำตัวเองให้เป็นศัตรูของตัวเอง
เที่ยวก่อแต่บาปกรรรมที่มีผลเผ็ดร้อน

Fools of little wit
Behave to themselves as enemies,
Doing evil deeds
The fruits wherof are bitter.

๖๗. น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ
ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ
ยสฺส อสฺสุมุโข โรทํ
วิปากํ ปฏิเสวติ ฯ ๖๗ ฯ

กรรมใดทำแล้วทำให้เดือดร้อนภายหลัง
อีกทั้งทำให้ร้องไห้น้ำตานอง
รับสนองผลของการกระทำ
กรรมนั้นไม่ดี

That deed is not well done,
After doing which one feels remorse
And the fruit whereof is received
With tears and lamentations.

๖๘. ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ
ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ
ยส์ส ปตีดต สุมโน
วิปากํ ปฏิเสวติ ฯ ๖๘ ฯ

กรรมใดทำแล้ว ไม่เดือดร้อนภายหลัง
ทั้งผู้กระทำก้เบิกบานสำราญใจ
ได้เสวยผลของการกระทำ
กรรมนั้นดี

Well done is thst deed
which, done, brings no regret;
The fruit whereof is received
The fruit whereof is received
With delight and satisfaction.

๖๙. มธุวา มญฺญตี พาดล
ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ
อถ พาโล ทุกฺขํ นิคจฺฉติ ฯ ๖๙ ฯ

ตลอดระยะเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล
คนพาลสำคัญบาปหวานปานน้ำผึ้ง
เมื่อใดบาปให้ผล
เมื่อนั้นเขาย่อมได้รับทุกข์

An evil deed seems sweet to the fool
so long as it does not bear fruit;
but when it ripens,
The fool comes to grief.

๗๐. มาเส มาเส กุสคฺเคน
พาโล ภุญฺเชถ โภชนํ
น โส สงฺขาตธมฺมานํ
กลํ อคฺฆติ โสฬสึ ฯ ๗๐ ฯ

คนพาล ถึงจะบำเพ็ญตบะ
โดยเอาปลายหญ้าคาจิ้มอาหารกิน ทุกเดืน
การปฏิบัติของเขาไม่เท่าหนึ่งในสิบหกส่วน
ของการปฏิบัติของท่านผู้บรรลุธรรม

Month after month the fool may eat his food
With the tip of Kusa srass;
Nonetheless he is not worth the sixteenth part
Of those who have well understoood the Truth.

๗๑. น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ
สชฺชุ ขีรํว มุจฺจติ
ฑหนฺติ พาลมเนฺวติ
ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโก ฯ ๗๑ ฯ

กรรมชั่วที่ทำแล้ว ยังไม่ให้ผลทันทีทันใด
เหมือนนมรีดใหม่ๆ ไม่กลายเป็นนมเปรี้ยวในทันที
แต่มันจะค่อยๆ เผาผลาญผู้กระทำในภายหลัง
หมือนไฟไหม้แกลบ

An evil deed committed
Does not immediately bear fruit,
Just as milk curdles not at once;
Smouldering life covered by ashes,
It follows the fool.

๗๒. ยาวเทว อนติถาย
ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ
หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ
มุทฺธมสฺส วิปาตยํ ฯ ๗๒ ฯ

คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป

The fool gains knowledge
Only for his ruin;
It destroys his good actions
And cleaves his head.

๗๓. อสนฺตํ ภาวมิจฺเฉยฺย
ปุเรกฺขารญฺจ ภิกฺขุสุ
อาวาเสสุ จ อิสฺสริยํ
ปูชา ปรกุเลสุ จ ฯ ๗๓ ฯ

ภิกษุพาล ปรารถนาชื่อเสียงเกียรติยศที่ไม่เหมาะ
อยากเป็นใหญ่กว่าพระภิกษุทั้งหมด
อยากเป็นเจ้าอาวาส
อยากได้รับบูชาสักการะจากชาวบ้านทั้งหลาย

A foolish monk desires undue reputation,
Precedence among monks,
Authority in the monasterics,
Honour among other families.

๗๔. มเมว กต มญฺญนฺตุ
คิหี ปพฺพชิตา อุโภ
มเมว อติวสา อสฺสุ
กิจฺจาจฺเจส กิสฺมิจิ
อิติ พาลสฺส สงฺกปฺโป
อิจฺฉา มาโน จ วฑฺฒติ ฯ ๗๔ ฯ

"ขอให้คฤหัสถ์ และบรรพชิต
จงสำคัญว่า เราเท่านั้นทำกิจนี้
ขอให้เขาเหล่านั้นอยู่ในบังคับบัญชาของเรา
ไม่ว่ากิจการใหญ่หรือเล้ก"
ภิกษุพาล มักจะคิดใฝ่ฝันเช่นนี้
ความทะเยอทะยาน และวามหยิ่งก้พลอยเพิ่มขึ้น

'Let both laymen and monks think,
By me only was this done;
In every work,great or small,
Let them refer to me'.
Such is the ambitin of the fool;
His desire and pride increase.

๗๕. อญฺญา หิ ลาภูปนิสา
อญฺญา นิพฺพานคามินี
เอวเมตํ อภิญฺญาย
ภิกฺขุ พุทฺธสฺส สาวโก
สกฺการํ นาภนนฺเทยฺย
วิเวกมนุพฺรูหเย ฯ ๗๕ ฯ

ทางหนึ่งแสวงหาลาภ
ทางหนึ่งไปนิพพาน
รู้อย่างนี้แล้ว ภิกษุพุทธสาวก
ไม่ควรไยดีลาภสักการะ
ควรอยู่อย่างสงบ

One is the way to worldly gain;
To Nibbana another leads.
Clearly realizing this,
The bhikkh,disciple of the Buddha,
Should not delight in worldly favour,
But devote himself to solitude.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 09:47:03 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:15:54 »



๖. หมวดบัณฑิต
The Wise


๗๖. นิธีนํ ว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโย ฯ ๗๖ ฯ

ถ้าพบนักปราชญ์ ที่คอยว่ากล่าวตักเตือนชี้ข้อบกพร่อง
เสมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้ ควรคบหาบัณฑิตเช่นนั้น
เพราะเมื่อคบหาคนเช่นนั้น จะมีแต่ความเจริญไม่มีความเสื่อม

Should one see a wise man,
Who, like a revealer of treasures,
Points out faults and reproves,
Let one associate with such a one,
Well is it, not ill, to associate with such a one.

๗๗. โอวเทยฺยานุสาเสยฺย
อสพฺภา จ นิวารเย
สตํ หิ โส ปิโย โหติ
อสตํ โหติ อปฺปิโย ฯ ๗๗ ฯ

จงยอมตนให้บัณฑิตตักเตือนพร่ำสอน
และกีดกันจากความชั่ว
คนที่คอยสั่งสอนเช่นนี้
คนดีรัก แต่คนชั่วเกลียด

Let him admonish, exhort,
And shield from wrong.
Truly, pleasing is he to the good,
Displeasing is he to the bad.

๗๘. น ภเช ปาปเก มิตฺเต
น ภเช ปุริสาธเม
ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ
ภเชถ ปุริสุตฺตเม ฯ ๗๘ ฯ

ไม่พึงคบมิตรชั่ว
ไม่พึงคบคนเลวทราม
พึงคบกัลยาณมิตร
พึงคบคนที่ดีเยี่ยม

Associate not with evil friends;
Associate not with mean men;
Associate with good friends;
Associate with noble men.

๗๙. ธมฺมปีติ สุขํ เสติ
วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม
สทา รมติ ปญฺฑิโต ฯ ๗๙ ฯ

ผู้ดื่มรสพระธรรม มีใจสงบ
ย่อมอยู่เป็นสุข
บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม
ที่พระอริยเจ้าแสดงไว้เสมอ

He who imbibes the Dharma
Lives happily with the mind at rest.
The wise man ever delights
In the Dharma revealed by the Noble.

๘๐. อุทฺกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา
อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ
ทารุ นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา ฯ ๘๐ ฯ

ชาวนาไขน้ำเข้านา
ช่างศรดัดลูกศร
ช่างไม้ถากไม้
บัณฑิตฝึกตนเอง

Irrigators lead water;
Fletchers fashion shafts;
Carpenters bend wood;
The wise tame themselves.

๘๑. เสโล ยถา เอกฆโน วาเตน น สมีรติ
เอวํ นินฺทาปสํสาสุ น สมิญฺชนฺติ ปณฺฑิตา ฯ ๘๑ ฯ

ขุนเขาไม่สะเทือนเพราะแรงลมฉันใด
บัณฑิตก็ไม่หวั่นไหวเพราะนินทาหรือสรรเสริญฉันนั้น

Even as a solid rock
Is not shaken by the wind.
So do the wise remain unmoved
By praise or blame.

๘๒. ยถาปิ รหโท คมฺภีโร วิปฺปสนฺโน อนาวิโล
เอวํ ธมฺมานิ สุตฺวาน วิปฺปสีทนฺติ ปณฺฑิตา ฯ ๘๒ ฯ

ห้วงน้ำลึก ใสสะอาดสงบฉันใด
บัณฑิตฟังธรรมแล้วย่อมมีจิตใจสงบฉันนั้น

Just as a lake, deep, clear, and still
Even so, on hearing the Dharma,
The wise become exceedingly peaceful.

๘๓. สพฺพตฺถ เว สปฺปุริสา จชนฺติ
น กามกามา ลปยนฺติ สนฺโต
สุเขน ผุฏฐา อถวา ทุกฺเขน
น อุจฺจาวจํ ปณฺฑิตา ทสฺสยนฺติ ฯ ๘๓ ฯ

สัตบุรุษ ยอมเสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มัวพร่ำเพ้อ แต่เรื่องกามคุณ
ไม่ว่าได้รับสุขหรือทุกข์
บัณฑิตไม่แสดงอาการยินดียินร้าย (เกินกว่าเหตุ)

The good renounce everything
And do not speak hankering after desires.
Touched by sorrow or happiness,
The wise become neither elated nor depressed.

๘๔. น อตฺตเหตุ น ปรสฺส เหตุ
น ปุตฺตมิจฺเฉ น ธนํ น รฏฺฐํ
น อิจฺเฉยฺย อธมฺเมน สมิทฺธิมตฺตโน
ส สีลวา ปญฺญวา ธมฺมิโก สิยา ฯ ๘๔ ฯ

ไม่ควรทำชั่วเพราะเห็นแก่ตัว หรือคนอื่น
ไม่ควรปรารถนาบุตร ทรัพย์ รัฐ หรือความสำเร็จ
แก่ตนโดยทางที่ไม่ชอบธรรม
ควรมีศีล มีปัญญา มั่นอยู่ในธรรม

Neither for one's own nor another's sake
Should one commit any wrong,
Nor, by unjust means, should one desire
Sons, wealth, state or one's own success.
He should be virtuous, wise and righteous.

๘๕. อปฺปกา เต มนุสฺเสสุ
เย ชนา ปารคามิโน
อถายํ อิตรา ปชา
ตีรเมวานุธาวติ ฯ ๘๕ ฯ

ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย
น้อยคนนักจักข้ามฝั่งไปได้
ส่วนคนนอกนี้
ก็ได้แต่วิ่งเลียบเลาะริมฝั่ง

Few are there among men
Who go to the further shore,
The rest of this mankind
Only run up and down the hither bank.

๘๖. เย จ โข สมฺมทกฺขาเต
ธมฺเม ธมฺมานุวตฺติโน
เต ชนา ปารเมสฺสนฺติ
มจฺจุเธยฺยํ สุทุตฺตรํ ฯ ๘๖ ฯ

ผู้ประพฤติตามคำสั่งสอนที่ตรัสดีแล้ว
ย่อมข้ามอาณาจักรพญามาร
ที่ข้ามได้แสนยาก
ไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง (คือพระนิพพาน)

Those who conform to the Dharma
That has been well expounded -
Those are they who will reach the Beyond,
Crossing the realm of death, so hard to cross.

๘๗. กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาเย
สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต
โอกา อโนกมาคมฺม
วิเวเก ยตฺถ ทูรมํ ฯ ๘๗ ฯ

บัณฑิตพึงละธรรมดำ (บาป)
สร้างสมธรรมขาว (บุญ)
เมื่อละบ้านเรือนมาถือเพศบรรพชิตแล้ว
ก็ควรยินดีในความสงัดวิเวก
ซึ่งยากที่คนธรรมดาจะยินดีได้

Coming from home to the homeless,
The wise man should abadon dark state
And cultivate the bright.
He should seek great delight in solitude,
So hard to enjoy.

๘๘. ตตฺราภิรติมิจฺเฉยฺย
หิตฺวา กาเม อกิญฺจโน
ปริโยทเปยฺย อตฺตานํ
จิตฺตเกฺลเสหิ ปณฺฑิโต ฯ ๘๘ ฯ

บัณฑิตพึงละกามคุณ
สลัดอาลัยหมดสิ้น
ทำตนให้บริสุทธิ์
ปราศจากเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต

Given up sensual pleasures,
With no attachment,
The wise man should cleanse himself
Of the impurities of the mind.

๘๙. เยสํ สมฺโพธิยงฺเคสุ
สมฺมา จิตฺตํ สุภาวิตํ
อาทานปฏินิสฺสคฺเค
อนุปาทาย เย รตา
ขีณาสวา ชุติมนฺโต
เต โลเก ปรินิพฺพุตา ฯ ๘๙ ฯ

ท่านที่อบรมจิตใจเป็นอย่างดี
ในคุณธรรมที่จะนำไปสู่การตรัสรู้
ไม่ยึดมั่น ยินดีในความปล่อยวาง
ท่านเหล่านั้น เป็นพระอรหันต์ สงบ สว่าง
เข้าถึงพระนิพพานแล้วในโลกนี้

Whose minds are well perfected
In the Factors of Enlightenment,
Who without clinging, delight in detachment-
They, the corruption-free, radient ones,
Have attained Nibbana in the Here-and-Now.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 09:52:10 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:21:58 »



๗. หมวดพระอรหันต์
THE WORTHY


๙๐. คตทฺธิโน วิโสกสฺส
วิปฺปมุตฺตสฺส สพฺพธิ
สพฺพคนฺถปฺปหีนสฺส
ปริฬาโห น วิชฺชติ ฯ ๙๐ ฯ

ผู้เดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
วิมุติหลุดพ้นโดยประการทั้งปวง
หมดโศก หมดเครื่องพัวพันแล้ว
ความร้อนใจก็หมดไป

For him who has completed his journey,
For him who is whooly free from all,
For him who has destroyed all bonds,
The fever of passion exists not.

