[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 01:18:32 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ฟ้าสางทางมรดกที่ขอฝากไว้ ท่านพุทธทาส  (อ่าน 19192 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2553 09:53:05 »




คำนำ

ข้าพเจ้าไม่มีมรดกอะไร ที่จะฝากไว้กับเพื่อนพุทธบริษัท
ผู้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย นอกจากสิ่งที่ระบุไว้ในข้อความข้างล่างนี้
ด้วยความหวังว่า ถ้ายังมีการสืบมรดกนี้อยู่เพียงใด
กิจกรรมสวนโมกขพลาราม ก็จะยังคงมีอยู่ตลอดกาลนานเพียงนั้น และ "พุทธทาส"
ก็จะยังคงมีอยู่ในสถานที่นั้นๆ ตลอดกาลนานเพียงนั้น. ขอได้โปรดรับพิจารณากันเสียแต่บัดนี้
ซึ่งจะเป็นการง่ายในการสืบมรดกดังกล่าว. ขอให้ถือว่า เป็นมรดกธรรม
แก่บรรดาเพื่อนผู้มอบกายถวายชีวิต ในการสืบอายุพระศาสนา
เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลกเถิด มิได้เป็นเรื่องส่วนบุคคลแต่ประการใด.

ภาคหนึ่ง
มรดกที่เป็นเรื่องฝ่ายวัตถุธรรมและพิธีกรรม
(มรดกที่ ๑–๔๑)

ภาคสอง
มรดกที่เป็นเรื่องฝ่ายนามธรรมทางสติปัญญา
(มรดกที่ ๔๒–๑๘๙)

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2553 09:56:18 »

ภาคหนึ่ง
มรดกที่เป็นเรื่องฝ่ายวัตถุธรรมและพิธีกรรม


มรดกที่ ๑

ทุกคนสามารถเป็นพุทธทาสได้
ถ้าเขาต้องการโดยบริสุทธิ์ใจ คือรับใช้ในการเผยแผ่พุทธศาสนา
ด้วยการทำตัวอย่างในการปฏิบัติให้ดู มีความสุขให้ดู, จนผู้อื่นพากันทำตาม.

 
มรดกที่ ๒

ปณิธาน ๓ ประการควรแก่ผู้ที่เป็นพุทธทาสทุกคน
ถือเป็นหลักในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่โรคคือ
๑. พยายามทำตนให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ.
๒. พยายามช่วยกันถอนตัวออกจากอำนาจของวัตถุนิยม.
๓. พยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนา.

 
มรดกที่ ๓

ปณิธานข้อแรก คือการทำให้ทุกคนเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา
เพื่อให้เกิดการปฏิบัติดี-ตรง-เป็นธรรม-สมควรแก่การหลุดพ้น
เพื่อสนองพุทธประสงค์โดยตรงได้อย่างแท้จริง.

 
มรดกที่ ๔

ปณิธานข้อที่สอง คือการทำโลกให้ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม
หรือรสอันเกิดจากวัตถุทางเนื้อหนังนั้น
ควรเป็นกิจกรรมแบบสหกรณ์ ของคนทุกคนในโลก และทุกศาสนา
เพื่อโลกจะเป็นโลก สะอาด-สว่าง-สงบ จากสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน.

 
มรดกที่ ๕

ปณิธานข้อที่สาม คือการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา
นี้เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำเพราะโลกนี้ต้องมีมากศาสนา เท่ากับชนิดของคนในโลก,
เพื่อจะอยู่ร่วมโลกกันได้โดยสันติ และทุกศาสนาล้วนแต่สอนความไม่เห็นแก่ตัว
จะต่างกันบ้างก็แต่วิธีการเท่านั้น.


มรดกที่ ๖

สวนโมกข์ คือสถานที่ให้ความสะดวกในการเป็นเกลอกับธรรมชาติ
ทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ, ควรจัดให้มีกัน ทุกแห่งหน เพื่อการ ศึกษาธรรมชาติโดยตรง,
เพื่อการรู้จักกฎของธรรมชาติ, และเพื่อการชิมรสของธรรมชาติจนรู้จักรักธรรมชาติ
ซึ่งล้วนแต่ช่วยให้เข้าใจธรรมะได้โดยง่าย.


มรดกที่ ๗

สวนโมกข์ คือมหรสพทางวิญญาณ
เป็นสิ่งจำเป็นต้องมี สำหรับสัตว์ที่มีสัญชาตญาณแห่งการต้องมีสิ่งประเล้าประโลมใจ
อันเป็นปัจจัยฝ่ายวิญญาณเพิ่มเป็นปัจจัยที่ห้า ให้แก่ปัจจัยทั้งสี่อันเป็นฝ่ายร่างกาย.
ขอให้ช่วยกันจัดให้มีขึ้นไว้สำหรับใช้สอยเพื่อประโยชน์ดังกล่าวแล้ว แก่คนทุกคน.

 
มรดกที่ ๘

สวนโมกข์ฯ นานาชาติ
สำหรับแสงสว่างทางวิญญาณของเพื่อนมนุษย์ต่างชาติต่างภาษาโดยเฉพาะ,
เป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาเมื่อมองเห็นคนเหล่านั้นดิ้นรนเสาะแสวงหา เพื่อให้พบตัวของตัวเอง.
ขอฝากไว้ให้ช่วยกันจัดและรักษาที่จัดแล้วไว้สืบไป.

 
มรดกที่ ๙

มหรสพทางวิญญาณ เพื่อความเพลิดเพลินทางวิญญาณด้วยรสแห่งธรรมะ
เป็นสิ่งจำเป็นต้องมีเพื่อแทนที่มหรสพทางเนื้อหนัง
ที่ทำมนุษย์ให้เป็นปีศาจชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ตลอดเวลา.
มนุษย์ต้องมีความเพลิดเพลิน (Entertainment) เป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิต
จำเป็นที่จะต้องจัดหาให้ ให้ดี ๆ.

 
มรดกที่ ๑๐

สัญญลักษณ์เสาห้าต้นบนหลังคา
หมายถึงนิวรณ์ห้าปัญจุปาทานขันธ์ห้า พละห้าอินทรีย์ห้า ธรรมสาระห้า มรรคผลนิพพานห้า
แม้ที่สุดแต่นิ้วมือทั้งห้าของตนเอง ล้วนแต่เป็นเครื่องตือนใจในเรื่องการกำจัดความทุกข์ของคนเราทั้งสิ้น.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2553 09:57:41 »

มรดกที่  ๑๑

คติพจน์ หรือ Slogan ประจำสวนโมกข์
คือกินข้าวจานแมวอาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง ฯลฯ ดังนี้ เป็นต้นนั้น
เป็นหลักปฏิบัติเพื่อไม่มีปัญหาทางด้านการเป็นอยู่ฝ่ายวัตถุ
และเหมาะสมแก่การก้าวหน้าทางจิตใจโดยหลักธรรมชาติที่ว่า
กินอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระ ทำอย่างสูง นั่นเอง.


มรดกที่ ๑๒

ปริญญาจากสวนโมกข์มีอยู่ว่า "ตายก่อนตาย"
คือจิตหมดความรู้สึกว่าตัวกูของกูเสียก่อนแต่ที่ร่างกายจะตาย เหลืออยู่แต่สติปัญญาบริสุทธิ์ในชีวิต.
นี้เป็นสิ่งที่มีได้แต่เดี๋ยวนี้ ดังนั้นตายได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งมีกำไรชีวิตเท่านั้น.
 

มรดกที่ ๑๓

ภาษาคน-ภาษาธรรม
มีไว้สำหรับแยกกันใช้พูดให้ถูกต้องในระหว่างเรื่องทางวัตถุและเรื่องทางจิต
แล้วจะเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้อย่างถูกต้องลึกซึ้งสำเร็จประโยชน์.
อย่าใชัรวมกันหรือกลับกันจะเกิดการเวียนหัว.

 
มรดกที่ ๑๔

ระบบการใช้ภาษาคน-ภาษาธรรม เป็นสิ่งจำเป็นต้องมีอย่างแน่นอน
เพื่อใช้ในการศึกษาและสั่งสอนพุทธศาสนา เพราะธรรมะทั้งหมดมีที่ตรัสไว้
ทั้งโดยภาษาธรรมของคนธรรมดา (ปุคคลาธิษฐาน)
และภาษาธรรมของคนที่เห็นธรรมะแล้ว (ธรรมาธิษฐาน)
ดังนั้น จึงต้องสังเกตให้ดี ๆ ทั้งในการศึกษา การสั่งสอน การสนทนา
มิฉะนั้นจะเกิดอาการเวียนหัว.

 
มรดกที่ ๑๕

การล้ออายุและการให้ของขวัญวันล้ออายุ
อย่างที่กระทำกันอยู่ ที่สวนโมกข์นั้น มีผลทางจิตใจในความไม่ประมาทและรู้จักตัวเองดีขึ้น ทุกปี.
ขอฝากไว้สำหรับรักษากันไว้สืบต่อไปเพื่อความก้าวหน้าทางจิตใจของทุกคน.

 
มรดกที่ ๑๖

พุทธบริษัทที่แท้จริงไม่ควรมีแม้แต่เรื่องปวดหัวโดย
ไม่ต้องกล่าวถึงโรคประสาทหรือโรคจิต;
ทั้งนี้ เพราะอาศัยหลักธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่ว่า "ตถตา" หรือ "เช่นนั้นเอง"
คือการที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน
และจะต้องแก้ไขกันที่นั่น โดยไม่มีอะไรแปลก,
จึงขอฝากไว้ในฐานะเป็นมรดก.

 
มรดกที่ ๑๗

สาม ส. คือ สะอาด-สว่าง-สงบ
เป็นคุณลักษณะของพระอริยเจ้า และมีภาวะเป็นหัวใจของพระรัตนตรัย ในพุทธศาสนา
ขอฝากไว้เป็นมรดกแก่ทุกคน ในฐานะเป็นบทมนต์ประจำจิต.


มรดกที่ ๑๘

กฎบัตรของพุทธบริษัท
ที่ได้ช่วยกันทำขึ้นไว้แล้ว อย่างถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา
สำหรับพุทธบริษัทถือเป็นหลักปฏิบัติ เพื่อความถูกต้องเป็นผลดีและสะดวกดาย
ในการเป็นผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน ไม่ตกไปสู่ปลักหนองของไสยศาสตร์และวัตถุนิยม.
ขอฝากไว้เป็นมรดก ตลอดกาลนาน.

