[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 11:53:06 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue) (ผู้ดูแล: มดเอ๊ก)


.:::

สิบวันเปลี่ยนชีวิต : กระบวนการสุนทรียสนทนา

:::.
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สิบวันเปลี่ยนชีวิต : กระบวนการสุนทรียสนทนา  (อ่าน 7245 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
Moderator
นักโพสท์ระดับ 14
*****

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2553 09:01:02 »



* หลาย ๆ ตอนอยู่ในหนังสือ แล้วนะ 2 เล่มล่าสุด จาก http://webboard.wongnamcha.com/index.php?topic=228.0

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
 
มดเอ๊ก
Moderator
นักโพสท์ระดับ 14
*****

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2553 09:01:43 »

สุนทรียสนทนา กับ สันติสุขในครอบครัว                                                                                                           


ท่านผู้อ่านที่กำลังอ่านบทความชิ้นนี้ อาจเคยได้รับข้อมูลความรู้มาหลายร้อยหน้าเกี่ยวกับไดอะล็อค หรือ สุนทรียสนทนา แต่ไม่ว่าจะอ่านหนังสืออีกสักกี่เล่ม ท่านรู้สึกแน่ใจจริงๆหรือว่า กระบวนการนี้จะเป็นยาวิเศษดังที่ใครๆกล่าวขวัญถึง อันจะนำมาซึ่ง ความสุข สันติสุข ความรู้อันก้าวพ้นตัวบุคคล การพัฒนาตัวตนภายใน และอื่นๆ แม้กระทั่งคนที่ศึกษาทฤษฎีมาแล้วเป็นอย่างดี ก็อาจตั้งคำถามอยู่ลึกๆว่า ถ้าตัวเองทำไปแล้วมันจะได้ผลดีจริงหรือไม่ ต้องไปอบรมที่ไหนก่อนไหม ถ้าจะจัดให้มีขึ้นที่บ้าน หรือที่ทำงาน ต้องเริ่มต้นอย่างไร แล้วผู้เข้าร่วมในวงสนทนาล่ะ จะต้องมีพื้นฐานสักแค่ไหน แล้วพวกเขาจะสามารถนำไปใช้ได้มากน้อยสักเท่าใดในชีวิตประจำวัน ที่สุดแล้วเราก็มิอาจแน่ใจได้เลย ถ้าไม่ได้ลองนำไปใช้ในชีวิตจริงกับคนรอบๆตัวเรา


บทความนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในครอบครัวของผมเอง ที่ได้นำสุนทรียสนทนาเข้ามาเป็นวาระพิเศษในบ้าน สมาชิกในวงอันประกอบไปด้วยพี่น้องสี่คนเห็นพ้องต้องกันว่า อยากจะแบ่งปันในบางแง่มุมของพวกเรา เพื่อจะได้บอกเล่าเรื่องราวอันน่ารักที่เกิดขึ้นในบ้านเล็กๆหลังนี้ ตั้งแต่วันแรกเริ่มได้รู้จักไดอะล็อค ล้มลุกคลุกคลานผ่านมาตลอดสี่เดือน จนไดอะล็อคเข้ามาอยู่ในเนื้อในตัวพวกเราและเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้วในปัจจุบัน จึงร่วมมือกันช่วยกันเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา บางทีพัฒนาการของวงไดอะล็อคของพวกเรา ก็อาจตอบคำถามต่างๆของท่านผู้อ่านที่มีข้างต้นได้มากขึ้น และกับประเด็นคำถามตามหัวข้อข้างบนที่ว่า ไดอะล็อค จะเป็นหนทางที่นำมาซึ่งสันติสุขในครอบครัวได้หรือไม่  มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด


ตอนที่ ๑ :ปัญหาที่มองไม่เห็น


ก่อนที่จะเริ่มเรื่องราวของไดอะล็อค ผมอยากจะบอกเล่าเรื่องราวโดยย่อ ถึงความเป็นอยู่ภายในบ้านของพวกเราให้ทุกท่านได้ทราบก่อน ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวใหญ่ มีคุณตา คุณยายเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในบ้าน ท่านมีลูกสี่คน อยากให้ได้มาเรียนในกรุงเทพ จึงได้ปลูกบ้านเป็นบ้านสองชั้นหลังใหญ่หลังเดียวให้ลูกๆก็อาศัยอยู่ร่วมกัน พอลูกโตเริ่มแต่งงานมีหลานเกิดไล่เลี่ยกัน หลานก็เป็นเพื่อนเล่นกัน มีพื้นที่เหลือเฟือให้เด็กๆวิ่งเล่นกัน นับว่าเป็นช่วงเวลาชื่นมื่น มีความสุข


ต่อมาลูกเริ่มมีครอบครัวกันครบทุกคน มีคนมาอยู่มากขึ้น ห้องที่มีอยู่เริ่มไม่พอ ลูกๆจะย้ายออกไปหาบ้านเช่า สองตายายปรารถนาดีอยากให้ลูกๆได้อยู่ร่วมกัน จึงได้แบ่งที่ดินผืนเดียวที่มีอยู่ให้ลูกเป็นสี่แปลง สร้างทาวน์เฮ้าส์สามหลังอยู่ติดกัน อีกหลังเป็นที่ว่างเนื่องจากลูกคนโตอยู่ต่างจังหวัดเลยไม่ได้ปลูก แต่เมื่อมีการทุบบ้านใหญ่และแบ่งแยกออก แต่ละครอบครัวต่างคนก็ต่างอยู่บ้านของตัวเอง มีความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมากขึ้น นี่บ้านฉัน นั่นบ้านเธอ ความสุขสดชื่นปรองดองที่ตายายทั้งสองหวังไว้ ไม่ได้เป็นดังเก่าก่อนเสียแล้ว


อยู่มาวันหนึ่งสองบ้านที่อยู่หลังติดกัน มีปัญหาทะเลาะกันรุนแรง ไม่ไปมาหาสู่กัน ถึงกับก่อกำแพงสูงหนากั้นระหว่างบ้าน ทั้งหน้าบ้าน ลานหลังบ้าน แม้บนดาดฟ้า เอาแบบไม่ให้ต้องเห็นหน้ากัน หลานๆจึงพลอยห่างกันออกไปด้วย ทั้งนี้หลานๆก็เริ่มเข้าสู่วัยเรียนด้วยก็เลยต่างคนต่างไป บ้านก็จึงเป็นบ้านที่ไม่ครึกครื้นเหมือนเดิม ทุกคนเจอกันสวัสดีทักทายกันตามมารยาท แต่เราไม่เคยคุยกันจริงๆในทุกข์สุขของกันและกัน พ่อแม่แต่ละบ้านก็มักจะกล่าวถึงอีกบ้านในทางไม่ดี เด็กๆก็รับรู้ในแง่นั้น ใจก็รักน้ารักอา แต่พอได้ฟังทุกวัน บ่อยๆเข้าก็รู้สึกไม่ดีตามไปด้วย


คราวนี้ก็เป็นอันว่าเด็กๆก็เริ่มไม่ลงรอยกันเอง สิ่งเหล่านี้ผู้ใหญ่ไม่ได้สังเกต ว่ารอยร้าวนี้ลึกมากเพียงใด พวกเขาชาชินกับความสัมพันธ์แบบนี้  ถึงไม่ได้ดีเลิศแต่มันก็โอเค แต่สำหรับเด็กๆแล้ว พอไม่ได้สนิทกับพี่น้องเหมือนเก่า พวกเค้าโตก็ขึ้นมากับเพื่อน กับหนังสือ หรือกับตัวเองคนเดียว พวกเค้ารู้สึกว่า ผู้ใหญ่แก่เกินไปที่จะเข้าใจเค้า และพี่น้องก็ไม่ได้เป็นเพื่อนเล่นกันอีกต่อไป กาลเวลาผ่านมาสิ่งเหล่านี้มันก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป ไม่ได้มีใครรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ส่วนตัวละครในเรื่องนี้ก็จะเป็นพวกเรา ที่อยู่ในรุ่นหลานนี่เอง มีกันอยู่ 6 คน พวกเราก็ดำเนินชีวิตของตัวเองไป โดยไม่ได้คิดว่าต้องไปสนใจพี่น้อง จนกระทั่ง...
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
Moderator
นักโพสท์ระดับ 14
*****