๙๑. อุยฺยุญฺชนติ สติมนฺโต
น นิเกเต รมนฺติ เต
หํสาว ปลฺลวํ หิตฺวา
โอกโมกํ ชหนฺติ เต ฯ ๙๑ ฯ

ผู้มีสติย่อมขยันขันแข็ง
ไม่ยึดติดแหล่งที่อาศัย
ละทิ้งไปตามลำดับ
เหมือนกับพญาหงส์ทิ้งสระน้ำ

The mindeful ones exert themselves,
To no abode are they attached;
Like swans that quit their pools,
Home after home they leave behind.

๙๒. เยสํ สนฺนิจฺจดย นตฺถิ
เย ปริญฺญาตดภชนา
สุญฺญโต อนิมิตฺโต จ
วิโมกฺโข เยส โคจโร
อากาเสว สกุนฺตานํ
คติ เตสํ ทุรนฺวยา ฯ ๙๒ ฯ

ท่านที่หมดการสะสม (ปัจจัยหรือกรรมดีกรรรมชั่ว)
พิจารณาโภชนะก่อนบริโภค เข้าถึงความหลุดพ้น
อันว่างจากกิเลสและไร้นิมิตหมายคือกิเลส
บุคคลเช่นนี้ ยากที่สามัญชนขะตามทัน
เหมือนนกบินบนท้องฟ้า ตามทันยาก

Those for whom there is no accumulation,
Who reflect well over their food,
Who have perceived void and unconditioned freedom-
Their path is hard to trase,
Like that of birds in the air.

๙๓. ยสฺสาสวา ปริกฺขีณา
อาหาเร จ อนิสฺสิดต
สุญฺญโต อนิมิตฺโต จ
วิโมกฺโข ยสฺส โคจโร
อากาเสว สกุนฺตานํ
ปทํ ตสฺส ทุรนฺวยํ ฯ ๙๓ ฯ

ผู้หมดกิเลส ไม่เห็นแก่กิน เข้าถึงความหลุดพ้น
อันว่างจากกิเลสและไร้นิมิตหมายคือกิเลส
บุคคลเช่นนี้มิได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
เหมือนนกบินบนท้องฟ้า หารอยอันใดมิได้.

He whose corruptions are destroyed,
He who is not attached to food
He who has perceived void and unconditioned freedom-
His track cannot be traced,
Like that of birds in the air.

๙๔. ยสฺสินฺทริยานิ สมถงฺคตานิ
อสฺสา ยถา สารถินา สุทนฺตา
ปหีนมานสฺส อนาสวสฺส
เทวาปิ ตสฺส ปิหยนฺติ ตาทิโน ฯ ๙๔ ฯ

ท่านผู้ใดควบคุมอินทรีย์คือ
ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ได้
เหมือนม้าที่สารถีควบคุมได้อย่างดี
ท่านผู้นี้หมดความไว้ตัว หมดกิเลส มั่นคง
ย่อมเป็นที่โปรดปราน แม้กระทั่งของเทวดาทั้งหลาย

He whose senes are subdued,
Like steeds well-trained by a charioteer;
He who is free from pride and corruption-
Such a steadfast one even the gods hold dear.

๙๕. ปฐวีสโม โน วิรุชฺฌติ
อินฺทขีลูปดม ตาทิ สุพฺพโต
รหโทว อเปตกทฺทดม
สํสารา น ภวนฺติ ตาทิโน ฯ ๙๕ ฯ

พระอรหันตฺเปรียบได้กับแผ่นดิน ไม่เคยโกรธขึ้งใคร
มีจิตคงที่ เหมือนหลักเมือง
มีจรรยาสะอาด เหมือนสระน้ำที่ใสไร้เปลือกตม
ผู้มีคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

Like the earth the Worthy One resents not;
Like the chief post is he a firm mind;
Like an unsullied pool is he of pure conduct;
To such a one life's wanderings are no more.

๙๖. สนฺตํ ตสฺส มนํ โหติ
สนฺตา วาจา จ กมฺม จ
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตสฺส
อุปสนฺตสฺส ตาทิโน ฯ ๙๖ ฯ

พระอรหันตฺผู้เป็นอิสระเพราะรู้แจ้ง
ผู้สงบระงับ และมีจิตมั่นคง
ใจของท่าน ย่อมสงบ
วาจาก็สงบ
การกระทำทางกายก็สงบ

Calm is his mind;
Calm is his speech;
Calm is his bodily action;
Perfectly peaceful and equipoised.

๙๗. อสทฺโธ อกตญฺญู จ
สนฺธิจฺเฉโท จ โย นโร
หตาวกาโส วนฺตาโส
ส เว อุตฺตมโปริโส ฯ ๙๗ ฯ

ผู้ไม่เชื่อใครง่ายตนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตนเอง ๑
ผู้รู้แจ้งพระนิพพาน ๑
ผู้หมดการเวียนว่ายตายเกิด ๑
ผู้หมดโอกาสที่จะทำดีหรือชั่ว ๑
ผู้หมดกิเลสที่ทำให้หวัง ๑
ห้าประเภทนี้แล เรียกว่า "ยอดคน"

He who is not credulous,
He who has realized Nibbana,
He who has severed all ties,
He who has put an end to opportunity,
He who has removed all desires
He,indeed,is the greatest of men.

๙๘. คาเม วา ยทิวารญฺเญ
นินฺเน วา ยิทวา ถเล
ยตฺถารหนฺโต วิหรนฺติ
ตํ ภูมิ รามเณยฺยกํ ฯ ๙๘ ฯ

ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือป่า
ไม่ว่าจะเป็นที่ลุ่ม หรือที่ดอน
พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด
ที่นั้น เป็นที่น่ารื่นรมย์

Whether in village or in forest,
Whether in vale or on hill'
Wherever the Worthy Ones dwell-
Delightful,indeed, is that spot.

๙๙. รมณียานิ อรญฺญานิ
ยตฺถ น รมตี ชดน
วีตราคา รเมสฺสนฺติ
น เต กามคเวสิโน ฯ ๙๙ ฯ

ป่าที่คนทั่วไปไม่ชื่นชม
เป็นรมณียสถาน
สำหรับท่านผู้มหมดราคะ
เพราะพระท่านมิได้ใฝ่กามคุณ

Delightful are the forests
Where worldings find no joy,
There the passionless rejoice
For they seek no sensual pleasures.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 09:57:54 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:27:19 »



๘. หมวดพัน
THE THOUSANDS


๑๐๐. สหสฺสํ อปิ เจ วาจา
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ ๑๐๐ ฯ

คำพูดที่เหลวไหลไร้ประโยชน์ตั้งพันคำ
ก็สู้คำพูดที่มีประโยชน์คำเดียวไม่ได้
เพราะฟังแล้วทำให้จิตใจสงบ

Better than a thounsand useless words
Is one beneficial single word,
Hearing which one is pacified.

๑๐๑. สหสฺสํ อปิ เจ คาถา
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ ๑๐๑ ฯ

บทกวีตั้งพันโศลก
แต่ไร้ประโยชน์
ไม่เท่าบทกวีบรรทัดเดียว
ที่ทำให้ผู้ฟังได้รับความสงบ

Better than a thounsand verses,
Comprising useless words,
Is one beneficial single line,
Hearing which one is pacified.

๑๐๒. โย จ คาถาสตํ ภาเส
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ ธมฺมปทํ เสยฺโย
ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ ฯ ๑๐๒ ฯ

บทกวีบรรยายธรรมบทเดียว
ที่ทำให้ผู้ฟังได้รับความสงบ
ประเสริฐกว่าบทกวีที่ท่องจำได้ตั้งร้อยโศลก
แต่ไม่มีประโยชน์แม้แต่บทเดียว

Should one recite a hundred verses,
Comprising useless words,
Better is one single word of the Dhamma,
Hearing which one is pacified.

๑๐๓. โย สหสฺสํ สหสฺเสน
สงฺคาเม มานุเส ชิเน
เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ
ส เว สงฺคามชุตฺตโม ฯ ๑๐๓ ฯ

ถึงจะรบชนะข้าศึกเป็นพันๆ ราย
ก็ไม่นับเป็นยอดขุนพล
แต่ผู้ที่เอาชนะจิตใจตน
จึงเรียก "ยอดขุนพล" แท้จริง

Though one should conquer in battle
A thounsand times a thounsand men,
Yet should one conquer just oneself
One is indeed the greatest victor.

๑๐๔-๕. อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย
ยาจายํ อิตรา ปชา
อตฺตทนฺตสฺส โปสสฺส
นิจฺจํ สญฺญตจาริโน
เนว เทโว น คนฺธพฺโพ
น มาโร สห พฺรหฺมุนา
ชิตํ อปชิตํ กยิรา
ตถารูปสฺส ชนฺตุโน ฯ ๑๐๔-๕ * ฯ

เอาชนะตนได้นั้นแล ประเสริฐ
ผู้ที่ฝึกตนได้ ระวังระไวตลอดเวลา
ถึงเทวดา คนธรรพ์ และพระพรหม
ก็เอาชนะไม่ได้

Better indeed is it to conquer oneself,
Neither a god nor a Gandharva
Neither Mara nor Brahma
Could turn into defeat the victory of one
Who is self-madtered and self-controlled.

* โปสสฺส (โปส + สฉัฏฐีวิภัติ) ย่อมาจาก ปุริส ซึ่งยืมมาจากศัพท์
เฉพาะในอุปนิษัทอีกที (ปุรฺษ>ปุรุษ>ปุริส>โปสฺส>โปส) คำ
โปส นี้ มีใช้เฉพาะในภาษาร้อยกรอง ส่วนภาษาร้อยแก้วมักใช้
ปุริส มากกว่า

๑๐๖. มาเส มาเส สหสฺเสน
โย ยเชถ สตํ สมํ
เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ
มุหุตฺตมฺปิ ปูชเย
ยญฺเจว วสฺสตํ หุตํ ฯ ๑๐๖ * ฯ

การบูชาท่านผู้ฝึกตน แม้เพียงหนึ่งครั้ง
บังเกิดผลมหาศาล
ยิ่งกว่าสละทรัพย์บูชายัญเดือนละพัน
เป็นเวลาติดต่อกันถึงร้อยปี

Though, month after month with a thousand,
One should sacrifice for a hundred years,
Yet,if, only for a moment,
One should honour the self-restrained,
That honour, indeed, is better
Than a century of sacrifice.

* คำว่า ปูชนา ไม่นิยมใช้ในที่อื่นนอกจากภาษาร้อยกรอง
ที่ถูกควรมีรูปเป็น ปูชา

๑๐๗. โย จ วสฺสสตํ ชนฺตุ
อคฺคึ ปริจเร วเน
เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ
มุหุตฺจมฺปิ ปูชเย
สา เยว ปูชนา เสยฺโย
ยญฺเจ วสฺสสตํ หุตํ ฯ ๑๐๗ ฯ

การบูชาท่านผู้ฝึกตนแม้เพียงครู่เดียว
บังเกิดผลมหาศาล
ยิ่งกว่าการบูชาไฟในป่า
เป็นเวลาตั้งร้อยปี

Though one , for a century,
Should tend the fire in the forest,
Yet, if ,only for a moment,
He should honour the self-restrained,
Thai honour,indeed,is better
Than a century of sacrifice.

๑๐๘. ยงฺกิญฺจิ ยิฎฺฐํ ว หุตํ ว โลเก
สํวจฺฉรํ ยเชถ ปุญฺญเปกฺโข
สพฺพมฺปิ ตํ น จตุภาคเมติ
อภิวาทนา อุชุคเตสุ เสยฺโย ฯ ๑๐๘ ฯ

ไม่ว่ายัญชนิดไหน ที่ผู้ใคร่บุญพึงบูชาตลอดปี
การบูชายัญนั้นมีค่าไม่เท่าหนึ่งในส่ของการยกมือไหว้
ท่านผู้ปฏิบัติตรงตามอริยมาาคแม้เพียงครั้งเดียว
การไหว้บุคคลเช่นนั้นประเสริฐกว่าเป็นไหนๆ

Whatever oblationnns and sacrifices
One might offer for a year,
Seeking merit thereby,
All that is not worth a single quarter
Of homage towards the upright
Which is far more excellent.

๑๐๙. อภิวาทนสีลิสฺส
นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ
อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ ฯ ๑๐๙ * ฯ

ผู้กราบไหว้ อ่อนน้อมถ่อมตัว
ต่อผู้ใหญ่เป็นนิจศีล
ย่อมเจริญด้วยคุณธรรมสี่ประการคือ
อายุ ชื่อเสียง สุข และกำลัง

For one who is in the habit of
Ever honouring and respecting the elders,
Four qualities increase;
Loong life,Fame, happiness and strength.

* วณฺโณ ธรรมบทฉบับคันธารี จัดพิมพ์โดยศาสตราจารย์
จอห์น บราฟ เขียน กิตฺติ ซึ่งแปลว่าเกียรติ วณฺณ แปลได้หลาย
นัยคือ ผิวพรรณ, อักษร, เกียรติ ข้าพเจ้าเห็นว่าความหมาย
อย่างหลังนี้ เหมาะและมีเหตุผลดีกว่า จึงถือตามนี้ ซึ่งไม่ตรง
กับมติที่ยึดถือกันมานานในประเทศนี้ ขอฝากไว้พิจารณาด้วย

๑๑๐. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
ทุสฺสีโล อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
สีลวนฺตสฺส ฌายิโน ฯ ๑๑๐ ฯ

ผู้มีศีล มีสมาธิ
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของคนทุศีล ไร้สมาธิ

Though one should live a hundred years,
Without conduct and concentration,
Yet,better is a single day's life
Of one who is moral and meditative.

๑๑๑. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน ฯ ๑๑๑ ฯ

ผู้มีปัญญา มีสมาธิ
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้ทรามปัญญา ไร้สมาธิ

Though one shold live an hundred years,
Without wisdom and concentration,
Yet, better is a single day's life
Of one who is wise and meditative.