 
มรดกที่ ๑๙

วรรณกรรมชุดธรรมโฆษณ์-จากพระโอษฐ์- ลอยปทุม -หมุนล้อธรรมจักร
ขอฝากไว้เป็นมรดกอนุสรณ์ของผู้ประคองจิตร้อย-กรอง แล้วประคองปล่อยลงสู่ธรรมวารี
คือห้วงหฤทัยแห่งท่านสาธุชนทั้งหลาย ทั่วพื้นปถพี
เพื่องอกงามในห้วงแห่งธรรมวารีนั้น
ตลอดกัลปาวสาน อย่ารู้สิ้นสุด.

 
มรดกที่ ๒๐

บทสวดมนต์แปลแบบสวนโมกข์
คือสวดมนต์แปลที่ได้พยายามกระทำให้สวดกันได้ลื่น สละสลวย,
ได้เลือกมาเฉพาะเนื้อความ ที่เป็นหลักธรรมเข้มข้นและรัดกุม
ใช้เป็นอารมณ์แห่งสมาธิและวิปัสสนาไปได้ในตัว.
ขอฝากไว้ให้ใช้สวดกันตลอดกาลนาน.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2553 09:59:27 »

มรดกที่  ๒๑

การตักบาตรสาธิตแบบที่ทำกันอยู่ในสวนโมกข์เป็นการศึกษาอยู่ในตัว
ว่าจะสามารถเลี้ยงพระจำนวนร้อยได้อย่างไร?, สะดวกเท่าไร?, ควบคุมกิเลสได้โดยวิธีไหน?.
ขอให้ช่วยกันรักษาพิธีกรรมแบบนี้ไว้ เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การพิทักษ์รักษาพุทธศาสนาไว้โดยวิธีประหยัด
ไม่ยุ่งยากลำบาก และรักษาแบบฉบับโบราณ นับแต่สมัยพุทธกาล เป็นต้นมา.

 
มรดกที่ ๒๒

สระมะพร้าวนาฬิเกร์
คือบทเรียนด้วยของจำลองมาจาก บทกล่อมลูกให้นอนของประชาชน
ที่แสดงว่า สมัยโน้นประชาชนได้เข้าถึงธรรมะสูงสุดกันเพียงไร
จนถึงกับนำเอาเรื่องของพระนิพพาน มาทำเป็นบทเพลงกล่อมลูกได้.
ขอให้รักเกียรติของบรรพบุรุษในข้อนี้ และทำตนให้สมกับเป็นลูกหลานของท่าน จงทุกคนเถิด.

 
มรดกที่ ๒๓

การแสดงธรรมในรูปของการแสดงปาฐกถา
ซึ่งบางคราวถึงกับต้องยืนพูดนั้น ไม่ผิดธรรมวินัยแต่ประการใด สะดวกและเหมาะสมแก่สมัย
ทำให้การเผยแผ่พระศาสนเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลดี
ไม่จำเป็นต้องถือตามตัวอักษรเพราะระเบียบวัฒนธรรมคนละยุค คนละสมัย.


มรดกที่ ๒๔

หลักการที่ถือกันอยู่ในสวนโมกข์ ว่าไม่ยินดีต้อนรับคนที่ล้างจานข้าวไม่เป็น
กินแล้วต้องให้คนอื่นช่วยล้างจานนั้น เป็นหลักการทีไม่ขัดกับหลักพุทธศาสนา
ไว้คัดเลือกคนที่เหมาะสมสำหรับจะพักอยู่ในวัดเพื่อการปฏิบัติธรรม
เพราะมีจิตใจสมคล้อยกับหลักแห่งการไม่เห็นแก่ตัว หรือเอาเปรียบผู้อื่น.
ขอให้ช่วยกันรักษาไว้เป็นมรดกสืบทอดต่อไปเถิด.


มรดกที่ ๒๕

การหนุนหมอนไม้เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงชักชวนไว้โดยตรง
เพื่อฝึกฝนการเป็นคนไม่มักมากในการนอน.
มารไม่ได้โอกาสครอบงำคนไม่เห็นแก่นอน มีความเข้มแข็งว่องไว
ทั้งทางกายและทางจิต บรรพชิตและนักรบสมัยโน้น จึงหนุนหมอนไม้ โดยเฉพาะพวกกษัตริย์ลิจฉวี.

 
มรดกที่ ๒๖

ขอคัดค้านคำกล่าวที่ว่า "งานคือเงิน - เงินคืองาน"
ว่าเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา
ซึ่งสอนให้ทำงานในฐานะเป็นหน้าที่ ที่ถูกต้องสำหรับสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด
มิใช่ทำงานเพื่อหาเงินมาปรนเปรอชีวิตให้หลงระเริงในอบายมุข
หรือความเริงรมย์ต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่อง "บ้าวูบเดียว".
ขอฝากมรดกการคัดค้านนี้ไว้ด้วย.


มรดกที่ ๒๗

เคล็ดลับของแบบเซ็น นั้นคือวิธีเดิมแท้ในพุทธศาสนา
ที่บวกสมถะเข้ากับวิปัสสนาให้ทำงานร่วมกัน
ในขณะที่มีสมาธิและเพ่งพิจารณาเพื่อเข้าถึงสภาพเดิมของจิต คือความไร้กิเลส
ได้โดยฉับพลัน ไม่แยกกันทำทีละอย่าง เพราะความยึดมั่นเฉพาะอย่าง.
หลักนั้นมีว่า ฌานไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน.


มรดกที่ ๒๘

หลักการที่ว่า เอาเชื้อโรคมาแก้ไขโรค
นั้นนำมาใช้ได้ในการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา
โดยเอากำลังของความโลภ มาละโมบในการทำความดีหรือบุญกุศล;
เอากำลังของความโกรธมาอาฆาตโกรธแค้น ต่อกิเลสและความทุกข์ เพื่อทำลายเสียในฐานะศัตรู;
เอากำลังของโมหะ มาหลงในการทำความดีขั้นต้น ๆ แทนการหลงชั่ว.
ทั้งนี้ เพราะเรามีสิ่งทั้งสามนี้เป็นเดิมพันอย่างรุนแรงอยู่ในจิตใจ กันอยู่แล้วอย่างเต็มที่.

 
มรดกที่ ๒๙

การมีธรรมตลอดวันตลอดคืนเป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ยาก
คือเมื่อจะทำหน้าที่ใด ๆ ในชีวิตประจำวัน
ก็ทำโดยรู้สึกต่อความจริงข้อหนึ่งอยู่ในใจว่า "หน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ"
เพราะหน้าที่เป็นสิ่งที่สามารถกำจัดปัญหาได้ทุกชนิดและนำมาซึ่งผลดี อันพึงปรารถนา
ข้อนี้ตรงกับความหมายของคำว่า "ธรรม" คือสิ่งที่ช่วยผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกลงสู่ความทุกข์;
ดังนั้นเมื่อทำหน้าที่ตลอดวัน ก็มีธรรมะได้ตลอดวัน.
แม้การพักผ่อนก็เรียกว่าหน้าที่ ที่ต้องทำด้วยเหมือนกัน คือจะได้มีกำลังในการทำหน้าที่.

 
มรดกที่ ๓๐

มหาปเทสฝ่ายวินัย ตามแบบพระวินัย
ขอฝากไว้ ให้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น ต้องนำมาใช้ในโลกปัจจุบัน ซึ่งเจริญด้วยวัตถุ
จนเต็มไปด้วยวัตถุชนิดที่เป็นปัญหาทางศีลทางวินัย ทั้งแก่บรรพชิตและฆราวาส.
ขอให้ศึกษามหาปเทสนั้นอย่างแตกฉาน เพื่อป้องกันความงมงาย.
บันทึกการเข้า
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 7.0.517.44 Chrome 7.0.517.44


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2553 09:59:48 »






ธุ....อรุณสวัสดิ์ พี่ แป๋ม พี่สาวที่แสนดี



<a href="http://www.youtube.com/v/9cefqqyj3ZQ?fs=1&amp;amp;hl=en_US" target="_blank">http://www.youtube.com/v/9cefqqyj3ZQ?fs=1&amp;amp;hl=en_US</a>


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 พฤศจิกายน 2553 10:07:37 โดย 時々sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2553 10:01:11 »

มรดกที่  ๓๑

มหาปเทสฝ่ายธรรมในมหาปรินิพพานสูตร
เป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ ควบคู่กันกับหลักตัดสินธรรมวินัย ในโคตมีสูตร,
เพื่อว่าถูกต้องสมบูรณ์ในการตัดสินความถูกต้องซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับพุทธบริษัทแห่งยุคปัจจุบัน
ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาและนับวันจะเพิ่มมากขึ้นทุกที.
วิธีการณ์อย่างนี้ ได้เคยใช้ประสบผลดีมาแล้ว จึงขอฝากไว้เป็นมรดกเพื่อใช้กันสืบไป.

 
มรดกที่ ๓๒

ปฏิจจสมุปบาท แบบ "ฮัมเพลง"
(ในโยคักเขมวรรค สฬายตนสังยุตต์ สํ.)
เป็นสูตรที่ตรัสไว้อย่างเข้าใจได้ง่าย ปฏิบัติได้ง่าย กว่าแบบทั่วไป.
ควรทำความเข้าใจกับแบบนี้เสียก่อน แล้วจึงพิจารณาแบบทั่วไป.
แต่การปฏิบัติยังเป็นอย่างเดียวกัน คือมีสติเมื่อผัสสะ
(รายละเอียดหาดูได้ จากปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์).

 
มรดกที่ ๓๓

การใช้หลักอิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท-ตถตา-สุญญตา
เป็นอมฤตโอสถซึ่งทำให้อยู่เหนือความตาย หรือเหนือการเวียนว่ายตายเกิด
เพราะทำให้หมดตัวตนและของตนนั้น
เป็นกิจกรรมประจำวันของพุทธบริษัทที่แท้จริง เป็นทางลัดสั้นที่สุด มีผลดีที่สุด
จึงขอฝากไว้เป็นมรดกในฐานะเป็นสิ่งที่เคยใช้ได้ผลดีมาแล้ว.

