[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 13:57:51 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องลี้ลับในโลก  (อ่าน 21737 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2637


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2557 18:56:54 »

.

10 เรื่องลี้ลับที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์โลก
และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงทิ้งปริศนาไว้ให้เราสงสัย
เราจะพาคุณออกไปผจญภัยในดินแดนสนธยา


เรื่องราวความลี้ลับ ยังคงเป็นเรื่องที่ชวนให้น่าติดตาม
แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะอยู่ห่างไกลหลายร้อยหลายพันกิโลเมตร
ก็ไม่อาจหนีความอยากรู้อยากเห็นของเราไปได้!




1. Shanti Devi : เด็กสาวระลึกชาติ
ปี 1930 ด.ญ.ชานติ เทวี อายุ 4 ขวบ ภูมิลำเนาอยูที่นิวเดลี ประเทศอินเดีย ออกมาอ้างว่า ชาติก่อนตัวเองได้ตายลงหลังจากคลอดลูกได้ 10 วัน แล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ ซึ่งสามีและลูกในชาติที่แล้ว ตอนนี้ก็ยังอาศัยอยู่ที่เมือง Mathura ซึ่งห่างจากเดลีเพียง 145 กม. แถมตอนอายุ 6 ขวบ เธอยังเคยหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปที่เมืองดังกล่าวด้วย ทีแรกพ่อแม่ก็คิดว่า ลูกตัวเองคงจะบ้าแน่ๆ จึงนำตัวไปให้หมอตรวจอาการ แต่เธอกลับเล่าเรื่องชาติก่อน ตั้งแต่เรื่องสามียันคลอดลูกซะละเอียดยิบ จนหมอเองก็ยังงงเต็ก สรุปอาการให้ชานติไม่ได้ สุดท้ายญาติๆ จึงลองออกไปตามหาผู้ชายที่เธออ้างว่าเป็นสามีในชาติก่อน แล้วก็ตะลึงกันทั้งหมู่บ้าน เพราะดันเจอเข้าจริงๆ ตามที่เธอบอกแบบเป๊ะๆ เสียด้วย !!!

ชายผู้นั้นมีชื่อว่า Kedar Nath มีอาชีพเป็นพ่อค้า ซึ่งภรรยาชื่อ Lugdi Devi ได้ตายลงเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เธอตายหลังคลอดลูกชายได้เพียง 10 วัน... นี่มันตรงกับที่ชานติพูดทุกประการ

ต่อมา Kedar Nath ได้ปลอมตัวเข้ามาที่เดลีพร้อมลูกชาย เมื่อชานติได้เห็นเข้า เธอก็จำได้ทันทีว่านี่คือสามีและลูกของเธอในชาติก่อน แถมยังสามารถบอกรายละเอียดชีวิตของ Kedar Nathและลูกชายได้ละเอียดยิบ จน Kedar เองก็เริ่มจะยอมรับแล้วว่า นี่คือเมียรักกลับชาติมาเกิด

ว่ากันว่า (ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน) เรื่องนี้ร่ำลือไปถึงหูของมหาตมะคานธี จึงได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิสูจน์ความจริงขึ้น คณะทั้งหมดพร้อมชานติได้เดินทางจากเดลีไปที่ Mathura เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 1935 ซึ่งชานติก็สามารถจดจำสมาชิกในครอบครัวดังกล่าวได้ครบทุกคน ไล่ตั้งแต่ปู่ของ Lugdi Devi และรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ ได้ครบถ้วน จนภายหลังคณะกรรมการก็ได้สรุปว่า ชานติ คือ Lugdi Devi กลับชาติมาเกิดจริง!

ชานติ เทวี เปิดเผยเรื่องราวชีวิตของเธออีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 1950s และอีกครั้งหนึ่งในปี 1986 จากการสัมภาษณ์ของ เอีย สตีเฟนสัน  (จิตแพทย์ชื่อดังชาวแคนาดา) และ K.S. Rawat ก็ได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้ในปี 1987 ซึ่งการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเพียง 4 วันก่อนหน้าที่ชานติจะเสียชีวิตลงในวันที่ 27 ธ.ค. 1987




2. Crystal Skulls : กะโหลกแก้วแห่งอนาคต
หัวกะโหลกชิ้นนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษได้มาไว้ในครอบครองเมื่อปี 1898 ว่ากันว่าเป็นอารยธรรมแห่งอดีต ถ้าใครได้ครอบครองครบ 13 หัว คนๆ นั้นจะได้รับอำนาจถึงขนาดเป็นผู้ครองโลกกันเลยทีเดียว แต่แท้จริงแล้ว เมื่อมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็กลับพบความจริงว่า หัวกะโหลกนี้เป็นของที่ทำเลียนแบบในศตวรรษที่ 19 เท่านั้น เรื่องทำท่าจะจบลงด้วยความน่าเบื่อ แต่ต่อมามีก็ดันการค้นพบกะโหลกเพิ่มขึ้นอีกหลายหัว เช่น กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์ส ที่เมืองโบราณลูบานทูมในบริติชฮอนดูรัส (ปี 1924), กะโหลกของลามะทิเบตซึ่งภายหลังถูกส่งต่อให้โจแอน พาร์คส์ ที่เป็นลูกศิษย์ และกะโหลกที่ขุดพบโดยนิค จากเมืองโบราณในเม็กซิโก โดยมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันว่า ถ้าได้จ้องตากับหัวกะโหลกจะมองเห็นภาพในอนาคต สามารถไขคำตอบปริศนาต่างๆ ได้มากมาย หรือแม้แต่คำทำนายต่างๆ ของเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เลยทีเดียว