๑๑๒. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
กุสีโต หีนวีริโย
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
วีริยํ อารภโต ทฬฺหํ ฯ ๑๑๒ ฯ

ผู้มีความเพียรมั่นคง
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสิรฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้เกียจคร้าน ไร้ความเพียร

Though one should live a hundred years,
Sluggish and inactive
Yet,better is a single day's life
Of one who intensely exerts himself.

๑๑๓. โย วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อุทยพฺพยํ ฯ ๑๑๓ ฯ

ผู้พิจารณาเห็นความเกิด-ดับแห่งสังขาร
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้ไม่พิจารณาเห็น

Better is a single day;s life of one
Who discerns the rise and fall of things
Than a hundred years'life of one
Who is not comprehending.

๑๑๔. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ อมตํ ปทํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อมตํ ปทํ ฯ ๑๑๔ ฯ

ผู้พบทางอมตะ
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้ไม่พบ

Better is a single day's life of one
Who sees the Deathless
Than a hundred years's life of one
Who sees not that state.

๑๑๕. โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ ธมฺมมุตฺตมํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต ธมฺมมุตฺตมํ ฯ ๑๑๕ ฯ

ผู้เห็นพระธรรมอันประเสริฐ
มีชีวิตอยู่วันเดียว
ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี
ของผู้ไม่เห็น

Better is a single day's life of one
Who understands the truth sublime
Than a hundred years's life of one
Who knows not that truth, so high.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 10:03:52 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:33:00 »



๙. หมวดบาป
EVIL


๑๑๖. อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ
ปาปา จิตฺตํ นิวารเย
ทนฺธํ หิ กรโต ปุญฺญํ
ปาปสฺมึ รมตี มโน ฯ ๑๑๖ ฯ

พึงรีบเร่งกระทำความดี
และป้องกันจิตจากความชั่ว
เพราะเมื่อกระทำความดีช้าไป
ใจจะกลับยินดีในความชั่ว

Make haste in doing gook,
And check your mind from evil,
Whoso is slow in making merit-
His mind delights in evil.

๑๑๗. ปาปญฺเจ ปุริโส กยิรา
น นํ กยิรา ปุนปฺปุนํ
น ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ
ทุกฺโข ปาปสฺส อุจฺจโย ฯ ๑๑๗ ฯ

ถ้าหากจำต้องทำชั่วไซร้
ก็ไม่ควรทำบ่อยนัก
และไม่ควรพอใจในการทำชั่วนั้น
เพราะการสะสมบาป นำทุกข์มาให้

Should a man commit evil,
Let him not do it again and again,
Nor turn his heart to delight therein;
Painful is the heaping-up of evil.

๑๑๘. ปุญฺญญฺเจ ปุริโส กยิรา
กยิราเถนํ ปุนปฺปุนํ
ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ
สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย ฯ ๑๑๘ ฯ

ถ้าหากจะทำความดี
ก็ควรทำดีบ่อยๆ
ควรพอใจในการทำความดีนั้น
เพราะการสะสมความดีนำสุขมาให้

Should a man perform merit,
Let him do it again and again,
And trun his mind to delight therein;
Blissful is the piling-up of merit.

๑๑๙. ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ
ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ
อถ ปาโป ปาปานิ ปสฺสติ ฯ ๑๑๙ ฯ

เมื่อบาปยังไม่ส่งผล
คนชั่วก็เห็นว่าเป็นของดี
ต่อเมื่อมันเผล็ดผลเมื่อใด
เมื่อนั้นแหละเขาจึงรู้พิษสงของบาป

For the evil-doer all is well,
While the evil ripens not;
But when his evil yields its fruit,
He sees the evil results.

๑๒๐. ภทฺโรปิ ปสฺสตี ปาปํ
ยาว ภทฺรํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจตี ภทฺรํ
อถ ภทฺโร ภทฺรานิ ปสฺสติ ฯ ๑๒๐ * ฯ

เมื่อความดียังไม่ส่งผล
คนดีก็มองเห็นความดีเป็นความชั่ว
ต่อเมื่อใดความดีเผล็ดผล
เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะเห็นผลของความดี

For the good man, perhaps, all is ill,
While as yet his good is not ripe;
But when it bears its fruit,
He sees the good results.

* ภทฺร เป็นคำสํสกฤต สะกดแบบบาลีเป็น ภทฺท คำอย่างนี้มีปะปน
ในภาษาบาลีเสมอ เช่น วิจิตฺต เขียน วิจิตฺร เป็นต้น

๑๒๑. มาวมญฺเญถ ปาปสฺส
น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส
โถกํ โถกมฺปิ อาจินํ ฯ ๑๒๑ ฯ

อย่าดูถูกความชั่วเล็กน้อยว่าจักไม่สนองผล
น้ำตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุ่มได้
คนพาลทำความชั่วทีละเล็กละน้อย
ย่อมเต็มด้วยความชั่วได้เช่นกัน

Despise not evil,
Saying, 'It will not come to me';
Drop by drop is the waterpot filled,
Lidewise the fool, gathering little by little,
Fills himself with evil.

๑๒๒. มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส
น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน
อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ ธีโร ปุญฺญสฺส
โถกํ โถกมฺปิ อาจินํ ฯ ๑๒๒ ฯ

อย่าดูถูกบุญเล็กน้อยว่าจักไม่สนองผล
น้ำตกจากเวหาทีละหยาดๆ ยังเต็มตุ่มได้
นักปราชญ์สะสมบุญทีละเล็กละน้อย
ย่อมเต็มด้วยบุญได้เช่นกัน

Despise not merit,
Saying, 'It will not come to me';
Drop by drop is the waterpot filled,
Likewise the man, gathering little by little
Fills himself with merit.

๑๒๓. วาณิโชว ภยํ มคฺคํ
อปฺปสตฺโถ มหทฺธโน
วิสํ ชีวิตุกาโมว
ปาปานิ ปริวชฺชเย ฯ ๑๒๓ ฯ

พ่อค้ามีทรัพย์มาก มีพวกน้อย
ละเว้นทางที่มีภัย
คนรักชีวิตละเว้นยาพิษ ฉันใด
บุคคลพึงละบาป ฉันนั้น

As a rich merchant, with small escort,
Avoids a dangerous path,
As one who loves life avoids poison,
Even so should one shun evil.

๑๒๔. ปาณิมฺหิ เจ วโณ นาสฺส
หเรยฺย ปาณินา วิสํ
นาพฺพณํ วิสมเนฺวติ
นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต ฯ ๑๒๔ ฯ

เมื่อมือไม่มีแผล
บุคคลย่อมจับต้องยาพิษได้
ยาพิษนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้
บาปก็ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป

If no wound there be in the hand,
One may handle poison;
Poison does not affect one who has no wound;
There is no ill for him who does no wrong.

๑๒๕. โย อปฺปทุฏฺฐสฺส นรสฺส ทุสฺสติ
สุทฺธสฺส โปสสฺส อนงฺคณสฺส
ตเมว พาลํ ปจฺเจติ ปาปํ
สุขุโม รโช ปฏิวาตํว ขิตฺโต ฯ ๑๒๕ ฯ

บาปก็ย่อมตามสนองผู้โง่เขลา
ซึ่งทำร้ายบุคคลที่ไม่ทำร้ายตอบ
ผู้หมดจด ปราศจากกิเลส
ดุจธุลีที่ซัดทวนลม (วกกลับมาหาผู้ซัด)

Whosoever offends a harmless person,
One pure and guiltles,
Upon that very fool the evil recoils
Even as fine dust thrown against the wind.

๑๒๖. คพฺภเมเก อุปปชฺชนฺติ
นิรยํ ปาปกมฺมิโน
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ
ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา ฯ ๑๒๖ ฯ

สัตว์บางพวกกลับมาเกิดอีก
พวกที่ทำบาป ไปนรก
พวกที่ทำดี ไปสวรรค์
พวกที่หมดอาสวกิเลส ปรินิพพาน

Some are born in teh womb again;
The evil-doers are born in hell;
The good go to heaven;
The Undefiled Ones attain Nibbana.

๑๒๗. น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต มุจฺเจยฺย ปาปกมฺมา ฯ ๑๒๗ ฯ

ไม่ว่าบนท้องฟ้า
ไม่ว่าท่ามกลางสมุทร
ไม่ว่าในหุบเขา
ไม่มีแม้แต่แห่งเดียว
ที่ผู้ทำกรรมชั่วอาศัยอยู่
จะหนีพ้นกรรมไปได้

Neither in the sky nor in mid-ocean,
Nor in the clefts of the rocks,
Nowhere in the world is a place to be found
Where abiding one may escape from
(the consequences of) an evil deed.

๑๒๘. น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชุเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส
ยตุรฏฺฐิตํ นปฺปสเหยฺย มจฺจุ ฯ ๑๒๘ ฯ

ไม่ว่าบนท้องฟ้า
ไม่ว่าท่ามกลางสมุทร
ไม่ว่าในหุบเขา
ไม่มีแม้สักแห่งเดียว
ที่คนเราอาศัยอยู่แล้ว
จะหนีพ้นความตายได้

Neither in the sky no in mid-ocean,
Nor in the clefts of the rocks,
Nowhere in the world is found that place
Where abiding one will not be overcome by death.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 10:40:49 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:36:56 »



๑๐. หมวดลงทัณฑ์
PUNISHMENT


๑๒๙. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส
สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา
น หเนยฺย น ฆาตเย ฯ ๑๒๙ ฯ

สัตว์ทั้งหมดกลัวโทษทัณฑ์
สัตว์ทั้งหมดกลัวความตาย
เปรียบตนเองกับผู้อื่นอย่างนี้แล้ว
ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรสั่งให้คนอื่นฆ่า

All tremble at punishment;
All fear death;
Comparing others with oneself,
One should neither kill nor cause to kill.

๑๓๐. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส
สพฺเพสํ ชีวิตํ ปิยํ
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา
น หเนยฺย น ฆาตเย ฯ ๑๓๐ ฯ

สัตว์ทั้งหมดกลัวโทษทัณฑ์
สัตว์ทั้งหมดรักชีวิตของตน
เปรียบตนเองกับคนอื่นอย่างนี้แล้ว
ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรสั่งให้คนอื่นฆ่า

All tremble a punishment;
To all life is dear;
Comparing others with oneself,
One should neither kill nor cause to kill.

๑๓๑. สุขกามานิ ภูตานิ
โย ทณฺเฑน วิหึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน
เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ ฯ ๑๓๑ ฯ

สัตว์ทั้งหลายล้วนต้องการความสุข
ผู้ที่ต้องการความสุขแก่ตน
แต่เบียดเบียนสัตว์อื่น
ตายไปแล้วย่อมไม่ได้รับความสุข

Whoso, himself seeking happiness,
Harms pleasure-loving beings-
He gets no happiness
In the world to come.

๑๓๒. สุขกามานิ ภูตานิ
โย ทณฺเฑน น หึสติ
อตฺตโน สุขเมสาโน
เปจฺจ โส ลภเต สุขํ ฯ ๑๓๒ ฯ

สัตว์ทั้งหลายล้วนต้องการความสุข
ผู้ที่ต้องความสุขแก่ตน
ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น
ตายไปแล้วย่อมได้รับความสุข

Whoso, himself seeking happiness,
Harms not pleasure-loving being-
He gets happiness
In the world to come.

๑๓๓. มาโวจ ผรุสํ กญฺจิ
วุตฺตา ปฏิวเทยฺยุ ตํ
ทุกฺขา หิ สารมฺภกถา
ปฏิทณฺฑา ผุเสยฺยุ ตํ ฯ ๑๓๓ ฯ

อย่ากล่าวคำหยาบแก่ใครๆ
เมื่อถูกท่านด่าว่า เขาจะโต้ตอบท่าน
การพูดจากร้าวร้าวกันเป็นเหตุก่อทุกข์
อาจลุกลามถึงขั้นลงมือประทุษร้ายกัน

Speak not harshly to anyone.
Those thus addressed will retort.
Painful, indeed, is vindictive speech.
Blows in exchange may bruise you.

๑๓๔. สเจ เนเรสิ อตฺตานํ
กํโส อุปหโต ยถา
เอส ปตฺโตสิ นิพฺพานํ
สารมฺโภ เต น วิชฺชติ ฯ ๑๓๔ ฯ

ถ้าเธอทำตนให้เงียบเสียงได้
เหมือนฆ้องแตก
ก็นับว่าเธอเข้าถึงนิพพานแล้ว
เธอก็จะไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกับใครอีก

If you silence yourself
As a broken gong,
You have already attained Nibbana.
No contention will be found in you.

๑๓๕. ยถา ทณฺเฑน โคปาโล
คาโว ปาเชติ โคจรํ
เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ
อายุ ปาเชนฺติ ปาณินํ ฯ ๑๓๕ ฯ

ความแก่และความตาย
ไล่ต้อนอายุสัตว์ทั้งหลายไป
เหมือนเด็กเลี้ยงโค ถือท่อนไม้
คอยไล่ต้อนฝูงโคไปสู่ที่หากิน

As with a staff the cowherd drives
His cattle out to pasture-ground,
So do old age and death comple
The life of beings (all around).

๑๓๖. อถ ปาปานิ กมฺมานิ
กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ
อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ ฯ ๑๓๖ ฯ

คนพาล เวลาทำชั่ว
หาสำนึกถึงผลของมันไม่
คนทรามปัญญามักเดือดร้อน
เพราะกรรมชั่วของตัว
เหมือนถูกไฟไหม้

When a fool does wicked deeds,
He does not know their future fruit.
The witless one is tormented by his own deeds
As if being burnt by fire.

๑๓๗. โย ทณฺเฑร อทณฺเฑสุ
อปฺปทุฎฺเฐสุ ทุสฺสติ
ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ
ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ ฯ ๑๓๗ ฯ

ผู้ทำร้ายลงทัณฑ์แก่บุคคล
ผู้ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใคร
ย่อมได้รับผลสนองสิบอย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่งทันตาเห็น

He who inflicts punishment on those
Who are harmless and who offend no one
Speedily comes to one of these ten states;

๑๓๘. เวทนํ ผรุสํ ชานึ
สรีรสฺส จ เภทนํ
ครุกํ วาปิ อาพาธํ
จิตฺตกฺเขปํว ปาปุเณ ฯ ๑๓๘ ฯ

(ความต่อจากคาถาที่แล้ว)
ได้รับเวทนาอย่างรุนแรง
ได้รับความเสท่อมเสีย
ถูกทำร้ายร่างกาย
เจ็บป่วยอย่างหนัก
กลายเป็นคนวิกลจริต

To grievous bodily pain,
To disaster,
To bodily injury,
To serious illness,
To loss of mind,
Will he come.