 
มรดกที่ ๓๔

บาลีวิมุตตายตนสูตร เป็นหลักธรรมที่ควรสนใจเป็นพิเศษ
คือบอกให้รู้ว่า คนเราสามารถบรรลุธรรมได้ถึง ๕ เวลา คือ
เมื่อกำลังฟังธรรมอยู่,
เมื่อกำลังแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟังอยู่,
เมื่อกำลังสาธยายธรรมอยู่,
เมื่อเพ่งธรรมอยู่,
และ เมื่อพิจารณาใคร่ครวญธรรมอยู่;
นับว่าโอกาสมีมาก ในการบรรลุธรรม
แต่พวกเราพากันประมาทเสีย จึงไม่ฉวยเอาได้ แม้แต่โอกาสเดียว.

 
มรดกที่ ๓๕

การใช้หลักกาลามสูตร ๑๐ ประการให้ถูกต้องและครบถ้วน
เป็นหลักการและวิธีการณ์อันแน่นอน ในการที่จะรักษาพุทธศาสนาไว้ได้
และในลักษณะที่จะเป็นที่พึ่งได้ อย่างแท้จริง และเป็นการสืบอายุพุทธศาสนา ที่ตรงตามพุทธประสงค์,
ได้เคยใช้วิธีการนี้อยู่เป็นประจำ และสำเร็จประโยชน์ เต็มตามความหมาย
จึงขอนำพิธีกรรมอันนี้ มาฝากไว้เป็นมรดก.

 
มรดกที่ ๓๖

การศึกษาสติปัฏฐานสี่จากอานาปานสติสูตร ได้ผลดีกว่าจาก มหาปัฏฐานสูตร
ซึ่งกล่าวไว้อย่างยืดยาวมีลักษณะกำกวม ฝั่นเฝือ ไม่มี ลำดับติดต่อกันอย่างชัดแจ้ง,
เพียงแต่อ่านอย่างเดียวก็กินเวลาหลายชั่วโมง. ส่วนข้อความจากอานาปานสติสูตรนั้น
ติดต่อกันเป็นสาย๑๖ขั้น จนตลอดเรื่อง นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติไปจนกระทั่งถึงการรู้ว่าบรรลุผลสำเร็จแล้ว
และเป็นหลักที่พระองค์ทรงยืนยันว่า ได้อาศัยหลักนี้ในการตรัสรู้ของพระองค์เอง.
ขอให้พิจารณากันให้ดี และขอฝากข้อเท็จ จริงอันนี้ไว้เป็นมรดกด้วย.

 
มรดกที่ ๓๗

สุญญตาสำหรับฆราวาส แม้ที่เป็นผู้หญิงและเด็ก
คือมีสติสัมปชัญญะ ไม่ให้เกิดความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด
จนเกิดความรัก-โกรธ-เกลียด-กลัว-วิตกกังวล-อาลัยอาวรณ์-อิจฉาริษยา-หวง-หึง
ด้วยอำนาจความรู้สึกเป็นตัวกูของกู.
ขอยืนยันว่าข้อนี้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ตาม สติกำลัง และควรปฏิบัติ.
ขอฝากไว้เป็นมรดกพิเศษสำหรับฆราวาส.

 
มรดกที่ ๓๘

หลักการตามรอยพระอรหันต์ที่ใช้ได้ร่วมกัน
ทั้งสำหรับฆราวาสและบรรพชิต คือการดำรงชีวิตชนิดที่เป็นการขูดเกลากิเลส
และ บรรเทาความเคยชินที่จะเกิดกิเลส (อนุสัย) อยู่ตลอดเวลา
โดยมีสติสัมปชัญญะ ในขณะสัมผัสอารมณ์ ไม่ปล่อยให้ปรุงเป็นโลภะ โทสะ โมหะขึ้นมา,
หรือถ้าปรุงแล้วก็มีสติปิดกั้นการปรุงนั้นเสีย.

 
มรดกที่ ๓๙

"งามอยู่ที่ซากผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย"
นี้คือของเก่าที่ปัดฝุ่นแล้วนำมาใช้ใหม่ เพื่อรักษาสติปัญญาของบรรพบุรุษไว้
ว่าเคยเฉียบแหลมลึกซึ้งอย่างไร แล้วลูกหลานชั้นหลังก็จะมีสติปัญญาไม่น้อยไปกว่าบรรพบุรุษ
ก็จะเป็นพุทธบริษัทได้เต็มตามความหมาย
โดยไม่เอานิพพานไปเก็บไว้ สำหรับตายแล้วตายอีกหลายหมื่นหลายแสนชาติ จึงจะได้ผล.
ขอให้ช่วยกันรักษามรดกข้อนี้ของบรรพบุรุษกันเถิด.

 
มรดกที่ ๔๐

ขอให้เรามีความมุ่งหมายเป็นพิเศษกันไว้สักข้อหนึ่ง
ว่าไม่เร็วก็ช้า จะมีโลกสักยุคหนึ่ง อันเป็นโลกสมบูรณ์ด้วยธรรมะ
โดยที่ทุกคนทำหน้าที่ของตน ๆ โดยมีสติสัมปชัญญะรู้สึกอยู่ในใจว่า
หน้าที่อันถูกต้องนั่นแหละคือธรรม ที่จะช่วยให้คนเราอยู่เหนือปัญหาทั้งปวงได้.
ทั้งนี้เป็นสิ่งที่มีได้ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ.
จงให้ปัจจัยแห่งความเปลี่ยนแปลงเพื่อความเป็นอย่างนี้ แก่โลกเถิด.

 
มรดกที่ ๔๑

ถ้าคนทั้งโลกเขาไม่เห็นด้วยในการทำโลกให้มีธรรมะ
เพราะเห็นว่าเหลือวิสัย ก็ตามใจเขา,
เราคนเดียวก็อาจจะทำตนเองให้ดับทุกข์ได้ด้วยธรรมะอย่างถึงที่สุด,
ดังนั้น อย่าได้ท้อใจเลยในการที่คนทั้งหลายเขาไม่สนใจใยดีกับธรรมะ.


 
ทั้งหมดนี้เป็นมรดกฝ่ายวัตถุธรรมและพิธีกรรม เป็นภาคหนึ่งของมรดกที่มอบไว้ ในฐานะเป็นมรดก.
ต่อไปนี้ เป็นมรดกฝ่ายนามธรรม ที่ได้เคยค้นคว้าสังเกตศึกษาและทดลองปฏิบัติมาแล้ว มีผลเป็นที่น่าพอใจ
จึงขอสรุปไว้เป็นข้อ ๆ นำมามอบไว้ในที่นี้ ในฐานะเป็นมรดกเช่นเดียวกัน.
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2553 11:06:23 »

สาธุ ขอบคุณครับ อ.ป้าแป๋ม
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2553 15:44:49 »





ภาคสอง
มรดกที่เป็นเรื่องฝ่ายนามธรรมทางสติปัญญา


มรดกที่  ๔๒

พุทธะ ผู้รู้–ผู้ตื่น–ผู้เบิกบาน
ตรงกันข้ามจากไสยซึ่งหมายถึงหลับสงสัย–สะดุ้งหวาดผวา อยู่ตลอดเวลา.
การที่จะเป็นพุทธะหรือเป็นไสยต่างกันอย่างตรงกันข้ามที่ตรงนี้.

 
มรดกที่ ๔๓

การมีพระพุทธรูปไว้กราบไหว้หรือแขวนคอกันในบัดนี้
มีทั้งที่ เป็นไสยศาสตร์ คือถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกัน หรือเป็นเครื่อง รางของขลัง,
และที่เป็นพุทธศาสตร์ คือวัตถุอนุสสติ หรืออย่างมากก็เป็นเพียงปูชนียวัตถุ.
พุทธบริษัทจะต้องระวังสังวร กันไว้ให้ดี ๆ ไม่เสียเกียรติของพุทธบริษัท
กลายเป็นผู้ถือลัทธิบูชาวิญญาณ (ANIMISM) ไปเสีย.

 
มรดกที่ ๔๔

การมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร เป็นสิ่งที่ต้องสนใจกันให้มาก
ให้สมกับที่ตรัสไว้ว่า "ถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ทั้งหลายที่มีการเกิด–แก่–เจ็บ–ตาย
จักพ้นจากการเกิด–แก่–เจ็บ–ตาย " พวกเรากลับมาถือกันเสียว่า
เรามีการเกิด–แก่–เจ็บ–ตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นการเกิด–แก่–เจ็บ–ตาย ไปได้อย่างน่าสังเวช.

 
มรดกที่ ๔๕

พระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลนั้น ๆ มักจะเป็นภูเขาหิมาลัย
บังธรรมะสำหรับเขา
เพราะเป็นพระพุทธเจ้าแห่งอุปาทาน และตามอุปาทานของเขา.
ดังนั้น จงรู้จักพระพุทธเจ้า ให้ถูกตรงพระองค์จริงกันเถิด.

 
มรดกที่ ๔๖

พระพุทธองค์ท่านมีการตรัสทั้งโดยภาษาคนและภาษาธรรม
ต้องฟังให้ดี เช่นตรัสโดยภาษาคน ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน",
แต่ตรัส โดยภาษาธรรม ว่า "ตัวตนของตนนั้นไม่มี" ดังนี้
ถ้าฟังไม่ดีจะไม่รู้เรื่อง และเห็นว่าเป็นคำพูดที่ขัดกัน.
ถ้ารู้จักฟังโดยหลักภาษาคน–ภาษาธรรมแล้ว จะไม่มีขัดกันเลย, ดังนี้เป็นตัวอย่าง.

 
มรดกที่ ๔๗

ตรัสว่า แต่ก่อนก็ดี บัดนี้ก็ดี เราบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์
กับความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น
ดังนั้น พวกเราอย่าต้องเสียเวลา ในการศึกษา การถาม การเถียง
กันด้วยเรื่องอื่นที่มิใช่สองเรื่องนี้ กันอีกเลย.

