[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 เมษายน 2567 08:08:16 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์  (อ่าน 2744 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 08 มีนาคม 2553 08:52:02 »


 
 
วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
 
 
ที่ตั้งเป็นหัวข้อของบทความ แถมยังจะบอกว่า มนุษย์เรานั้นยืนอยู่ระหว่างสัตว์ร้ายกับเทวดา-ตามที่โพลตินัสเขียนไว้นั้น-ท่านผู้อ่านก็โปรดอย่าคิดว่าผู้เขียนจะฉายหนังซ้ำ ซึ่งอีกหน่อยผู้เขียนจะชี้แจงเอง ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คือมนุษยชาติกำลังย่างก้าวสู่ฉากสุดท้ายของวิวัฒนาการของจักรวาล วิวัฒนาการคือการไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลง โดยเชื่อมโยงกับทั้งหมดหรืออนัตตา และเรากำลังเป็นเทวดาที่เคน วิลเบอร์ บอกว่า เรากำลังมีจิตของพระเจ้า (God consciousness) จริงๆ แล้ววิทยาศาสตร์ใหม่-จักรวาลวิทยาใหม่ก็บอกในทำนองนั้น จักรวาลอันนี้ของเรากำลังขยายตัวหรือพองตัว (inflation) เร็วขึ้นและเร็วขึ้นจริง เหมือนน้ำแข็งที่ละลายเมื่อโดนแดด (melt) อย่างที่นักจักรวาลวิทยาในปัจจุบันแทบทุกคนว่าไว้จริงๆ ผู้เขียนคิดเอาเองว่าจักรวาลอันนี้ของเรากำลังย่างเท้าเข้าสู่สภาวะหดตัว (big crunch) ซึ่งถึงตอนนั้นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตเพาะอะไรๆ ก็จะแตกสลายไปทั้งหมด เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว หากเราเชื่อในลัทธิพระเวทก็จะมี "ลีลา" ใหม่ของพระเจ้าหรือองค์พรหม

ผู้เขียนพูดและเขียนตลอดเวลามาว่า จักรวาลของเราแห่งนี้มีหน้าที่เพียงอย่างเดียว นั่นคือหน้าที่ที่ต้องจัดการให้มีวิวัฒนาการของทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบมันขึ้นมาเป็นจักรวาล เช่น กาแล็กซีและดาวต่างๆ โลก ชีวิตต่างๆ มนุษย์ ฯลฯ รวมทั้งตัวของจักรวาลเอง นั่นคือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดเลย ก่อนหน้านี้ไปไม่นานนักเรามีนักวิจัยมากมายที่ได้ทำงานวิจัยเรื่องการเจริญเติบโตของเด็ก หรือวิวัฒนาการของมนุษย์-ทั้งวิวัฒนาการของกายและจิต-โดยเฉพาะจากที่เด็กได้คลอดออกจากครรภ์แม่มาแล้ว แต่วงการศึกษาและวงการแพทย์รู้สึกว่านักวิจัยที่มีชื่อเสียงระดับนำที่สุดในด้านกายภาพ มีเพียงผู้เดียวที่เป็นเอตทัคคะ คือ ฌอง เปียเจต์ ที่ตายไปแล้วเมื่อไม่นานนัก ส่วนในทางด้านจิตภาพ เท่าที่รู้ยังไม่มีข้อสรุปเป็นเอกฉันท์ แต่มันก็มีหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น แดเนียล โกลแมน, เบนนาเดตตา โรเบิร์ต, แอนโตนิโอ ดามาสิโอ, สตานิสลัฟ โกรฟ ฯลฯ และในปัจจุบันนี้เราก็มีข้อมูลใหม่ๆ ด้านจิต ซึ่งทำวิจัยในช่วงตั้งครรภ์ก่อนคลอด (prenatal) ในระดับต่างๆ มากมาย รวมทั้งการวิจัยของสมองโดยใช้ภาพเหมือนจริง (MRI) ในคนระหว่างที่สมองได้ทำงานหรือมีประสบการณ์ต่างๆ เช่นในสมาธิหรือกำลังมีประสบการณ์เร้นลับ (mysticism) และที่กำลังหวือหวาฮือฮากันอย่างยิ่งอยู่ในขณะนี้-ที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นการเริ่มต้นของยุคแห่งจิตวิญญาณ (noosphere) ของปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง ที่พ้องจองกับศรี อรพินโธ ซึ่งผู้เขียนได้เขียนเล่ามาตลอด ยุคแห่งจิตวิญญาณอันเป็นผลของวิวัฒนาการ-ของจิตมนุษย์-ของจักรวาล ตามที่ได้ยกมาตั้งเป็นหัวข้อเรื่องของบทความของวันนี้ ซึ่งมีความหมายว่าในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) คือเป้าหมายสุดท้ายของจักรวาล ที่มีหน้าที่จัดให้มีวิวัฒนาการของสรรพสิ่งสรรพปรากฏการทั้งหลายที่อยู่ข้างใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิวัฒนาการของมนุษย์และตัวมนุษย์ (กับสังคม) เอง ซึ่งจะวิวัฒนาการไล่ขึ้นไปในฐานะของจิตวิญญาณตามระดับย่อยๆ หรือระดับละเอียดต่างๆ-ตามสเปกตรัมของจิต (spectrum of consciousness) จนกระทั่งถึงนิพพาน-มีเป้าหมายของการดำรงอยู่รอด (existence) ของมนุษย์ในจักรวาลและโลกนี้ให้จงได้ ซึ่งก็คือต้องเรียนรู้หน้าที่และความสัมพันธ์ของตัวเองกับธรรมชาติอื่นๆ รอบตัวชนิดแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวต่างก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน นั่นคือการเรียนรู้ว่าระบบนิเวศวิทยา (ecology) นั้นมีความหมาย และมีความสำคัญต่อการอยู่ให้รอดของมนุษยชาติอย่างไร?