๑๓๙. ราชโต วา อุปสคฺคํ
อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ
ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ
โภคานํ ว ปภงฺคุณํ ฯ ๑๓๙ ฯ

(ความต่อจากสองคาถาที่แล้ว)
ต้องราชภัย
ถูกกล่าวหาอย่างรุนแรง
ไร้ญาติพี่น้อง
ทรัพย์สมบัติก็พินาศฉิบหาย

To oppression by the king,
to grave accusation,
To loss of relatives,
To destruction of wealth,
(will he come).

๑๔๐. อถวาสฺส อคารานิ
อคฺคิ ฑหติ ปาวโก
กายสฺส เภทา ทุปฺปญฺโญ
นิรยํ โส อุปปชฺชติ ฯ ๑๔๐ ฯ

(ความต่อจากสามคาถาที่แล้ว)
หรือไม่บ้านเรือนของเขาย่อมถูกไฟไหม้
ตายไป เขาผู้ทรามก็ตกนรก

Or his house will be burnt up with fire,
And that unwise one will pass to hell
In the world to come.

๑๔๑. น นคฺคจริยา น ชฎา น ปงฺกา
นานาสกา ตณฺฑิลสายิกา วา
รโชชลฺลํ อุกฺกุฎิกปฺปธานํ
โสเธนฺติ มจฺจํ อวิติณฺณกงฺขํ ฯ ๑๔๑ ฯ

ไม่ใช่ประพฤติตนเป็นชีเปลือย ไม่ใช่มุ่นชฏา
ไม่ใช่เอาโคลนทาร่างกาย ไม่ใช่การอดอาหาร
ไม่ใช่นอนบนดิน ไม่ใช่คลุกฝุ่นธุลี ไม่ใช่นั่งกระโหย่ง
ที่ทำให้คนผู้ยังไม่ข้ามพ้นความสงสัย บริสุทธิ์

Not nakedness, nor matted hair,
Nor dirt,nor fasting,
Nor llying on the ground,
Nor besmearing oneself with ashes,
Nor squatting on the heels,
Can purity a mortal
Who has not overcome doubts.

๑๔๒. อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย
สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจานี
สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
โส พฺรามหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกขุ ฯ ๑๔๒ ฯ

ถึงจะแต่งกายแบบใดๆ ก็ตาม
ถ้าใจสงบระงับ ควบคุมตัวได้
มั่นคง บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนคนอื่น
เรียกว่า พราหมณ์ สมณะ หรือ ภิกษุ

In whatever he be decked,
If yet he cultivates traquilty of mind,
Is calm, controlled, certain and chaste,
And has ceased to injure all other beings,
He is indeed, a brahmana, a samana, a bhikkhu.

๑๔๓. หิรีนิเสโธ ปุริโส
โกจิ โลกสฺมึ วิชฺชติ
โย นิทฺทํ อปโพเธติ
อสฺโส ภทฺโร กสามิว ฯ ๑๔๓ * ฯ

ผู้หักห้ามใจไม่ทำชั่วเพราะละอายบาป
หาได้น้อยนักในโลกนี้
คนเช่นนี้ย่อมปลุกตัวเองจากหลับอยู่เสมอ
เหมือนม้าดี ระวังตัวเองให้พ้นแส้

Rarely is found in this world anyone
Who is restrained by shame and wide-awake,
As a thoroughbred horse avoids the whip.

* กสามิว (กสามฺ + อิว) อิทธิพลภาษาสํสกฤต มีหลงเหลืออยู่ คือ
แทนที่จะเป็น กสํ แบบบาลีกลับเป็น กสามฺ แบบสํสกฤต คำ
ประเภทนี้ไม่ค่อยพบบ่อยนัก

๑๔๔. อสฺโส ยถา ภทฺโร กสานิวิฎฺโฐ
อาตาปิโน สํเวคิโน ภวาถ
สทฺธาย สีเลน จ วีริเยน จ
สมาธินา ธมฺมวินิจฺฉเยน จ
สมฺปนฺนวิชฺชาจรณา ปฎิสฺสตา
ปหิสฺสถ ทุกฺขมิทํ อนุป์ปกํ ฯ ๑๔๔ ฯ

ธรรมดาม้าดี เมื่อถูกลงแส้ครั้งหนึ่ง ย่อมสำนึก
(ความผิดครั้งแรก) และพยายาม (วิ่งให้เร็ว)
พวกเธอก็จงทำตนเช่นนั้น อาศัยศรัทธา, ศีล,
ความเพียรสมาธิ, การวินิจฉัยธรรม, ความสมบูรณ์ด้วย
ความรู้และความประพฤติ, และอาศัยสติ
พวกเธอจักละทุกข์ได้ไม่น้อยเลย

Even as a thoroughbred horse once touched by the whip
Becomes agitated and exerts himself greatly,
So be strenuous and filled with religious emotion,
By confidance, virtue, effort and concentration,
By the investigation of the Doctrine,
By being endowed with knowledge and conduct
And by keeping your mind alert,
Will you leave this great suffering behind.

๑๔๕. อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา
อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ
ทารุ นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา ฯ ๑๔๕ ฯ

ชาวนา ไขน้ำเข้านา
ช่างศร ดัดลูกศร
ช่างไม้ ถากไม้
คนดี ฝึกตนเอง

Irrigaors lead water;
Fletchers fashion shafts;
Carpenters bend wood;
The good tame themselves.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2554 11:47:31 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:42:21 »



๑๑. หมวดชรา
OLD AGE


๑๔๖. โกนุ หาโส กิมานนฺโท
นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ
อนฺธกาเรน โอนทฺธา
ปทีปํ น คเวสถ ฯ ๑๔๖ ฯ

จะมัวร่าเริง สนุกสนานกันทำไม
ในเมื่อโลกกำลังลุกเป็นไฟอยู่เนืองนิตย์
พวกเธอถูกความมืดมิดปิดบังตา
ไยไม่แสวงหาแสงสว่างกันเล่า

What this laughter, what this joy
When the world is ever on fire?
Shrouded all about by darkness,
Will you not then look for light?

๑๔๗. ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ
อรุกายํ สมุสฺสิตํ
อาตุรํ พหุสงฺกปฺปํ
ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิติ ฯ ๑๔๗ ฯ

จงดูร่างกายที่ว่าสวยงามนี้เถิด
เต็มไปด้วยแผล สร้างขึ้นด้วยกระดูก
มากด้วยโรค มากด้วยความคร่นคิดปรารถนา
หาความยั่งยืนถาวรมิได้

Behold this beautiful body,
A mass of sores, a bone-gathering,
Diseased and full of hankerings,
With no lasting, no persisting.

๑๔๘. ปริชิณฺษมิทํ รูปํ
โรคนิฑฺฒํ ปภงฺคุณํ
ภิชฺชติ ปูติสนฺเทโห
มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ ฯ ๑๔๘ ฯ

ร่างกายนี้แก่หง่อมแล้ว เป็นที่อาศัยของโรค
แตกทำลายง่าย ร่างกายอันเน่าเหม็นนี้
จักแตกสลายพังภินท์
เพราะขีวิตสิ้นสุดลงที่ความตาย

Thoroughly worn out is this body,
A net of diseases and very frail.
This heap of corruption breaks to pieces.
For life indeed ends in death.

๑๔๙. ยานีมานิ อปตฺถานิ
อลาพูเนว สารเท
กาโปตกานิ อฏฺฐีนิ
ตานิ ทิสฺวาน กา รติ ฯ ๑๔๙ ฯ

กระดูกเหล่านี้ มีสีขาวเหมือนสีนกพิราบ
ไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ
ดุจน้ำเต้าในฤดูสารท
ดูแล้วไม่น่าปรารถนายินดี

As gourds are cast away in autumn,
So are these dove-hued bones.
What pleasure is there found
For one who looks at them?

๑๕๐. อฏฺฐีนํ นครํ กตํ
มํสโลหิตเลปนํ
ยตฺถ ชรา จ มจฺจุ จ
มาโน มกฺโข จ โอหิโต ฯ ๑๕๐ ฯ

ร่างกายนี้เป็น "อัฐินคร" (เมืองกระดูก)
ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต
เป็นที่สถิตแห่ง ชรา มรณะ
ความเย่อหยิ่ง และความดูถูกบุญคุณกัน

Of bones is this city made,
Plastered with flesh and blood.
Herein dwell decay and death,
Pride and detraction.

๑๕๑. ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา
อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ
สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ
สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ ฯ ๑๕๑ ฯ

ราชรถ อันวิจิตรงดงาม ยังเก่าได้
แม้ร่างกายของเรา ก็ไม่พ้นชราภาพ
แต่ธรรมของสัตบุรุษหาแก่ไม่
สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมกล่าวสอนกันเช่นนี้แล

Splendid royal chariots wear away,
The body too comes to old age.
But the good's teaching knows not decay.
Indeed, the good tech the good in this way.

๑๕๒. อปฺปสฺสุตายํ ปุริโส
พลิวทฺโทว ชีรติ
มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนฺติ
ปญฺญา ตสฺส น วฑฺฒติ ฯ ๑๕๒ ฯ

คนโง่แก่เปล่า
เหมือนโคถึก
มากแต่เนื้อหนังมังสา
แต่ปัญญาหาเพิ่มขึ้นไม่

Just as the ox grows old,
So ages he of little learning,
His flesh increases,
His wisdom is waning.

๑๕๓. อเนกชาติสํสารํ
สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
คหการํ คเวสนฺโต
ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ ฯ ๑๕๓ ฯ

เมื่อไม่พบนายช่างผู้สร้างเรือน
เราได้เวียนว่ายตายเกิด
ในสงสารนับชาติไม่ถ้วน
การเกิดแล้วเกิดอีกเป็นทุกข์

Through many a birth
I wandered in Samsara,
Seeking but not finding the Housebuilder,
Painful is birth ever again and again.

๑๕๔. คหการก ทิฏฺโฐสิ
ปุน เคหํ น กาหสิ
สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา
คหกูฏํ วิสงฺขตํ
วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ
ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ฯ ๑๕๔ ฯ

นายช่างเอย บัดนี้เราพบท่านแล้ว
ท่านจะสร้างเรือนไม่ได้อีก
จันทัน อกไก่ เราทำลายหมดแล้ว
จิตของเราบรรลุนิพพาน
หมดความทะยานอยากแล้ว

O Housebuilder, you have been seen,
You shall not build the house again.
Your rafters have been broken,
Your ridge-pole demolished too.
My mind has now attained the Unconditioned,
And reached the end of all craving.

๑๕๕. อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
ชิณฺณโกญฺจาว ฌายนฺติ
ขีณมจฺเฉว ปลฺลเล ฯ ๑๕๕ ฯ

เมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว
ไม่ทำตัวให้ดีและไม่หาทรัพย์ไว้
พอถึงวัยแก่เฒ่า พวกเขาย่อมนั่งซบเซา
เหมือนนกกะเรียนแก่
จับเจ่าอยู่ริมสระที่ไร้ปลา

Having led neither a good life,
Nor acquired riches while young,
They pine away as aged herons
Around a fishless pond.

๑๕๖. อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ
เสนฺติ จาปาติขีณาว
ปุราณานิ อนุตฺถุนํ ฯ ๑๕๖ ฯ

เมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาว
ไม่ทำตัวให้ดี และไม่หาทรัพย์ไว้
พอถึงวัยแก่เฒ่า พวกเขาย่อมนอนทุกข์
ทอดถอนใจรำพึงถึงความหลัง
เหมือนธนูหัก (ใช้ยิงอะไรก็ไม่ได้)

Having led neither a good life,
Nor acquired riches while young,
They lie about like broken bows,
Sighing about the past.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มิถุนายน 2554 05:38:20 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:43:40 »



๑๒. หมวดตน
THE SELF


๑๕๗. อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺญา
รกฺเขยฺย นํ สุรกฺขิตํ
ติณฺณมญฺญตรํ ยามํ
ปฏิชคฺเคยฺย ปณฺฑิโต ฯ ๑๕๗ ฯ

ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก
พึงรักษาตนไว้ให้ดี
บัณฑิตควรประคับประคองตนไว้
ไม่ทั้งสามวัยใดวัยหนึ่ง

If one holds oneself dear,
One should protect oneself well.
During any of the three watches(of life)
The wise should keep vigil.

๑๕๘. อตฺตานเมว ปฐมํ
ปฏิรูเป นิเวสเย
อถญฺญมนุสาเสยฺย
น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต ฯ ๑๕๘ ฯ

ควรปฏิบัติตนให้ดีก่อน
แล้วค่อยสอนคนอื่น
บัณฑิตเมื่อทำได้อย่างนี้
จึงจะไม่สร้างมลทินแก่ตน

One should first establish oneself
In what is proper,
And then instruct others.
A wise man who acts in this way
Shall never get defiled.

๑๕๙. อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา
ยถญฺญมนุสาสติ
สุทนฺโต วต ทเมถ
อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ฯ ๑๕๙ ฯ

สอนคนอื่นอย่างใด
ควรทำตนอย่างนั้น
ฝึกตนเองแล้วค่อยฝึกคนอื่น
เพราะตัวเราเองฝึกยากยิ่งนัก

As he instructs others
He should himself act.
Himself fully controlled,
He should control others.
Difficult indeed is to control oneself.

๑๖๐. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself ideeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectedly trained,
One obtains a refuge hard to gain.

๑๖๑. อตฺตนาว กตํ ปาปํ
อตฺรชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ
วชิรํวมฺหยํ มณึ ฯ ๑๖๑ ฯ

บาปที่ตนทำเอง เกิดในตนเอง
และตนเองเป็นผู้สร้างไว้
ย่อมทำลายคนโง่ให้ย่อยยับ
เหมือนเพชร ทำลายแก้วมณี

The evil, done by oneself,
Self-begotten and self-produced,
Crushes the witless one,
As the diamond grinds a hard gem.

๑๖๒. ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ
มาลุวา สาลมิโวตฺถตํ
กโรติ โส ตถตฺตานํ
ยถา นํ อิจฺฉตี ทิโส ฯ ๑๖๒ ฯ

คนทุศีล ก็เหมือนกับต้นไม้
ที่เถาวัลย์ขึ้นจนรก
เขาทำตัวให้วอดวายเอง
มิจำต้องรอให้ศัตรูมาคอยกระทำให้

An exceedingly corrupted man is like
A creeper strangling a tree.
Surely, he does unto himself
What his enemy would wish for him.

