.นักเขียนจากทะเล สาทร คล้ายน้อยชายวัยกลางคน ดูเป็นชาวบ้านธรรมดา ถ้าไม่รู้จักใกล้ชิดจะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นนักเขียน เป็นนักเขียนระดับมืออาชีพ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสื่อหลายๆ เล่ม
ผู้ชายคนนี้ชื่อ
สาทร นามสกุล
คล้ายน้อย อายุ 53 ปี อยู่บ้านหาดทรายรี หมู่ที่ 6 ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร อาชีพหลักทำสวนมะพร้าวและปลูกผักสวนครัว
ทุกเช้าที่ตื่น สาทรจะดูแลแม่อายุ 82 ปี ที่ล้มกระดูกเชิงกรานร้าว สาทรเป็นลูกโทน พ่อตายไปเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ดูแลหุงหาอาหารให้แม่เสร็จ สาทรจะเข้าสวนใส่ปุ๋ยมะพร้าว เก็บทางมะพร้าวหล่น ตัดหญ้าหรือปลูกผักไว้กินเอง เช่น ถั่วฝักยาว กระเจี๊ยบเขียว ผักกวางตุ้ง พริกขี้หนู เก็บยอดเหลียง บางครั้งก็มีหน่อกระทือออกมาขาย
แต่รายได้หลักๆ จากขายผลมะพร้าว
บางวันออกไปทอดแห ได้ปลากระบอกเหลือจากแจกก็ขาย ใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ตกค่ำเสร็จจากงานประจำวัน สาทรใช้เวลา 3 ชั่วโมง อยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ
งานเขียนหนังสือ ไม่ได้ทำง่ายๆ บางคืนไม่ได้เขียนเพราะต้องอ่าน อ่าน และอ่าน สาทรอ่านหนังสือพ็อกเกตบุ๊กแนวทะเล อาหาร และขนม
วี่แววความเป็นนักเขียนของสาทร มีมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม 7 เขียนส่งนิตยสารเด็กก้าวหน้า ตอนนั้นเขาส่งธนาณัติให้เป็นค่าเรื่องมา 15 บาท ดีใจมาก
จากนั้นก็เขียนเรื่อยมา แต่ที่ขึ้นหน้าขึ้นตา ลงในหนังสือท่องเที่ยวตกปลา ตอนนี้เปลี่ยนเป็น ฟิชชิ่ง ออนทัวร์ เรื่องแรก เรื่องทอดแหปลากระบอก ช่วงหน้าลม ตุลาคม พฤศจิกายน ได้เงินมา 400 บาท
เขียนต่อเนื่องในฟิชชิ่ง ออนทัวร์ 30 ปี
สาทรหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง ท่องเที่ยวไปในจังหวัดชุมพร หรือจังหวัดไหนก็ได้ ดูวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
เล่มที่สอง...เขียนให้นิตยสารครัว เดือนละชิ้น เขียนติดต่อมา 18 ปี แต่ไม่ได้ลงทุกเดือน เพราะว่านักเขียนเยอะ เรื่องแรกที่เขียน พาเพื่อนจากเชียงใหม่ไปเที่ยวที่เกาะทองหลาง หน้าอ่าวทุ่งมะขาม ไปขุดหอยมัน
อาจารย์ ผศ.ทวีทอง หงส์วิวัฒน์ เจ้าของนิตยสารครัว เขียนมาถาม หอยมันทำอะไรกิน ก็ต้องเขียนกลับไปอีก งานชิ้นนี้ได้ 800 บาท
หนังสือต่วย’ตูน เขียนลงมีประปราย สองสามเดือนลงครั้ง ลุงต่วย (วาทิน ปิ่นเฉลียว) บอกว่า ช่วยเขียนเรื่องทะเล เพราะเรื่องทะเลไม่มีคนเขียน
