ธรรมะจากทองผาภูมิ
10-13 ธันวาคม 2552
เราจะมีการฝึกเคร่งครัดอย่างยิ่งเพื่อให้เกิด ตัวรู้ ให้ท่านผู้รู้เติบโตในจิตวิญญาณ แล้วความรู้รอบ ๆ ตัว ความเข้าใจความจริงของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ชีวิต จิตวิญญาณ ก็จะหลั่งไหลมาเอง สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีการเตรียมการให้พร้อม เช่น การตั้งใจ ไม่ควรสนใจสิ่งอื่นนอกตัว ให้มีแต่ตัวกูล้วน ๆ มีแต่มึงกับกู
[LIST=1]
- ไม่พูด ไม่สนใจเรื่องนอกตัว
- อยู่อย่างเป็นผู้ที่พึ่งตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้ ทำ พูด คิด ด้วยจิตสาธารณะ
- อย่าทำหรืออยู่เพราะแรงผลักดันของตัณหาพาไป
- ให้เกียรติและเคารพกัน มีคารวะธรรมในใจ
- วิเคราะห์สาระจากพระไตรปิฏก “บุคคลผู้มีราตรี 1 เจริญ”
[LIST=1]
- 1. บุคคลที่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว – เราได้มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในสิ่งที่ล่วงแล้ว
- 2. บุคคลผู้มุ่งในสิ่งที่ยังไม่มาถึง - ขอเราพึงมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้ในอนาคต
- 3. บุคคลผู้เห็นแจ้งในปัจจุบัน /ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรมที่เป็นปัจจุบัน ได้แก่ บุคคลที่เห็นพระอริยเจ้า /สัตตบุรุษ , บุคคลผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้าและสัตตบุรุษ, บุคคลผู้ปฏิบัติตามธรรมของพระอริยเจ้าและสัตตบุรุษ
[LIST=1]
- บทวิเคราะห์ โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ :
- พระพุทธเจ้าทรงยกเอาขันธ์ 5 มาอธิบาย ว่า บุคคลผู้อยู่ในปัจจุบันจริง ๆ นั้นจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งมีอยู่ในขันธ์ 5 เห็นแจ้งความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 ในปัจจุบัน
- บุคคลผู้อยู่ในปัจจุบันธรรม จะไม่เกิดอนาคต สังขารทั้งหลาย (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่แล้วดับไป เราก็จะรู้ว่ามันจะไม่ส่งผลไปในอนาคตได้ เพราะเห็นมันดับไปในปัจจุบัน ถ้ามีปัญญารู้ชัดอย่างนี้อนาคตก็จะดับสูญลงไปด้วย แต่เพราะเรารู้ไม่ชัดจึงไปปรุงแต่งปัจจุบัน จึงเกิดอนาคตขึ้นมา
- สิ่งที่ล่วงไปแล้วสังขารที่ล่วงไปแล้ว เราจะเห็นได้เมื่อเรารู้ในปัจจุบัน สิ่งใดที่ล่วงไปแล้วไม่มีตัวตน ที่เรามีตัวกู ของกู คือ เรามีอุปาทาน ความไม่รู้
- เราเจริญได้ด้วย 1 วินาทีเดียว (ปัจจุบันธรรม) จะเจริญด้วยเรื่องอันใดก็ตาม ก็มีเพียงขณะเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นกระบวนการสืบเนื่องต่อ ๆ มา กระบวนการของ ตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ เข้ามาหล่อเลี้ยงทำให้อายุขัยสืบเนื่อง
- พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า เรามีชีวิตจริงแค่ 1 วินาที (ขณะจิต) เท่านั้น วินาทีต่อไป ขึ้นกับว่าอะไรมาหล่อเลี้ยงเรา : เป็นทางเจริญ หรือเสื่อม