๑๖๓. สุกรานิ อสธูนิ
อตฺตโน อหิตานิ จ
ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ
ตํ เว ปรมทุกฺกรํ ฯ ๑๖๓ ฯ

กรรมไม่ดี ทั้งไม่มีประโยชน์แก่ตน ทำง่าย
แต่กรรมดีและมีประโยชน์ ทำได้ยากยิ่ง

Easy to do are those karmas
Which are bad and not benefitting oneself.
But those which are good and beneficial
Are dificult indeed to be performed.

๑๖๔. โย สาสนํ อรหตํ
อริยานํ ธมฺมชีวินํ
ปฏิกฺโกสติ ทุมฺเมโธ
ทิฏฺฐึ นิสฺสาย ปาปิกํ
ผลานิ กณฺฏกสฺเสว
อตฺตฆญฺญาย ผลฺลติ ฯ ๑๖๔ ฯ

คนทรามปัญญา มีความเห็นผิด ติเตียนคำสอน
ของเหล่าพระอริยะผู้อรหันต์ ผู้มีชีวิตอยู่โดยธรรม
เขาย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตัวเขาเอง
เหมือนชุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น

Whoso on account of false views
Scorns the teaching of the Noble Ones,
The Worhty and Righteous Ones.
He, the foolish man, destroys himself
Like the bamboo, seeding, finds its end.

๑๖๕. อตฺตนาว กตํ ปาปํ
อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ
อตฺตนาว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ
นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ฯ ๑๖๕ ฯ

ตนทำบาปเอง ตนก็เศร้าหมองเอง
ตนไม่ทำบาปตนก็บริสุทธิ์เอง
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน
คนอื่นจะให้คนอื่นบริสุทธิ์แทนไม่ได้

By oneself is evil done,
By oneself does one get defiled.
By oneself is evil left undone,
By oneself is one purified.
Purity or impurity depends on oneself,
No one can purify anther.

๑๖๖. อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน
พหุนาปิ น หาปเย
อตฺตทตฺถมภิญฺญาย
สทตฺถปสุโต สิยา ฯ ๑๖๖ ฯ

ถึงจะทำประโยชน์แก่คนอื่นมากมาย
ก็ไม่ควรละทิ้งจุดหมายปลายทางของตน
เมื่อรู้ว่าอะไรคือจุดหมายปลายทางของตนแล้ว
ก็ควรใฝ่ใจขวนขวาย

Fall not away from one's own purpose
For the sake of another, however great,
When once one has seen one's own goal,
One should hold to it fast and firm.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มิถุนายน 2554 05:45:02 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:44:47 »



๑๓. หมวดโลก
THE WORLD


๑๖๗. หีนํ ธมฺมํ น เสเวยฺย
ปมาเทน น สํวเส
มิจฺฉาทิฏฺฐึ น เสเวยฺย
น สิยา โลกวฑฺฒโน ฯ ๑๖๗ * ฯ

อย่าประพฤติสิ่งเลวทราม
อย่าอยู่ด้วยความประมาท
อย่ายึดถือความเห็นผิด
อย่าทำตนเป็นคนรกโลก

Do not follow mean things.
Do not live in heedlessness.
Do not embrace false views,
Do not be a 'world-upholder'.

* โลกวฑฒโน แปลตามตัวอักษรว่า "ยังโลกให้เจริญ" "ยังโลก
ให้สูงขึ้น" หมายความว่า คนประเภทนี้ย่อมเวียนว่ายตายเกิด
ไม่รู้จบสิ้น ทิ้งซากศพไว้เต็มโลก เพราะฉะนั้นจึงนิยมแปลกันว่า "คนรกโลก"

๑๖๘. อุตฺติฏฺเฐ นปฺปมชฺเชยฺย
ธมฺมํ สุจริตํ จเร
ธมฺมจารี สุขํ เสติ
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ ๑๖๘ ฯ

ลุกขึ้นเถิด อย่ามัวประมาทอยู่เลย
จงประพฤติสุจริตธรรม
เพราะผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

Arise! Be not negligent!
Lead a righteous life.
For one who lives a righteous life
Dwells in peace here and hereafter.

๑๖๙. ธมฺมญฺจเร สุจริตํ
น ตํ ทุจฺจริตํ จเร
ธมฺมจารี สุขํ เสติ
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ ๑๖๙ ฯ

จงประพฤติสุจริตธรรม
อย่าประพฤติทุจริต
ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

By Dharma should one lead one's life
And not embrace corrupted means.
For one who lives a Dharma life
Dwells in peace here and hereafter.

๑๗๐. ยถา พุพฺพุฬกํ ปสฺเส
ยถา ปสฺเส มรีจิกํ
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ
มจฺจุราชา น ปสฺสติ ฯ ๑๗๐ ฯ

ผู้ที่มองเห็นโลก
ว่าไม่จีรังและหาสาระอะไรมิได้
เช่นเดียวกับคนมองฟองน้ำและพยับแดด
คนเช่นนี้พญามารย่อมตามหาไม่พบ

Whoso would look upon the world
Just as one would see a bubble,
And as one would view a mirage-
Him the King of Death finds not.

๑๗๑. เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ
จิตฺตํ ราชรถูปมํ
ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ
นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ ฯ ๑๗๑ ฯ

สูเจ้าทั้งหลาย จงมาเถิดมาดูโลกนี้
อันวิจิตรพิสดาร เหมือนกับราชรถทรง
ณ ที่นี่แหละ เหล่าคนโง่พากันหมกมุ่นอยู่
แต่ผู้รู้หาติดข้องอยู่ไม่

Come you all and behold this world
Like an ornamented royal chariot,
Wherein the fools are deeply sunk.
But for those who know there is no bond.

๑๗๒. โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา
ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ
โสมํ โลกํ ปภาเสติ
อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา ฯ ๑๗๒ ฯ

ผู้ที่เคยประมาทในกาลก่อน
แต่ภายหลังไม่ประมาท
เขาย่อมส่องโลกนี้ให้สว่าง
เหมือนพระจันทร์ที่พ้นจากเมฆ

Whoso was previously negligent
But afterwards practises vigilance-
He illumines the world here and now
Like the moon emerging from the cloud.

๑๗๓. ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ
กุสเลน ปหียติ
โสมํ โลกํ ปภาเสติ
อพฺภา มุตฺโต จนฺทิมา ฯ ๑๗๓ ฯ

ผู้ใดทำบาปไว้แล้ว
ละได้ด้วยการทำดี
ผู้นั้นย่อมส่องโลกนี้ให้สว่าง
เหมือนพระจันทร์ที่พ้นจากเมฆ

Who by his wholesome deeds
Removes the evil done-
He illumines the workd here and now
Like the moon emerging from the cloud.

๑๗๔. อนฺธภูโต อยํ โลโก
ตนุเกตฺถ วิปสฺสติ
สกุนฺโต ชาลมุตฺโตว
อปฺโป สคฺคาย คจฺฉติ ฯ ๑๗๔ ฯ

โลกนี้ มืดมน น้อยคนจักเห็นแจ้ง
น้อยคน จะไปสวรรค์
เหมือนนกติดข่ายนายพราน
น้อยตัวจะหลุดรอดไปได้

Blind is this world,
Few are they who clearly see.
As the birds escaping from a net,
Few are they who go to heaven.

๑๗๕. หํสาทิจฺจปเถ ยนฺติ
อากาเส ยนฺติ อิทฺธิยา
นียนฺติ ธีรา โลกมฺหา
เชตฺวา มารํ สวาหนํ ฯ ๑๗๕ ฯ

พระยาหงส์ เหินฟ้าไปหาพระอาทิตย์
ผู้มีฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศ
นักปราชญ์ ออกไปจากโลก
เพราะเอาชนะพญามารพร้อมทั้งกองทัพ

Swans fly on the path of the sun,
Magicians pass through the air.
The wise go forth out of the world,
Having conquered Mara with all his troop.

๑๗๖. เอกธมฺมมตีตสฺส
มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน
วิติณฺณปรโลกสฺส
นตฺถิ ปาปํ อการิยํ ฯ ๑๗๖ ฯ

คนที่ล่วงศีลข้อที่สี่
มักพูดเท็จ ไม่คำนึงถึงปรโลก
จะไม่ทำความชั่ว ไม่มี

By him who breaks the fourth precept,
Who at all time speaks untruth,
Who regards not the world beyond,
There is no evil that cannot be done.

๑๗๗. น เว กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ
พาลา หเว นปฺปสํสนฺติ ทานํ
ธีโร จ ทานํ อนุโมทมาโน
เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺถ ฯ ๑๗๗ ฯ

แน่นอน คนตระหนี่ไม่มีโอกาสไปเทวโลก
แน่นอน คนโง่ ไม่สรรเสริญการให้
แต่คนฉลาด ยินดีให้ทาน
นี่แลที่บันดาลให้เขาได้รับสุขในปรภพ

Verily, the misers go not to celestial realms.
Fools do not indeed praise liberality.
The wise, however, rejoice in giving
And thereby become happy hereafter.

๑๗๘. ปฐพฺยา เอกรชฺเชน
สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปจฺเจน
โสตาปตฺติผลํ วรํ ฯ ๑๗๘ ฯ

ยิ่งกว่า เอกราชย์ทั่วทั้งแผ่นดิน
ยิ่งกว่า ขึ้นสวรรคาลัย
ยิ่งกว่า อธิปไตยใดในโลกทั้งปวง
คือ พระโสดาปัตติผล

Than sole sovereignty over the earth,
Than going to celestial worlds,
Than lordship over all the worlds,
Better is the fruit of a Stream-Winner.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มิถุนายน 2554 05:53:01 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:46:12 »



๑๔. หมวดพระพุทธเจ้า
THE ENLIGHTENED ONE


๑๗๙. ยสฺส ชิตํ นาวชียติ
ชิตมสฺส โน ยาติ โกจิ โลเก
ตํ พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ ๑๗๙ ฯ

พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
ทรงชนะกิเลสได้เด็ดขาด
กิเลสที่ทรงชนะแล้วไม่ติดตามพระองค์ไปอีก
พระพุทธเจ้าองค์นั้น
ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณหาที่สุดมิได้
ไม่ไปตามทางของกิเลสแล้ว
พวกเธอจะนำท่านไปตามทางไหนเล่า

Whose conquest is not turned into defeat,
Whom not even a bit of conquered passion follows-
That trackless Buddha of infinite range,
By which way will you lead him?

๑๘๐. ยสฺส ชาลินี วิสตฺติกา
ตณฺหา นตฺถิ กุหิญฺจิ เนตเว
ตํ พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ ๑๘๐ ฯ

พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
ไม่มีตัณหาดังตาข่าย อันมีพิษสงร้ายกาจ
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณหาที่สุดมิได้
ไม่ไปตามทางของกิเลสแล้ว
พวกเธอจะนำท่านไปตามทางไหนเล่า

Whom no entangling and poisonous
Passions can lead astray-
That trackless Buddha of infinite range,
By which way will you lead him?

๑๘๑. เย ฌานปฺปสุตา ธีรา
เนกฺขมฺมูปสเม รตา
เทวาปิ เตสํ ปิหยนฺติ
สมฺพุทฺธานํ สตีมตํ ฯ ๑๘๑ ฯ

เหล่าเทวดาย่อมรักธีรชน
ผู้ขวนขวายในกรรมฐาน
ยินดีในนิพพานอันสงบ
มีสติและรู้แจ้งจบสัจธรรม

Absorbed in meditation pratice,
Delighting in the peace of Nibbana
Mindful, wise and fully enlightened-
Such men even the gods hold dear.

๑๘๒. กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ
กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท ฯ ๑๘๒ ฯ

ยาก ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ยาก ที่ชีวิตสัตว์อยู่สบาย
ยาก ที่จะได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ
ยาก ที่พระสัมพุทธจะอุบัติมา

Hard is it to be born as a man,
Hard is the life of mortals,
Hard is it to hear the Truth Sublime,
Hard as well is the Buddha's rise.

๑๘๓. สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนฺ
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ ๑๘๓ ฯ

ไม่ทำความชั่วทุกชนิด
ทำแต่ความดี
ทำใจให้ผ่องใส
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

Abstention from all evil,
Cultivation of the wholesome,
Purification of the heart;
This is the Message of the Buddhas.

๑๘๔. ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพฃิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ฯ ๑๘๔ ฯ

ขันติคือความอดทน เป็นตบะอย่างยอด
นิพพาน ท่านผู้รู้กล่าวว่าเป็นยอด
ผู้ที่ยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ ไม่จัดว่าเป็นบรรพชิต
ผู้ที่ยังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ ไม่จัดว่าเป็นสมณะ

Forbearance is the highest ascetic practice,
'Nibbana is supreme'; say the Buddhas.
he is not a 'gone forth' who harms another.
He is not a recluse who molests another.

๑๘๕. อนูปวาโท อนูปฆาโต
ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ ๑๘๕ ฯ

ไม่ว่าร้ายใคร
ไม่กระทบกระทั่งใคร
ระมัดระวังในปาติโมกข์
บริโภคพอประมาณ
อยู่ในสถานสงัด
ฝึกหัดจิตให้สงบ
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

To speak no ill,
To do no harm,
To observe the Rules,
To be moderate in eating,
To live in a secluded abode,
To devote onself to meditation-
This is the Message of the Buddhas.

๑๘๖. น กหาปณวสฺเสน
ติตฺติ กาเมสุ วิชฺชติ
อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา
อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิโต ฯ ๑๘๖ ฯ

ถึงแม้เงินตราจะไหลมาดังห่าฝน
ความอยากของคนก็หาอิ่มไม่
กามวิสัยทั้งหลายมีความสุขจริงๆ น้อย
เต็มไปด้วยความทุกข์สารพัด
(ความต่อยังคาถาถัดไป)

Not in a rain of golden coins
Is satisfaction to be found.
'Of little joy, but painful are sensual pleasures';
Thus the wise man clearly comprehends.