3. Bermuda Triangle : สามเหลี่ยมอาถรรพณ์
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเขตอาถรรพณ์ที่อยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 4.4 แสนตารางไมล์ เชื่อมต่อกัน 3 จุด คือ เปอร์โตริโก, ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ลือกันว่าเรือที่แล่นผ่านน่านน้ำ หรือเครื่องบินที่บินผ่านน่านฟ้าของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ต่างก็หายวับไปกับหมอกและควัน ค้นหากันเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนหลายคนเชื่อว่ามันได้ทะลุออกไปอีกมิติหนึ่ง ความจริงแล้ว นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพยายามอธิบายด้วยทฤษฎีที่ว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นพื้นที่ๆ มีความแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลกค่อนข้างสูง ระบบนำทางของเครื่องบินและเรือในยุคก่อนๆ ยังอิงกับสนามแม่เหล็กโลก พอเจอความแปรปรวนก็เลยหลงทาง และในปัจจุบันเมื่อมีระบบ GPS ปัญหาเครื่องบินและเรือล่องหนในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย... ทฤษฎีนี้ดูเหมือนจะใช้ได้ดี และเรือรบกับเครื่องบินหลายลำก็ถูกพบว่าตกอยู่ที่นั่นที่นี่เพราะหลงทางจริง แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลายลำที่ยังตามหาซากไม่พบ สุดท้ายก็เลยยังคงเคลียร์ได้ไม่เต็มร้อย ทิ้งให้เป็นปริศนาลี้ลับกันต่อไป


https://piatg16.files.wordpress.com/2014/12/201407251801567507.jpg
เรื่องลี้ลับในโลก


4.อักขระโบราณบอกเล่าภัยพิบัติจากพลังพลาสมา
รองโกรองโก้ หรือ โรโงโรโง คือจารึกอักษรภาพบนแผ่นไม้ที่ปักบนหลุมศพ รวมกว่า 20 แผ่น ถูกพบที่เกาะอีสเตอร์ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ในศตวรรษที่ 19 ลักษณะของอักษรมีรูปร่างแปลกๆ บางตัวเหมือนรูปคน บางตัวเหมือนรูปสัตว์ในท่าทางต่างๆ กัน ซึ่งในช่วงแรกยังไม่มีใครแปลความหมายของมันได้

ต่อมาในปี 2010 Robert M. Schoch นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่ง College of General Studies at Boston University ได้เดินทางไปทำงานวิจัยบนเกาะอีสเตอร์ และศึกษารูปแบบของจารึก Rongorongo ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ มันทำให้เขานึกถึงงานวิจัยของ Anthony L. Peratt นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันที่ศึกษาเรื่องรูปแบบของพลาสมาในชั้นบรรยากาศโลก... เพราะมันคล้ายคลึงกันมาก

นอกจากนี้แล้ว Schoch ยังพบว่าอักขระ Rongorongo มันมีความคล้ายกับภาพสลักดึกดำบรรพ์บนผนังถ้ำทั่วโลก หรือแม้แต่ภาพสลักขนาดยักษณ์บนที่ราบสูงนาซคาด้วย ซึ่งมันน่าจะบอกเล่าเรื่องราวอะไรสักอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งข้อมูลในงานวิจัยของ Peratt ก็บอกว่าในช่วง 8,000–10,000 ปีที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานจากพลาสม่าจำนวนมหาศาลด้วย

เมื่อศึกษาข้อมูลจากหลายๆ งานวิจัยมากๆ เข้า Schoch จึงตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า Rongorongo น่าจะเป็นอัขระที่บันทึกเรื่องภัยพิบัติที่เกิดจากพายุพลาสม่า ซึ่งดวงอาทิตย์ส่งมายังโลก ซึ่งทำให้มนุษย์โฮโมซาเปียนในยุคนั้นต้องหลบเข้าไปอาศัยในถ้ำ หรือนำหินมาซ้อนทับกันใต้หน้าผา ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคมืดมนนานนับพันปี จนอารยธรรมเหล่านี้ต่างสาบสูญไปหมด  นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัยใดที่จะไขปริศนาได้อย่างแน่นอว่า แท้จริงแล้วจารึก Rongorongo คืออะไรกันแน่?


https://piatg16.files.wordpress.com/2014/12/201407251802279570.jpg
เรื่องลี้ลับในโลก


5. Devil’s Footprints : รอยเท้าปีศาจ
รอยเท้าที่ไม่สามารถระบุว่าได้เป็นตัวอะไร ขนาดยาว 4 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว พบทั้งทางตะวันออกและทางใต้ของแคว้นเดวอน สหราชอาณาจักร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1855 มันเป็นรอยเท้าแนวเดี่ยวที่เกิดขึ้นหลังพายุหิมะ เป็นรูปเท้าแต่ละข้างที่เหยียบซ้ำรอยเดิม มีระยะห่างเท่ากัน เดินเป็นเส้นตรงกว่า 100 ไมล์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านทั้งสวน หลังคาบ้าน กองฟาง หรือแม้แต่กำแพงสูง แต่ของเหล่านั้นกลับไม่มีร่องรอยใดๆเลย เหมือนกับว่ามันเดินผ่านทะลุเข้าไปทั้งๆ อย่างนั้น หลายคนจึงมโนว่า ไอ้นี่มันเป็นรอยเท้าปีศาจชัดๆ ชาวบ้านต่างหวาดกลัวพากันออกลาดตระเวนแกะรอยเท้า แต่ก็ไม่เคยพบอะไรเลย ต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม 2009 ปรากฏรอยเท้าขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่มีใครตอบได้อีกเหมือนเดิมว่ามันคือตัวอะไรกันแน่