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2553 09:02:22 »

ตอนที่ ๒ : รักแรกพบกับสุนทรียสนทนา

ความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมาจากน้องชายของผม หมอโอเปิ้น ซึ่งได้มีโอกาสเข้าอบรมสุนทรียสนทนากับ อ.วิศิษฐ์ วังวิญญู เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ที่ ม.สงขลานครินทร์ มีความประทับใจมากและก็ได้ทำไดอะล็อคเรื่อยมากับเพื่อนๆของเขา ไปอยู่หาดใหญ่นานถึง 6 ปี พอเรียนจบกลับมา เห็นบ้านเราที่ต่างคนต่างอยู่กันในช่วงนั้น ก็คงรู้สึกไม่สบายใจนัก เห็นบรรยากาศที่แต่ละคนแทบจะไม่ได้คุยกันเลยในแต่ละวัน ไปทำงานกลับมาบ้าน กับข้าวตั้งไว้บนโต๊ะ ต่างคนต่างกิน เสร็จแล้วก็ขึ้นห้อง อาบน้ำ นอน เช้าก็รีบตื่นไปทำงาน ซึ่งผมเองก็ชินเสียแล้ว ชีวิตมันก็โอเคนะ ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันนี่ แต่น้องชายผมกลับไม่คิดเช่นนั้น


พอกลับมาเค้าก็พยายามพูดคุยกับทุกคนในบ้าน คุยอยู่ครั้งละนานๆ ด้วยความที่ผู้ใหญ่มักจะเห็นเราเป็นเด็กตลอด ผมเห็นน้องชายถูกดุบ้าง ไม่ค่อยมีใครฟังเค้านัก เค้าเป็นฝ่ายฟังเสียมากกว่า ผมมองว่าเสียเวลาเปล่านะ ผู้ใหญ่ก็มีอยู่สองอย่าง ไม่พร่ำบ่นแต่เรื่องเก่าๆ ก็เทศน์สั่งสอน ผมไม่เห็นว่ามันจะน่าฟังสักเท่าไหร่ อยู่ของเราเฉยๆนี่แหละสบายดีแล้ว ผมคิด แต่น้องบอกผมว่า เค้ากำลังทำไดอะล็อค หรือสุนทรียสนทนาให้เกิดขึ้นในครอบครัวเรา มันจะนำมาซึ่งความสุข และสันติสุขของทุกคนในครอบครัว แต่ละคนจะฟังกันมากขึ้น โต้เถียงกันน้อยลง ผมก็งงว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็มองดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก
ก็น่าแปลกที่ไม่นานนัก เริ่มมีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นในบ้านมากขึ้น บรรยากาศเปลี่ยนไป เนื่องจากเรานอนห้องเดียวกัน โอเปิ้นมาเล่าเรื่องราวต่างๆของผู้คนในบ้านให้ผมฟังบ่อยๆ ซึ่งผมเองอยู่กับพวกเค้ามาหลายปี เรื่องบางเรื่องก็ไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าหลายๆคนสนิทกับโอเปิ้นมากกว่าผมอีก ทั้งที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน  มีหลายคนฝากโอเปิ้นมาบอกว่าพวกเค้ามีความเป็นห่วงผมอยู่บ่อยๆในเรื่องต่างๆ แล้วทำไมไม่มาบอกผมเองนะ เอ...ชักจะยังไงๆแล้วนะเนี่ย


จริงๆแล้วโอเปิ้นก็ยังคงพูดถึงสุนทรียสนทนาอีกหลายครั้ง อยากให้เราเริ่มจากชวนลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในบ้านหลังข้างๆ มานั่งคุยกัน เรามีกันอยู่ทั้งหมด 6คน แต่ผมก็ยังเฉยๆ ปกติก็ได้เจอเห็นหน้ากันทุกวัน จะต้องไปนัดมานั่งคุยอีกทำไม จนกระทั่งวันหนึ่งเห็นบทความเกี่ยวกับสุนทรียสนทนาวางอยู่บนโต๊ะ เลยหยิบมาอ่านดู เป็นงานเขียนของ นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ซึ่งกล่าวถึง ไดอะล็อคกับวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ มีงานวิจัยจากต่างประเทศอ้างอิงมากมาย มีความน่าสนใจและอ่านง่ายมาก ทำให้ผมพอเข้าใจและเห็นภาพรางๆ ว่ามันจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้จริงๆ พอเห็นดังนี้ก็เลยบอกโอเปิ้นว่า ผมโอเคแล้ว แต่ส่วนน้องคนอื่นๆต้องไปคุยเอาเองนะ ไม่นานนักสุนทรียสนทนาครั้งแรกของบ้านเราก็เกิดขึ้นในห้องนอนของผมในค่ำคืนหนึ่ง มีผม โอเปิ้น และ กิ๊บก๊าบ น้องสาววัยรุ่นของเราที่รู้สึกจะมีเรื่องไม่เข้าใจกันอยู่บ้างทำให้มองหน้ากันไม่ติด และระยะหลังก็เลยไม่ค่อยได้คุยกับผมนัก


สำหรับช่วงแรก โอเปิ้นก็เกริ่นว่าเราต้องทำอะไรบ้างในวงสนทนานี้ มีกฎอยู่หลายข้อ เริ่มจากเราต้องพูดทีละคน รอให้เค้าพูดจบก่อน เราถึงจะยกมือและพูดได้ ต้องรับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ตัดสิน ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ ทุกอย่างเป็นความคิดเห็นของแต่ละคน ไม่มีผิดหรือถูก ต้องวางเฉยหรือที่เรียกว่าห้อยแขวนการตัดสินไว้ การพูดจะไม่เฉพาะเจาะจงไปที่ใคร ให้พูดกับทุกคนในวง  ไม่ต้องสนับสนุน คัดค้าน หรือพยายามให้เหตุผลกับเรื่องที่ผู้อื่นพูดไปแล้ว บางทีถ้าในวงเงียบก็ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องพูดทำลายความเงียบนั้น ให้อยู่กับความเงียบจนกว่าจะรู้สึกว่ามีอะไรต้องพูดถึงค่อยพูด  และที่แปลกที่สุดก็คือ ไม่มีหัวข้อเริ่มต้นในการพูด ใครอยากจะคุยเกี่ยวกับอะไรก็ได้ คนต่อไปจะคุยเรื่องเดิมหรือเปลี่ยนเรื่องใหม่ก็ได้อีกเช่นกัน แล้วมันจะรู้เรื่องกันไหมนี่ เอากะเขาสิ ทำไงได้ หลวมตัวมาแล้วนี่นา ผมบ่นงึมงำ...


