[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 เมษายน 2567 23:31:22 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มายาศาสตร์เร้นลับ ในดินแดนทิเบต : ตุลกู การกลับชาติมาเกิดของ ลามะ พระผู้ทรงคุณ  (อ่าน 8501 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 15:54:42 »




ผู้กลับชาติมาเกิด




ในแผ่นดินทิเบตนั้น บุคคลระดับสูงที่ได้รับการยกย่อง และควรแก่ การเคารพ คือลามะตัลกู หรือตัลกุ ซึ่งชาวธิเบตโดยทั่วไปเชื่อว่า บุคคลเหล่านี้มีอำนาจจิตสูง เมื่อมรณภาพแล้ว ก็ย่อมกลับชาติมาเกิด ใหม่ได้อีกหรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ลามะตัลกูบางกลุ่ม เป็นผู้ ระลึกชาติได้

ในบรรดาลามะตัลกูนี้ ที่สำคัญที่สุดและได้รับการยกย่องเคารพบูชา มากที่สุดก็คือ " กยัลวา ริมโปชี " หรืออีกนัยหนึ่งคือ " ดาไลลามะ " คำว่า " กยัลวา ริมโปชี " เป็นพระนามของดาไลลามะ ที่ชาวทิเบต ทั่วประเทศเรียกกัน คำนี้มีความหมายว่า " กษัตริย์ผู้ประเสริฐ "


ดาไลลามะทุกองค์ของทิเบต ชาวทิเบตต่างเชื่อว่าในชาติก่อนเป็นพระ เจ้าแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ตำแหน่งดาไลลามะเป็นทั้งพระราชาและ พระสังฆราชของทิเบต และองค์ดาไลลามะ นับตั้งแต่องค์แรกจนถึง องค์ที่ 14 นั้น ถือกันว่าเป็นองค์เดียวกัน คือ จะเวียนกลับชาติมาเกิด ใหม่ ทั้งนี้ผลมาจากอำนาจพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ด้วยเหตุดัง กล่าวนี้ ชาวทิเบตทุกผู้ทุกนามจึงเคารพและเทิดทูนองค์ดาไลลามะใน ฐานะพระมหากษัตริย์ และสกลมหาสังฆปรินายกพร้อม ๆ กัน


คำว่า " ดาไลลามะ " หมายความว่าอย่างไร ? คำว่า " ดาไลลามะ " เป็นคำผสมของภาษาทิเบตและมองโกล ซึ่ง หมายความว่า " มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ "


การสืบทอดตำแหน่งดาไลลามะนั้น ก่อนที่ดาไลลามะแต่ละองค์จะ สิ้นพระชนม์ มักจะตรัสบอกไว้เป็นนัยว่าจะไปประสูติใหม่ที่ใด หลัง จากนั้นบรรดาเหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิต ทั้งบรรพชิตและฆราวาส ก็จะใช้เวลาค้นหาตามดินแดนต่าง ๆ ภายในทิเบต จนกว่าจะพบเด็ก ตรงตามบุคลิกลักษณะดังที่ดาไลลามะตรัส หลังจากพบแล้วก็จะต้อง ทดสอบว่ามีความสามารถระลึกชาติได้จริงเพียงใด จากนั้นก็จะสถาปนา ขึ้นเป็นองค์ดาไลลามะผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือจิตใจชาวทิเบตทุกคน


ตำแหน่งลามะตัลกูเกิดขึ้นเมื่อใด ?


กล่าวกันว่าตำแหน่งลามะตัลกู นั้น คงจะเกิดขึ้นภายหลังปี ค.ศ. 1650 เป็น ต้นมา หรือประมาณ 300 กว่าปีมานี้เอง
 
 
ตำแหน่งตัลกูที่เชื่อว่าเป็นการเกิดใหม่ของผู้มีบุญบารมีสูงนั้น ได้รับยอมรับ ว่าเป็นวัฏจักรแห่งการเกิดของสังขารและจิตวิญญาณ ที่สัมพันธ์กันประดุจ ลูกโซ่ หรือลูกประคำที่ร้อยเป็นพวง จากความเชื่อดังกล่าวนี้เองชาวทิเบต จึงถือว่า ตัลกู คือบรรพบุรุษผู้ครองอำนาจในอดีตกลับชาติมาเกิดในภพใหม่