6. The Bog Bodies : ศพในบ่อโคลน
เป็นศพที่ถูกรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ ไร้สารเคมีใดๆ เข้ามาเอี่ยว โดยพบในบ่อโคลนทางตอนเหนือของยุโรป เกาะอังกฤษ และประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่น้ำมีความเป็นกรดสูง อุณหภูมิต่ำ และขาดออกซิเจน ทำให้สภาพศพยังคงเดิม ยกเว้นกระดูกที่ถูกละลาย และผิวหนังแห้งไหม้เกรียมเป็นสีน้ำตาล ศพที่พบส่วนใหญ่จะถูกฆ่า แทง ตีด้วยกระบอง รัดคอ เหมือนกับว่าเป็นการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือบูชายัญอะไรสักอย่าง ทีมนักวิจัยเรื่องนี้สันนิษฐานว่า น่าจะมีอายุอยู่ระหว่าง 9,000 ปีก่อนคริสตศักราช จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และกำลังอยู่ระหว่างหาข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดอยู่ว่า มัมมี่พวกนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร


http://f.ptcdn.info/091/026/000/1417358944-2014072518-o.jpg
เรื่องลี้ลับในโลก


7.The Voynich manuscript : ข้อเขียนปริศนา
The Voynich manuscript หรือข้อเขียนวอยนิช ตั้งชื่อตาม “วิลฟริด เอ็ม. วอยนิช” (Wilfrid M. Voynich) พ่อค้าหนังสือเก่าเชื้อสายโปลลิชอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้หนังสือเล่มนี้มาในปี 1912 และมหาวิทยาลัยเยลได้ทำรวบรวมก่อนจะพิมพ์ฉบับจำลองขึ้นเผยแพร่เมื่อปี 2005

ข้อเขียนวอยนิช มีลักษณะเป็นหนังสือประกอบภาพที่มีความซับซ้อนสูง  เชื่อว่าน่าจะถูกเขียนขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 โดยยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนเขียน หรือเนื้อหาภายในนั้นพูดถึงอะไร เนื่องจากมันมีรหัสหรือภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก มันเป็นหนังสือที่นักรหัสวิทยา ทั้งฝั่งอเมริกาและอังกฤษให้ความสนใจกันมาก ต่างคนต่างพยายามจะแกะเนื้อหาออกมาให้ได้ แต่จนถึงตอนี้ก็ยังไม่สำเร็จ จนถึงขั้นมีคนบอกว่า มันอาจจะเป็นแค่ข้อเขียนมั่วๆ ที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อหลอกให้เราปวดหัวเล่นเท่านั้นก็ได้!




Aokigahara : ป่าฆ่าตัวตาย
อะโอะกิงะฮะระ ป่าบริเวณเชิงภูเขาฟูจิด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ประเทศญี่ปุ่น สถานที่ยอดฮิตของคนญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัยที่นิยมแห่กันมาฆ่าตัวตายกันที่ป่านี้  ถึงแม้จะเป็นป่าที่ใช้สำหรับฆ่าตัวตายแต่มันกลับเป็นจุดท่องเที่ยวที่นิยมในขณะเดียวกัน นายอาซูสะ ฮายาโนะ นักธรณีวิทยา ผู้ศึกษาแรงจูงใจของผู้ที่ต้องการฆ่าตัวตายในป่านี้เป็นเวลา 30 ปีคาดว่า ที่หลายคนเลือกที่นี่ในการจบชีวิตอาจเป็นเพราะที่นี่เคยใช้เป็นฉากฆ่าตัวตายในนวนิยาย แต่ก็ไม่อาจทราบสาเหตุ แรงจูงใจที่แน่ชัดได้ว่าทำไมถึงเลือกป่าแห่งนี้เป็นสถานที่สุดท้าย ทำได้แต่เพียงวิเคราะห์ว่าตอนก่อนตายคิดอย่างไรเท่านั้นเอง


http://f.ptcdn.info/091/026/000/1417359038-2014072518-o.jpg
เรื่องลี้ลับในโลก

9. Overtoun Bridge : สะพานสุสานสุนัข

ไม่เพียงแต่คน สุนัขก็ยังมีเรื่องทุกข์ให้นึกฆ่าตัวตาย ที่สะพานโค้งในมิลตัน, ดัมบาร์ดัน ประเทศสก็อตแลนด์ เป็นจุดที่สุนัขมักจะมาฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดพาตัวเองพุ่งลงจากสะพาน โดยเชื่อว่าเป็นคำสาปจากเด็กหญิงที่โดนโยนลงจากสะพาน ซึ่งคนที่โยนนั้นก็มีพฤติกรรมอยากฆ่าตัวตาย (แล้วทำไมมันไม่โดดเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน) อย่างไรก็ตาม สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ส่งคนเข้ามาตรวจสอบและพบว่า บริเวณสะพานมีหนูและตัวมิงค์อยู่เยอะ ซึ่งกลิ่นของมันคงไม่เป็นที่ต้องการของพวกสุนัข ถึงได้พากันโดดลงจากสะพานกันเป็นว่าเล่น...งานนี้เลยกลายเป็นเรื่องกลิ่นตัวแทนเรื่องลึกลับซะงั้นน่ะ


https://gaia2013audition.files.wordpress.com/2014/12/201407251805023893.jpg
เรื่องลี้ลับในโลก


10. SS Ourang Medan : รหัสลับก่อนตาย
เดือนกุมภาพันธ์ 1948 มีคนได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากเรือบรรทุกสินค้าของชาวดัตช์ ข้อความว่า “All officers including captain are dead lying in chartroom and bridge Possibly whole crew dead. (เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมทั้งกัปตัน นอนตายอยู่ในห้องนั่งเล่นและสะพานเรือ เป็นไปได้ว่าลูกเรือทั้งหมดตายแล้ว)” และพอขึ้นไปบนเรือก็พบว่า กัปตันรวมทั้งลูกเรือตายกันเกลื่อน ไม่เว้นแม่แต่สุนัข โดยทุกศพตาเบิกโพลงคล้ายหวาดกลัวอย่างสุดขีด จ้องมองไปยังดวงอาทิตย์ บางศพยกมือชี้ไปยังอะไรบางอย่างด้วย

สาเหตุการตายของสิ่งมีชีวิตบนเรือยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่า เกิดจากการโดนก๊าซพิษคาร์บอนมอนน็อกไซด์ บ้างก็บอกว่าบนเรือบรรทุกสารพิษแล้วเกิดรั่วไหลออกมากลางทาง หรือบางคนก็บอกว่าเป็นเพราะมนุษย์ต่างดาว... ยังไม่มีใครรู้ว่า แท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไร

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 ธันวาคม 2558 19:20:06 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 13
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2637


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 ธันวาคม 2558 19:51:16 »

.