เริ่มการสนทนาด้วยการนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลม เปิดเพลงบรรเลงคลอเบาๆ แล้วให้หลับตา ผ่อนคลายส่วนต่างๆของร่างกาย ดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ทำสมาธิสักสองสามนาที  เฮ้อ...พิธีกรรมเยอะเสียจริงๆ ผมยังคงวิพากษ์ในใจ พอได้ยินเสียงให้ลืมตา แล้วเราก็เริ่มคุยทีละคน ผมรู้สึกว่าการได้นั่งนิ่งๆเมื่อสักครู่ ทำให้บรรยากาศการคุยมันช้าลง ดูผ่อนคลายดีเหมือนกัน ผมเองจำเนื้อหาการสนทนาครั้งนั้นได้ไม่ทั้งหมด แต่ที่ตราตรึงฝังใจคือ ความรู้สึกที่ร่วมของเราสามคน ที่อบอวลอุ่นไอไปด้วยความรัก เราคุยกันเรื่องในวัยเด็ก ตอนที่เราได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน


ภาพตอนนั้นบ้านของเราเป็นบ้านหลังใหญ่หลังเดียว มีพื้นที่ให้วิ่งเล่นมากมาย ช่วงเวลานั้นเรามีความสุขกันมากมาก เราแปลกใจระคนตกใจที่เรื่องราวเหล่านั้นกลับเป็นอดีตที่เลือนลางจางหายไปนานแล้ว ไม่นานต่อมาพอบ้านใหญ่ถูกรื้อแล้วแบ่งออกเป็นสามหลัง เราก็ต่างคนต่างอยู่ในบ้านของตนเอง ความสุขเหล่านั้นมันหายไปพร้อมๆกับความสัมพันธ์ที่แย่ลงด้วย เราเติบโตขึ้น แยกย้ายกันไปเรียนตามที่ต่างๆ เราคุยกันน้อยลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็เหลือแค่การทักทายกันตามมารยาทเท่านั้น ไม่เฉพาะเด็กๆเท่านั้น เราเห็นพ้องกันว่า ระหว่างผู้ใหญ่ในครอบครัวของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน


ทันใดนั้น เราก็กลับมาเชื่อมกันอีกครั้ง วงสนทนาเริ่มมีความร่าเริงสนุกสาน เราเกิดความคิดที่จะทุบกำแพงบ้านแต่ละหลัง เชื่อมต่อให้เป็นหลังเดียวกันอีกครั้ง เราจะได้เดินไปหากันได้ตลอดเวลา ไม่ใช่อยู่รั้วเดียวกันแต่โทรมือถือหากันแบบนี้ เมื่อเห็นภาพนั้นแล้ว เราซาบซึ้งกับมิตรภาพที่กลับมาจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เราเริ่มวางแผนที่จะค่อยๆชวนเด็กๆอีกสามคนมาร่วมวงไดอะล็อคด้วยในครั้งต่อๆไป ส่วนตัวผมเองรู้สึกดีมากที่ได้กลับมาคุยดีๆกับน้องสาวอีกครั้ง โดยเรื่องราวที่มีประเด็นต่อกันนั้นกลายเป็นเรื่องขำๆไปซะแล้ว ภายในเวลาสามชั่วโมง มันทำให้พวกเราหัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกันได้ แถมด้วยมิตรภาพที่กลับมาอย่างง่ายดาย จริงๆแล้วไดอะล็อคมันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ ผมเริ่มเปิดใจมากขึ้นและหลงรักมันเข้าให้ซะแล้วสิ
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
Moderator
นักโพสท์ระดับ 14
*****

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2553 09:03:10 »

ตอนที่ ๓ : ล้มลุกคลุกคลานกับวงไดอะล็อคในห้องนอน

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้มีโอกาสขึ้นไปเรียนรู้กระบวนการสุนทรียสนทนากับ อ.วิศิษฐ์ ที่สถาบันขวัญเมือง จ.เชียงราย เป็นเวลา 10 วัน ได้เขียนบทความขึ้นมาชิ้นหนึ่งจากการเรียนรู้ในครั้งนั้น ชื่อว่า “ 10 วันที่เคล้าข้นกับชุมชนบ้านอิงดอย” ลงในกระทู้ของเวบ วงน้ำชาดอทคอม ด้วยนามปากกา “เรือรบ” การได้กลับมาใคร่ครวญกับสิ่งที่สัมผัสมา กลั่นกรองร้อยเรียงเสียงในหัวออกเป็นตัวหนังสือ ก็ทำให้ผมได้ลึกซึ้ง มั่นใจในประโยชน์และข้อดีของไดอะล็อคมากขึ้น การอยู่ในวงสนทนากับผู้คนอันหลากหลาย ทำให้ผมได้เติบโตภายในและมีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองมากมาย อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งมุมมองแนวคิด อุปนิสัย จิตใจอารมณ์ และเริ่มสามารถเป็นผู้นำพากระบวนการไดอะล็อคให้ดำเนินได้อย่างราบรื่น และรู้สึกว่ามันไม่ยากเลย


และแล้วเราก็เริ่มจัดไดอะล็อคในห้องนอนอาทิตย์ละครั้ง ในครั้งที่สอง เราเริ่มคุยในสิ่งที่แต่ละคนสนใจ ผมคุยเรื่องเศรษฐกิจและการลงทุน โอเปิ้นคุยเรื่องสุขภาพจิต กิ๊บก๊าบคุยเรื่องหนังสือนิยายที่ชอบ เราต่างพูดออกมาจากองค์ความรู้ของแต่ละคน แล้วก็พบว่ามันน่าเบื่อและไม่สนุกเลย แม้หัวข้อเรื่องจะน่าสนใจใคร่รู้แต่พอพูดแล้วมันขาดชีวิตชีวา ไม่ใช่เราพูดไม่ดีพูดไม่เก่งนะ แต่เราเริ่มเข้าใจในคำว่า “ความสดใหม่” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ยินในวงไดอะล็อค เรื่องราวความรู้มันเป็นเชิงทฤษฎี แต่คนเราอยากฟังเรื่องเล่าและประสบการณ์ตรงซึ่งมีความสดมากกว่า มีชีวิต มีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า นั่นก็เป็นการค้นพบร่วมกันและมีค่าอย่างไม่น่าเชื่อ


ในครั้งที่สาม ก็ได้ชวน ปอ น้องชายวัยรุ่นอีกคนเข้ามาด้วย จริงๆแล้วเราพยายามชวนปออยู่หลายอาทิตย์ แต่เค้าติดไปเที่ยวกับเพื่อน และไม่ค่อยสนใจจะมานั่งคุยกับพี่น้องสักเท่าใดนัก มันเป็นผลพวงมาจากที่เราห่างเหินกันไปนานมากแล้วนั่นเอง ในที่สุดปอก็ทนความตื๊อของพวกเราไม่ไหว มานั่งร่วมในคืนหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งในครั้งนั้นก็ปรากฎว่า ปอต่อต้านมาก ไม่พูดอะไรเลยตลอดสามชั่วโมง ก่อนจบก็ขอให้เค้าพูดอะไรก็ได้สักหน่อยก็ยังดี ปอสีหน้าบึ้งตึงตลอด กอดอกพลางพูดว่า พี่... ผมไม่ชอบการคุยแบบนี้ที่จะต้องมาให้พูดทีละคน มันดูไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นกันเอง ต้องรอให้คนอื่นพูดจบ ผมก็ลืมเรื่องที่อยากพูดพอดี แล้วถ้าอีกคนพูดยืดเยื้อน่าเบื่อจะทำไง  แล้วทำไมต้องมาเปิดเพลงช้าๆด้วย ผมชอบฟังเพลงฮิพฮอพ ทำไมเปิดให้ผมไม่ได้ แบบนี้ไปนั่งกินเหล้าคุยกับเพื่อนยังจะสนุกกว่า... เอาละวา  ผมกับโอเปิ้นรับมือแทบไม่ทันเลย ก็ได้แต่นั่งรับฟังไปโดยไม่ตัดสิน