 
มรดกที่ ๔๘

พระพุทธองค์มิได้ทรงเสียเวลาในการกระทบกระทั่ง
หรือยกเลิกลัทธิคำสอนของเก่าก่อนพระองค์
หากแต่ทรงแสดงเรื่องของพระองค์ที่ดีกว่า–จริงกว่า–มีประโยชน์กว่า
ให้ผู้ฟังเลือกเอาเอง อย่างมีเหตุผล จึงไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น
อย่างรุนแรงเหมือนกับที่เกิดแก่ ศาสดาอื่นบางองค์.

 
มรดกที่ ๔๙

การมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ปรุงขึ้นตามทัศนะของ บุคคลนั้นๆ
ทำให้เป็นปัญหามาก และไม่ถูกพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์องค์จริง
ซึ่งมีหัวใจเป็นความสะอาด–สว่าง–สงบ
เพราะว่างจากกลิ่นไอและความหมายแห่งตัวกู–ของกู.

 
มรดกที่ ๕๐

ไสยศาสตร์คือลัทธิหลับ (ด้วยอวิชชา)
พุทธศาสตร์คือลัทธิตื่นจากหลับ (ประกอบอยู่ด้วยวิชชา)
ดังนั้น จงระวังการกระทำ ที่เกี่ยวกับพระพุทธรูปหรือพระเครื่อง;
เพราะมีได้ทั้งที่เป็นพุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์ แล้วแต่ว่าผู้นั้น
ทำไปด้วยวิชชาหรือด้วยอวิชชา อุปาทาน.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2553 09:36:59 »


มรดกที่  ๕๑

หลักการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ต้องข้ามภพข้ามชาติ(เข้าโลง)
ล้วนแต่เป็นสันทิฏฐิโก–อกาลิโก คือปรากฏแก่ใจ ในทันทีที่กระทำและรับผลของการกระทำ.
ส่วนที่เนิ่นนานไปจากนั้น เป็นเพียงผลพลอยได้ฝ่ายวัตถุธรรมในความรู้สึกของบุถุชนธรรมดา.

 
มรดกที่ ๕๒

สิ่งที่เรียกกันว่า "ตัวตน" นั้นเป็นเพียงมายา
คือเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ อันปรุงแต่งขึ้นมาจากตัณหา หรือความอยาก
ด้วยอำนาจอวิชชา ที่เกิดขึ้นในจิตโดยธรรมชาติอัตโนมัติ,
เป็นเพียงความรู้สึกผิด ๆ ของสิ่งที่เรียกว่าอุปาทาน อันเกิดมาจากตัณหา,
มิได้เป็นตัวตนอันแท้จริง เป็นเพียงความรู้สึกลม ๆ แล้ง ๆ แต่ก็มีความเข้มข้น จนผู้รู้สึกรู้สึกว่าเป็นตัวตน.

 
มรดกที่ ๕๓

การจำแนกธรรมะเป็น ๔ ความหมาย ให้ความสะดวกในการศึกษาธรรมะอย่างทั่วถึง
คือรู้จัก ตัวธรรมชาติ–กฏของธรรมชาติ–หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ และผลอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น จนสามารถดำรงชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติปราศจากปัญหาใด ๆ.

 
มรดกที่ ๕๔

ธรรมะมีความหมายหลายอย่าง
ถ้าเอาใจความเพียงอย่างเดียว ก็คือหน้าที่
ที่ได้กระทำอย่างถูกต้อง แก่สถานภาพของผู้ปฏิบัติ ตามกฎของธรรมชาติ
เพื่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกฝ่าย ทุกกาละและเทศะ.

 
มรดกที่ ๕๕

ธรรมะทั้งหมดในทางปฏิบัติ อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท
คือ ธรรมะเครื่องมือ และธรรมะผลที่ประสงค์ : สีล–สมาธิ–ปัญญาเป็นธรรมะเครื่องมือ,
มรรค–ผล–นิพพานเป็นธรรมะผลที่ประสงค์.
แม้ธรรมะที่เป็นเครื่องมือ ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
คือ ธรรมะหลัก เช่น สติปัฏฐานสี่ และธรรมะอุปกรณ์ เช่นอิทธิบาทสี่ หรือสัมมัปปธานสี่.
จงรู้จักธรรมะที่จะใช้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกรณี.

 
มรดกที่ ๕๖

จงทำให้งานของท่าน ทุกชิ้นทุกอนุภาค กลายเป็นธรรมะ
ด้วยความมีสติสัมปชัญญะรู้สึกอยู่ว่าหน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ;
แล้วท่านก็จะมีธรรมะ อยู่ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ทุกสถานที่ แล้วทำงานทุกอย่างได้สนุกเหมือนเล่นกีฬา
มีความสุขเสียแล้วในขณะที่ทำงานไม่ต้องไปหาสถานเริงรมย์ อบายมุข หรือยาเสพติด.
 

มรดกที่ ๕๗

ธรรมะคือสิ่งที่เรียกกันในภาษาไทยว่า "หน้าที่" ของทุกสิ่งที่มีชีวิต
อันเขาจะต้องทำเพื่อความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อสังคม
แม้จะแปลคำคำนี้กันว่า คำสั่งสอน การเรียนการปฏิบัติ
ความหมายสำคัญก็ยังคงอยู่ที่ความเป็นหน้าที่เพื่อความรอด
ดังนั้น เมื่อใดมีการทำหน้าที่ เมื่อนั้นก็คือการปฎิบัติธรรม.
 

มรดกที่ ๕๘

ธรรมะในโบสถ์–หรือธรรมะกลางทุ่งนา
ก็เป็นธรรมะอย่างเดียวกัน
เมื่อประพฤติกระทำในฐานะที่เป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง
เพื่อความรอดอันแท้จริง.

 
มรดกที่ ๕๙

สิ่งที่เป็นนิรันดร–อมิตาภะ–อมิตายุ–อกตะ–อมตะ–อสังขตะ นั้นมีอยู่ ๓ อย่าง
คือ กฏธรรมชาติ๑ ความว่าง๑ นิพพาน๑.
สามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น แม้แต่พระเจ้าก็สร้างไม่ได้
เพราะมีฐานเป็นพระเจ้าเสียเอง.

 
มรดกที่ ๖๐

พุทธศิลป์ที่แท้จริงมิใช่วัตถุศิลป์อย่างที่เข้าใจกัน
แต่เป็นระบบ การกระทำด้วยสติปัญญาที่ดับทุกข์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ดังที่พระพุทธ องค์ได้ทรงประกาศไว้
อย่างมีความงามในเบื้องต้น–ท่ามกลาง–เบื้องปลาย
ในภายในจิตของสัตว์.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2553 09:39:18 »


มรดกที่  ๖๑

ธรรมะคือระบบการปฏิบัติ ที่ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ของตน
ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เกิดจนตาย
ทั้งเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น,
เรียกสั้น ๆ ว่า "หน้าที่".
นั่นแหละ คือพระเป็นเจ้าผู้ช่วยให้รอดอย่างแท้จริง.

 
มรดกที่ ๖๒

ธรรมะมีไว้ช่วยให้อยู่ในโลกอย่างชนะโลก หรือเหนือโลก
มิใช่ให้หนีโลก แต่อยู่เหนืออิทธิพลใด ๆ ของโลก ไม่ใช่จมอยู่ในโลก.
มักสอนให้เข้าใจกันผิด ๆ ว่า ต้องหนีโลก ทิ้งโลก สละโลก
อย่างที่ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใครเลย.

 
มรดกที่ ๖๓

ธรรมะเป็นสิ่งที่อธิบายยากเพราะคำพูดของมนุษย์มีไม่พอ
คือไม่มีคำสำหรับใช้กับสิ่งที่มนุษย์ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน;
ดังนั้น จึงต้องพยายามพูดและพยายามฟัง จนเข้าใจหรือรู้จัก
โดยความหมาย ทั้งในภาษาคนและภาษาธรรม พร้อมกันไป.

 
มรดกที่ ๖๔

ธรรมะมิใช่ตัวหนังสือหรือเสียงแห่งการแสดงธรรม แต่เป็นการกระทำหน้าที่ที่ถูกต้อง
ของผู้ปฏิบัติแต่ละคน อยู่ทุกอิริยาบท–ทุกเวลา–ทุกสถานที่
อย่างถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน และผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกัน,
จึงจะเป็นธรรมะที่ถูกต้องตามหลักแห่งพุทธศาสนา
อันนำมาซึ่งความสงบสุขได้จริง.

 
มรดกที่ ๖๕

ศีลธรรมกลับมา เพื่อโลกาสงบเย็น,
ปรมัตถธรรมกลับมา เพื่อโลกาสว่างไสว
ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ,
ถ้าปรมัตถธรรมไม่กลับมา โลกาจะมืดมนท์;
ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันทำให้กลับมา
ในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีสำหรับโลก.

 
มรดกที่ ๖๖

ไม่ต้องอาลัยอดีต–ไม่ต้องพะวงอนาคต
ขอแต่ให้ทำหน้าที่ของตน อย่างถูกต้องในปัจจุบัน
ก็เพียงพอแล้วที่จะไม่เป็นทุกข์
และไม่เป็นปัจจัยแก่สัสสตทิฎฐิ
คือตัวตนที่เวียนว่ายไปในวัฏฏะ.

 
มรดกที่ ๖๗

ก ข ก กา ของพุทธศาสนา
มิได้ตั้งต้นที่พระรัตนตรัย, แต่ตั้งต้นการศึกษาที่การกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ว่าได้ก่อให้เกิดวิญญาณ–ผัสสะ–เวทนา อย่างไร?
จนกระทั่งเกิดตัณหา อุปาทาน แล้วเกิดทุกข์;
ควบคุมการเกิดเหล่านี้ได้ ก็จะดับทุกข์ได้
แล้วก็จะมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ขึ้นมาเอง.

 
มรดกที่ ๖๘

โลกทั้งหมดสำเร็จอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะเรามีตา ฯลฯ, โลกจึงมี และเกิดกรณีต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาขึ้น
เพราะไม่รู้ความจริงของเรื่อง ตา ฯลฯ หรือโลก อย่างถูกต้องนั่นเอง. (น.๑๒๑)

 
มรดกที่ ๖๙

ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดทุกข์ เกิดขึ้นทุกคราวที่จิตมีตัณหา
คือโง่เมื่อมีผัสสะโง่เวทนาโง่ เพราะอำนาจของอวิชชาจนเกิดตัณหา หรือมีกิเลสครอบงำ;
ดังนั้น ระวังอย่าโง่ เมื่อมีผัสสะใด ๆ ให้ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทุกข์เกิดขึ้น.