Creepy Gnome
ในปี 2008 กล้องวิดีโอมีการจับภาพสิ่งมีชีวิตลึกลับในจังหวัด Salta ประเทศอาร์เจนตินาได้ ถ่ายทำโดย Jose Alvarez โดยในหนังสือพิมพ์บอกว่า ตอนนั้นเขากำลังคุยกับเพื่อนในการเดินทางตกปลาครั้งล่าสุด มันเป็นตอนเช้า เขาเริ่มคุยโทรศัพท์มือถือในขณะที่คนอื่นๆ คุยและล้อเล่น ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนคนปาหิน เขามองหาที่มาของเสียง ก็พบว่าหญ้ามีการเคลื่อนไหว ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันคือสุนัข แต่เมื่อได้เห็นเจ้าของเสียงออกมาก็พบว่ามันน่ากลัวจริงๆ โดยคาดว่าสิ่งมีชีวิตที่จับภาพคือ โนมภูตขนาดเล็ก ที่มักปรากฎในนิทาน รูปร่างคล้ายคนแคระ ชอบอาศัยอยู่ในถ้ำคอยเก็บรักษาสมบัติล้ำค่า ต่อมาวิดีโอเทปนี้ถูกนำไปทำคลิปและถูกแพร่ไปตามเว็บต่างๆ


http://teen.mthai.com/wp-content/uploads/2014/06/ghost_pictures_003.jpg
เรื่องลี้ลับในโลก


Freddy Jackson?s Ghost
ภาพถ่ายผีที่น่าขนลุกนี้ถูกถ่ายขึ้นในศตวรรษที่ 1919 ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1975 โดยเซอร์ วิกเตอร์ กอดดาร์ก นายทหารเกษียณอายุ โดยภาพถ่ายดังกล่าวมาจากการถ่ายหมู่ของทหารใต้บังคับบัญชาบนเรือ HMS กอดดาร์ดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งภาพนี้คงไม่โด่งดังไปทั่วโลก ถ้าในแถวบนสุดด้านหลังของทหารคนที่สี่จากซ้าย ปรากฏร่างของชายลึกลับคนหนึ่งที่กำลังยิ้มยิงฟันขาวรวมอยู่ด้วย โดยผีนี้คาดว่าเป็นนายเฟรดดี้ แจ๊คสันที่เพิ่งเสียชีวิตในปี 1919 อย่างกะทันหันจากใบพัดเครื่องบินไปเมื่อสองวันก่อน ว่ากันว่าวิญญาณแจ๊คสันอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว จึงยังมาปรากฏตัวถ่ายรูปกับเพื่อนๆ




FeliciaFelix-Mentor
เฟลิกเซีย เฟลิกซ์-เมนเทอร์ เธอเป็นผู้หญิงชาวไฮติที่เชื่อว่าถูกทำให้เป็นซอมบี้ ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 โดยจากรายงานอย่างเป็นทางการระบุว่าเธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1907 หลังจากเจ็บป่วยกะทันหันโดยเชื่อว่าเป็นคำสาปของหมอผีชาวไฮติที่ทำให้คนกลายเป็นซอมบี้ ในปี 1936 มีคนพบเธออยู่ท้องถนน(ในรายงานไม่ระบุว่าเธอเปลือยหรือใส่เสื้อผ้ามอมแมม เพราะหลายเว็บต่างระบุเรื่องเหล่านี้ไม่ตรงกันเลย) เธอเดินทางไปฟาร์มของพ่อโดยเธอยืนยันว่าเธอคือเฟลิกเซีย เฟลิกซ์-เมนเทอร์ที่เสียชีวิตเมื่อปี 1907 เนื่องจากสุขภาพไม่ดีเธอเลยถูกส่งไปโรงพยาบาลของรัฐ และจากการตรวจสอบพบว่าเธอมีพฤติกรรมที่ประหลาดคือเธอไร้อารมณ์ความรู้สึก และบ่อยครั้งมากที่เธอพูดถึงตนเองหรือบุคคลที่สามโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ และค่อนข้างชาชินกับโลกและสิ่งรอบตัวของเธอ




Chupas วัตถุลึกลับ
Chupas คือวัตถุลึกลับที่คล้ายยูเอฟโอที่หลายคนอ้างว่าสามารถพบได้ในตอนกลางคืนที่ป่าตะวันออกของบราซิล พวกเขาอธิบายว่ามันเป็นวัตถุที่มีลักษณะคล้ายโลหะขนาดเล็กและบินได้ มันทำเสียงฟู่เหมือนตู้เย็นหรือหม้อแปลงไฟฟ้า เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่แถบนั้นมักออกไปข้างนอกตอนกลางคืนเพื่อล่ากวางเป็นอาหาร ดังนั้นพวกเขามักปีนบนต้นไม้เพื่อรอเหยื่อของพวกเขา และมันมักโผล่มาในเวลานี้ โดยมันจะเปล่งแสงสีขาวสว่างและพวกเขาเชื่อว่าแสงนี้อาจทำให้พวกเขาตาย และบางคนเกิดอาการป่วย ในขณะที่นักล่าส่วนใหญ่พยายามยิงสิ่งนั้นแต่ปรากฏว่ามันไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น




GEF
หมายถึงการพูดคุยหรือการติดต่อสื่อสารกับผีพังพอน(สัตว์ลึกลับ, ผี หรือเรื่องหลอกลวง)ได้ โดยรายงานนี้มาจากครอบครัวที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านดาลบีที่เกาะแมน (Isle of Man)