ในที่สุด พอปอพูดจบหมด ผมก็น้อมรับความคิดเห็นน้องเข้ามา บอกว่าคราวหน้าจะให้ปอเลือกเพลงเองนะ แล้วก็ถ้ามีช่วงไหนที่ปออยากพูดจริงๆก็สามารถยกมือขอพูดได้ ไม่ได้ห้ามเด็ดขาดขนาดนั้น ผมเองก็พอมองออกว่าปอรู้สึกอย่างไร คงเหมือนผมครั้งแรก พวกเราไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์กันอยู่แล้ว อยากจะให้ผ่อนคลายก็ไม่ควรทำให้มันดูเป็นกฎเกณฑ์จนเกินไป อันนี้คงต้องยืดหยุ่นกันตามสถานการณ์ ไดอะล็อคครั้งนี้ก็เลยลงเอยได้ด้วยความเข้าใจแบบใจหาย แม้ระหว่างทางจะไม่ราบรื่นนักก็ตาม
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
Moderator
นักโพสท์ระดับ 14
*****

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2553 09:03:58 »

ตอนที่  ๔ : ก้าวย่างอย่างมั่นคงกับวงไดอะล็อคที่มีชีวิต


ตามกันอยู่หลายครั้งเลยกว่าจะทำให้ปอมาได้ในครั้งที่สี่  เพื่อความสบายใจ เราให้เค้าเปิดเพลงวัยรุ่นได้ตามใจ ซึ่งก็ทำให้ปอมีส่วนร่วมในวงนี้มากขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก จนมาถึงจุดหนึ่ง เราก็คุยลงลึกกันมากขึ้นในชีวิตของแต่ละคน ปอยกมือถามว่า ในวงไดอะล็อคนี้เรื่องที่พูดไปถือเป็นความลับได้ไหม ทุกคนเห็นว่า ถ้าผู้พูดต้องการให้เก็บเป็นความลับก็ยินดีทำให้เช่นนั้น ปอก็เริ่มพูดในสิ่งที่เค้าเก็บไว้ เป็นปัญหาคาใจ ที่ผ่านมาเค้ามีเรื่องราวในชีวิตเกิดขึ้นมากมาย เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ แม้แต่พ่อแม่ ถ้ารู้เข้าจะต้องเกิดเรื่องราวใหญ่โตแน่ๆ เค้ากลัวมาก แล้วก็ขี้เกียจฟังคำบ่นว่าที่จะตามมาอีกมากมาย  พวกเรารับฟังอย่างเข้าใจและเห็นใจ เป็นเรื่องราวที่วัยรุ่นส่วนใหญ่เคยผ่านมาแล้ว แต่มันก็ร้ายแรงพอดูในช่วงวัยขณะนั้น ยากที่จะผ่านพ้นไปได้โดยลำพัง ผมกับโอเปิ้นก็ให้ความเห็นแบบที่ไม่เป็นการชี้นำ เป็นแต่เพียงมุมมองของเรา ส่วนการตัดสินใจจะเป็นอย่างไร ก็ให้เค้าเป็นคนเลือกเอง


ส่วนกิ๊บก๊าบ ก็ได้ฟังเรื่องราวที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจที่น่าจดจำและพึงระวังตัวเองต่อไป ปรากฏว่าเสียงสะท้อนหลังจากจบวงคราวนี้ ปอบอกว่า เค้ารู้สึกสบายใจมากที่มีพื้นที่แบบนี้ให้เค้าได้พูดคุย มีคนรับฟังเค้าโดยไม่ด่าหรือต่อว่าในสิ่งที่เค้าทำผิดพลาดไป แม้ปัญหายังไม่ถูกแก้ แต่เค้ามีแรงใจที่จะเดินหน้าต่อไป แล้วก็อยากจะมาร่วมไดอะล็อคกับพวกเราอีกในทุกๆครั้ง กิ๊บก๊าบก็บอกว่า ได้รู้จักพี่ชายในอีกมุมหนึ่ง ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แล้วก็อยากเป็นกำลังใจให้ ไม่ว่าจะทำผิดพลาดมากเท่าไร ยังไงพวกเราก็เป็นพี่น้องกันเสมอ ส่วนผมกับโอเปิ้นก็ดีใจมาก ที่วงไดอะล็อคในห้องนอนของเราถือกำเนิดขึ้นแล้วอย่างแน่นแฟ้น และได้สร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับพวกเราอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว


ครั้งที่ห้าก็น่าจดจำไม่น้อย พอดีคืนนั้นผมไปงานแต่งงานของเพื่อนเลยกลับมาดึกหน่อย พอถึงห้องก็พบว่าน้องๆนั่งรออยู่แล้ว แต่ไม่ได้รอเปล่า เอาไพ่รัมมี่มานั่งเล่นกันระหว่างรอ พอจะเริ่มวงไดอะล็อค ปอตัวแสบก็บอกว่า พี่ เล่นไปคุยไปก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องพิธีรีตองเลย โอเปิ้นก็ขัดทันที ไม่ได้นะ มันไม่มีสมาธิหรอก กิ๊บก๊าบว่า อยากเล่นต่อนะ สนุกดี ไว้ไดอะล็อควันหลังแล้วกัน ว่าแล้วทุกคนก็หันมามองหน้าผม ผมนิ่งคิดอยู่พักนึง แล้วก็เลยตัดสินใจลองทำอะไรใหม่ๆ โดยบอกว่า ลองตามที่ปอเสนอก่อนไหม ถ้าทำได้ก็ทำไปพร้อมกัน ถ้าทำไม่ได้ก็จะได้รู้ว่าไม่ได้ สุดท้ายเราก็เลยได้ “ไดอะล็อคในวงไพ่” ขึ้นมา


จริงอยู่ที่ว่าการคุยครั้งนั้น ไม่ค่อยได้เนื้อหาสาระเท่าใดนัก แต่เมื่อให้ทุกคนพูดสะท้อนในรอบสุดท้ายก่อนจบวงสนทนาครั้งนั้น ทุกคนผ่อนคลายและสนุกมากที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ผมแทบไม่เชื่อหูเมื่อปอพูดว่า สิ่งที่ผมได้ในวันนี้นะพี่ ผมได้เห็นตัวเอง ลุ้นไพ่ตอนจั่ว เห็นความโลภอยากเอาชนะ แล้วก็ความไม่พอใจเมื่อไพ่ที่จั่วมาไม่ได้เรื่อง รู้สึกวันนี้จะได้แค่นี้ แต่เราพูดคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆมัวแต่ลุ้นไพ่ งั้นคราวหน้าไม่ต้องแล้วก็ได้พี่  โห... ฟังปอพูดแล้วผมก็ตะลึง ที่ปอมองจิตอารมณ์ของตัวเองออกได้ขนาดนี้ เค้าทำวิปัสสนาโดยไม่รู้ตัว แถมเกิดปัญญาด้วย แค่นี้ก็เกินคุ้มแล้วครับสำหรับคืนนี้


นี่ก็เป็นตัวอย่างห้าครั้งแรกในการเติบโตของไดอะล็อคในห้องนอนของพวกเรา อาจเรียกได้ว่าไดอะล็อคในแต่ละครั้งของพวกเรา มีสีสันรสชาติไม่ซ้ำแบบกันเลย มันมีชีวิตเป็นของมันเอง และต่อแต่นั้นมาทุกคนก็จะคอยถามหา นัดเวลาให้ตรงกันเพื่อจะจัดไดอะล็อคให้ได้ในทุกอาทิตย์ ก็ได้ไม่ตลอดนัก เพราะอาจไม่ว่างตรงกันบ้าง แต่ถึงอย่างไรเราก็ผ่านพ้นเดินทางร่วมกันมาสี่เดือนแล้วตั้งแต่ ส.ค. 50 จนถึงปัจจุบัน พ.ย. 50 เป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน แต่ความสัมพันธ์ของเราแนบแน่นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
Moderator
นักโพสท์ระดับ 14
*****