คู่สร้างคู่สม เขียนส่งไปไม่ได้คิดว่าจะได้ลง เพราะเขามีนักเขียนเยอะ ลองเขียนแทรกไปดู ปรากฏว่าผ่าน ได้มา 2,000 บาท เขียนแนวถวิลหาอดีต
เมื่อก่อนเขียนส่งทางจดหมาย สมุดซื้อมาเป็นโหล ปากกาก็เป็นโหล
เรื่องส่วนใหญ่ เขียนเกี่ยวกับทะเล ท่องเที่ยว อาหารกับข้าว ต้องการเน้นเรื่องฝีมือของคนเก่าๆ ต้องการอนุรักษ์อาหารพื้นบ้าน วัฒนธรรมท้องถิ่น ขนม ที่ผมเขียนได้เพราะแม่จะดึงผมเข้าครัว ผมต้องขอบคุณแม่
อย่างกับข้าวหน้าลม กับข้าวปกติ กับข้าวหน้าลม คือ ช่วงลมพัดทั้งเดือน ไม่มีอะไรกินต้องหามะละกอ เผือก มัน มาต้มกะทิ อยู่ให้ครบ 3 เดือน
สาทรเรียนจบ ปวส.เกษตร สาขาพืชไร่ จากเทคโนโลยีคณาสวัสดิ์ ที่มหาสารคาม เหตุที่เรียน ตอนนั้นตามอาไปขอนแก่น ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่ไม่ติด
เรียนจบทำงานในโรงแรมบ้านพักพรสวรรค์ โรงแรมเลิกกิจการ อายุ 33 ปี ตกงาน ได้เมีย พอดีน้าหลวงทร ไต๋เรือ ชวนไปออกเรือ คราวนี้สาทรก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่จำจนตาย
คืนนั้นไปออกอวนปลาจะละเม็ด มีลูกเรือ 7 คน สาทรมีสัญชาตญาณทักน้าหลวงว่าฟ้าเหลือง อย่าออกเรือเลย แต่น้าหลวงบอกว่า ปลาน่าจะเยอะอยู่ ออกไปไม่ต้องไกล ออกเรือไปวางอวนได้ 3 วง คันถือหางเรือหัก แต่ยังประคองวิ่งเข้าฝั่ง ซ่อมคันถือหางเรือได้ แล้วก็ออกเรือไปอีก
“คล้ายๆ แม่ย่านางเตือนแล้วว่าลมจะมา มองก้อนเมฆเป็นพระจันทร์เสี้ยว”
ถึงเวลานั้น สาทรเล่าว่า กลับหัวเรือไม่ทัน ทั้งลมทั้งฝน ฝนเม็ดเท่าหัวแม่โป้ง ท้องฟ้าขาวไปหมด มองอะไรไม่เห็น น้ำเข้าเรือซัดตึงๆ คลื่นกวาดอวน ลังดองปลาไปกับน้ำ ช่วยกันวิดน้ำจนมือแตก
ถึงเวลานั้น พึ่งตัวเองไม่ได้แล้ว คนในเรือยกมือท่วมหัว บนเสด็จพ่อ (กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์)
แล้วก็แปลก...ตอนนั้นพอเห็นช่องเกาะลังกาจิว อยู่หน้าทุ่งมะขาม เกาะลังกาจิว คือเกาะรังนกนางแอ่น ล่องเรือราวชั่วโมง พยายามตีโค้งไปจอดหน้าหาด คนเกาะออกมาไล่
เกาะรังนกนางแอ่นยังไม่ได้เก็บ เจ้าของถือเป็นเขตหวงห้าม ก็ต้องออกไปโต้คลื่นข้างนอก
โชคดีเครื่องไม่ดับ ไม่งั้นป่านนี้เหลือแต่ชื่อ
พ้นวิกฤติชีวิต...ตอนนั้นขึ้นจากเรือได้ เหมือนเกิดใหม่ สาทรสารภาพว่ากลัว กลัวจนขนลุกเลย
มรสุมที่สาทรเจอ คนทะเลเขาเรียกว่า อุกาฟ้าเหลือง
นี่เป็นประสบการณ์ตรง เกิดจากตัวเอง ประสบการณ์จากทะเลอีกมากมาย สาทรเรียนรู้จากพ่อ
พ่อพาออกทะเล ไปทอดแหหาปลา ตั้งแต่ 6 ขวบ วันแรกที่ไป กลัวความลึกของน้ำทะเล กลัวความมืด กลัวผี บอกพ่อว่า พ่ออย่าทิ้งผมนะ เดินติดสะโพกพ่ออยู่ตลอด
อายุ 8 ขวบ พ่อก็สอนให้หัดดูปลาแฉลบตัวกินขี้ตะไคร่ พ่อทำแหปากเล็กให้หัดทอด สอนดูน้ำทะเลขึ้นลง น้ำขึ้นให้ทอดแหในน้ำตื้น น้ำลงให้ทอดแหน้ำลึก