ที่จริงเรื่องของจักรวาลและของโลก กับวิวัฒนาการของจิตไล่ขึ้นไปถึงระดับ หรือขั้นที่เรียกว่าระดับจิตวิญญาณ (spirituality) นี้ ผู้เขียนได้เล่าไปหลายหนแล้ว แต่ทว่าเสมอไปจะเป็นการเขียนเล่าในภาพของวิวัฒนาการของกาย-จิตอันเป็นไปตามธรรมชาติของโลก นั่นคือจากสิ่งไม่มีชีวิตกรวดหินดินทราย (physicosphere) เป็นสิ่งมีชีวิตหรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา (biosphere) และไปเป็นวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ (noosphere) แต่ทว่าบทความนี้จะเล่าถึงกระบวนการวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของสังคมมนุษย์ที่คลี่ขยายไปในทิศทางเดียวกัน

มนุษย์ในภาพรวมเฉลี่ยอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องมีการอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ และสิ่งอื่นๆ เป็นครอบครัว เป็นชุมชนและสังคม เล็กใหญ่ตามลำดับ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่เกิดกับมนุษย์เป็นประจำ นั่นคือคำพูดที่มีว่า "มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง" มนุษย์ทุกคนเป็นทั้งสัตว์ร้ายกับเทวดา แล้วก็สังคมมนุษย์ทุกสังคมมีทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่เป็นปัญหาเสมอไป โดยไม่มีสังคมไหนหรือสังคมสมัยใดได้รับการยกเว้น เหมือนกับว่ามีใครแกล้ง สังคมทุกสังคมนั้นนับวันก็ยิ่งซับซ้อน ปัญหาก็ยิ่งใหญ่และซับซ้อนขึ้นไปด้วย สังคมจะมีมนุษย์หรือชีวิตที่สัมพันธ์กับสสารวัตถุอย่างใกล้ชิดที่สุดเสมอไป จริงๆ แล้วอาจพูดได้ว่าแยกจากกันไม่ได้ เพราะว่าต่างก็เป็นธรรมชาติเช่นเดียวกัน ธรรมชาติที่ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง กับสิ่งที่ไม่มีชีวิตอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองจะต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันเป็นระบบ-แต่เพราะว่าเป็นเราคิดเอาเองด้วยความอหังการ แยกตัวเองเป็นมนุษย์ฝ่ายหนึ่งและสิ่งแวดล้อมอีกฝ่ายหนึ่ง สิ่งแวดล้อมที่รวมทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต (ซึ่งก็คือระบบนิเวศน์)-โดยมีพลังงานเป็นสื่อกลาง เพราะเราคิดแยกส่วนออกไปว่า มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษยิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง-ดั่งที่นักปรัชญาหลายคนที่ทรงอิทธิพลยิ่งในยุคแห่งเหตุผล (age of reason) เช่น ทอมัส ฮอบส์, ฟรานซิส เบคอน, อเล็กซานเดอร์ โป๊ป, จอห์น ล็อก ฯลฯ ปลูกฝังเป็นวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสังคมให้เราไว้ เรา-โดยเฉพาะเราในยุโรป-จึงมักดูถูกเหยียบย่ำ ฆ่าทิ้ง-เผา-ตัด-เจาะ-ถอนธรรมชาติโดยเฉพาะสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงมาตั้งแต่นั้นจนกระทั่งบัดนี้