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2553 09:04:44 »

ตอนที่ ๕ : แนะนำเพื่อนร่วมวง


เพื่อให้ผู้อ่านได้พอมองภาพออก ว่าพวกเราที่แม้จะอยู่ในครอบครัวเดียวกันแต่กลับมีความแตกต่างกันมากเพียงใด ด้วยความหลากหลายทั้งทาง วัยวุฒิ คุณวุฒิ ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ก็ยิ่งแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ไม่ง่ายเลยที่เราจะเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริงในการสนทนาในวงไดอะล็อค ไม่เถียงหรือทะเลาะกันก็นับว่าโชคดีแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นการถอดเทปจากวงไดอะล็อคของพวกเรา ก่อนจะเริ่ม เราจะขอให้เราแนะนำตัวแบบใหม่ คือ แนะนำซึ่งกันและกัน เลือกคนในวงขึ้นมาหนึ่งคน และแนะนำตัวเค้าแบบที่ว่า คนที่เหลือในวงไม่เคยรู้จักเค้ามาก่อน ทั้งในแง่บวกและลบ ในมุมมองที่เราเห็นและรู้จัก ใครจะแนะนำใครก่อนก็ได้ ใครพร้อมแล้วอยากเริ่มก่อน เชิญ...


ปอ : งั้นผมก่อนนะ เลือก กิ๊บก๊าบแล้วกัน สำหรับกิ๊บนะครับ อายุ 20 ปี เป็นลูกพี่ลูกน้องของปอ ตอนนี้เรียนปี 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือทุกชนิด โดยเฉพาะนิยาย กิ๊บบอกว่า ตั้งแต่เด็กเกิดมาเป็นหลานคนเล็ก เป็นผู้หญิงคนเดียว โดนคาดหวัง โดนเปรียบเทียบเสมอ พอทำไม่ได้ดังในผู้ใหญ่ หันไปทางไหนก็โดนดุโดนบ่นจนคิดว่าตัวเองเป็นตัวปัญหา เป็นส่วนเกินของครอบครัว แม้จะอาศัยอยู่ในครอบครัวใหญ่แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวในโลก หมกตัวอยู่ในห้องนอนได้ทั้งวัน ชอบอยู่คนเดียว มีความสุขในโลกส่วนตัว
กิ๊บชอบใช้ของแบรนด์เนม มีรองเท้าหลายสิบคู่ กระเป๋าถืออีกหลายสิบใบ ใช้เงินเพื่อซื้อความสุขตามความพอใจของตัวเอง เป้าหมายในชีวิตที่กิ๊บใฝ่ฝันก็คือ ได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้แต่ถือว่าเกิดมาคุ้มค่าแล้ว เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบทำงานบ้านให้ผู้ชายแล้วก็เป็นคนขี้วีนด้วยครับ ใช้ได้เลย คือถ้าไม่รู้จักกันไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน ก็ขอวีนไว้ก่อน ชอบโวยวาย เสียงดัง ไม่รู้จะโวยวายทำไม ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ถ้าได้รู้จักแล้ว มีความชอบพอคุยถูกคอกัน เค้าก็จะดีมากนะ จะเอาใจใส่ ยกเราให้เป็นที่หนึ่งเลย ดูแลเราได้ดีทีเดียว แล้วก็มีเรื่องน่าชื่นชมคือ เป็นคนเรียนเก่ง ดูแววแล้วว่า อนาคตน่าจะพึ่งพาเค้าได้นะ (หัวเราะ) จบครับ


กิ๊บก๊าบ : จะแนะนำพี่อ๊บค่ะ อายุ 27 ปีเป็นทหารเรือเพิ่งเรียนจบ ป.โท ด้านบริหารการจัดการ ที่วิทยาลัยการจัดการ ม.มหิดล พี่อ๊บเป็นพี่ชายคนโตของบ้านเรา ซึ่งบ้านเรามีสมาชิกเด็กๆรวมกัน 6 คน เป็นคนที่สมัยก่อน ต้องแบกรับภาระในการดูแลน้องๆ เอาใจใส่ตลอดเวลา เป็นข้อที่น่าชื่นชม ถึงแม้ว่าจะน่ารำคาญบ้าง ด้วยความที่ไปเรียนทหารมา ทำให้เป็นคนมีระเบียบเรียบร้อย มาตรฐานสูงในทุกๆด้าน ก็กลับนำมาใช้กับที่บ้านด้วยความหวังดีจนกลายเป็นเจ้าบงการ ทำให้เรามีช่วงเวลาที่ห่างเหินกันบ้าง แต่สุดท้ายแล้วความเป็นพี่น้อง ก็ทำให้เรากลับมาหากัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน

พี่อ๊บเป็นผู้ชายที่ ดูภายนอกเหมือนนุ่มนิ่ม อ่อนแอ ไม่อะไรกับใคร แต่ภายในกลับมีความมุ่งมั่น เชื่อมั่นในตัวเองสูง ถ้าจะทำอะไรแล้ว จะเต็มที่และทำมันได้ดีเสมอ เค้าเคยบอกว่า ก่อนหน้านี้เป้าหมายในชีวิตอยากเป็นนักธุรกิจใหญ่ มีเงินเยอะๆจะได้มาช่วยเหลือผู้คน ถ้ามีเงินแล้วเราก็จะใช้เงินเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ แต่มาช่วงหลังมานี้ พี่อ๊บเปลี่ยนตัวเองไปมาก เค้าไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิตอีกต่อไป เลิกวางแผนให้ชีวิต เค้าบอกว่า อยากใช้ชีวิตในวันนี้ให้ดีก็พอ แค่ใช้ชีวิตอย่างสงบเย็นและเป็นประโยชน์ ทำนองนี้ ถ้าในชีวิตมีวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นกำไร ให้ทำอะไรเพื่อคนอื่นได้มากขึ้น เป็นคนที่เป็นที่รักในหมู่คนเสมอ พูดยังไงดี คือมีเสน่ห์มากๆในกลุ่มคน แต่ก็มักจะหน้าแตกเสมอเวลาอยู่กับพี่น้อง สำหรับเราแล้ว พี่อ๊บเป็นพี่ชายที่ดีมากๆ และจะชื่นชมยินดี ถ้าจะมีใครสักคนมาร่วมชื่นชมพี่ชายร่วมกับเรา จบค่ะ


อ๊บ : งั้นแนะนำโอเปิ้น  คือเค้าเป็นน้องชายอ๊บ อายุ 25 ปี เป็นหมอที่กำลังเรียนต่อเฉพาะทางจิตเวช ที่รามาฯ โอเปิ้นนี่เป็นคนที่ฝักใฝ่ในธรรมะมาตั้งแต่เด็ก จะคอยชักจูงเราให้หันมาพัฒนาตัวตนภายในเสมอ ก็มีความเกื้อกูลซึ่งกันละกันมาตั้งแต่เด็ก เป้าหมายในชีวิตของเค้าคือ ไม่กลับมาเกิดอีก นี่ทำให้เค้าไม่คิดจะมีครอบครัว หรือมีลูก ตอนนี้ก็ตั้งใจถือศีลและกินมังสวิรัติตลอดชีวิต ชอบช่วยเหลือคนอื่น ไม่สะสมสิ่งของ ไม่ค่อยเห็นเค้าอยากได้อะไรเลย เค้าเป็นคนสนใจคนรอบข้าง เพราะฉะนั้นก็จะไม่ค่อยสนใจดูแลตัวเอง ก็จะมีเรื่องให้ผู้ใหญ่ดุเสมอ ในเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยส่วนตัว แล้วเมื่อไปสนใจผู้คนมากมาย บางครั้งก็จะหลงลืมคนใกล้ตัวไป ทำให้เค้าเหล่านั้นน้อยใจเอาได้ง่ายๆคิดว่าเราไม่ใส่ใจเค้า เดาว่าโอเปิ้นจำวันเกิดของคนในบ้านไม่ได้เลย อันนี้ก็ต้องพึงระวัง