 
มรดกที่ ๗๐

ปฏิจจสมุปบาทมีขึ้นรอบหนึ่งทุกครั้งที่มีการสัมผัสอารมณ์ด้วยอวิชชา
หรือพูดได้ว่า ทุกครั้งที่มีจิตเศร้าหมองด้วยการปรุงแต่งของอวิชชา;
มิใช่มีอย่างคร่อมภพคร่อมชาติ ถึงกับปฏิจจสมุปบาทรอบเดียวคร่อมชาติสามชาติ
เหมือนที่แนะนำสั่งสอนกันอยู่โดยมากจนกลายเป็นสัสสตทิฎฐิไป.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2553 09:41:18 »


มรดกที่  ๗๑

การปฎิบัติที่ดูเหมือนมิได้ปฏิบัติอะไรเลย
คือ การปฏิบัติทางจิตใจ ให้รู้สึกพอใจอยู่ในความว่างจากตัวตนของตน,
กระทำหน้าทีทุกอย่างกลมกลืนอยู่กับกฏของธรรมชาติ
ทำงานเพื่อหน้าที่ มิใช่ทำเพื่อประโยชน์แก่ตัวกู–ของกู.
 

มรดกที่ ๗๒

ภาษาธรรมะชั้นสูง ก็ล้วนแต่เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาชาวบ้าน
จงพยายามถือเอาความหมายในภาษาชาวบ้านให้มากที่สุด
ก็จะเข้าใจคำนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องและถึงที่สุด ได้โดยง่าย,
เช่น นิพพาน คือเย็น.
มรรค คือหนทาง.
ผล คือลูก.
กิเลส คือสิ่งสกปรก.
สังโยชน์ คือผูกมัด.
อาสวะ คือสิ่งกดดันออกมาจากการหมักดอง.
พุทธะ คือตื่นจากหลับ.
ธรรมะ คือหน้าที่.
สังฆะ คือหมู่ของสิ่งที่พึงปรารถนา.

 
มรดกที่ ๗๓

มนุษย์สูญ คือผู้ที่มีจิตใจกำลังปราศจากความยึดมั่นถือมั่น
คือไม่รู้สึกยึดมั่นในความหมาย ที่เป็นตัวตนหรือของตน
ด้วยอุปาทานไปตามอำนาจของอวิชชา.
จงมาเป็นมนุษย์สูญ(ว่าง)กันเถิดจะเบาสบาย
เฉลียวฉลาดปราศจากอคติใด ๆ
มีจิตใจเหมาะสมแก่การงานทุกชนิด โดยอัตโนมัติ.

 
มรดกที่ ๗๔

เมื่อจิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น
ซึ่งหลงยึดมั่นในคุณค่า อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน
ตามสมมติสัจจะว่า "ตัวตน" แล้ว ดี–ชั่ว บุญ–บาป กิเลส–โพธิ
หรืออะไรที่บัญญัติกันว่าเป็นของคู่ตรงกันข้ามนั้น
ก็จะเป็นของที่เท่ากัน หรือเป็นสิ่งเดียวกัน
เช่นเป็นเพียงสังขารเสมอกัน เป็นสมมติบัญญัติที่เท่ากัน เป็นต้น.

 
มรดกที่ ๗๕

เรามีนรกสวรรค์หรือนิพพานชนิดที่เป็นสันทิฏฐิโก
ที่สัมผัสได้กันที่นี่ กันดีกว่า จริงกว่า กว่าชนิดที่คิดว่าจะมีกันต่อเมื่อตายแล้ว,
ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า อายตนิกนิริยะอายตนิคสัคคะ และสันทิฏฐิกนิพพาน.
ขอให้รู้จักกันไว้ให้ดี ๆ เถิด จะได้เป็นพุทธบริษัทสมชื่อ.

 
มรดกที่ ๗๖

แผ่นดินเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร ประทับอยู่อาศัย และดับขันธปรินิพพาน
ของพุทธองค์ ตลอดพระชนมชีพ จึงเหมาะสมที่จะใช้เป็นที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม
เกินกว่าที่จะจัดเป็น "บรมมหาวิทยาลัย"
เมื่อนำไปเทียบกับมหาวิทยาลัยในโลกปัจจุบัน.
ดังนั้น เราน่าจะนั่งเรียนธรรมะกันกลางดิน
ยิ่งกว่านั่งเรียนบนตึกราคาล้าน ๆ.

 
มรดกที่ ๗๗

กฏเกณฑ์ เกี่ยวกับลำดับชั้นของนิวรณ์–กิเลส–อนุสัย–อาสวะ ที่ควรรู้จัก
คือ เกิดโลภครั้งหนึ่งก็สะสมราคานุสัยไว้หน่วยหนึ่ง,
เกิดโกรธครั้งหนึ่ง ก็สะสมปฏิฆานุสัยไว้หน่วยหนึ่ง,
เกิดหลงครั้งหนึ่งก็สะสมอวิชชานุสัยไว้หน่วยหนึ่ง,
สำหรับจะเกิดกิเลสนั้น ๆ ได้โดยง่าย สะสมไว้ในสันดาน
กลายเป็นอาสวะ สำหรับจะกลับออกมาเป็นกิเลส
หรือเป็นแต่เพียงนิวรณ์ก็ได้แล้วแต่กรณี.

 
มรดกที่ ๗๘

กามารมณ์หรือเพศรส คือค่าจ้างของธรรมชาติเพื่อให้สัตว์ทำการสืบพันธุ์
อันเป็นสิ่งเหน็ดเหนื่อย–น่าเกลียด–สกปรก, ยากที่สัตว์จะหลีกเลี่ยงได้
แม้จะเป็นเพียงค่าจ้างที่เป็นอาการบ้าวูบเดียว.

 
มรดกที่ ๗๙

ความว่าง–จิตว่าง–ทำงานด้วยจิตว่าง–เห็นโลกโดยความเป็นของว่าง–มีชีวิตอยู่ด้วยความว่าง
นี้คือทั้งหมดของพุทธศาสนา โดยหัวใจ,
สำหรับการศึกษา–ปฏิบัติ–เสวยผลของการปฏิบัติอย่างพุทธบริษัทแท้
แต่คงจะเป็นการยากที่ใครจะเห็นด้วย.

 
มรดกที่ ๘๐

อย่าเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ในลักษณะที่ท่านทรงทนนั่งต้อนรับไม่ไหว
เพราะเต็มไปด้วยสัญญลักษณ์แห่งไสยศาสตร์
และความมีตัวกู–ของกู ถึงขนาดยกหูชูหาง
มีท่าทางแห่งการยกตนข่มผู้อื่น.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2553 09:43:40 »


มรดกที่  ๘๑

สิ่งที่เรียกว่าอภิธรรมนั้น สมมติว่าเอาไปทิ้งทะเลเสียทั้งกะบิ
เราก็ไม่ขาดความรู้เรื่องการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์;
เพราะเกิดขึ้นสำหรับสติปัญญาที่เฟ้อเกินจำเป็น
ทำให้เนิ่นช้าแก่สติปัญญาทั่วไป.
ดังนั้น ใคร ๆไม่ต้องเสียใจหรือน้อยใจ
ว่าไม่มีโอกาสจะเรียน หรือเรียนไม่ไหว.

 
มรดกที่ ๘๒

มิติที่สี่ของอารมณ์ทั้งหลายนั้น
คือการกินเวลา กับการกินเนื้อที่ ที่สัมพันธ์กันอย่างดี.
ถ้าใครรู้เท่าทันเรื่องนี้แล้ว จะไม่หลงใหลในความงาม–ไพเราะ–หอม–อร่อย–นิ่มนวลชวนสัมผัส
แล้วก็โง่ไปเกลียดชังฝ่ายที่ตรงกันข้าม.

 
มรดกที่ ๘๓

รสของกามารมณ์ทุกรูปแบบเป็นเรื่อง " บ้าวูบเดียว ".
แต่มนุษย์และเทวดาก็หลงบูชา ถึงกับยกให้เป็นเรื่องกามเทพ
เสมือนหนึ่ง เป็นพระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เอาเสียทีเดียว;
แต่สัตว์เดรัจฉานหาเป็นเช่นนั้นไม่ จงคิดดูให้ดีเถิด.

 
มรดกที่ ๘๔

สวรรค์ที่มีได้ทุกอิริยาบถ
คือความรู้สึกว่าตนเองได้ปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง
แล้วก็พอใจในการกระทำของตนเอง อยู่ทุกอิริยาบถ
ถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ ทุกคราวที่ระลึกถึง.
นี้คือสวรรค์ที่แท้จริง ที่นี่และเดี๋ยวนี้
สวรรค์อื่นทุกชนิด ขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้.

 
มรดกที่ ๘๕

ต้นไม้พูดได้ และแสดงธรรมอยู่เสมอ
แต่คนไม่ได้ยินเอง. มันพูดเรื่องหน้าที่ เรื่องไตรลักษณ์ เรื่องความสงบ,
และพูดว่าพวกมนุษย์ อย่าบ้ากันเกินไปนักโว้ย;
แต่มนุษย์ก็ไม่ได้ยินเอาเสียเลย.

 
มรดกที่ ๘๖

ถ้ามีการมองที่ดี ก็จะมีแต่การได้ ไม่มีเสีย,
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้ที่สุดแต่ความตาย;
นับประสาอะไรกับเรื่องการสูญเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ,
หากแต่คนโง่ไม่รู้จักมองให้เกิดปัญญา ว่าสิ่งเหล่านั้นมาสอนให้อย่างไรบ้าง
ทั้งที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่มาสอนทั้งนั้น.

 
มรดกที่ ๘๗

เรื่องกรรมที่ถูกต้องแท้จริงในพระพุทธศาสนา
คือเรื่องกรรมไม่ดำไม่ขาว เป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาว
คือเหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์เป็นไปเพื่อนิพพานส่วนเดียว.
เพียงแต่สอนว่า ทำดี–ดี ทำชั่ว–ชั่ว นั้นยังมิใช่ของพุทธแท้
เพราะมีการสอนกันอยู่ก่อนพุทธกาล แต่ก็ยังคงเรียกว่า กรรมวาที ได้เหมือนกัน,
เป็นเรื่องกรรมครึ่งเดียวไม่สมบูรณ์.