- หนทางที่เจริญ : คือการหล่อเลี้ยงของวิชชา
- หนทางอันเสื่อม : อวิชชาเลี้ยง
ถ้าเรามีชีวิตอยู่ 100,000 วินาที ด้วยความดี ก็เป็นความต่อเนื่องของ บุญของวิชชา
ถ้าเรามีชีวิตอยู่ 100,000 วินาที ด้วยความอัปรีย์ ก็เป็นความต่อเนื่องของ บาปของอวิชชา
เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่า 1 วินาทีนั้น ถูกอะไรหล่อเลี้ยง บุญ /บาป , วิชชา / อวิชชา นั่นคือกรรม
- อย่าเข้าใจผิดว่าเรามีอายุยืน ทุกคนมีชีวิตแค่วินาทีเดียวเท่านั้น ชีวิตของสัตว์ มีวินาทีเดียว คือวินาทีที่มาปฏิสนธิในครรภ์มารดา แล้วต่อจากนั้นเป็นการมาหล่อเลี้ยงของกรรม
- การเกิดเป็นมนุษย์เป็นได้ยาก และเป็นผู้ใหญ่กว่าสัตว์อื่น ๆ เพราะเราสามารถเลือกชีวิตเราให้วิชชาเจริญขึ้นได้ ดังนั้น
- ความดีเราจึงต้องสะสม ให้บ่อยมาก และถี่มาก วินาทีต่อวินาที
- ความไม่ดีเราจึงต้องละ ให้บ่อยมาก และถี่มาก วินาทีต่อวินาที ไม่ใช่ 1 วัน หรือ 1 ปี
- มนุษย์ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ เพราะสามารถพัฒนาได้ ไม่ตัน สามารถเลือกทำกรรมได้ เทวดาพรหมยังไม่ใหญ่ เพราะมันตัน เลือกไม่ได้
- สัตว์เดรัจฉาน ทำตามสัญชาติญาณ
- เทวดา ทำตามโปรแกรมบุญที่ได้มา
- มนุษย์ไม่มีโปรแกรม เดี๋ยวก็ชั่วได้ เดี๋ยวก็ดีได้ อยู่ที่เราเลือกให้วินาทีนั้นมี กุศล หรืออกุศล ชี้ชวน
- ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เป็นไปตามกติกา ตารางสอน มนุษย์จะเป็นไปตามสิ่งเร้า ชักชวน หรือเสพย์ ดังนั้นมนุษย์ผู้ปัญญาเท่านั้นที่จะมีพลังในการคัดสรร และสร้างวิธีการพัฒนาตน คือ สร้างสิ่งเร้าองค์ประกอบในเชิงบวกให้มีมากขึ้น เพื่อให้ชีวิตของเราทุกวินาทีไม่ตกเป็นทาสของซาตาน
สรุป : 1. ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา การจะรู้ชัด รู้จักของจริง ต้องเป็นผู้มีปัญญา รู้ชัดในปัจจุบันขณะ ( 1 วินาที) 2. การปรุงแต่ง / สังขาร / อายุขัย / การสืบเนื่อง ของแต่ละขณะจิต เป็นการกระทำของ“กรรม” ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ เท่านั้น คือ บุญ (วิชชาเลี้ยง) , บาป (อวิชชาเลี้ยง) 3. ผู้มีปัญญาจะเจริญทุกวินาที (วิชชาเลี้ยง) - ผู้ไม่มีปัญญา ก็อัปรีย์ทุกวินาที (อวิชชาเลี้ยง) ซึ่งเราเลือกได้ เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้น ที่จะให้เราได้รู้ทันวินาทีนั้น จึงต้องสั่งสมอบรม 4. การสั่งสมปัญญา มาเลี้ยงดูจิต โดยวิธีการ ฟัง เรียน อบรม ลงมือทำ เพื่อป้องกันกรรมชั่วทั้งปวง ให้ชีวิตเรามีวินาทีที่ดีหลาย ๆ วินาที..จนถึงทั้งวัน.. ทั้งปี.. ทั้งชีวิต - หลักการปฏิบัติปราณโอสถ การฝึกเดิน / เคาะนิ้ว ปรัชญาปรามิตาสูตร :
ชีวิตจริง ๆ ของเรามีอยู่แค่ 1 วินาทีเท่านั้น เรามาทำของใหม่ที่เป็นปัจจุบันธรรม ให้ (เจริญ) เป็นบุญ เป็นสติ สมาธิ ปัญญา หล่อเลี้ยงจิตตลอด 1 ชม.