โอเปิ้นทำประโยชน์ให้คนกลุ่มใหญ่ได้มาก เป็นผู้นำ แต่นำโดยที่คนอื่นไม่รู้สึกว่าถูกนำ โอเปิ้นจะนำในลักษณะการโน้มน้าว แล้วก็มองกว้าง หยิบยื่นในสิ่งที่เหมาะสมให้แต่ละคนได้ดี โอเปิ้นพูดไม่เก่ง พูดช้า พูดติดๆขัดๆ แต่ว่า ถ้าเราอดทนและช้าลงในการฟัง เช่นในวงไดอะล็อค ก็จะได้อะไรจากโอเปิ้นเยอะ ในฐานะพี่ก็ยากที่จะมองน้องได้ลึกๆ เพราะเราก็จะถือตัวว่ารู้มากกว่า ข่มเค้าอยู่ในที ยกเว้นในวงเช่นนี้ เราเปิดใจฟังและได้รู้จักเค้าจริงๆ รู้สึกภูมิใจมากที่มีน้องเก่ง และเป็นกัลยาณมิตรที่ดีมาก คอยเกื้อหนุนกอดคอกันร่วมทำโปรเจคหลายอย่างทั้งในบ้านนอกบ้าน แล้วก็รู้สึกว่าเพื่อนแท้ก็คือน้องชายคนนี้แหละไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ก็อยากให้ฝึกความละเอียดมากขึ้นแต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ที่เป็นอยู่ก็มีข้อดีมากอยู่แล้ว จบครับ


โอเปิ้น : สุดท้ายผมก็ขอแนะนำน้องปอ อายุ 21 ปี จบ ปวส. วิทยาลัยเทคนิคเซนต์จอห์น เป็นลูกพี่ลูกน้องของผม ข้อลำบากคือผมไปเรียนต่อหมอที่หาดใหญ่นานถึง 7 ปี ก็เลยไม่ได้ใกล้ชิดปอนัก ก็คงแนะนำได้เท่าที่รู้จัก เป็นข้อมูลในช่วงเด็ก และในช่วงปัจจุบันหลังจากกลับมาที่นี่ไม่นาน ปอเป็นลูกคนเดียว ตอนเด็กๆ อาศัยอยู่ในแฟลตแถวคลองเตย มีเพื่อนเล่นเป็นเด็กสลัม ปอมีสังคมที่แตกต่างจากพวกเรามาก ตอนเด็กๆชอบถูกด่าว่าโง่ เลยไม่ค่อยรักในการเรียนเท่าไหร่ พอโตขึ้นมา ปอก็เต็มที่ในการใช้ชีวิตวัยรุ่น นอน6โมงเช้าทุกวัน ทั้งดื่มเหล้าสูบบุหรี่และเที่ยวกลางคืน ให้เลิกกับแฟนได้แต่อย่ามาให้เลิกกินเหล้า อยู่กับเพื่อนฝูงเป็นส่วนใหญ่ มีความสุขกับชีวิตแบบนั้น


ปอบอกว่า อยากใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุด กินเที่ยวใช้เงินให้เต็มที่ในระหว่างที่ยังมีแรงทำได้ แม้ต้องเป็นมะเร็งตายตอนอายุสี่สิบก็ถือว่าใช้ชีวิตคุ้มแล้ว ไม่ได้อยากอยู่ไปจนแก่ แต่ข้อดีที่เห็นมานานคือ ปอเป็นคนที่อ่อนน้อมกับผู้คน จิตใจอ่อนโยน แล้วก็สร้างความแปลกใจให้กับผมเสมอ มีการเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างมากเมื่อเข้าวงไดอะล็อค แม้ว่าเค้ามีพื้นฐานมาจากสลัม คบเพื่อนเกเร  สนใจแต่วัตถุนิยมอย่างชัดเจน แต่ตัวตนของปอกลับไม่ถูกกลืนหายไปในสังคมแบบนั้น ปอดูแลตัวเองอย่างดี เปิดใจรับเรื่องใหม่ๆเสมอ ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองจากความคิดที่อยู่ขั้วตรงข้าม ไม่ได้กำหนดชีวิตให้เป็นไปในแนวทางเดียว ที่ผ่านมาเค้าเริ่มมองออกมาในแง่มุมอื่น เริ่มเห็นว่าความสุขอาจจะไม่ต้องไปหาที่ไหน อาจเกิดขึ้นในปัจจุบันได้อย่างไร แม้จะไม่ชัดเจนนักก็ตาม แต่ก็เห็นในศักยภาพตรงนั้นของปอ ก็รู้สึกดีใจที่เห็นน้องพัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วงนี้ จบครับ
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
Moderator
นักโพสท์ระดับ 14
*****

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2553 09:05:25 »

ตอนที่ ๖ : ถักทออย่างกลมกลืน สอดสานอย่างลื่นไหล สายใยในครอบครัว



อ๊บ : เราทำไดอะล็อคกันมาเกือบทุกอาทิตย์จนถึงวันนี้ อยากให้แชร์ประสบการณ์ว่า ได้อะไรกันบ้าง      ทั้งกับตัวเอง และความสัมพันธ์ในครอบครัว แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างไร ใครพร้อมที่พูด เชิญ...


โอเปิ้น : สิ่งที่โอเปิ้นได้ มันเปิดโลกทัศน์ใหม่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนเราก็มั่นใจอยู่ว่า เรารู้จักโลกใบนี้มากแล้ว เราคิดว่าเราสามารถสร้างสันติภาพได้ด้วยมือเราเอง เริ่มจากตัวเรา แค่เรามีสันติในใจก็เพียงพอแล้ว ที่จะเริ่มสันติภาพให้โลกนี้ได้ เป็นข้อสรุปที่มั่นใจมากๆ มีความคาดหวังว่า เราต้องทำได้ แต่หลังจากที่มาเข้าวงไดอะล็อคเล็กๆวงนี้ เราได้รับฟังอย่างตั้งใจกับความเห็นที่แตกต่าง แล้วเราก็เห็นว่า หลายสิ่งที่เราคิดมันก็แตกต่างกันคนละขั้ว มันทำให้เรายอมรับความเป็นไปของโลกมากขึ้น ว่าที่เราคาดหวังว่า สันติภาพของโลกมันหน้าตาเป็นอย่างไร มันก็เป็นหน้าตาที่มาจากตัวเราคนเดียว  ซึ่งมันไม่มีทางจะไปถึงตรงนั้นได้เพราะว่า เอาแค่ความคุ้มในชีวิตของแต่ละคนมันก็ไปคนละเรื่องกันแล้ว แล้วเราจะไปคาดหวังอะไรกับสันติภาพในความหมายของเราว่ามันจะเป็นเหมือนของคนอื่น แล้วคนอื่นเค้าจะต้องการเหมือนเรารึเปล่า เอาแค่ไดอะล็อคในบ้าน เราก็สามารถเข้าใจโลกใบนี้ได้มากขึ้นอีกเยอะ อย่างที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน จบครับ