 
มรดกที่ ๘๘

ปรมัตถธรรมต้องกลับมา เพื่อเป็นรากฐานของศีลธรรม
ซึ่งบอกแต่เพียงว่าให้ทำอย่างไร แต่ไม่ได้บอกว่า เหตุไรจึงต้องทำอย่างนั้น
และยังบอกอะไรอื่นอีกบางอย่าง เพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในการกระทำนั้น.
ดังนั้น จงสนใจในปรมัตถธรรม กันให้เพียงพอเถิด
เพื่อความสมบูรณ์แห่งการมีศีลธรรม.


มรดกที่ ๘๙

การสมรสทางวิญญาณ กับบุคคลทุกคนในโลก
เป็นสิ่งที่กระทำได้ โดยที่เขาเหล่านั้นไม่รู้สึกตัว :
นั่นคือการทำตนเป็นเพื่อนทุกข์ในการเกิด–แก่–เจ็บ–ตาย
และมีเมตตาธรรมชนิดอัปปมัญญา.

 
มรดกที่ ๙๐

การเห็นแก่ตัว คือจุดศูนย์กลางของความไม่มีศีลธรรมและปรมัตถธรรม
จึงทำบาปอกุศลได้อย่างมั่นใจ ว่าถูกต้องและเป็นธรรม ทุกประการแล้ว,
ดังนั้น ศาสนาทุกศาสนา จึงมุ่งหมายสอนการทำลายความเห็นแก่ตัว,
ถ้ามิฉะนั้นก็มิใช่ศาสนา.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2553 09:45:00 »


มรดกที่  ๙๑

โดยหลักธรรมะ เราอาจจะมีจิตเป็นสุขแท้จริง
ได้ตั้งแต่เมื่อกำลังทำการงานนั้น ๆ อยู่
แต่ไม่มีใครสนใจในความสุขที่แท้จริงชนิดนี้
เพราะชะเง้อหาแต่ความเพลิดเพลินอันหลอกลวง
เพื่อแลกเอาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลา.

 
มรดกที่ ๙๒

การเกิดทางวิญญาณในขณะแห่งปฏิจจสมุปบาท ที่คนไม่รู้จัก
นั้นมีทุกคราว ที่คนสัมผัสอารมณ์ด้วยอวิชชาแล้วเกิดตัณหา,
มิใช่หมายถึงการเกิดหนเดียวตายหนเดียว ซึ่งเป็นการเกิดฝ่ายรูปธรรม ดังที่เข้าใจกัน
แล้วก็ไม่อาจจะเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท.

 
มรดกที่ ๙๓

การบรรลุธรรม หรือมีธรรม
นั้นไม่ได้หมายความว่า ต้องเรียนอภิธรรม–กินแต่ผัก–ห่มจีวรกรัก–แบกกลด–ถือไม้เท้ายาว
–พูดเบาๆ–เดินค่อยๆ–แขวนลูกประคำ เป็นต้น
แต่บรรลุหรือมีได้ด้วยการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏอิทัปปัจจยตา
ของสีล–สมาธิ–ปัญญา.

 
มรดกที่ ๙๔

ธรรมะของโพธิสัตว์ สรุปได้เป็น ๔ หัวข้อ
คือ สุทธิ–ปัญญา–เมตตา– ขันตี ซึ่งมีแววแสดงอยู่ที่ใบหน้า ของอวโลกิเตศวรปฏิมา.
ที่ศิลปินกระทำขึ้นถึงมาตรฐานของยอดศิลปะ.

 
มรดกที่ ๙๕

ความทุกข์สอนอะไร ๆ ให้เราได้ดีกว่าความสุข
คือสอนตรงกว่า–มากกว่า–รุนแรงกว่า;
ความสุขมีแต่ทำให้ลืมตัว เหลิงเจิ้งไม่ทันรู้ และไม่ค่อยสอนอะไร.
ขอขอบใจความทุกข์ ซึ่งเป็นเสมือน "เพชร" ในหัวคางคก.

 
มรดกที่ ๙๖

เพชรในหัวคางคก คือความดับทุกข์
ที่หาพบในความทุกข์ เสมือนการดับไฟ ก็หาพบที่ไฟนั่นเอง.
จงรู้จักความลับข้อนี้ ด้วยกันทุกคนเถิด,
มิฉะนั้นจะหาไม่พบ สิ่งที่ควรพบตามธรรมชาติทั่วไป.

 
มรดกที่ ๙๗

ระบบการปฏิบัติดับทุกข์ไม่เหลือในขั้นสุดท้ายนั้น
เป็นการตกกระไดพลอยกระโจน
คือเมื่อรู้ว่าจะดับชีวิต หรือตายแน่แล้ว ก็ไม่มีจิตกวัดแกว่งอย่างใด
แต่ตั้งจิตสมัครดับไม่เหลือ จากการวียนว่ายตายเกิด,
ไม่มีหวังในการเกิดใหม่ โดยสิ้นเชิง.


มรดกที่ ๙๘

ขอย้ำเรื่องนรก – สวรรค์ที่แท้ในพระพุทธศาสนา อีกครั้งหนึ่ง
ว่าได้แก่ผลที่ได้รับจากการกระทำผิดหรือกระทำถูกทางอายตนะ
เมื่อมีผัสสะที่ตา–หู–จมูก–ลิ้น–กาย–ใจ อันกำลังรู้สึกอยู่ในจิต ที่นี่และเดี๋ยวนี้.
นรกใต้ดิน หรือสวรรค์บนฟ้าต่อตายแล้ว ที่กล่าวกันมาแต่ก่อนพุทธกาลนั้น
ขึ้นอยู่กับนรกสวรรค์ที่แท้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้.

 
มรดกที่ ๙๙

การสอนเรื่องทางจริยธรรม ทุกเรื่องต้องสอนครบเป็นคู่ ๆ
คือสอนทั้งข้อที่ว่าให้ทำอย่างไร (ตัวศีลธรรม)
และข้อที่ว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนั้น (ตัวปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นเหตุผลของศีลธรรม);
และถ้าเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ว่ามันจะมีผลแท้จริงอย่างไรเข้าอีกด้วยก็จะยิ่งดี.
ขออย่าได้บกพร่องในหลักเกณฑ์ข้อนี้.

 
มรดกที่ ๑๐๐

หัวใจพุทธศาสนาสำหรับคนทั่วไป
ทั้งที่กำลังปฏิบัติและที่เสร็จการปฏิบัติแล้ว
นั้นคือสัจจธรรมที่ว่า
"สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตน–ของตน" :
ทุกคนต้องปฏิบัติสิ่งนี้ และได้รับผลของสิ่งนี้.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 ธันวาคม 2553 04:15:33 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 04 ธันวาคม 2553 19:10:43 »

สาธุ ๆ ๆ อนุโมทนาครับ
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #14 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2553 07:12:04 »


มรดกที่  ๑๐๑

ชาติในปฏิจจสมุปบาท คือ การเกิดทางจิต–ทางวิญญาณ
อันจะมีขึ้นทุกคราวที่มี�ความรู้สึกเป็นตัวกู–ของกู เกิดขึ้นมาในจิต
และเป็นทุกข์ทางใจอย่างหนักหน่วง ทุกคราวที่เกิด;
ส่วนชาติทางกายนั้น มีครั้งเดียวจนกว่าจะเข้าโลง
และมีทุกข์ทางกายพอสถานประมาณ
ไม่ทรมานมากเหมือนทางจิต.

 
มรดกที่ ๑๐๒

ทำบุญด้วยปาก (ธรรมทาน) ได้บุญมากกว่าทำด้วยของ (วัตถุทาน)
แต่คนส่วนมากทำไม่ได้เพราะเต็มอัดอยู่ด้วยความทุกข์
มืดมนท์ยิ่งกว่าตาบอด พูดเรื่องดับทุกข์ไม่เป็น,
พูดเป็นแต่เรื่องการจมอยู่ในโลก ซึ่งมิใช่เรื่องธรรมทาน
เพื่อให้มีจิตใจอยู่เหนือโลก ทั้งที่กายอยู่ในโลก.
ขอให้ทุกคนเลื่อนระดับการทำทานของตน
ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่เรียกว่าธรรมทาน.

 
มรดกที่ ๑๐๓

ชีวิตเป็นสิ่งที่เติมธรรมะลงไปได้ จนกว่าจะเต็ม
คือเติมลงไปด้วยการทำหน้าที่
ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน
ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ
จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน ในที่สุด.

 
มรดกที่ ๑๐๔

ธรรมะในบทกล่อมลูก ที่แสดงว่าบรรพบุรุษรู้ธรรมะอย่างพอตัว
คือบทกล่อมลูกที่ว่า มะพร้าวนาฬิเกร์ กลางทะเลขี้ผึ้ง คือทะเลแห่งบุญและบาป,
และจะถึงต้นมะพร้าวได้ เฉพาะผู้ที่พ้นทั้งบาปและบุญ
แล้วสัมผัสกับนิพพาน หรือมะพร้าวต้นนั้น
ในลักษณะที่หาพบนิพพานได้ท่ามกลางวัฏฏสงสาร.

 
มรดกที่ ๑๐๕

สีล–สมาธิ–ปัญญา ของธรรมชาติ
มีในกิจการทุกอย่างของมนุษย์ (แม้สัตว์)
คือมีความเป็นอยู่ถูกต้อง มีกำลังจิตเพียงพอ มีความรู้เพียงพอ ในหน้าที่ของตน.
ชีวิตทุกชีวิตมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาสิ่งนี้ทุกรูปทุกนาม.

 
มรดกที่ ๑๐๖

อนันตริยสมาธิ เป็นสิ่งที่ควรรู้จัก
ในฐานะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองอย่างเพียงพอทุกคราวที่เรามีความต้องการ
และทำอะไรด้วยสติปัญญาสัมมาทิฏฐิอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีใครสนใจ.