๑๘๗. อปิ ทิพฺเพสุ กาเมสุ
รตึ โส นาธิคจฺฉติ
ตณฺหกฺขยรโต โหติ
สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก ฯ ๑๘๗ ฯ

(ความต่อจากคาถาที่แล้ว)
รู้ชัดดังนี้แล้ว สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย่อมไม่ยินดีในกามารมณ์แม้ที่เป็นทิพย์
หากแต่ยินดีในทางสิ้นกิเลสตัณหา

Even in the heavenly pleasures
He finds no satisfaction.
In the destruction of all desires,
The Fully Awakened One's disciple delights.

๑๘๘. พหู เว สรณํ ยนฺติ
ปพฺพตานิ วนานิ จ
อารามรุกฺขเจตฺยานิ
มนุสฺสา ภยตชุชิตา ฯ ๑๘๘ ฯ

(ความต่อเนื่องกันในคาถาที่ ๑๘๘-๑๙๒)
คนเป็นจำนวนมาก เมื่อภัยมาถึงตัว
พากันยึดเอาสิ่งต่างๆเป็นที่พึ่ง
อาทิ ภูเขา ป่าไม้ สวน
ต้นไม้ และเจดีย์

Many men in their fear
Betake themselves for a refuge
To hills, woods, gardens
Sacred trees and shrines.

๑๘๙. เนตํ โข สรณํ เขมํ
เนตํ สรณมุตฺตมํ
เนตํ สรณมาคมฺม
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ๑๘๙ ฯ

(ความต่อเนื่องกันในคาถาที่ ๑๘๘-๑๙๒)
นั่นมิใช่ที่พึ่งอันปลอดภัย
นั่นมิใช่ที่พึ่งอันสูงสุด
อาศัยที่พึ่งชนิดนั้น
ก็ไม่พ้นทุกข์ทั้งปวงได้

Such a refuge is not secure,
Such a refuge is not supreme.
To such a refuge shoulf one go,
One is not released from all sorrow.

๑๙๐. โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ
สงฺฆญฺจ สรณํ คโต
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ
สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ ฯ ๑๙๐ ฯ

๑๙๑. ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ
ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ
อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ
ทุกฺขูปสมคาทินํ ฯ ๑๙๑ ฯ

(ความต่อเนื่องกันในคาถาที่ ๑๘๘-๑๙๒)
ผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ย่อมเห็นอริยสัจด้วยปัญญาอันชอบ คือ
ทุกข์, เหตุของทุกข์, ความดับทุกข์ และ
อริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางดับทุกข์

He who takes refuge in
The Buddha, the Dharma and the Sangha
Sees with wisdom the Four Noble Truths:
Suffering, The Cause of Suffering,
The Cessation of Suffering,
The Noble Eightfold Path leading to
The Cessation of Suffering.

๑๙๒. เอตํ โข สรณํ เขมํ
เอตํ สรณมุตฺตมํ
เอตํ สรณมาคมฺม
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ๑๙๒ ฯ

(ความต่อเนื่องกันในคาถาที่ ๑๘๘-๑๙๒)
นั่นแลคือที่พึ่งอันปลอดภัย
นั่นคือที่พึ่งอันสูงสุด
คนเราอาศัยที่พึ่งชนิดนั้น
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

Such indeed is a refuge secure,
Such indeed is a refuge supreme.
To such a refuge should one go,
One is released from all sorrow.

๑๙๓. ทุลฺลโภ ปุริสาชญฺโญ
น โส สพฺพตฺถ ชายติ
ยตฺถ โส ชายตี ธีโร
ตํ กุลํ สุขเมธติ ฯ ๑๙๓ ฯ

บุรษอาชาไนย หาได้ยาก
เขาย่อมไม่เกิดในตระกูลทั่วไป
คนฉลาดเช่นนี้ เกิดในตระกูลใด
ตระกูลนั้นย่อมเจริญรุ่งเรืองด้วยความสุข

Hard to find is the Man Supreme,
He is not born everywhere.
But where such a wise one is born,
That family thrives happily.

๑๙๔. สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท
สุขา สทฺธมฺมเทสนา
สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี
สมคฺคานํ ตโป สุโข ฯ ๑๙๔ ฯ

การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายให้เกิดสุข
การแสดงพระสัทธรรมให้เกิดสุข
ความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข
ความพยายามของหมู่ที่พร้อมเพรียงกันให้เกิดสุข

Happy is the birth of the Buddha,
Happy is the preaching of the Sublime Dharma,
Happy is the unity of the Sangha,
Happy is the striving of the united ones.

๑๙๕. ปูชารเห ปูชยโต
พุทฺเธ ยทิจ สาวเก
ปปญฺจสมติกฺกนฺเต
ติณฺณโสกปริทฺทเว ฯ ๑๙๕ ฯ

๑๙๖. เต ตาทิเส ปูชยโต
นิพฺพุเต อกุโตภเย
น สกฺกา ปุญฺญํ สงฺขาตุ
อิเมตฺตมปิ เกนจิ ฯ ๑๙๖ ฯ

ผู้บูชาท่านที่ควรบูชา
คือพระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้า
ผู้ล่วงพ้นกิเลสเครื่องขวางกั้น
หมดโศกหมดปริเทวนา สงบระงับ
ปลอดภัยโดยประการทั้งปวง
ใครๆ ไม่สามารถจะคำนวณบุญของบุคคลผู้นี้ว่า
"เขาได้บุญประมาณเท่านี้"

He who venerates those venerable ones,
Be they the Buddhas or disciples;
Those who have overcome obstacles
And gone beyond distress and lamentation,
Those who are serene and all-secure-
No one is able to calculate
His merit as 'such and such'.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มิถุนายน 2554 06:01:09 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:47:35 »



๑๕. หมวดความสุข
HAPPINESS


๑๙๗. สุสุขํ วต ชีวาม
เวริเนสุ อเวริโน
เวริเนสุ มนุสฺเสสุ
วิหราม อเวริโน ฯ ๑๙๗ ฯ

ในหมู่มนุษย์ ผู้จองเวรกัน
พวกเราไม่จองเวรใคร
ช่างอยู่สบายจริงหนอ
ในหมู่มนุษย์ผู้เต็มไปด้วยเวร
พวกเราอยู่อย่างปราศจากเวร

Happily indeed do we live
Unhating among those hating men.
Among many hate-filled men,
Thus we dwell unhating.

๑๙๘. สุสุขํ วต ชีวาม
อาตุเรสุ อนาตุรา
อาตุเรสุ มนุสฺเสสุ
วิหราม อนาตุรา ฯ ๑๙๘ ฯ

ในหมู่มนุษย์ ผู้มีกิเลส
พวกเราหมดกิเลสแล้ว
ช่างอยู่สุขสบายจริงหนอ
ในหมู่มนุษย์ ผู้มีกิเลส
พวกเราอยู่ปราศจากกิเลส

Happily indeed do we live
Not yearning among those who yearn.
Among many yearning men,
Thus we dwell unyearning.

๑๙๙. สุสุขํ วต ชีวาม
อุสฺสุกฺเกสุ อนุสฺสุกา
อุสฺสุกฺเกสุ มนุสฺเสสุ
วิหราม อนุสฺสุกา ฯ ๑๙๙ ฯ

ในหมู่มนุษย์ ผู้มีความกระวนกระวาย
พวกเราไม่กระวนกระวาย
ช่างอยู่เป็นสุขสบายจริงหนอ
ในหมู่มนุษย์ ผู้มีความกระวนกระวาย
พวกเราอยู่ปราศจากความกระวนกระวาย

Happily indeed do we live
Not anxious among those anxious men.
Among many anxious men,
Thus we dwell unanxious.

๒๐๐. สุสุขํ วต ชีวาม
เยสํ โน นตฺถิ กิญฺจนํ
ปีติภกฺขา ภวิสฺสาม
เทวา อาภสฺสรา ยถา ฯ ๒๐๐ ฯ

พวกเราไม่มีกิเลสเศร้าหมองใจ
ช่างอยู่สุขสบายจริงหนอ
พวกเรามีปีติเป็นภักษาหาร
เปรียบปานเหล่าอาภัสรพรหม

Happily indeed do we live-
We that call nothing our own.
Feeders on joy shall we be
Even as the Abhassara gods.

๒๐๑. ชยํ เวรํ ปสวติ
ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต ชยปราชยํ ฯ ๒๐๑ *

ผู้แพ้ย่อมก่อเวร
ผู้พ่ายย่อมอยู่เป็นทุกข์
ผู้ละความแพ้และความพ่ายเสีย
มีใจสงบระงับนั่นแหละเป็นสุข

The victor begets hate,
While the defeated lives in distress.
Happily the peaceful lives,
Having given up victory and defeat.

* คำว่า "แพ้" แปลว่า ชนะ "พ่าย" แปลว่า แพ้ สองคำนี้เป็น
ภาษาไทยโบราณ ซึ่งมีความหมายไม่ตรงกับที่ใช้ในปัจจุบัน
ผู้แปลจงใจใช้อย่างนี้


๒๐๒. นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ
นตฺถิ โทสสโม กลิ
นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ ๒๐๒ ฯ

ไม่มีไฟใดเสมอด้วยราคะ
ไมีมีโทษใดเสมอด้วยโทสะ
ไม่มีทุกข์ใดเสมอด้วยเบญจขันธ์
ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบ

No fire is there like lust,
No crime like hatred,
No ill like the Five Aggregates,
No higher bliss than Nibbana's peace.

๒๐๓. ชิฆจฺฉาปรมา โรคา
สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
เอตํ ญตฺวา ยถาภูตํ
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ฯ ๒๐๓ *

ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง
สังขาร เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
รู้ความจริงข้อนี้แล้ว
(คนฉลาด จึงทำพระนิพพานให้แจ้ง)
พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง


Of all diseases hunger is the greatest,
Of all pains the comp[ounded things,
Knowing this (the wise realize Nibbana)
Which is the bliss supreme.

* คาถานี้ไม่มีกริยาคุมพากย์ หรือ finite verb เข้าใจว่าคงคัด
ลอกกันมาผิด ได้เติมข้อความเท่าที่เห็นว่าควรเติมพอให้ได้ความ


๒๐๔. อาโรคฺยปรมา ลาภา
สนฺตุฏฺฐีปรมํ ธนํ
วิสฺสาสปรมา ญาติ
นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ฯ ๒๐๔ ฯ

ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง
ความรู้จักพอ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ความไว้วางใจกัน เป็นญาติอย่างยิ่ง
พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง

Health is the highest gain,
Contentment is the greatest wealth,
Trustful are the best kinsmen,
Nibbana is the highest bliss.

๒๐๕. ปวิเวกรสํ ปิตฺวา
รสํ อุปสมสฺส จ
นิทฺทโร โหติ นิปฺปาโป
ธมฺมปีติรสํ ปิวํ ฯ ๒๐๕ ฯ

เมื่อได้ลิ้มรสแห่งวิเวก
และรสพระนิพพานอันสงบ
ได้ดื่มรสแห่งความอิ่มเอมในพระธรรม
บุคคลย่อมจะหมดบาป หมดทุกข์ร้อน

Having tasted the flavour of
Seclusion and Nibbana's peace,
Woeless and stainless becomes he,
Drinking the taste of the Dharma's joy.

๒๐๖. สาธุ ทสฺสนมริยานํ
สนฺนิวาโส สทา สุโข
อทสฺสเนน พาลานํ
นิจฺจเมว สุขี สิยา ฯ ๒๐๖ ฯ

การพบพระอริยเจ้าเป็นความดี
การอยู่ร่วมกับท่านให้เกิดสุขทุกเมื่อ
เมื่อไม่คบคนพาลเสียได้
คนเราพึงมีความสุขเป็นนิจนิรันดร์

Good is it to see the Noble Ones,
To dwell with them is happiness,
By not seeing foolish men,
One may ever be happy.

๒๐๗. พาลสงฺคตจารี หิ
ทีฆมทฺธาน โสจติ
ทุกฺโข พาเลหิ สํวาโส
อมิตฺเตเนว สพฺพทา
ธีโร จ สุขสํวาโส
ญาตีนํว สมาคโม ฯ ๒๐๗ ฯ

เพราะผู้คบคนพาล ย่อมเศร้าโศกนาน
การอยู่ร่วมกับคนพาลมีแต่ความทุกข์
เหมือนอยู่ร่วมกับศัตรู
การอยู่ร่วมกับนักปราญ์มีแต่ความสุข
เหมือนสมาคมของญาติ

Frequenting the company of fools
One surely grieves for long;
For association with fools is ever ill
Just as ever that of foes.
But to dwell with the wise is happiness
Just as relatives together met.

๒๐๘. ตสฺมา หิ
ธีรญฺจ ปญญญฺจ พหุสฺสุตญจ
โธรยฺหสีลํ วตวนฺตมริยํ
ตํ ตาทิสํ สปฺปุริสํ สุเมธํ
ภเชถ นกฺขตฺตปถํว จนฺทิมา ฯ ๒๐๘ *

เพราะฉะนั้นจึงควรประพฤติตามผู้เป็นปราชญ์
ผู้เฉียบแหลม ศึกษาเล่าเรียนมาก มีศีลาจารวัตร
เรียบร้อย เป็นพระอริยะ เป็นสัตบุรุษ มีปัญญาดี
เหมือนพระจันทร์ไปตามทางของกลุ่มนักขัตฤกษ์

Therefore-
Him the intelligent, the wise, the learned,
The devout, the dutiful and the Noble One-
Such a wise and intelligent man
Should one ever follow
As the moon follows the track of stars.

* "พระจันทร์ไปตามทางของกล่มนักขัตฤกษ์ทั้งหลาย" หมายความ
ว่า วิถีโคจรของดวงจันทร์เดินเหมือนดาวพระเคราะห์อื่นๆ
ยกเว้นดาวเกตุ กับดาวราหู คือเดินทวนเข็มนาฬิกา ส่วนราหูกับ
เกตุนั้นเป็นเพียงฉายาเคราะห์ ไม่ใช่ดาวพระเคราะห์แท้ และเดิน
ตามเข็มนาฬิกา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มิถุนายน 2554 06:35:59 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:48:50 »



๑๖. หมวดความรัก
AFFECTIONS


๒๐๙. อโยเค ยุญฺชมตฺตานํ
โยคสฺมิญฺจ อโยชนํ
อตฺถํ หิตฺวา ปิยคฺคาหี
ปิเหตตฺตานุโยคินํ ฯ ๒๐๙ ฯ

พยายามในสิ่งที่ไม่ควรพยายาม
ไม่พยายามในสิ่งที่ควรพยายาม
ละเลยสิ่งที่เป็นประโยชน์ ติดอยู่ในปิยารมณ์
คนเช่นนี้ก็ได้แต่ริษยาผู้ที่พยายามช่วยตัวเอง

Exerting oneself in what should be shunned,
Not exerting where one should exert,
Rejecting the good and grasping at the pleasant,
One comes to envy those who exert themselves.