ถ้าหากเราหันย้อนกลับไปดูวิวัฒนาการของชุมชน-สังคมของมนุษย์ในทางประวัติศาสตร์ (โบราณคดีวิทยา) และวัฒนธรรมมาตั้งแต่เริ่มมีโฮโมซาเปียนส์เกิดขึ้นมาบนโลกเลย เมื่อประมาณ 200,000 (สองแสน) ปีก่อน จริงๆ แล้วก่อนหน้านั้นเสียอีก เมื่อบรรพบุรุษของมนุษย์เรายังเป็นโฮโมอีเรกตัสระยะหลังๆ หรือมีการรวมกันเป็นตระกูล-ชุมชนไล่ล่าสัตว์เป็นอาหาร (hunter-gatherer) ในช่วงปลายของยุคพลีสโตซีน (pliestocene) ในด้านของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมนั้น เรา-ผู้อ่านและผู้เขียน-ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปถึงเวลานั้น เพียงกลับไปที่เวลาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ หลังจากที่มีการทำไร่ทำฟาร์มและการทดน้ำ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ภาษาพูดมีลักษณะที่เพียบพร้อมไวยากรณ์ที่สุดราวๆ 12,000-15,000 ปีก่อนคริสตกาล

มนุษย์เราตั้งแต่สมัยหินใหม่ระยะหลัง (late neolithic) ของประวัติศาสตร์มาแล้ว-จะได้สร้างสรรค์สังคมวัฒนธรรมที่เชื่อว่า แม้ว่ามนุษย์จะสัมพันธ์อย่างล้ำลึกกระทั่งเกรงกลัวธรรมชาติแบบที่สังคมก่อนหน้านั้นเกรงกลัว ดังที่เรารู้จากนิยายปรัมปรา (myth)-แต่ว่ามนุษย์ก็ยังคิดว่า สิ่งแวดล้อมธรรมชาตินั้นได้แยกออกจากมนุษยชาติเด็ดขาด ประหนึ่งว่ามนุษยชาติไม่ไช่ธรรมชาติกระนั้น ดังนั้นมนุษย์จึงรู้ว่าตัวเองไม่มีอำนาจอะไรที่จะเอาชนะธรรมชาติได้ จึงสังวรและควบคุมตัวเองด้วยนิยายปรัมปรานั้น มนุษย์ที่ยังมีน้อยนักในช่วงนั้น ซึ่งกินเวลานานนักหนาจนกระทั่งถึงยุคสมัยหลังจากการตั้งถิ่นฐานบ้านช่องและเริ่มมีระบบการเมืองแล้ว มนุษย์จึงรู้ว่านอกจากตัวเองจะไม่มีอำนาจเหนือธรรมชาติแล้ว มนุษย์ยังไม่มีระเบียบหรือระบบกฎหมายที่ใช้ควบคุมปกครองสังคมที่มีแต่จะโตขึ้นๆ เรื่อยๆ และจนกระทั่งสังคมมนุษย์ได้ค้นพบเหตุผลและอยู่กับความเข้าใจแล้ว ที่ทำให้ค้นพบวิทยาศาสตร์และผลิตพลังงานขึ้นมาใช้ จึงค่อยๆ รู้ว่าตัวของมนุษย์เองเก่งกับฉลาด สามารถมีอำนาจควบคุมธรรมชาติได้ทั้งหมดอย่างไร ความกลัวต่อความไม่ปลอดภัยของมนุษย์ต่อความไม่มีอำนาจในการควบคุมธรรมชาติภายนอกอย่างที่ตาเห็น กับปัญหาทางการขาดแคลนนักกฎหมายและความเป็นนิติรัฐจึงหายไป ในประเทศประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ในช่วงเวลาราวๆ ร้อยปีที่ผ่านมานี้ (ในระยะเวลาที่ผู้เขียนยังไม่เกิดจนกระทั่งเกิดและเป็นเด็กและยังเป็นหนุ่มใหญ่ หรือช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือราวๆ ทศวรรษที่ 1880-1980 จะเป็นสมัยที่สังคมมนุษย์เจริญด้วยเทคโนโลยีถึงขีดสุด คือเป็นช่วงสมัยที่มีน้ำมันราคาถูก และมนุษย์เราได้เอาเปรียบธรรมชาติและระบบนิเวศน์อย่างสุดๆ นั่นคือช่วงสมัยที่มนุษย์อยู่กับวัตถุภายนอก กับมีความสุขกับวัตถุภายนอกหรือกายภาพ และในยุคสมัยต่อมาหลังทศวรรษ 1980 ไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่เราๆ-ท่านๆ ยังมีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ ที่มีความสุขอยู่กับวัตถุภายนอกกายครึ่งหนึ่ง และจิตรู้หรือความคิดจิตสำนึกที่เป็นเรื่องทางจิตอย่างตื้นภายในครึ่งหนึ่ง ทั้งหมดในช่วงเวลานี้ได้ก่อประกอบให้สองสิ่งสองอย่างเกิดขึ้น อย่างหนึ่งคือคุณค่าความหมายองค์การดำรงอยู่ของชีวิต กับอีกอย่างหนึ่งคือความไม่เป็นธรรมของสังคมวัฒนธรรม หรือความเป็นสองมาตรฐาน คนรวยกับคนจน ผิวขาวกับผิวดำ ประเทศมหาอำนาจกับประเทศที่ไม่มีอำนาจ ฯลฯ ทุกๆ คนจะแสวงหาทางออก และทุกๆ คนจะคิดว่าประชาธิปไตยตัวแทนและสิทธิมนุษยชน-บนความได้เปรียบเสียเปรียบที่เกิดจากภายนอกที่ตาเห็น-คือทางออกนั้น ความไม่เป็นธรรมหรือความไม่เท่าเทียมกันจะก่อต่อไป เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มชนต่างๆ ที่จะก่อเป็นความแตกแยก เป็นสงคราม และความล่มสลายของระบบต่างๆ ที่มนุษย์-คิดขึ้น ไม่ว่าเป็นระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคมวัฒนธรรม ระบบการศึกษา ระบบสาธารณสุข ฯลฯ ดังที่ชวนจื่อได้พูดไว้ โดยที่ชวนจื่อพูดว่า "เมื่อเต๋าจากไป ยังมีคำสอนที่ก้องหูและคุณธรรม เมื่อคุณธรรมจากไป ที่เหลืออยู่ก็คือความยุติธรรม ซึ่งจะตามมาอย่างรวดเร็วของความล่มสลายหายนะของระบบทุกๆ ระบบ" จนกว่า...จนกว่าแสงทองส่องอำไพ เมื่อจิตวิญญาณที่อยู่ลึกข้างในได้คลี่ขยายออกมา (ช่วงหลังนี้ผู้เขียนว่าตามที่คนเขาว่า)