 
มรดกที่ ๑๐๗

ถ้าสมรสกันทางเนื้อหนังไม่ได้ ก็สมรสกันทางจิตทางวิญญาณได้
แม้กับพระพุทธองค์ ที่พูดกันว่านิพพานแล้วกว่าสองพันปี แต่ยังทรงอยู่โดยพระคุณ.
นั่นคือ การกระทำให้ถูกตรงตามพระพุทธประสงค์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในการปฏิบัติธรรม.

 
มรดกที่ ๑๐๘

ศึกษาหรือสิกขา ตามความเห็นของข้าพเจ้า
คือการรู้จักตัวเอง–เห็นตัวเอง–ด้วยตนเอง–ในตัวเอง–เพื่อตัวเอง
อย่างแจ่มชัดถูกต้องและสมบูรณ์
จนทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่ทุกฝ่าย.

 
มรดกที่ ๑๐๙

ความริษยา คือไฟเงียบที่จะเผาลนจิตใจของผู้มีมัน
เหมือนตกนรกทั้งเป็น ตั้งแต่ต้นจนตลอดเวลา ทั้งที่ผู้ถูกริษยา ไม่รู้สึกอะไรเลยตลอดเวลาเช่นกัน.
ดังนั้น จะทำไปทำไม? คุ้มค่ากันที่ตรงไหน?.

 
มรดกที่ ๑๑๐

บัดนี้ ยิ่งเจริญคือยิ่งยุ่ง ยิ่งเจริญที่สุดคือยิ่งเกินจำเป็น
เพราะปราศจากสติปัญญา อันทำให้รู้จักเจริญอย่างถูกต้อง พอเหมาะพอดีเป็นมัชฌิมาปฏิปทา;
จงรู้จักเจริญกันเสียใหม่ ในด้านจิตวิญญาณที่อาจดับทุกข์ของตนได้เถิด.
บันทึกการเข้า
wondermay
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #15 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2553 11:42:57 »

 สบายใจ เยี่ยม
บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 8.0.552.215 Chrome 8.0.552.215


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2553 17:55:51 »

สาธุ อนุโมทนา อ.ป้าแป๋มครับ
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2553 08:48:22 »


มรดกที่  ๑๑๑

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่ต้องควบคุมให้ดี ๆ
: มันจะเกิดเป็นนรกขึ้นมาเมื่อมีการปฏิบัติผิด
และจะเกิดเป็นสวรรค์ขึ้นมา เมื่อมีการปฏิบัติถูก ณ ที่นั้น ๆ.
จงจัดการกับตา ฯลฯ ใจให้ถูกต้อง ในเมื่อมีการสัมผัส ณ ที่นั้น ๆ
จนเป็นสวรรค์อยู่ได้ จนตลอดเวลาเถิด
จะเป็นพุทธบริษัทโดยสมบูรณ์ อยู่ในขั้นต้น.

 
มรดกที่ ๑๑๒

ถ้าไม่มีการเกิดทางจิตทางวิญญาณในจิตใจว่าตัวกู–ของกู
แล้วการเกิดทางกายที่เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว
ก็หาอาจทำให้เกิดทุกข์ใด ๆ ได้ไม่
เพราะไม่มีการรับเอามาเป็นของกู.

 
มรดกที่ ๑๑๓

การบรรลุมรรคผลนิพพาน มิได้มีไว้ให้ผู้อื่นทราบ
และแม้ที่จะรู้เอง ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบรรลุขั้นไหนเท่าไร
เพียงแต่รู้ว่าทุกข์กำลังดับไป ๆ จนกว่าจะหมดสิ้น ก็พอแล้ว;
เหมือนรองเท้าสึก ก็รู้ว่าสึก (จนกว่าจะใช้ไม่ได้) ก็พอแล้ว,
ไม่ต้องรู้ว่ามันสึกกี่มิล. ในวันหนึ่ง ๆ.

 
มรดกที่ ๑๑๔

ความสุขที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ต้องได้มาเปล่า ๆ โดยไม่ต้องเสียสตางค์
เหมือนดั่งที่ตรัสว่า ถอนความรู้สึกว่าตัวตนเสียได้แล้ว
ก็ได้นิพพานมาเปล่า ๆ ไม่ต้องเสียมูลค่าอะไร.
ส่วนความสุขเทียม หรือความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั้น
ใช้เงินซื้อมาเท่าไรก็ไมารู้จักพอ,
จนตัวตาย ก็ไม่พบกับความสุขที่แท้จริง.

 
มรดกที่ ๑๑๕

สังขารทั้งปวงแม้ไม่เที่ยง
แต่มันก็ตะโกนฟ้องตัวเองว่าไม่เที่ยง อยู่ตลอดเวลา.
พวกเรามันหูหนวกเอง ไม่ได้ยินแล้วก็หาว่าลึกลับ;
ดูจะช่วยแก้ตัวให้ความหลงของตัวเอง
เสียมากกว่าแล้วจะได้หลงต่อไปตามใจกู.

 
มรดกที่ ๑๑๖

โลกต้องมีศาสนาครบทุกชนิดทุกระดับ เพื่อเหมาะสำหรับคนทุกชนิดที่มีอยู่ในโลก
การที่พยายามจะทำให้มีศาสนาเดียว นั้นเป็นเรื่องบ้าหลังและไม่อาจจะเป็นไปได้
มีแต่จะสร้างความยุ่งยาก โดยมีมนุษย์ที่ไม่เหมาะสม ที่จะอยู่ในโลก มากขึ้น.

 
มรดกที่ ๑๑๗

ชาวพุทธแท้ ไม่กินสิ่งที่หมายมั่นว่าเป็นเนื้อหรือเป็นผัก
แต่กินอาหารที่บริสุทธิ์ถูกต้อง สมควรแก่การกิน
โดยความเป็นธาตุตามธรรมชาติ
และกินเท่าที่จำเป็นจะต้องกิน เหมือนน้ำมันหยอดเพลารถ
หรือการกินเนื้อบุตรของตนเอง ที่ตายลง เมื่อหลงทางกลางทะเลทราย
เพื่อประทังชีวิตให้รอดออกไปได้เท่านั้น.

 
มรดกที่ ๑๑๘

ในร่างกายและจิตใจ มีสิ่งที่อาจเรียกว่าพระไตรปิฎก
ที่แท้จริงให้ศึกษา ชนิดที่ไม่อาจเติมเข้าหรือชักออก แม้แต่อักขระเดียว.
ขอให้พยายามอ่านพระไตรปิฎกเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์
จากพระไตรปิฎกเล่มนี้ กันจงทุกคนเถิด.

 
มรดกที่ ๑๑๙

ต้องศึกษาเรื่องดับทุกข์จากร่างกายที่ยังเป็น ๆ มิใช่จากสมุดพระไตรปิฎกในตู้,
นี้ถือเอาตามคำตรัสที่ตรัสว่า โลก เหตุให้เกิดโลก ความดับสนิทของโลก และทางให้ถึงความดับสนิทนั้น ตถาคตกล่าวว่า มีอยู่พร้อมในกายอันยาววาหนึ่ง ซึ่งมีทั้งสัญญาและใจ (คือยังเป็น ๆ ).

 
มรดกที่ ๑๒๐

ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก แล้วยิ่งวนเวียนไม่บรรลุธรรมะ
ก็ต้องเปลี่ยนไปเรียนที่ขันธ์ห้าโดยตรง
จนรู้จักการเกิด–ดับแห่งอุปาทาน ว่า ตัวกู–ของกู อันมีอยู่ในขันธ์ห้านั้น
จนเป็นภาวนามยปัญญา ตัดอุปาทานนั้นได้.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2553 08:52:46 »


มรดกที่  ๑๒๑

การจัดพระไตรปิฎกเท่าที่มีอยู่ทั้งหมด ให้เหมาะสมสำหรับยุคปรมาณูโดยเฉพาะ
คือชักออก ๓๐% สำหรับนักศึกษาปัญญาชน,
ชักออกอีก ๓๐% สำหรับนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีตัวยง;ที่เหลืออยู่ ๔๐% เป็นเรื่องดับทุกข์โดยตรง
ก็ยังมากกว่าคัมภีร์ในศาสนาอื่น ๆ อีกมากมายหลายเท่า.
ทั้งหมดนี้มิได้เป็นการจ้วงจาบพระไตรปิฎก
แต่เป็นการปรับให้เหมาะสม สำหรับยุค.

 
มรดกที่ ๑๒๒

เรียนชีวิตจากชีวิต ดีกว่าเรียนจากพระไตรปิฎก
ซึ่งบอกเพียงวิธีเรียนชีวิตได้อย่างไร แล้วนำไปเรียนที่ตัวชีวิตเอง
เมื่อยังไม่ตายและมีเรื่องดับทุกข์โดยเฉพาะ ให้เรียนอย่างเพียงพอ;
นี้คือการเรียนความทุกข์จากความทุกข์
และพบความดับทุกข์ที่ตัวความทุกข์นั่นเอง.

 
มรดกที่ ๑๒๓

การเตรียมพระไตรปิฎกเพื่อเสนอแก่โลกยุคปรมาณูอันสูงสุด
นั้นต้องเป็นคนกล้าและบริสุทธิ์ใจ
พอที่จะใช้หลักกาลามสูตร เป็นเครื่องคัดเลือกและจัดสรร
ให้เหลืออยู่แต่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
แล้วจึงหยิบยื่นให้ไป จึงจะสำเร็จประโยชน์.


มรดกที่ ๑๒๔

นิพพานแท้ ที่เป็นสันทิฏฐิโก
คือความเย็นแห่งชีวิต ที่เย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้
อยู่ตลอดเวลาเพราะกิเลสไม่เกิดขึ้น และไม่มีอุปาทานว่าตัวตน
สำหรับรับผลกรรมใด ๆ ทั้งดีและชั่ว;
นี่แหละคือข้อที่นิพพานแท้
นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับความตาย.

 
มรดกที่ ๑๒๕

ยิ่งเจริญคือยิ่งบ้า ตามประสาวัตถุนิยมชักนำไป แล้วเข้าใจว่ายิ่งเจริญ;
นั่นคือการวิ่งฝ่าเข้าไปในดงแห่งปัญหาอันยุ่งยาก
อันมนุษย์สร้างขึ้นมาเอง โดยไม่รู้ความหมายแห่งความเป็นมนุษย์.