ชาวลามะบางกลุ่มได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างกระบวน การกลับชาติมาเกิดของบุคคล ในกรณีที่เป็นสามัญชนกับกรณีที่เป็นบุคคลชั้น สูงกว่า


" บุคคลที่มิได้รับการฝึกฝนขัดเกลาทางจิตสมาธิ จะมีชีวิตเยี่ยงสัตว์ทึ่ดำเนิน ชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย มัวเมาและหลงใหลอยู่ในห้วงแห่งกิเลสและตัณหา อันหาที่ยุติไม่ได้ ครั้นสังขารแตกดับ วิญญาณก็ไปอยู่ในร่างของคนชั้นต่ำที่ หมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ เศร้าหมอง สุดแท้แต่อำนาจผลกรรมจะบันดาล "


" ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีสติปัญญารอบรู้ และประพฤติชอบ หมั่นฝึกฝนขัด เกลาจิตใจด้วยอำนาจสมาธิอยู่เสมอ ครั้นสังขารแตกดับ กายทิพย์หรือวิญญาณ ก็จะไปอยู่ในร่างของคนใหม่ ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าและเนื่องจากความ เป็นผู้มีอำนาจจิตสูง จึงสามารถกำหนดรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตของตนได้ "


อเล็กซานดร้า เดวิด นีลได้บันทึกไว้ว่า " เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดใหม่ ของดาไลลามะเป็นไปตามการบันดาลของพระโพธิสัตว์ กล่าวคือพระโพธิสัตว์ เป็นองค์ปฐมของการปรากฏรูปร่างอันลึกลับซับซ้อนสุดคณานับด้วยอำนาจ จิตสูงอันเกิดจากการเพ่งสมาธิอย่างแรงกล้า บางครั้งอาจแสดงภาพนิมิตมีร่าง เป็นภูติผีปีศาจนับล้าน ปรากฏตามสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งก็อาจแฝงมาในรูป ร่างคนธรรมดาสามัญ สุดแท้แต่พระองค์จะทรงเลือก หรืออาจแฝงอยู่ในสิ่ง ที่ไร้ชีวิต เช่น ภูเขา ป่าไม้ หรือหินทุก ๆ ก้อน เป็นต้น สรุปแล้วก็คือพระองค์ ทรงมีอำนาจแห่งการสรรค์สร้างสิ่งที่ปรากฏขึ้นในลักษณะรูปร่างต่าง ๆ ได้ "


ความเชื่อดังกล่าวนี้ ดูเหมือนจะสอดคล้องกับคำกล่าวที่ระบุไว้ในตำนาน ลัทธิมหายานที่กล่าวว่า " พระโพธิสัตว์ที่บรรลุโสดาบัน สามารถบันดาล ให้กลับมาเกิดในรูปแบต่าง ๆ ได้ถึงสิบชาติ "


...ย้อนกลับมาถึงเรื่องราวความเชื่อของการกลับชาติมาเกิดใหม่ของดาไล ลามะอีกครั้งหนึ่ง กล่าวกันว่าองค์ดาไลลามะบางองค์สามารถบอกการ ตายได้ล่วงหน้า บอกแหล่งที่เกิดใหม่ได้ บางครั้งสามารถชี้แจงรายละ เอียดเกี่ยวกับผู้ที่จะเป็นบิดามารดาใหม่ได้อีกด้วย


ตามกฏเกณฑ์ของชาวทิเบตถือว่า หลังจากองค์ดาไลลามะสิ้นพระชนม์แล้ว ประมาณ 1 - 2 ปี จะมีคณะลามะชั้นสูงสำรวจดูวิญญาณขององค์ดาไลลามะ ว่าจะไปเกิดที่ใดอีก ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ เด็กชายที่เกิดใหม่ที่เข้าใจกันว่า องค์ดาไลลามะกลับชาติมาเกิดก็จะมีอายุประมาณ 1 - 2 ปีพอดี แต่ในบาง ครั้งในช่วงระยะสองปีก็ไม่สามารถก็ไม่สามารถค้นหาผู้มีบุญมาเกิดได้ ทำให้ ล่าช้าไป
 