ดูลม เช่น ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่มีปลาเล็ก ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ มีปลาใหญ่ ปลาเล็ก ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มีปลากระบอกตัวขนาดกิน (ใหญ่กว่าปากกาเคมีนิดหน่อย)
มีลมอยู่ 4 ลม ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ 3 เดือน ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ 3 เดือน ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ 3 เดือน อีก 3 เดือนปกติ
หรือลมบ่าย คือลมที่พัดช่วงสายๆไปตลอดวันหรือเรียกลมทะเลพัดเข้าหาแผ่นดิน ยังมีลมสลาตัน ลมพัทธยา ลมที่พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในต้นฤดูฝน
พ่อสอนว่า ธรรมชาติพึ่งพาอาศัยกัน คนเราธรรมชาติสร้างมา เราต้องอยู่กับธรรมชาติ
สาทรเคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน บ้านหาดทรายรี หมู่ที่ 6 ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เมื่อปี 2540 และหมดวาระในปี 2545 เคยทำงานที่โรงแรมโนโวเทล ครั้งแรกเข้าไปเป็นช่างปูน ทำอยู่ได้ 4 ปี เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนสวน ปลูกต้นไม้ ตัดแต่งกิ่งไม้ ปรับทัศนียภาพในบริเวณสวนของโรงแรม ลาออกเมื่อปี 2555
ตอนนี้สาทรมีงานประจำอยู่ คือทำสวนและเขียนหนังสือ เมียก็ทำงานอยู่ร้านอาหารเจ๊อ่าง อยู่หน้าอ่าวหาดภราดรภาพ เขตตำบลปากน้ำชุมพร อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ส่วนลูกสาว 2 คนเติบโตมีงานทำกันหมดแล้ว
มีหน้าที่ต่อแม่ ต่อลูก ต่อตัวเอง ก็ทำไป ชีวิตสาทรวันนี้ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง สิ่งที่ห่วงคือทะเล ทะเลวันนี้ มีปลาเหลือน้อยลง
ก่อนนี้สาทรเคยทอดแหได้ปลาสีกุน ในท้องปลาสีกุนจะมีลูกปลาจิ๊งจั๊ง ปลาสีกุนชอบน้ำตื้น ขนาดหน้าแข้ง ชอบตามไปกินปลาจิ๊งจั๊ง
พวกเรือประมงที่ทำปลาจิ๊งจั๊ง ทำลายวัฏจักรอาหารลูกโซ่ของปลาหมึก ปลาจิ๊งจั๊งฤดูผสมพันธุ์จะเข้ามาในหินกอง เข้ามาป่าชายเลน พวกเรือไปตีข้างเกาะ ปล่อยไปอย่างนี้ ต่อไปลูกหลานจะเอาปลาที่ไหนกิน
สังคมบ้านสาทรเป็นสังคมประมงชายฝั่ง เป็นสังคมแบบพึ่งพาอาศัย แต่สู้กับนายทุนเรือปลาจิ๊งจั๊งไม่ไหว ยิ่งสู้ไป สังคมก็ยิ่งแตกแยก นอกจากนายทุนยังมีนักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับประเทศเข้ามาก้าวก่าย
ถ้าไม่ช่วยกันดูแล เด็กรุ่นลูกรุ่นหลาน อาจไม่รู้จักปลากระบอก ถ้าปลากระบอกหมดไป อีกไม่นาน...อาชีพประมงชายฝั่งก็คงจะไม่มี.