 
มรดกที่ ๑๒๖

การอยู่อย่างเป็นเกลอกับธรรมชาติ
นั้นให้ความสะดวกในการเข้าถึงสัจจธรรมของธรรมชาติ
อันจะทำให้หมดปัญหาทุกประการ ที่เกิดมาจากธรรมชาติ
เพราะสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้โดยแท้จริง.

 
มรดกที่ ๑๒๗

บุถุชน คือคนที่ยังไม่รู้จักสิ่งที่ควรรู้จัก
แม้จะตำตาอยู่เสมอ คือไม่รู้จักนิวรณ์ทั้งห้า
อันได้แก่ความครุ่นในกาม–พยาบาท–หดหู่–ฟุ้งซ่าน–ลังเลในชีวิต
ว่าเป็นสิ่งทำลายความสงบสุข
หรือไม่รู้ว่า ความโลภ–โกรธ–หลง
นั้นเป็นสิ่งนำมาซึ่งทุกข์, แล้วก็ไม่กลัว;
จึงได้ชื่อว่าบุถุชน คือคนมีความหนา แห่งไฝฝ้าในดวงตา.

 
มรดกที่ ๑๒๘

ธรรมะสำหรับคนเกลียดวัด
ที่บูชาอบายมุข ทรมานอยู่ด้วยโรคประสาท เพราะบูชาเงิน จะได้สำนึกตัวเสียบ้าง
ก็คือความรู้ในข้อที่ว่า เราไม่ได้เกิดมาสำหรับเป็นทาสกิเลส
หรือเป็นทาสตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางเนื้อหนัง
แล้วจมปลักอยู่ในกองทุกข์ในโลกนี้ เพราะความเป็นทาสนั่นเอง.
 

มรดกที่ ๑๒๙

ศีลห้า ที่มีความหมายอันสมบูรณ์
นั้นสรุปลงได้ในคำว่า "ความไม่ประทุษร้าย ๕ ประการ"
คือ ไม่ประทุษร้ายชีวิต
–ไม่ประทุษร้ายทรัพย์
–ไม่ประทุษร้ายของรัก
–ไม่ประทุษร้ายความป็นธรรมของผู้อื่น
–ไม่ประทุษร้ายสติสัมปฤดีของตนเอง.
อย่างนี้แล้วไม่มีช่องว่างสำหรับจะบิดพริ้วหลีกเลี่ยง
หรือแก้ตัวแต่ประการใด.

 
มรดกที่ ๑๓๐

โดยปรมัตถ์แล้ว : ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครตาย
มีแต่กระแสแห่งสังขารการปรุงแต่งตามกฏอิทัปปัจจยตา ของธาตุตามธรรมชาติ.
เมื่อไม่มีใครตาย แล้วจะมีใครไปเกิด
ดังนั้น ตามหลักพุทธศาสนา จึงไม่มีวิญญาณนี้ หรือวิญญาณไหนสำหรับไปเกิดใหม่,
เว้นเสียแต่จะพูดโดยภาษาคนของมนุษย์ในสมัยที่ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้
แล้วก็พูดตาม ๆ กันมา.
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2553 08:54:01 »


มรดกที่  ๑๓๑

ขอย้ำอีกว่า สิ่งที่เรียกว่า "ตัวตน" เป็นเพียงความรู้สึก ที่เพิ่งเกิดปรุงขึ้นมา
เมื่อมีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยอำนาจของอวิชชา เกิดขึ้นมาในใจเท่านั้น.
เมื่อเป็นเพียงความรู้สึก ที่เป็นปฏิกิริยาของความอยากเช่นนี้
จึงเป็นสิ่งที่เป็นของลม ๆ แล้ง ๆ ไม่มีตัวจริงอะไรที่ไหน;
แต่ถึงกระนั้น ก็มีอำนาจมากพอ ที่ทำให้เกิดกิเลสสืบต่อไป และเป็นความทุกข์ได้.

 
มรดกที่ ๑๓๒

นรกที่แท้จริง คือความรู้สึกอิดหนาระอาใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองไม่ลง ตรงกันข้ามจากสวรรค์ คือความรู้สึกพอใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้อย่างชื่นใจที่นี่และเดี๋ยวนี้. นรกและสวรรค์อย่างอื่น ๆ จะมีอีกกี่ชนิด ก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับนรกและสวรรค์ ๒ ชนิดนี้ทั้งนั้น.

 
มรดกที่ ๑๓๓

การเห็นตถตา หรือ "ความเป็นเช่นนั้นเอง" ของสิ่งทุกสิ่ง
นั้นคือญาณทัสสนะอันสูงสุดของพระอริยเจ้า
สามารถห้ามเสียซึ่งความประหลาดใจในสิ่งใด ๆ
ห้ามความรัก–โกรธเกลียด–กลัว–วิตกกังวล–อาลัยอาวรณ์–อิจฉาริษยา–หึง–หวง–ลังเล–ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
อันเป็นสมบัติของบุถุชนเสียได้โดยเด็ดขาด.

 
มรดกที่ ๑๓๔

การที่จะเกิดสุขหรือทุกข์ ทำผิดหรือทำถูก
นั้นขึ้นอยู่กับการสัมผัสอารมณ์ที่มากระทบ
ว่าสัมผัสมันด้วยวิชชาหรืออวิชชา, คือมีสติสัมปชัญญะหรือไม่.
ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ก็ควบคุมการปรุงแต่งของจิตไว้ได้
ในลักษณะที่ไม่เกิดกิเลสและความทุกข์;
ถ้าปราศจากสติสัมปชัญญะ ก็ตรงกันข้าม.

 
มรดกที่ ๑๓๕

ของจริง เห็นด้วยใจของพระอริยเจ้า, ของเท็จ เห็นด้วยตาของบุถุชน
ดังนั้นจึงต่างกันมาก : ต่างฝ่ายต่างเชื่อตามความรู้สึกของตน ๆ และได้ผลตรง
ตามสถานภาพแห่งจิตของตนๆ ด้วยกันทั้งสองฝ่าย.

 
มรดกที่ ๑๓๖

หลักตัดสินว่า ผิด–ถูก ชั่ว–ดี ในพุทธศาสนา
ไม่ยุ่งยากลำบาก เหมือนของพวกปรัชญาชนิด Philosophy หรือพวกตรรกวิทยา Logics
คือถ้ามีผลไม่เป็นที่เสียหายแก่ใคร และเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ก็ถือว่าถูกหรือดี.
ถ้าตรงกันข้าม ก็ถือว่าผิดหรือชั่ว, ไม่ต้องอ้างเหตุผลอย่างอื่น ให้ลำบาก.

 
มรดกที่ ๑๓๗

อย่าทำอะไรด้วยความหวัง หรือด้วยความยึดมั่นถือมั่น
แต่ทำด้วยสติปัญญา หรือสมาทานด้วยสติปัญญา,
มิใช่ด้วยอุปาทาน อันมีความหมายแห่งการทำเพื่อตัวกู.
การทำด้วยสติปัญญานั้น เป็นการทำเพื่อธรรมอย่างที่เรียกว่า ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่,
มิใช่ทำเพื่อตน แต่ทำเพื่อคนทั้งโลก หรือทุกโลก.

 
มรดกที่ ๑๓๘

ลัทธิที่สอนว่ามีตัวตน ย่อมนำไปสู่ความเห็นแก่ตน ระดับใดระดับหนึ่งเสมอไป
จึงดับทุกข์โดยสิ้นเชิงไม่ได้ เพราะเป็นกิเลสหรือมีกิเลสอยู่ในความเห็นแก่ตัวนั่นเอง.
ต้องเห็นแก่ธรรมคือหน้าที่ที่ถูกต้องสำหรับการดับทุกข์, โดยหมดตนจึงจะหมดทุกข์.

 
มรดกที่ ๑๓๙

ความไม่ยึดมั่นอะไรว่าเป็นตัวตนของตน
ยังมีแต่สิ่งที่กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
นั้นไม่เกี่ยวกับลัทธิอะไร ๆ ที่ถือว่าตายแล้วสูญ หรือว่าไม่มีอะไรเสียเลย.
มันต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับดิน,
ขอให้พยายามเข้าใจอย่างถูกต้องเถิด
จะเข้าถึงหัวใจของพทธศาสนาที่ว่า
ทุกอย่างมิใช่ตัวตน นั้นอย่างถูกต้อง.

 
มรดกที่ ๑๔๐

ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่กลับทำให้เงินเหลือ
: ความสุขที่หลอกลวง ยิ่งต้องใช้เงิน จนเงินไม่พอใช้.
ความสุขที่แท้จริง เกิดจากการทำงานด้วยความพอใจ
จนเกิดความสุขเมื่อกำลังทำงาน จึงไม่ต้องการความสุขชนิดไหนอีก,
เงินที่เป็นผลของงาน จึงยังเหลืออยู่,
ส่วนความสุขที่หลอกลวงนั้น คนทำความพอใจให้แก่กิเลส ซึ่งไม่รู้จักอิ่มจักพอ เงินจึงไม่มีเหลือ.
บันทึกการเข้า
คำค้น: มรดกธรรม ฝ่ายนามธรรมทางสติปัญญา 
หน้า:  [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
การกินเจตามนัยแห่งพุทธศาสนามหายาน
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 6 6293 กระทู้ล่าสุด 27 เมษายน 2553 00:24:03
โดย เงาฝัน
เทพีคู่หาบเงิน–หาบทอง ดอกไม้งามในวันพ&#
สุขใจ ห้องสมุด
sithiphong 1 4492 กระทู้ล่าสุด 10 พฤษภาคม 2553 09:51:55
โดย เงาฝัน
พุทธศาสนาในมุมมองของแม่ชีฝรั่ง
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
sometime 3 3930 กระทู้ล่าสุด 15 กรกฎาคม 2553 15:06:38
โดย เงาฝัน
เรื่องของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน ดร.สุพ
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
เงาฝัน 1 3017 กระทู้ล่าสุด 25 สิงหาคม 2553 17:42:57
โดย หมีงงในพงหญ้า
วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
เงาฝัน 10 7140 กระทู้ล่าสุด 11 กันยายน 2553 08:21:05
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.359 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 20 กุมภาพันธ์ 2567 11:06:15