ปอ : การที่ได้เข้าวงไดอะล็อค ทำให้รู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นได้มากขึ้น ได้รู้ว่าเค้าคิดอะไร ว่าพี่น้องเราปัจจุบันตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คิดกันแบบไหน ได้เรียนรู้เรื่องราวในครอบครัวมากมาย เมื่อก่อนไม่เคยรับรู้ว่า พี่น้องเค้าอยู่กันยังไง แต่การได้มาไดอะล็อคกันอาทิตย์ละครั้ง ทำให้รู้ว่า พี่ๆกับกิ๊บไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย โดยที่ปอไม่รู้เลย แล้วการที่มานั่งคุยกันอย่างนี้มันทำให้เรากลับไปแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิตของเราได้ด้วย ทำให้มันผ่านพ้นไปได้ดี เราได้เรียนรู้ ทั้งจาก หมอ ทหาร นิสิตจุฬา ว่าเค้าคิดกันยังไง  ก็มีความสุขมากที่ได้มานั่งคุยกับพี่น้อง ได้มาเจอหน้ากันซักอาทิตย์ละครั้งก็ยังดี จบครับ


กิ๊บก๊าบ : สำหรับกิ๊บก๊าบนะ นอกจากการสานสัมพันธ์กับครอบครัวแล้ว มันเป็นการพัฒนาความคิดและยกระดับจิตใจเราอีกด้วย ให้เราละความเป็นตัวตนมากขึ้น ละความเป็นใหญ่ ที่โลกจะต้องหมุนรอบตัวเราตลอดเวลา เปลี่ยนเป็น เราลองหมุนตามโลกดูบ้าง มันสร้างมุมมองใหม่ๆให้กับชีวิต แม้ว่ากิ๊บก๊าบไม่เคยคาดหวังอะไรเลย แค่อยากมานั่งกินขนมแล้วก็คุยกับพี่น้องก็ดีแล้ว แต่สิ่งที่ได้กลับมา มันกลับได้นอกเหนือจากสิ่งที่เราคาดคิดมาก วันนี้กิ๊บก๊าบรู้สึกว่า เรามีครอบครัวแล้ว มันแปลกดี ปกติรู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวบนโลก แต่วันนี้เรามีครอบครัวแล้ว ขอบคุณไดอะล็อคแล้วกันค่ะ


อ๊บ : ของพี่อ๊บก็มีสองประเด็น ประเด็นแรกคือ นอกจากเราจะพัฒนาตัวเองแล้ว เรายังเห็นคนอื่นพัฒนา โดยที่มันเป็นมุมมองใหม่เลย แต่ก่อนเราคิดว่า การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลง เราน่าจะมีส่วนในการแนะนำเค้า ช่วยเหลือเค้าให้เค้าคิดได้ แต่ว่าเรากลับพบว่า หลายๆครั้งเราเหนื่อยมาก และเค้าก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง หรือต้องการ แต่ด้วยวิธีการง่ายๆอย่างไดอะล็อคเนี่ย เราเปิดกว้างให้เค้าลองผิดลองถูกและหาคำตอบด้วยตัวเอง มันกลับทำให้เค้าเติบโตขึ้น แล้วก็ยืนได้ด้วยขาของเค้าเองโดยไม่ต้องพึ่งพา แล้วเราก็ผ่อนคลาย รู้สึกว่า เออ มันมีวิธีเติบโตแบบนี้ด้วยเหรอ ในขณะเดียวกันเราก็เติบโตไปพร้อมกับเค้าด้วย


ประเด็นที่สองคือในเรื่องของความสัมพันธ์ เช่นเดียวกัน การที่เรามานั่งแชร์ความรู้สึก บอกอะไรลึกๆข้างใน มันทำให้เกิดการเชื่อมต่อกัน กำแพงหลายๆอย่างมันหายไป แล้วก็เหมือนว่า ความรักที่เราไขว่คว้าจากคนภายนอก อย่างน้อยก็ช่วงนี้ เราไม่ได้ต้องการอีกต่อไป เราอยู่กับพี่น้อง ความสุขมันถูกเติมเต็ม ความรักมันเต็มเปี่ยมอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ในครอบครัวก็เช่นกัน ถ้าเรามีกันและกันแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาความสุขจากภายนอกอีกต่อไปรึเปล่า


กิ๊บก๊าบ : ไดอะล็อคมันบ้าดีนะ ใครหนอ คิดเรื่องบ้าๆแบบนี้ ให้คนมานั่งคุยกัน แต่เรากลับได้อะไรกลับมามากมาย มันทำให้เกิดสภาวะอะไรซักอย่าง ที่เป็นปฎิสัมพันธ์กันระหว่างคนในวง ในเรื่องไร้สาระไม่เป็นเรื่อง เนื้อเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้แต่เราก็มีความสุขกับมัน มันเป็นการสร้างและเติมเต็มความสุขโดยที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ เป็นความสุขที่ไม่ต้องได้มาจากวัตถุ จากเงิน มันแปลกดี ตลกดี ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ครอบครัว มันเป็นผลพลอยได้ เพราะเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสานสัมพันธ์ครอบครัว อื่นๆที่ได้ก็เป็นกำไรจากการที่เราได้มานั่งคุยกันเท่านั้นเอง


อีกอย่างนึง มนุษย์ทุกคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง มีมุมมองที่คิดว่าดีที่สุดของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะไปตัดสินใครได้ว่า ความคิดของเราดีที่สุดสำหรับคนทั้งโลก แค่เวลาสั้นๆกับวงเล็กๆที่ตรงนี้ กับวงใหญ่ข้างนอก แม้จะเป็นเรื่องที่เราเคยรู้มาก่อนแล้ว แต่เพิ่งจะได้รู้สึกเข้าใจกับมันจริงๆก็วันนี้แหละ แค่คนสี่คนที่อยู่กันตรงนี้ เกิดมาไล่เลี่ยกัน ใช้ชีวิตมาด้วยกัน ยังไม่สามารถที่จะเห็นสิ่งเดียวกันเหมือนกันได้ ฉะนั้นคนทั้งโลกร้อยพ่อพันแม่ เค้าก็คงไม่สามารถมีมุมมองใดๆที่เป็นมุมมองเดียวกันเสมอได้ เท่านี้เป็นสิ่งที่กิ๊บก๊าบได้จริงๆจังๆในวงไดอะล็อค จบค่ะ


โอเปิ้น : การที่เราทำไดอะล็อค เราได้เห็นการเติบโตของน้องๆ สิ่งนี้ทำให้เราเกิดความสบายใจมากๆ บ่อยครั้งที่ผู้ใหญ่ มักจะบ่น บ่น บ่น เกี่ยวกับพฤติกรรมของน้องๆที่มันขัดหูขัดตา เค้าไม่เคยถามว่าเพราะอะไร แต่ก็มาบ่น มาสรุปว่า ทำตัวแบบนี้ ชีวิตข้างหน้าแย่แน่นอน ไม่ไหว ไม่ได้เรื่อง ถ้าเค้ามาบ่นให้เราฟังตอนนี้ เราสามารถมั่นใจว่า น้องเราจะมีความสุขได้ น้องเราไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก เราสามารถสร้างความมั่นใจให้ผู้ใหญ่ได้ด้วยว่า อ๋อ เรื่องนั้นเหรอครับ เคยคุยกันแล้ว จริงๆแล้ว น้องเค้าคิดอย่างนี้ มีความตั้งใจอย่างนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ สำหรับน้องๆสองคน โอเปิ้นช่วยดูแลให้ คือโอเปิ้นได้คุยกับน้องอยู่ประจำทุกอาทิตย์