-
การเคาะนิ้ว 1 ครั้ง หรือก้าวเดินตามจังหวะ 1 ก้าว =1 วินาทีอันเจริญของเรา-
ให้เราเคาะให้ชัด การเคาะชัดแสดงว่าชีวิตของเราไม่ขาด ไม่เกิน มีความเหมาะสมและซื่อตรงดี
- พยายามสลับนิ้วไปมา เคาะให้ได้ทั้ง 3 ข้อนิ้ว เพื่อฝึกความคล่องของสัมปชัญญะ ไม่ใช้สัญญา
-
ก้าวเดินพร้อมเสียงป็อก 3 อย่างต้องรวมเป็น 1 : หูได้ยินเสียง / ใจรู้ / เท้าก้าวเดิน- ฝึกให้เผชิญกับการเปลี่ยนจังหวะอย่างต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงจังหวะ ก้าว/ เคาะ
จิตต้องไม่กระเพื่อม มีสติรักษาภายใน พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง
-
การเดินขั้น 3 ประกอบลมหายใจ เป็นขั้นที่เกิดปราณ และโคจร ต้องไม่กลั้นลม (ท่อต้องไม่ตัน) ไม่
ขังมันไว้ที่ใด ต้องให้ปราณแล่นไปทั่วร่างกาย
- เมื่อเดินขั้น 3 แล้ว ต้องสลับมาเดินขั้น 2 เป็นขั้นผ่อนคลาย เพื่อสลายปราณที่เกิดขึ้น
-
สภาวะธรรมในการเดิน / เคาะจังหวะ: ถ้าทำถูกต้อง เราจะสามารถรู้ล่วงหน้าว่าเสียงป็อกจะมาเมื่อใด (จิตรู้) สัมปชัญญะจะเตรียมกายเหมาะสม พัฒนาการของจิตจะสูงขึ้น ตัวรู้มีความใสสะอาดมากขึ้น ความไวของจิตจะมากขึ้น ทำให้เราเหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่า จะเกิดขึ้นเมื่อใด
- การฝึกเจริญมนต์ : ตาดูมนต์ ใจรู้มนต์ ปากอ่านมนต์
แม้เมื่อมีเสียง หรือสถานการณ์รบกวนจากภายนอกต่างๆ เช่น เสียงเพลง โยนถาด ฯลฯ จิตต้องไม่กระเพื่อม มีสติรักษาภายใน จรดจ่อกับการงานที่กำลังทำอย่างซื่อตรง
[LIST=1]
- ผู้บริหารที่ดี ที่วิเศษยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บริหารตัวเลข แต่เป็นการบริหารเวลา และอารมณ์ บริหารทุกเสี้ยววินาทีให้มีกำไรทุกวินาที ให้เรามีอารมณ์เป็นสุขทุกวินาที
- การบริหารชีวิตให้เป็นสุข คือ ชีวิตของเรามีเพียงชั่วขณะเดียว ขณะหนึ่งเท่านั้น อายุ 20 ปี มันตั้งอยู่แค่ขณะเดียว เวลาเป็นสิ่งที่ผ่านมาผ่านไป หากเรายังไม่ได้ทำเท่าที่เราเสียไป เท่ากับว่าเราเสียชีวิตช่วงนั้น ๆ ของเราไป เราจึงต้องมีความเพียร และมีอัปปมาทะธรรม คือความไม่ประมาท
- อยากให้ลูกหลาน อยู่อย่างไม่ประมาท มัวเมา ในการทำภาระกรรมของตน ๆ
- ชีวิตของเรามีแค่ 1 ขณะจิต ขณะนั้นจะสุข – ทุกข์ , ดี-ชั่ว, ได้-เสีย : ขึ้นอยู่กับเราเลือก
- เป็นผู้ซื่อตรง ทำ พูด คิด เรื่องเดียวกัน
-----------------
สรุปโดยคุณปู : 15 ธค. 52
http://www.onoi.org/index.php?option=com_content&view=article&id=178:2009-12-16-03-43-08&catid=35:2009-04-14-16-21-52&Itemid=59