[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 มิถุนายน 2568 04:10:02 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไทยเคยมี ‘สงครามกลางเมือง’ หรือไม่?  (อ่าน 2809 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6100


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 08 มกราคม 2558 11:21:31 »

.

http://www.uppicweb.com/x/i/ij/123752.jpg
ไทยเคยมี ‘สงครามกลางเมือง’ หรือไม่?

สงครามกลางเมือง ไทยเสียกรุง


ไทยเคยมี ‘สงครามกลางเมือง’ หรือไม่?  ขอตอบว่า ‘เคย’ ผมจะขอยกตัวอย่างสักหนึ่งครั้งก็ได้

สมัยรัชกาลที่ ๓๒ ในอาณาจักรอยุธยา คือ สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ (พระสรรเพชญ์ที่ ๙) แต่คำให้การของชาวกรุงเก่า เรียกว่า สมเด็จพระภูมิทราธิราช

สมเด็จพระเจ้าท้ายสระมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เจ้าฟ้าพร สมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

สมเด็จพระเจ้าท้ายสระมีพระราชโอรสและพระราชธิดาอันประสูติแต่พระอัครมเหสี กรมหลวงประชานุรักษ์ ๕ พระองค์ คือ เจ้าฟ้านเรนทร เจ้าฟ้าหญิงเทพ เจ้าฟ้าหญิงปทุม เจ้าฟ้าอภัย และเจ้าฟ้าปรเมศ

ตอนปลายรัชกาล พระองค์ทรงระแวงในพระอนุชา จึงดำริจะยกราชสมบัติให้เจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ แต่เจ้าฟ้านเรนทรไม่เห็นด้วย จึงลาไปผนวช สมเด็จพระเจ้าท้ายสระจึงดำรัสสั่งไว้ว่า ถ้าพระองค์สวรรคตลง ให้ยกเจ้าฟ้าอภัยขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากพระองค์

เมื่อสมเด็จพระเจ้าท้ายสระสวรรคต พระบัณฑูรน้อย (พระอนุชา) กับเจ้าฟ้าอภัยก็แย่งราชสมบัติกัน การสู้รบแย่งราชสมบัติในครั้งนั้น กลายเป็น ‘สงครามกลางเมือง’ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพวกเราชาวสยาม

สงครามกลางเมืองดำเนินไปได้นานพอสมควร จนบั้นปลายท้ายที่สุด ฝ่ายพระบัณฑูรน้อยมีชัยได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ จึงจับเจ้าฟ้าอภัยสำเร็จโทษ (ฆ่า)

พระบัณฑูรน้อยจับเจ้าฟ้าอภัยมาสำเร็จโทษแล้ว ก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา ทรงได้รับการสถาปนาพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ แต่ประชาชนทั่วไปเรียกพระองค์ว่า ขุนหลวงบรมโกศ หรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

ในตอนนั้น พระบรมศพของสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราชในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ยังมิได้ทำการถวายพระเพลิง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงกริ้วที่ไม่ยอมยกราชสมบัติให้กับพระองค์ จึงเป็นเหตุทำให้พระองค์ต้องสำเร็จโทษ (ฆ่า) พระราชนัดดา (หลาน) ไปหลายพระองค์กว่าจะได้ราชสมบัติ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศตรัสว่า “เห็นแก่ผู้น้อยดีกว่าผู้ใหญ่ ให้ราชสมบัติแก่บุตร มิได้เห็นแก่เราผู้เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยาก”

เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศตรัสเสร็จ ก็สั่งขุนนางผู้ใหญ่ให้นำพระบรมศพไปทิ้งน้ำ ไม่ต้องเผา แต่เสนาบดีกระทรวงกลาโหมได้กราบทูลขอ เพื่อให้เป็นไปตามราชประเพณีอย่างโบราณ พระองค์จึงทรงยอมให้จัดพิธี แต่ไม่ให้ใหญ่โตเหมือนที่ผ่านๆมา

สงครามกลางเมืองทำให้นายทหารฝีมือดีของกรุงศรีอยุธยาต้องล้มตายในการสู้รบเพื่อเจ้านายฝ่ายที่ตนสนับสนุนเป็นจำนวนมาก บ้านเมืองจึงอ่อนแอลงเป็นลำดับ

สงครามกลางเมืองสร้างความเกลียดชังอย่างแรงในสังคมไทย มีการกราบบังคมทูลเรื่องโน้น เรื่องนี้ ต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศอยู่เป็นประจำ เช่น ครั้งหนึ่ง กรมหมื่นสุนทรเทพ (พระองค์เจ้ารถ) ได้กราบบังคมทูลว่า สมเด็จเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทำชู้กับเจ้าฟ้าหญิงสังวาลย์ พระธิดาพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จึงมีกระแสรับสั่งให้เฆี่ยน ๗๐๐ ที เจ้าฟ้าหญิงสังวาลย์สิ้นพระชนม์เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ส่วนสมเด็จลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็มีรับสั่งให้โดนเฆี่ยน และได้สิ้นพระชนม์ระหว่างการเฆี่ยนเช่นกัน

กรมหมื่นเทพพิพิธปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่ว่า เวลานี้พระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์แล้ว เห็นควรตั้งสมเด็จเจ้าฟ้าลูกยาเธอ กรมขุนพรพินิตเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่กรมขุนพรพินิตทรงค้านว่า พระเชษฐายังมีอยู่ ทรงตอบว่า กรมขุนอนุรักษ์มนตรีเป็นวิสัยพระทัยปราศจากความเพียร ถ้าเป็นกษัตริย์จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย จึงให้ผนวชเสีย และจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้กรมขุนพรพินิตเป็นพระมหาอุปราชแทน

เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคต ไทยจึงได้พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ที่มีพระมารดาเป็นพระอัครมเหสีน้อย ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด)

หลังสงครามกลางเมือง บ้านเมืองยุ่งยากมาก พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ครองราชย์ได้เพียง ๑๐ วัน ก็ทรงสละราชสมบัติให้แก่ สมเด็จพระเชษฐาธิราช และทูลลาออกผนวช ข้าราชการขุนนางที่มีความสามารถในหน้าที่การงานที่อยู่ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ก็ต้องลาราชการออกบวชตามพระองค์เป็นจำนวนมาก

กษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงพระนามว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) และในรัชกาลนี้นี่แหละครับ ที่ราชอาณาจักรไทยอ่อนแอถึงขนาดต้องเสียกรุงให้กับพม่าเมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ เวลา ๒๐.๐๐ น.



คุณนิติ นวรัตน์
นสพ.ไทยรัฐ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.38 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 14 พฤษภาคม 2568 16:51:18