มนุษยชาติจำต้องแสวงหาความเป็นธรรมชาติซึ่งมนุษยชาติเป็นอยู่ และเราจะต้องเป็นธรรมชาติอย่างนี้ เสมอไปโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงอย่างหนึ่งอย่างใดทั้งสิ้น ธรรมชาตินั้นมีสองระดับ ซึ่งผู้เขียนได้พูดได้เขียนบอกไว้ตลอดเวลา (คือ nature กับเจ้าพ่อเจ้าแม่ไล่ขึ้นไปถึงเทพ เทวดา พระเจ้า หรือ Nature) เพราะฉะนั้นความไม่เท่าเทียมกัน หรือความไม่เป็นธรรมสองมาตรฐานหรือสิทธิมนุษยชน-ที่ไม่ยักมีใครพูดถึงสิทธิของการดำรงอยู่ของชีวิตทุกๆ ชีวิต-จึงไม่ใช่ธรรมชาติ และไม่เหมือนกระบวนการธรรมชาติเลย แต่ภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) เป็นและเหมือน ความเท่าเทียมกันหรือความเป็นธรรมจึงไม่ใช่สิ่งที่ตั้งอยู่ภายนอกหรือสิ่งที่ตามองเห็น แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในของเราทุกคนโดยไม่ต้องแสวงหา แต่ทว่ามันจะคลี่ขยายโผล่ปรากฏเมื่อไรไม่มีใครรู้ หรืออาจจะเป็นเมื่อมนุษยชาติทั้งเผ่าพันธุ์เจ็บปวดยิ่งมากที่สุด นั่นคือเมื่อไหร่ที่เรามี "แสงทองผ่องอำไพ เมื่อจิตวิญญาณที่อยู่ลึกภายในถึงเวลาคลี่ขยายออกมา".
 
http://www.thaipost.net/sunday/070310/18946

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : การแพทย์องค์รวมที่บูรณาการจริง ๆ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 1 2207 กระทู้ล่าสุด 17 มกราคม 2554 00:15:27
โดย หมีงงในพงหญ้า
ความทรงจำนอกมิติ : จิตปฐมภูมิในพุทธศาสนา กับ สนามแห่งรูป
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2917 กระทู้ล่าสุด 16 มกราคม 2554 10:07:06
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : แสงกับความว่างเปล่าหรือสุญตา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1913 กระทู้ล่าสุด 23 มกราคม 2554 08:21:18
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : จิต-สมองจักรวาลคือจักรวาลวิทยาใหม่ที่สุด
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2071 กระทู้ล่าสุด 30 มกราคม 2554 05:46:17
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : สมาธิ-สะกดจิตตัวเองกับอภิญญาจิตวิญญาณ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1762 กระทู้ล่าสุด 08 กุมภาพันธ์ 2554 08:42:05
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.397 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มกราคม 2567 23:35:13