เอ้า ถ้าได้ฟังอย่างนี้ ผู้ใหญ่ก็สบายใจขึ้น เพราะเค้าไม่เคยคุยกับเด็กเลย พอเราบอกว่าคุยกันทุกอาทิตย์ เค้าก็ต้องเชื่อว่าเรารู้จริง ไม่ได้มั่วนิ่ม ถ้าเทียบกันเราไม่ได้คุยกันเลย ก็กลายเป็นว่าเราก็พลอยกังวลไปด้วย ว่าที่เค้าพูดมาไม่เคยรู้เรื่องเลย ครั้นเราจะไปบอกว่า ไม่มีอะไรหรอกครับ เราก็ไม่มั่นใจ แต่การที่ได้คุยกันแบบนี้ ต่อให้เราไปรับรู้เรื่องใดมา อยู่ดีๆผู้ใหญ่มาบอกว่า เนี่ย น้องไปทำอะไรที่ไม่ดีมา เรามีภาพของน้องที่เรานั่งคุยกันมา เราจะมีความไว้ใจและวางใจว่า ครับ เค้ามีเหตุผลที่ดีบางอย่างที่ต้อง ทำอย่างนั้น มันมีความสุขนะ ที่เราเชื่อใจกันได้ จบครับ


อ๊บ : อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ พี่อ๊บมองว่าการไดอะล็อค คือการจำลองโลก มาอยู่ในครอบครัว เรามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในทุกๆด้าน แต่เราก็ยังเป็นมิตรต่อกัน ในที่นี้ไม่ใช่เพราะเราเป็นพี่น้องกัน เลยจำเป็นต้องเป็นมิตร แต่เพราะเรากำลังเรียนรู้ ความคิด ความรู้สึกของอีกฝ่าย เรายอมรับอย่างที่เค้าเป็นได้จริงๆ ลองคิดดูว่า คนกินเหล้าสูบบุหรี่กับคนที่ไม่ดื่มไม่สูบมานั่งคุยกันได้อย่างที่ไม่โทษกัน คนที่บูชาเงินคือพระเจ้ากับคนที่มีอะไรยกให้เค้าหมด มานั่งคุยกันได้ในวงเล็กๆอย่างเข้าใจยอมรับกัน มันจะเป็นอย่างไร ก็เลยมองว่า นี่เป็นจุดเล็กๆที่ทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น มันเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากอีกฝ่าย ถ้ามีวงแบบนี้ แล้วมันเกิดขึ้นรอบๆตัวเรามากขึ้น มันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพของสังคมหรือของโลกด้วยรึเปล่า
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
Moderator
นักโพสท์ระดับ 14
*****

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 15 พฤศจิกายน 2553 09:06:15 »

บทส่งท้าย : กระบวนการเรียนรู้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและที่สิ้นสุด


อ๊บ : ชวนให้เช็คเอาท์คนละคำสองคำเพื่อให้ไดอะล็อควันนี้จบอย่างสมบูรณ์ครับ


ปอ : สำหรับคืนนี้สนุกมากเลย เราคุยกันตั้งแต่ปอมาถึง 5โมงครึ่ง ตอนนี้อีก 15นาทีจะสี่ทุ่มแล้ว นานมากๆ แต่ก็สนุกที่สุดเท่าที่เคยคุยมาในวงไดอะล็อค โดยที่ไม่ต้องเล่นไพ่ด้วย จบครับ


กิ๊บก๊าบ : สำหรับกิ๊บก๊าบ ในครั้งนี้มันแปลกดี จริงๆทุกๆครั้งก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คราวนี้ก็เช่นกัน มันหาไม่ได้จากการคุยที่ไหนและกับใคร มันเป็นความทรงจำดีๆที่เราทำร่วมกันระหว่างพี่น้อง การคุยกันวันนี้มีเรื่องเยอะแยะ ไม่รู้ว่าไปได้ยังไง แต่มันก็ไปได้ แล้วก็มาจบที่อีกเรื่องนึงที่ไม่เกี่ยวกันเลย เหมือนเล่นรถไฟเหาะตีลังกา ไปช้าๆ แล้วก็หมุนๆ แล้วก็ลงจอดอย่างสวยงาม วันนี้มันเป็นแบบนั้น ตื่นเต้น สนุก ตลก ขำ เป็นการคุยที่ครบทุกอรรถรส และประทับใจไม่แพ้ครั้งแรกที่ได้รู้จักไดอะล็อคเลย


โอเปิ้น : มันก็คล้ายๆที่กิ๊บก๊าบว่าเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา แต่ที่ต่างออกไปก็คือ ถ้าเราสี่คนไปเล่นรถไฟเหาะแล้วลงมา ก็ไม่อาจจะรับรู้ได้อย่างเต็มที่ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรจริงๆ แต่ว่าในวงไดอะล็อคเราสามารถจะรับเค้าเข้ามาทั้งหมด เข้าใจเค้าจริงๆ และมีความสุขที่มีประสบการณ์ร่วมกันได้แบบจริงๆ


อ๊บ : ก็มองเห็นความมีเสน่ห์ของไดอะล็อคมานาน วันนี้ก็ตอกย้ำว่า ความสุขที่เราต้องการ อาจจะไม่ต้องไปเสียเงินเพื่อทำอะไร แค่ได้มานั่งพูดคุยกัน เป็นตุเป็นตะได้หลายชั่วโมง ก็มีความสุข ได้สัมพันธภาพ ได้การพัฒนาตัวตนภายใน แถมสิ่งที่แปลกๆก็คือเราจะไม่รู้ว่ามันจะเริ่มยังไง และจบยังไง อันนี้คือความสนุกและเสน่ห์ของวงไดอะล็อค แล้วมันก็มีชีวิตของมันเองในทุกๆครั้ง


ครับ เห็นถึงความแตกต่างหลากหลายของครอบครัวเราไหมครับ นี่ยังขาดอีก2 คน คือ น้องณัฐ อายุ 13 ปี เรียนชั้น ม.1 บ้านอยู่แถว นนทบุรี กับ กบ พี่ชายกิ๊บก๊าบ อายุ 26 ปีซึ่งเป็นนักบินทหารอากาศ ไปอยู่กองบินที่เชียงใหม่ แน่นอนว่า เรายังไม่สามารถเชื้อเชิญทั้งสองคนเข้ามาในวงไดอะล็อคได้ในตอนนี้ ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่พวกเราก็ไม่ละความพยายามหรอกครับ นอกจากนั้นในอนาคต เรายังวางแผนกันว่า พอรวบรวมเด็กๆในบ้านมาได้หมดแล้ว ต่อไปก็อาจเริ่มเชิญ พ่อๆแม่ๆเข้ามาร่วมวงด้วย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาครับ ผู้ใหญ่ก็ยังจับตาดูพวกเราอยู่ว่าทำอะไรกัน นั่งคุยกันแบบนี้มันจะได้เรื่องหรือไม่


แต่เท่าที่มีกันสี่คนตอนนี้ การได้พูดคุยกันทุกอาทิตย์ ด้วยเรื่องไร้สาระ ความรักและความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเรื่องใดๆ เรานัดกันไปนั่งร้านกาแฟบ้าง ไปดูหนังร่วมกันบ้าง เป็นกิจกรรมที่ทุกคนยินดีที่ได้มาเจอกัน ก็อยากให้ครอบครัวอื่นๆได้ลองนำสุนทรียสนทนาไปใช้กัน เริ่มวงเล็กๆในห้องนอน สักสองสามคน ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกันแบบพวกเราไงครับ แล้วก็มาแลกเปลี่ยนกันว่าครอบครัวของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ผมจะเปิดกระทู้รอไว้ในวงน้ำชานะครับ เอาล่ะ...มาจนถึงบรรทัดสุดท้ายแล้ว ผมจะขออนุญาตท่านผู้อ่านเรียกสภาวะแบบนี้ว่าเป็น สันติสุขในครอบครัวได้รึยังครับ
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.347 วินาที กับ 35 คำสั่ง

Google visited last this page 20 กุมภาพันธ์ 2567 05:55:24