ในเดือนกันยายน ครอบครัวเออร์วิง ที่ประกอบด้วยเจมส์ มากาเร็ต และลูกสาว Voirrey (อายุ 13 ปี) อ้างว่าได้ยินเสียงข่วนประหลาด ซึ่งเป็นเสียงกรอบแกรบหลังบ้านของพวกเขา ที่พุ่มไม้และด้านหลังโรงนาที่ทำด้วยไม้ของพวกเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นหนู หากแต่เมื่อเห็นก็พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนและมันทำท่าทางเหมือนจะคายหรือคุ้ยเขี่ย ชอบคำรามเหมือนสุนัข และเหมือนทารก นอกจากนี้มันยังสามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้อีกด้วย!! โดยมันแนะนำว่าตนเองเป็นพังพอน ชื่อ GEF อ้างว่าเกิดที่นิวเดลี อินเดีย ในปี 1852 โดย Voirrey เป็นบุคคลเดียวที่เห็นเจ้าพังพอนนี้ชัดที่สุด(และติดต่อกับมันสนิทที่สุด) โดยมันมีขนาดเล็กเท่าหนู มีขนสีเหลือง และหางเป็นพวงขนาดใหญ่

เจ้าพังพอนตนนี้ยังคงเป็นมิตรต่อครอบครัวของเด็กสาว และเจมส์ได้เขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับพังพอนนี้ไว้ระหว่างปี 1932-1935 ซึ่งปัจจุบันนี้บันทึกที่ว่าอยู่ที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยลอนดอน และเจ้าพังพอนนี้ก็กลายเป็นที่นิยมที่ช่วยเรียกนักข่าวและฝูงชนไปยังเกาะแห่งนี้เพื่อดูสัตว์ดังกล่าว แต่กระนั้นหลายคนก็บอกว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง เนื่องจากเพื่อนบ้านออกมาสัมภาษณ์ว่าพวกเขาไม่เคยหรือได้ยินพังพอนที่ว่า (แต่เพื่อนบ้านบางคนก็บอกว่าเคยได้ยินเสียงแปลกๆ รอบบ้านของพวกเขาเหมือนกัน) และนอกจากนี้ยังมีรูปถ่ายบางส่วนที่เป็นร่องรอยของพังพอน ส่วน Voirrey เด็กหญิงที่เห็นพังพอนดังกล่าวได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2005 และในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอก็ยังยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง




The Flannan Isles lighthouse keepers
หนึ่งในกรณีของการหายสาบสูญที่น่าพิศวงก็คือกรณีเหตุเกิดที่เกาะฟรานแนน ซึ่งเป็นเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากสกอตแลนด์ประมาณ 20 ไมล์ โดยเกาะแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นจุดเด่นก็คือประภาคารสูงกว่า 23 เมตร ที่สร้างขึ้นระหว่าง 1895 และ 1899 และสถานที่แห่งนี้เองได้เกิดเรื่องลึกลับขึ้น เมื่อในวันที่ 15 ธันวาคม 1900 เรือกลไฟที่ผ่านเกาะแห่งนี้ในสภาพอากาศเลวร้ายได้สังเกตว่าแสงไฟจากประภาคาร ไม่ได้ส่องนำทางให้แก่เรือของพวกเขา ทั้งที่ในประภาคารเวลานั้นมีเจ้าหน้าที่ประภาคารสามคนผลัดเปลี่ยนเวรอยู่ แต่เนื่องด้วยตอนนั้นสภาพอากาศเลวร้ายทำให้พวกเขาไม่ได้ขึ้นไปตรวจสอบ จนกระทั้งวันต่อเมื่อมีตรวจสอบประภาคารก็พบว่ายามทั้งสามคนได้หายตัวไปอย่างลึกลับโดยทิ้งหน้าที่ของพวกเขาเอาไว้ ที่น่าลึกลับก็คือประตูทางเข้าประภาคารได้ถูกปิดลง นาฬิกาหยุด เตียงถูกทำลาย เครื่องครัวของทุกคนสะอาดแสดงว่าเขาน่าจะหายไปหลังอาหารค่ำ แม้หลายฝ่ายจะมีการค้นหาสามยามดังกล่าวจากหน้าผาหรือในน้ำแต่ก็ล้มเหลว หลายคนเชื่อว่าสามคนที่หายไปนั้นเกิดจากพายุจากสภาพอากาศที่เลวร้าย หรือจากปรากฏการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว งูทะเลยักษ์คาบไปกิน หรือไม่ก็ทั้งสามถูกลักพาตัวโดยสายลับต่างชาติ




Katz II
ในปี 2007 มีการพบ เรือยอร์ช Katz II ยาว 9.8 เมตร ถูกทิ้งนอกชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลียในเดือนเมษายน เรือยอร์ชดังกล่าวได้ออกจากหาดแอร์ลีบิซเมื่อวันอาทิตย์ 15 เมษายน แล่นไปประมาณ 80 ไมล์ทะเล(150กิโลเมตร) ก่อนที่จะหยุดแถวปะการังเกรท แบริเออร์ รีฟ (แนวปะการังใหญ่) ละถูกพบโดยเจ้าหน้าที่ทางทะเล เมื่อพวกเขาสำเร็จเรือก็พบว่าคนบนเรือสามคนหายไปหมด ในขณะที่เสื้อชูชีพและอุปกรณ์ช่วยรอดชีวิตอยู่ในเรือ อีกทั้งเครื่องยนต์ยังทำงานเป็นปกติ(เสียหายไปบ้างแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง) วิทยุสื่อสารก็ปกติ ทิ้งงานค้างเอาไว้ และอาหารยังอยู่บนโต๊ะ ราวกับว่าลูกเรือหายไปอย่างทันทีทันใด จากการค้นหาลูกเรือทั้งสามก็ล้มเหลว ที่น่าพิศวงก็คือที่รอบๆ พื้นที่ดังกล่าวไม่มีเรือหรือแพลำไหนเลยลอยอยู่ ส่วนภาพเป็นรูปถ่ายวีดีโอตอนที่มีลูกเรืออยู่ก่อนที่จะหายตัวไป จากการตรวจสอบไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด จากเหตุการณ์ดังกล่าวหลายคนเปรียบเทียบว่าเหมือนเหตุการณ์คนหายในเรือแมรี่ เซเลสเต้ เลยทีเดียว ส่วนคำอธิบายของสาเหตุดังกล่าวก็มีหลากหลาย เช่นเรืออาจเจอสภาพอากาศเลวร้ายฉับพลัน ถูกคลื่นประหลาดพัด ถูกพายุโฉบ ฯลฯ