๒๑๐. มา ปิเยหิ สมาคญฺฉิ
อปฺปิเยหิ กุทาจนํ
ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกฺขํ
อปฺปิยานญฺจ ทสฺสนํ ฯ ๒๑๐ ฯ

อย่าติดอยู่ในสิ่งที่เรารัก หรือไม่รัก
การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก เป็นทุกข์
การพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์

Be not attached to the beloved
And never with the unbeloved.
Not to meet the beloved is painful
As also to meet with the unbeloved.

๒๑๑. ตสฺมา ปิยํ น กยิราถ
ปิยาปาโย หิ ปาปโก
คนฺถา เตสํ น วิชฺชนฺติ
เยสํ นตฺถิ ปิยาปิยํ ฯ ๒๑๑ ฯ

เพราะฉะนั้น ไม่ควรรักสิ่งใด
เพราะพลัดพรากจากของรัก เป็นทุกข์
ผู้ที่หมดความรักและความไม่รักแล้ว
เครื่องผูกพัน ก็พลอยหมดไปด้วย

Therefore hold nothing dear,
For separation from the beloved is painful.
There are no bonds for those
To whom nothing is dear or not dear.

๒๑๒. ปิยโต ชายเต โสโก
ปิยโต ชายเต ภยํ
ปิยโต วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๒ ฯ

ที่ใดมีของรัก ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีของรัก ที่นั่นมีภัย
เมื่อไม่มีของรักเสียแล้ว
โศกภัย ก็ไม่มี

From the beloved springs grief,
From the beloved springs fear;
For him who is free from the beloved
There is neither grief nor fear.

๒๑๓. เปมโต ชายเต โสโก
เปมโต ชายเต ภยํ
เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๓ ฯ

ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีภัย
เมื่อไม่มีความรักเสียแล้ว
โศก ภัย ก็ไม่มี

From love springs grief,
From love spring fear;
For him who is free from love
There is neither grief nor fear.

๒๑๔. รติยา ชายเต โสโก
รติยา ชายเต ภยํ
รติยา วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๔ ฯ

ที่ใดมีความยินดี ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความยินดี ที่นั่นมีภัย
เมื่อไม่มีความยินดีเสียแล้ว
โศก ภัย ก็ไม่มี

From attachment springs grief,
From attachment sprighs fear;
For him who is free from attachment
There is neither grief nor fear.

๒๑๕. กามโต ชายเต โสโก
กามโต ชายเต ภยํ
กามโต วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๕ ฯ

ที่ใดมีความใคร่ ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความใคร่ ที่นั่นมีภัย
เมื่อไม่มีความใคร่เสียแล้ว
โศก ภัย ก็ไม่มี

From lust springs grief,
From lust springs fear;
For him who is free from lust
There is neither grief nor fear.

๒๑๖. ตณฺหาย ชายเต โสโก
ตณฺหาย ชายเต ภยํ
ตณฺหาย วิปฺปมุตฺตสฺส
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ ๒๑๖ ฯ

ที่ใดมีความทะยานอยาก ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความทะยานอยาก ที่นั่นมีภัย
เมื่อไม่มีความทะยานอยากเสียแล้ว
โศก ภัย ก็ไม่มี

From craving springs grief,
From craving springs fear;
For him who is free from craving
There is neither grief no fear.

๒๑๗. สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ
ธมฺมฏฺฐํ สจฺจวาทินํ
อตฺตโน กมฺมกุพฺพานํ
ตํ ชโน กุรุเต ปิยํ ฯ ๒๑๗ ฯ

ผู้ประพฤติดี มีความเห็นถูกต้อง
มั่นอยู่ในคลองธรรม พูดคำสัตย์
ปฏิบัติหน้าที่ของคนสมบูรณ์
คนย่อมเทิดทูนด้วยความรัก

He who is perfect in virtue and insight,
Is established in the Dharma;
Who speaks the truth and fulfills his won duty-
Him do people hold dear.

๒๑๘. ฉนฺทชาโต อนกฺขาเต
มนสา จ ผุโฏ สิยา
กาเมสุ อปฺปฏิพทฺธจิตฺโต
อุทฺธํโสโตติ วุจฺจติ ฯ ๒๑๘ ฯ

พระอนาคามีผู้ใฝ่พระนิพพาน
สัมผัสผ่านผลสามด้วยใจ
หมดปฏิพัทธ์รักใคร่ในกาม
จึงได้สมญานามว่า "ผู้ทวนกระแส"

He who has developed a wish for Nibbana,
He whose mind is thrilled (with the Three Fruits),
He whose mind is not bound by sensual pleasures,
Such a person is called 'Upstream-bound One'.

๒๑๙. จิรปฺปวาสึ ปุริสํ
ทูรโต โสตฺถิมคตํ
ญาติมิตฺตา สุหชฺชา จ
อภินนฺทนฺติ อาคตํ ฯ ๒๑๙ ฯ

บุรษผู้จากไปนาน
เมื่อกลับมาจากไพรัชสถานโดยสวัสดี
ญาติ และมิตรสหายย่อมยินดีต้อนรับ

After a long absence
A man returns home
Safe and sound from afar,
Kinsmen and friends gladly welcome him.

๒๒๐. ตเถว กตปุญฺญมฺปิ
อสฺมา โลกา ปรํ คตํ
ปุญฺญานิ ปฏิคณฺหนฺติ
ปิยํ ญาตึว อาคตํ ฯ ๒๒๐ ฯ

บุญที่ได้ทำไว้ในโลกนี้
ย่อมต้อนรับผู้ที่จากไป
เหมือนญาติที่รักมาจากที่ไกล
ฝูงชนย่อมเต็มใจต้อนรับ

Likewise, good deeds well receive the doer
Who has gone from here to the next world,
As kinsmen receive a dear friend on his return.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มิถุนายน 2554 06:47:12 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:49:54 »



๑๗. หมวดความโกรธ
ANGER


๒๒๑. โกธํ ชเห วิปฺปชเหยฺย มานํ
สํโยชนํ สพฺพมติกฺกเมยฺย
ตํ นามรูปสฺมิมสชฺฒมานํ
อกิญฺจนธํ นานุปตนฺติ ทุกฺขา ฯ ๒๒๑ ฯ

ควรละความโกรธ และมานะ
เอาชนะกิเลสเครื่องผูกมัดทุกชนิด
ผู้ที่ไม่ติดอยู่ในรูปนาม หมดกิเลสแล้ว
ย่อมคลาดแคล้วจากความทุกข์

One should give up anger and pride,
One should overcome all fetters.
Ill never befalls him who is passionless,
Who clings not to Name and Form.

๒๒๒. โย เว อุปฺปติตํ โกธํ
รถํ ภนฺตํว ธารเย
ตมหํ สารถึ พฺรูมิ
รสฺมิคฺคาโห อิตโร ชโน ฯ ๒๒๒ ฯ

ผู้ใดยับยั้งความโกรธที่เกิดขึ้นได้ทันที
เหมือนสารถีหยุดรถที่กำลังแล่นไว้ได้
ผู้นั้นไซร้เราเรียกว่า "สารถี"
ส่วนคนนอกนี้ได้ชื่อเพียง "ผู้ถือเชือก"

Whoso, as rolling chariot, checks
His anger which has risen up-
Him I call charioteer.
Others merely hold the reins.

๒๒๓. อกฺโกเธน ชิเน โกธํ
อสาธุ สาธุนา ชิเน
ชิเน กทริยํ ทาเนน
สจฺเจนาลิกวาทินํ ฯ ๒๒๓ * ฯ

พึงเอาชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
พึงเอาชนะความร้าย ด้วยความดี
พึงเอาชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
พึงเอาชนะคนพูดพล่อย ด้วยคำสัตย์

Conquer anger by love,
Conquer evil by good,
Conquie the miser by liberality,
Conquer the liar by truth.

* อรรถกถาต้องการให้แปลว่า พึงเอาชนะคนมักโกรธด้วยความ
ไม่โกรธ พึงเอาชนะคนไม่ดีด้วยความดี...เป็นเรื่องเอาชนะคน
ประเภทต่างๆ ซึ่งก็ฟังเข้าทีดี

๒๒๔. สจฺจํ ภเณ น กุชฺเฌยฺย
ทชฺชา อปฺปมฺปิ ยาจิโต
เอเตหิ ตีหิ ฐาเนหิ
คจฺเฉ เทวาน สนฺติเก ฯ ๒๒๔ ฯ

ควรพูดคำสัตย์จริง ไม่ควรโกรธ
แม้เขาขอเล็กๆ น้อยๆ ก็ควรให้
ด้วยการปฏิบัติทั้งสามนี้
เขาก็อาจไปสวรรค์ได้

One should speak the truth.
One should not give way to anger.
If asked for little one should give.
One may go, by these three means,
To the presence of celestials.

๒๒๕. อหึสกา เย มุนโย
นิจฺจํ กาเยน สํวุตา
เต ยนฺติ อจฺจุตํ ฐานํ
ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจเร ฯ ๒๒๕ ฯ

พระมุนี ผู้ไม่เบียดเบียนใคร
ควบคุมกายอยู่เป็นนิจศีล
ย่อมไปยังถิ่นที่นิรันดร
ที่สัญจรไปแล้ว ไม่เศร้าโศก

Those sages who are harmless
And in body ever controlled
Go to the Everlasting State
Where gone they grieve no more.

๒๒๖. สทา ชาครมานานํ
อโหรตฺตานุสิกฺขินํ
นิพฺพานํ อธิมุตฺตานํ
อฏฺฐํ คจฺฉนฺติ อาสวา ฯ ๒๒๖ ฯ

สำหรับท่านผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
สำเหนียกศึกษาทุกทิพาราตรี
มีใจน้อมไปสู่พระนิพพาน
อาสวะย่อมอันตรธานหมดสิ้น

Of those who are wide-awake
And train themeselves by night and day
Upon Nibbana ever intent-
The defilements fade away.

๒๒๗. โปราณเมตํ อตุล
เนตํ อชฺชตนามิว
นินฺทนฺติ ตุณฺหิมาสีนํ
นินฺทนฺติ พหุภาณินํ
มิตภาณิมฺปิ นินฺทนฺติ
นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต ฯ ๒๒๗ ฯ

อตุลเอย เรื่องอย่างนี้มีมานานแล้ว
มิใช่เพิ่งจะมีในปัจจุบันนี้
อยู่เฉยๆ เขาก็นินทา
พูดมาก เขาก็นินทา
พูดน้อย เขาก็นินทา
ไม่มีใครในโลก ที่ไม่ถูกนินทา

Not only today, O Atula,
From days of old has this been so;
Sitting silent-him they blame,
Speaking too much-him they blame,
Talking little-him they blame,
There is no one in the world who is not blamed.

๒๒๘. น จาหุ น จ ภวิสฺสติ
น เจตรหิ วิชฺชติ
เอกนฺตํ นินฺทิโต โปโส
เอกนฺตํ วา ปสํสิโต ฯ ๒๒๘ ฯ

ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
คนที่ถูกสรรเสริญ โดยส่วนเดียว
หรือถูกนินทา โดยส่วนเดียว ไม่มี

There never was, and never will be,
Nor is there now to be found
A person who is wholly blamed
Or wholly praised,

๒๒๙. ยญฺเจ วิญฺญู ปสํสนฺติ
อนุวิจฺจ สุเว สุเว
อจฺฉิทฺทวุตฺตึ เมธาวึ
ปญฺญาสีลสมาหิตํ ฯ ๒๒๙ ฯ

๒๓๐. นิกฺขํ ชมฺโพนทสฺเสว
โก ตํ นินฺทิตุมรหติ
เทวาปิ นํ ปสํสนฺติ
พฺรหฺมุนาปิ ปสํสิโต ฯ ๒๓๐ ฯ

นักปราชญ์พิจารณารอบคอบแล้ว
จึงสรรเสริญผู้ใด ผู้ดำเนินชีวิตหาที่ติมิได้
ฉลาด สมบูรณ์ด้วยปัญญาและศีล
ผู้นั้น เปรียบเสมือนแท่งทองบริสุทธิ์
ใครเล่าจะตำหนิเขาได้ คนเช่นนี้
แม้เทวดาก็ชม ถึงพรหม ก็สรรเสริญ

He whom the intelligent praise
After careful examination,
He who is of flawless life, wise,
And endowed with knowledge and virtue-
Who would dare to blame him
Who is like refined gold?
Even the gods praise him,
By Brahma too he is admired.

๒๓๑. กายปฺปโกปํ รกฺเขยฺย
กาเยน สํวุโต สิยา
กายทุจฺจริตํ หิตฺวา
กาเยน สุจริตํ จเร ฯ ๒๓๑ ฯ

พึงควบคุม ความคะนองทางกาย
พึงสำรวม การกระทำทางกาย
พึงละกายทุจริต
ประพฤติกายสุจริต

One should guard against bodily hastiness,
One should be restrained in body.
Giving up bodily misconduct,
One should be of good bodily conduct.

๒๓๒. วจีปโกปํ รกฺเขยฺย
วาจาย สํวุโต สิยา
วจีทุจฺจริตํ หิตฺวา
วาจาย สุจริตํ จเร ฯ ๒๓๒ ฯ

พึงควบคุม ความคนองทางวาจา
พึงสำรวม คำพูด
พึงละวจีทุจริต
ประพฤติวจีสุจริต

One should guard aginst hastiness in words,
One should be restrained in words.
Giving up verbal misconduct,
One should be of good verbal conduct.

๒๓๓. มโนปโกปํ รกฺเขยฺย
มนสา สํวุโต สิยา
มโนทุจฺจริตํ หิตฺวา
มนสา สุจริตํ จเร ฯ ๒๓๓ ฯ

พึงควบคุม ความคะนองทางใจ
พึงสำรวม ความคิด
พึงละมโนทุจริต
ประพฤติมโนสุจริต

One should guard against hastiness of mind,
One should be restrained in thought.
Giving up mental misconduct,
One should be of good mental conduct.