Pilot Felix Moncla Lost Chasing UFO
การหายสาบสูญที่น่าพิศวงหลายกรณีนั้น มักมีเรื่องเหนือธรรมชาติเกี่ยวของอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องของมนุษย์ต่างดาว อย่างเรื่องกรณีของเฟลิกซ์ นักบินที่ไล่ตามวัตถุบินลึกลับก่อนที่จะหายสาบสูญไปอย่างไม่มีวันกลับ

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนเย็นของวันที่ 23 พฤศจิกายน 1953 สถานีป้องกันทางอากาศของสหรัฐได้พบเรดาร์ว่ามีวัตถุไร้ที่มาที่ซูล็อกใกล้ทะเลสาบสุพีเรีย มิชิแกน ใกล้กับชายแดนสหรัฐและแคนาดา พวกเขาเลยส่งเครื่องบินควบคุมโดยมีคนขับคือเฟลิกซ์ ส่วนโรเบิร์ตเป็นคนปฏิบัติการจอเรดาร์

เครื่องบินออกจากฐานทัพอากาศคินรอสและพยายามตามรอยเป้าหมายลึกลับบนเรดาร์ นั้น โดยวัตถุลึกลับดังกล่าวบิน ด้วยความสูง 8000 ฟุตจากพื้นดิน ระหว่างนั้นสัญญาการสื่อสารมีปัญหาเล็กน้อย โดยเครื่องบินของเฟลิกซ์ได้บินไปจนถึงเป้าหมายลึกลับ ต่อมาก็เกิดเรื่องลึกลับขึ้นเมื่อภาพจอเรดาร์ปรากฏว่าเครื่องบินได้รวมตัวเป็นหนึ่งตัวกับวัตถุลึกลับนั้น (เชื่อกันว่าเครื่องบินอยู่ใกล้เป้าหมายมาก จนเกือบเชื่อว่าเครื่องบินถูกชน) และหลังจากนั้นสัญญาณเครื่องบนและวัตถุลึกลับก็ได้หายไป แม้ว่าจะมีพยายามติดต่อตัวนักบินทางวิทยุก็ไม่สำเร็จ จากนั้นก็มีการค้นหาและกู้ภัยแต่ก็ไม่พบร่องรอยซากเครื่องบินหรือตัวนักบินเลย ซึ่งต่อมาหลายฝ่ายได้ขนานนามเหตุการณ์นี้ว่า "เหตุการณ์คินรอส"

จากนั้นก็มีแถลงการณ์จากกองทัพอากาศ โดยตอนแรกเชื่อว่านักบินเกิดอากาศวิงเวียนศีรษะจนเกิดอุบัติเหตุในทะเลสาบหรือไม่ก็เกิดแรงระเบิด หากแต่หลายคนไม่เชื่อเพราะไม่มีการพบซากเครื่องบิน และเชื่อว่าเป็นฝีมือของจานบิน ล่าสุดบริษัทเรือดำน้ำของมิชิแกนได้ออกมายืนยันว่าพวกเขาได้พบซากเครื่องบินและยูเอฟโอ หากแต่การค้นหานี้ได้ถูกระงับและออกมาแถลงการณ์ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง




Frederick Valentich’s Disappearance
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 21 ตุลาคม 1978 ขณะที่เฟรเดอริก วาเลนติช นำเครื่องบินส่วนตัว Cessna 182 ขึ้นบินจากกรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย มุ่งหน้าไปยังเกาะคิงไอแลนด์ ขณะที่บินอยู่เหนือมหาสมุทร เขาแจ้งไปยังหอบังคับการการบินว่ามีเครื่องบินลำอื่นเคลื่อนที่อยู่ในระดับความสูงเดียวกับเขา หากแต่หอบังคับการการบินแจ้งกลับไปว่าไม่มีเครื่องบินลำอื่นบินอยู่ในระดับความสูงนั้น แต่เฟรเดอริกยังยืนยันว่ามันบินอยู่ห่างจากเขาไปแค่ 300 เมตรเท่านั้น แต่รูปร่างมันไม่เหมือนเครื่องบินชนิดใดที่เขาเคยเห็นมาก่อน มันมีลำตัวยาวมากและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

30 วินาทีต่อมา เฟรเดอริกรายงานว่า เครื่องบินประหลาดบินเคลื่อนตัวมาประชิดกับเขา มันมีลักษณะเป็นโลหะมันวาว มีไฟสีเขียวบนลำตัว จู่ๆ มันก็บินหายไปจากสายตา การติดต่อขาดหายไปเป็นเวลา 28 วินาที เฟรเดอริกรายงานอีกครั้งว่าเครื่องบินลึกลับบินกลับมาประชิดเขาอีกครั้ง และเขาได้พูดประโยคหนึ่งที่ยังคงลึกลับจนถึงปัจจุบันว่า "มันกำลังลอยตัว มันไม่ใช่เครื่องบิน" เฟรเดอริกเงียบเสียงไป แต่เสียงบรรยากาศแวดล้อมบ่งบอกว่าเครื่องส่งวิทยุยังคงทำงานอยู่ เสียงคล้ายโลหะขัดสีกันดังอยู่นาน 17 วินาที และมันคือเสียงสุดท้ายที่หอบังคับการบินได้บันทึกเอาไว้ เฟรเดอริกไม่ได้ติดต่อกลับมาอีก เขาไม่ได้นำเครื่องลงจอดที่เกาะคิงไอแลนด์ ทั้งเฟรเดอริกและเครื่องบินหายสาบสูญไปเฉยๆ และไม่มีใครพบเห็นตัวเขานับจากนั้นเป็นต้นมา

มีผู้พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเฟรเดอริกเกิดประสาทหลอนขับ เครื่องบินตีลังกากลับหัว มองเห็นเงาสะท้อนของเครื่องบินตัวเองบนผิวทะเลและคิดไปว่าเป็นเครื่องบินลำอื่น แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายเสียงโลหะเสียดสีกันในช่วง 17 วินาทีสุดท้ายของการติดต่อทางวิทยุได้




Vanished Cripple
โอเว่น พาร์ฟิตต์ชายอายุ 60 ปี ได้ป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองใหญ่ ในเดือนมิถุนายน 1763 ที่เซฟดัน มาร์เลท ประเทศอังกฤษ โอเว่นนั่งนอกบ้านของน้องสาวของเขาซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่เขามักทำเสมอ ในตอนเย็นที่อากาศอบอุ่น ตอนนั้นเขาใส่ชุดนอนและผ้าคลุมนั่งเงียบๆ ไม่สามารถขยับไปไหนได้ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับถนนเป็นฟาร์มที่ตอนนั้นคนงานกำลังเสร็จสิ้นภารกิจในการจัดการกองฟาร์มอยู่ ต่อมาเมื่อถึงเวลา 7:00 PM น้องสาวของโอเว่นที่ชื่อ ซูซานนาห์ พาร์ฟิตต์ กำลังจะออกไปข้างนอกกับเพื่อน และเธอได้ไปหาโอเว่นเพื่อพาเขาเข้ามาในบ้านเนื่องจากพายุกำลังจะเข้า หากแต่แล้วเธอกับพบว่าเขาหายไป เหลือแต่เสื้อคลุมที่เขาพับไว้ที่นั่งเท่านั้น จากการสอบสวนก็ไม่พบอะไรทั้งสิ้นแม้แต่ร่างเขาของ จนกระทั้งสิ้นสุดลงใน 1933 ปี และจนบัดนี้ไม่มีร่องรอยหรือเบาะแสโอเว่น



Time Tunnel
ในปี 1975 มีชายคนหนึ่งชี่อไมเคิ่ล ไรท์ กำลังขับรถโดยมีภรรยามาร์ธ่านั่งมาด้วย พวกเขาขับรถจากนิวเจอร์ซีย์เพื่อยังนิวยอร์ก โดยระหว่างทางพวกเขาต้องผ่านอุโมงค์ลินคอล์น และเมื่อไมเคิ่ลขับรถผ่านอุโมงค์แล้วเขาได้เช็ดไอน้ำที่ติดกระจกหน้ารถออก และภรรยาก็อาสาจะทำความสะอาดกระจกด้านหลังด้วยเพื่อให้รถพร้อมที่จะเดินทางต่อ และเมื่อไมเคิ่ลทำความสะอาดเสร็จเขาก็หันกลับไปก็พบว่าภรรยาของเขาได้หายไป ซึ่งเขาไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรผิดปกติเลย จากการสืบสวนภายหลังไม่พบสิ่งปกติอะไรและในอุโมงค์แห่งนั้น และไม่มีใครพบเห็นมาร์ธ่าอีกเลยไม่ว่าจะเป็นศพหรือตัวเป็นๆ




The Norfolk Regiment
ตำนานการหายตัวสาบสูญของกองทัพทหารทั้งกองทัพจากคำบอกเล่าของพยานซึ่งเป็นทหารสามนายยังคงความลึกลับมายาวนานตลอด 50 ปี โดยเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อปี 1915 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยตอนนั้นพยานสามนายซึ่งเป็นสมาชิกของบริษัทนิวซีแลนด์ได้มองดูกองทหาร Norfolk (เป็นกองทหารราบของอังกฤษ) กำลังเดินขบวนสวนสนามอยู่ในตุรกี เดินอยู่แถวหน้า ข้างเทือกเขา Suvla Bay จู่ๆ ก็มีหมอกหรือเมฆประหลาดเคลื่อนตัวลงต่ำปกคลุมอยู่ทั่วอย่างช้าๆ ทำให้มองไม่เห็นกองทัพดังกล่าว หลังจากที่ทหารคนสุดท้ายผ่านเข้าไปในหมอกดังกล่าว และเมื่อหมอกหรือเมฆเลื่อนออกจากข้างภูเขาและหายไปปรากฏว่าทหารหายไปทั้งกองทัพ โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเรื่องแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนแรกรัฐบาลอังกฤษเชื่อว่าทหารของพวกเขาถูกพวกตุรกีจับไป หากแต่ทางการตุรกีปฏิเสธและจนบัดนี้เราก็ไม่ทราบข่าวกองทัพทหารอังกฤษทั้งกองทัพแม้แต่น้อยเลยนับจากวันนั้น




The Legend of David Lang
นี่คือหนึ่งในการหายสาบสูญที่มีชื่อเสียง เมื่อเดือนกันยายน 1880 ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองกัลลาติน มลรัฐเทนเนสซี ได้เกิดเรื่องประหลาดต่อหน้าต่อตาพยานหลายคน เมื่อเด็กน้อยชื่อ ยอร์ช อายุ 8 ขวบ และซาร่าห์ แลง อายุ 11 ขวบ เล่นกันอยู่บ้านของพ่อแม่พวกเขาเดวิดและเอ็มม่า ตอนนั้นเดวิดได้ออกมาทางประตูหน้าบ้านและเดินผ่านข้ามทุ่งเลี้ยงสัตว์ โดยบอกกับภรรยาว่าอีก 2-3 นาทีเขาจะกลับ ในตอนรถม้าที่เพื่อนของเดวิดซึ่งเป็นผู้พิพากษา ชื่อออกัสท์ เป็ค มุ่งหน้ามายังบ้านเขาเห็นเดวิดโบกมือให้ออกัสท์ แล้วเขาก็เดินกลับบ้าน เพื่อเตรียมต้อนรับเขา และเวลานั้นเองร่างทั้งร่างของเดวิด แลง ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาบุคคลทั้งหมด ราวกับล่องหนไปเฉยๆ นางแลงร้องกรี๊ดสุดเสียง ในขณะที่บุตรของนางทั้งสองคนยืนตะลึงจังงังพูดไม่ออก แต่แล้วโดยสัญชาตญาณ ทุกคนออกวิ่งไปยังจุดที่เห็นแลงยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ผู้พิพากษาเป็คและน้องเขยซึ่งมากับรถม้ารีบก้าวลงและวิ่งข้ามทุ่งนาไปเกือบจะพร้อม ๆกัน ในจุดที่เดวิดหายไม่มีหลุมอะไรเลยแม้แต่น้อย จากการค้นหาก็ไม่พบอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับเดวิดแม้แต่น้อย