๒๓๔. กาเยน สํวุตา ธีรา
อโถ วาจาย สํวุตา
มนสา สํวุตา ธีรา
เต เว สุปริสํวุตา ฯ ๒๓๔ ฯ

ผู้มีปัญญา ย่อมสำรวมกาย วาจา ใจ
ท่านเหล่านั้น นับว่า ผู้สำรวมดีแท้จริง

The wise are restrained in deed,
In speech too they are restrained,
They are restrained in mind as well-
Verily, they are fully restrained.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 กันยายน 2554 13:33:27 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2553 20:51:10 »



๑๘. หมวดมลทิน
IMPURITY


๒๓๕. ปณฺฑุปลาโสว ทานิสิ
ยมปุริสาปิ จ ตํ อุปฏฺฐิตา
อุยฺโยคมุเข จ ติฏฺฐสิ
ปาเถยฺยมฺปิ จ เต น วิชฺชติ ฯ ๒๓๕ ฯ

บัดนี้ เธอแก่ดังใบไม้เหลือง
ยมทูตกำลังเฝ้ารออยู่
เธอกำลังจะจากไปไกล
แต่เสบียงเดินทางของเธอไม่มี

Like a withered leaf are you now,
Death's messangers wait for you.
You are going to travel far away,
But provision for your journey you have none.

๒๓๖. โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
ขิปฺปํ วายม ปณฺฑิโต ภว
นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
ทิพฺพํ อริยภูมิเมหิสิ ฯ ๒๓๖ ฯ

เธอจงสร้างที่พึ่งแก่ตนเอง
รีบพยายามขวนขวายหาปัญญาใส่ตัว
เมื่อเธอหมดมลทิน หมดกิเลสแล้ว
เธอก็จักเข้าถึงทิพยภูมิของพระอริยะ

Make a refuge unto yourself
Quickly strive and become wise.
Purged of taint and free from stain,
To heavenly state of the Noble will you attain.

๒๓๗. อุปนีตวโยว ทานิสิ
สมฺปยาโตสิ ยมสฺส สนฺติกํ
วาโสปิ จ เต นตฺถิ อนฺตรา
ปาเถยฺยมมฺปิ จ เต น วิชฺชติ ฯ ๒๓๗ ฯ

บัดนี้ เธอใกล้จะถึงอายุขัยแล้ว
เธอย่างเข้าใกล้สำนักพญามัจจุราชแล้ว
ที่พักระหว่างทางของเธอก็ไม่มี
เสบียงเดินทาง เธอก็ไม่ได้หาไว้

Your life has come near to an end now,
To the presence of Death you are setting out.
No halting place is there for you on the way,
And provision for your journey you have none.

๒๓๘. โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
ขิปฺปํ วายม ปณฺฑิโต ภว
นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
น ปุน ชาติชรํ อุเปหิสิ ฯ ๒๓๘ ฯ

จงสร้างที่พึ่งแก่ตัวเอง
รีบขวนขวายหาปัญญาใส่ตัว
เมื่อเธอหมดมลทิน หมดกิเลสแล้ว
เธอก็จักไม่มาเกิดมาแก่อีกต่อไป

Make a refuge unto yourself,
Quickly strive and become wise.
Purged of taint and free from stain,
To birth-and-decay will you not come again.

๒๓๙. อนุปุพฺเพน เมธาวี
โถกํ โถกํ ขเณ ขเณ
กมฺมาโร รชตสฺเสว
นิทฺธเม มลมตฺตโน ฯ ๒๓๙ ฯ

คนมีปัญญา
ควรขจัดมลทินของตน
ทีละน้อยๆ
ทุกๆ ขณะ
โดยลำดับ
เหมือนนายช่างทอง
ปัดเป่าสนิมแร่

By gradual practice,
From moment to moment,
And little by little,
Let the wise man blow out
His own impurities,
Just as a smith removes
The dross of ore.

๒๔๐. อยสาว มลํ สมุฏฺจิตํ
ตทุฏฺฐาย ตเมว ขาทติ
เอวํ อติโธนจารินํ
สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคตึ ฯ ๒๔๐ ฯ

สนิมเกิดแต่เหล็ก
กัดกินเหล็กฉันใด
กรรมที่ตนทำไว้
ย่อมนำเขาไปทุคติฉันนั้น

As rust, springing from iron,
Eats itself away, once formed,
Even so one's own deeds
Lead one to states of woe.

๒๔๑. อสชฺฌายมลา มนฺตา
อนุฏฺฐนมลา ฆรา
มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ
ปมาโท รกฺขโต มลํ ฯ ๒๔๑ ฯ

ความเสื่อมของมนตรา อยู่ที่การไม่ทบทวน
ควาามเสื่อมของเรือน อยู่ที่ไม่ซ่อมแซม
ความเสื่อมของความงาม อยู่ที่เกียจคร้านตบแต่ง
ความเสื่อมของนายยาม อยู่ที่ความเผลอ

Non-recitation is the bane of scriptures.
Non-repair is the bane of houses.
Sloth is the bane of beauty.
Negligence is the bane of a watcher.

๒๔๒. มลิตฺถิยา ทุจฺจริตํ
มจฺเฉรํ ททโต มลํ
มลา เว ปาปกา ธมฺมา
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ฯ ๒๔๒ ฯ

ความประพฤติเสียหาย เป็นมลทินของสตรี
ความตระหนี่ เป็นมลทินของผู้ให้
ควาามชั่วทุกชนิด เป็นมลทิน
ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า

Misconduct is defilement of a woman.
Strininess is defilement of a donor.
Tainted indeed are all evil things,
Both in this world and the world to come.

๒๔๓. ตโต มลา มลตรํ
อวิชฺชา ปรมํ มลํ
เอตํ มลํ ปหตฺวาน
นิมฺมลา โหถ ภิกฺขโว ฯ ๒๔๓ ฯ

มลทินที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือความโง่เขลา
ความโง่เขลา นับเป็นมลทินชั้นยอด
ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงละมลทินชนิดนี้
เป็นผู้ปราศจากมลทินเถิด

A greater taint than these is ignorance,
The worst taint of all.
Rid yourselves of ignorance, monks,
And be without taint.

๒๔๔. สุชีวฺ อหิริเกน
กากสูเรน ธํสินา
ปกฺขนฺทินา ปคพฺเภน
สงฺกิลิฏฺเฐน ชีวิตํ ฯ ๒๔๔ ฯ

คนไร้ยางอาย กล้าเหมือนกา
ชอบทำลายผู้อื่นลับหลัง ชอบเอาหน้า
อวดดี มีพฤติกรรมสกปรก
คนเช่นนี้ เป็นอยู่ง่าย

Easy is the life of a shameless one
Who is as bold as a crow,
A back-biting, a forward,
An arrogant and a corrupted one.

๒๔๕. หิรีมตา จ ทุชฺชีวํ
นิจฺจํ สุจิคเวสินา
อลีเนนปฺปคพฺเภน
สุทฺธาชีเวน ปสฺสตา ฯ ๒๔๕ ฯ

ส่วนคนที่มีหิริ ใฝ่ความบริสุทธิ์เป็นนิตย์
ไม่เกียจคร้าน อ่อนน้อมถ่อมตน
มีความเป็นอยู่บริสุทธิ์ มีปัญญา
คนเช่นนี้เป็นอยู่ลำบาก

Hard is the life of a modest one
Who ever seeks after purity,
Who is strenous, humble,
Cleanly of life, and discerning.

๒๔๖. โย ปาณมติปาเตติ
มุสาวาทญฺจ ภาสติ
โลเก อทินฺนํ อาทิยติ
ปรทารญฺจ คจฺฉติ ฯ ๒๔๖ ฯ

๒๔๗. สุราเมรยปานญฺจ
โย นโร อนุยุญฺชติ
อิเธวเมโส โลกสฺมึ
มูลํ ขนติ อตฺตโน ฯ ๒๔๗ ฯ

ผู้ใด ฆ่าสัตว์ พูดเท็จ ลักทรัพย์
ประพฤติล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น
ดื่มสุราเมรัยเป็นนิจศีล
ผู้นั้นนับว่าขุดรากถอนโคนตนเองในโลกนี้ทีเดียว

Whoso destroys life,
Tells lies,
Takes what is not given,
Commits sexual misconduct,
And is addicted to intoxicating drinks-
Such a one roots out oneself in this very world.

๒๔๘. เอวํ โภ ปุริส ชานิหิ
ปาปธมฺมา อสญฺญตา
มา ตํ โลโภ อธมฺโม จ
จิรํ ทุกฺขาย รนฺธยุ ฯ ๒๔๘ ฯ

จงรู้เถิด บุรุษผู้เจริญเอ๋ย ความชั่วร้าย
มิใช่สิ่งที่จะพึงควบคุมได้ง่ายๆ
ขอความโลภและความชั่วช้า
อย่าได้ฉุดกระชากเธอ
ไปหาความทุกข์ตลอดกาลนานเลย

Know this, O good man,
Not easy to control are evil things.
let not greed and wickedness drag you
To protacted misery.

๒๔๙. ททาติ เว ยถาสทฺธํ
ยถาปสาทนํ ชโน
ตตฺถ โย มงฺกุโต โหติ
ปเรสํ ปานโภชเน
น โส ทิวา วา รตฺตึ วา
สมาธึ อธิคจฺฉติ ฯ ๒๔๙ ฯ

ประชาชนย่อมให้ทานตามศรัทธา
ใครคิดอิจฉาในข้าวและน้ำของคนอื่น
เขาย่อมไม่ได้รับความสงบใจ
ไม่ว่ากลางวัน หรือ กลางคืน

People give according to their faith
And as they are pleased.
Whoso among them is envious
Of others' food and drink-
He attains no peace of mind
Either by day or by night.

๒๕๐. ยสฺส เจตํ สมุจฺฉินฺนํ
มูลฆจฺฉํ สมูหตํ
ส เว ทิวา วา รตฺตึ วา
สมาธึ อธิคจฺฉติ ฯ ๒๕๐ ฯ

ผู้ใดเลิกคิดเช่นนั้นแล้ว
ผู้นั้น ย่อมได้รับความสงบใจ
ทั้งในกลางวันและกลางคืน

He who thinks not
In such a way
Gains peace of mind
Every night and day.

๒๕๑. นตฺ ราคสโม อคฺคิ
นตฺถิ โทสสโม คโห
นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ
นตฺถิ ตณฺหาสมา นที ฯ ๒๕๑ ฯ

ไม่มี ไฟใด เสมอราคะ
ไม่มี เคราะห์ใด เสมอโทสะ
ไม่มี ข่ายดักสัตว์ใด เสมอโมหะ
ไม่มี แม่น้ำใด เสมอตัณหา

No fire is there like lust.
No captor like hatred.
No snare like delusion.
No torrent like craving.

๒๕๒. สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ
อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ
ปเรสํ หิ โส วชฺชานิ
โอปุนาติ ยถา ภุสํ
อตฺตโน ปน ฉาเทติ
กลึว กิตวา สโฐ ฯ ๒๕๒ ฯ

โทษคนอื่นเห็นได้ง่าย
โทษตนเห็นได้ยาก
คนเรามักเปิดเผยโทษคนอื่น
เหมือนโปรยแกลบ
แต่ปิดบังโทษของตน
เหมือนนักเลงเต๋าโกงซ่อนลูกเต๋า

Easy to perceive are others' faults,
One's own, however, are hard to see.
Like chaff one winnows others's faults,
But conceals one's own
Just as a cheating gambler hides
An ill-thrown dice.

๒๕๓. ปรวชฺชนุปสฺสิสฺส
นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ
อารา โส อาสวกฺขยา ฯ ๒๕๓ ฯ

ผู้ที่เพ่งแต่โทษคนอื่น
คอยจับผิดอยู่ตลอดเวลา
เขาย่อมหนาด้วยกิเลสอาสวะ
ไม่มีทางเลิกละมันได้

He who sees others' faults
And is ever censorious-
Defilements of such a one grow
Far is he from destroying them.

๒๕๔. อากาเสว ปทํ นตฺถิ
สมโณ นตฺถิ พาหิโร
ปปญฺจาภิรตา ปชา
นิปฺปปญฺจา ตถาคตา ฯ ๒๕๔ ฯ

ไม่มีรอยเท้าในอากาศ
ไม่มีสมณะภายนอกศาสนานี้
สัตว์พากันยินดีในกิเลสที่กีดขวางนิพพาน
พระตถาคตทั้งหลาย หมดกิเลสชนิดนั้นแล้ว

No track is there in the sky.
No samanas are there outside.
In obstacles mankind delights.
The Tathagatas leave them behind.

๒๕๕. กากาเสว ปทํ นตฺถิ
สมโณ นตฺถิ พาหิโร
สงฺขารา สสฺสตา นตฺถิ
นตฺถิ พุทฺธานมิญฺชิตํ ฯ ๒๕๕ ฯ

ไม่มี รอยเท้าในอากาศ
ไม่มี สมณะนอกศาสนานี้
ไม่มี สังขารที่เที่ยงแท้
ไม่มี ความหวั่นไหวสำหรับพระพุทธเจ้า

No track is there in the sky.
No samanas are there outside.
No etenal compounded thing.
No instability is there in the Buddhas.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 กันยายน 2554 13:43:47 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
พระเจ้าอโศกมหาราชกับพระพุทธศาสนา เวอร์ชั่น เสฐียรพงษ์ วรรณปก
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
sometime 5 9978 กระทู้ล่าสุด 12 กันยายน 2553 09:47:38
โดย เงาฝัน
ทำดีลบล้างความชั่วได้หรือไม่ คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ โดย เสฐียรพงษ์
กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
เงาฝัน 1 2614 กระทู้ล่าสุด 17 สิงหาคม 2555 22:49:30
โดย หมีงงในพงหญ้า
ประวัติบุคคลสำคัญของพระพุทธศาสนา โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก « 1 2 3 »
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
Kimleng 56 199359 กระทู้ล่าสุด 17 มิถุนายน 2559 16:35:13
โดย Kimleng
พุทธวจนะในธรรมบท โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก
พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
Kimleng 4 5805 กระทู้ล่าสุด 26 พฤศจิกายน 2561 14:29:41
โดย Kimleng
พระพุทธเจ้า มีตัวตนจริงหรือ? - ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เกร็ดศาสนา
Kimleng 0 2906 กระทู้ล่าสุด 10 มีนาคม 2557 12:47:46
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.533 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 02 มกราคม 2567 09:11:01