เรื่องราวยังไม่จบเวลาผ่านไป 7 เดือน เหตุประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในเดือนเมษายน 1881 ลูกชายหญิงทั้งสองของเดวิด แลง ออกไปเล่นยังจุดที่พ่อของพวกเขาหายตัวไป ได้สังเกตว่ามีวงหญ้าสีเหลืองบริเวณบริเวณดังกล่าวที่ล้มและร่วงจนกลายเป็นวงกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 ฟุต เห็นได้ถนัดชัดเจนอย่างประหลาด แล้วเด็กทั้งสองก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังจากวงหญ้าสีเหลืองดังกล่าวว่า "ซาร่าห์...ยอร์ช ช่วยพ่อด้วย...ช่วยด้วย"




The Stonehenge Disappearance
กองหินประหลาด Stonehenge ของประเทศอังกฤษเองก็มีเรื่องราวการหายสาบสูญลึกลับเหมือนกัน โดยในเดือนสิงหาคม ในปี 1971 ซึ่่งในช่วงเวลานั้น Stonehenge ยังไม่ได้รับคุ้นครองจากทางการ ทำให้มีหลายคนเข้ามายุ่งย่ามกับกองหินดังกล่าวหลายครั้ง จนกระทั้งวันหนึ่งมีกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า "Hipples" ได้เข้ามากางเต็นท์ที่กองหินดังกล่าว ตรงจุดศูนย์กลาง และพวกเขาได้ตั้งหม้อทำอาหารและนั่งรอบๆ สูบบุหรี่ และเล่นเกมรอบกองไฟ จนกระทั้งเวลาประมาณสองทุ่ม จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าร้องรุนแรง ลมแรง และฟ้าผ่าลงในพื้นที่ตรงจุดศูนย์กลางของกองหิน ทำให้ต้นไม้บริเวณดังกล่าวเสียหาย และตอนนั้นเองมีพยานสองคนซึ่งเป็นชาวนาและตำรวจได้เห็นกองหินประหลาดมีแสงสว่างสีน้ำเงินจ้าจนแสบตา และพวกเขาก็ได้สินเสียงกรีดร้องจากกองหินประหลาดดังกล่าว ซึ่งตอนแรกพวกเขานึกว่าเป็นเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือเพราะได้รับบาดเจ็บจากฟ้าผ่าดังกล่าว และเมื่อทำการสำรวจดู ปรากฏว่าพวกเขาไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียวในกองหินประหลาดดังกล่าว พวกเขาหายตัวไปราวกับอากาศธาตุ ไม่มีแม้แต่ชิ้นส่วนศพใดๆ ปรากฏเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่พวกเขายืนยันว่าในเวลาดังกล่าวพวกเขายังเห็นคนทั้งกลุ่มอยู่กลางกองหิน ประหลาดก่อนที่จะหายไป




The Village That Disappeared
ไม่มีเรื่องราวหายสาบสูญไหนที่จะลึกลับประหลาดและน่ากลัวเกินไปกว่าการหายสาบสูญของคนทั้งหมู่บ้านกว่า 2,000 คน ที่มีทั้งผู้ชาย เด็กและผู้หญิง โดยเรื่องราวเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1930 เมื่อนายพรานคนหนึ่งชื่อ Labelle ได้นำขนสัตว์ที่ล่ามาได้มาขายในหมู่บ้านชาวเอสกิโมที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบ Ankikuni ในแคนาดาตอนเหนือ นายพรานคนดังกล่าวคุ้นเคยกับหมู่บ้านนี้ดีว่ามีชาวบ้านกี่คน แต่ละคนมีนิสัยอย่างไร อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาไปถึงกลับพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวรกร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเลย จากการสำรวจกระท่อมก็ยิ่งน่าตกใจของว่าบางกระท่อมปรากฏว่าเคยมีหลักฐานว่ามีคนอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน บางกระท่อมมีไฟกำลังเผาไหม้บนหม้อที่กำลังตุ๋นเนื้อจนดำ นายพรานคนดังกล่าวตกใจเรื่องนี้มากจึงแจ้งทางการให้ลงมือสืบสวนและตรวจสอบ หากแต่เมื่อทำการค้นหาพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดพวกเขาไม่พบร่องรอยหรือหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั้งซากศพชาวเอสกิโมที่ฝังอยู่ในใต้หิมะหรือรอยเท้าแต่อย่างใด หลักฐานที่พอเป็นไปได้ก็คือซากศพสุนัขเลี้ยงที่ถูกอดอาหารจนตายที่ถูกฝังใต้พื้นหิมะ 15 ฟุตเท่านั้น ทำให้เชื่อได้ว่าพวกเขาได้สละหมู่บ้านอย่างเร่งด่วนจนลืมแม้กระทั้งสุนัขตนเอง หรือเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คนหายไปจากหมู่บ้านกะทันหัน และที่น่าสุดพิศวงที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาทำการสำรวจสุสานบรรพบุรุษของหมู่บ้านเอสกิโมปรากฏว่าว่างเปล่า โดยทฤษฏีที่น่าเชื่อที่สุดก็คือถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว แต่จนบัดนี้ปริศนาการหายสาปสูญหมู่บ้านเอสกิโมก็ไม่มีคำตอบแต่อย่างใด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 ธันวาคม 2558 19:58:56 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.459 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 08 มิถุนายน 2568 18:30:50