  
ก่อนสิ้นพระชนม์ หากดาไลลามะชี้ทิศทางหรือดินแดนที่จะไปเกิดใหม่อีก ทั้งลักษณะพิเศษของพระองค์ไว้ หลังจากนั้นคณะลามะชั้นสูงซึ่งเป็นนัก ปราชญ์และศาสนบัณฑิตทั้งหลาย ก็จะเดินทางไปแสวงหาเด็กเกิดใหม่ตาม ทิศทางหรือดินแดนแห่งนั้น แต่ถ้าหากองค์ดาไลลามะไม่ได้ตรัสไว้ก่อนสิ้น พระชนม์แล้ว ก็อาศัยโหรประจำราชสำนักทำนายชี้แนวทางในการค้นหา เด็กที่มีรูปร่างลักษณะพิเศษ และเมื่อพบแล้วก็จะมีการทดสอบเด็กคนนั้นจน สิ้นสงสัย นี่คือวิธีแสวงหาผู้ที่จะเป็นองค์ดาไลลามะประมุขของชาวทิเบต


ในการทดสอบนั้น ก็จะทดสอบโดยวิธีให้หยิบสิ่งของที่องค์ดาไลลามะ องค์เดิมเคยใช้มาก่อน อาทิ สายลูกประคำ เครื่องทรง เครื่องประกอบ พิธีการต่าง ๆ ตำรา ถ้วยน้ำชา และอื่น ๆ อีกมาก หากสามารถเลือกหรือ จดจำสิ่งของดังกล่าวที่ถือว่าเป็นของตนในชาติก่อนได้ ก็เป็นอันเชื่อถือ ได้ว่า เด็กคนนั้นคือดาไลลามะกลับชาติมาเกิด ในการทดสอบนี้ ลามะ ที่เชี่ยวชาญทางญาณพิเศษสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ไกล หรือรับรู้เหตุ การณ์ล่วงหน้า จะเป็นผู้ทดสอบเพื่อหาความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย


ในกรณีที่ไม่อาจค้นหาเด็กที่มีลักษณะดังกล่าวหรือการเกิดใหม่ของเด็ก ที่มีบุญญาธิการยังไม่เป็นที่เปิดเผย ก็ต้องปล่อยให้เวลาให้เวลาผ่านพ้น ไป แต่ก็เป็นสาเหตุแห่งความเศร้าสลดแก่ผู้จงรักภักดีองค์ดาไลลามะ เป็นอันมากดูประหนึ่งว่าบรรดานักบวชลามะขาดผู้นำที่ควรเคารพสักกา ระสูงสุดไป ซึ่งยังผลให้การบริจาคทานสิ่งของเครื่องใช้ของชาวบ้าน ที่เคยเข้าวัดฟังธรรมต้องพลอยเบาบางลงไปด้วย และยิ่งเศร้าไปกว่านั้น อาจเป็นเหตุให้นักบวชลามะชั้นสูงที่มีจิตใจทรามบางองค์ฉวยโอกาส กอบโกยหรือคอรัปชั่นในการจัดการกับทรัพย์สินต่าง ๆ ด้วยอำนาจของ ตนเองได้

ถ้าบังเอิญปรากฏว่าพบเด็กหลายคนมีลักษณะเข้าเค้าที่จะเป็นองค์ดาไล ลามะกลับชาติมาเกิดใหม่ จะทำอย่างไร ? วิธีทดสอบก็คือนำเด็กเหล่า นั้นมาทดสอบแข่งขัน เพื่อชิงตำแหน่งตัลกูที่แท้จริง โดยให้เลือกสิ่ง ของต่าง ๆ ที่เป็นขององค์ดาไลลามะองค์ก่อน และอาศัยโหรหลวงทด สอบการระลึกชาติพร้อมทั้งตรวจสอบชะตาราศรีด้วย


เป็นไปได้ไหมว่า ในบางครั้งโหรหลวงหลายคนกลับมีความคิดขัดแย้ง ไม่ลงรอยกันในการตัดสินว่าใครจะเป็นดาไลลามะ
 
 
... แน่นอน ปัญหาดังกล่าวได้เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยเหมิอนกัน ทั้งนี้ก็เพราะ ว่าแต่ละครอบครัวต่างก็อยากให้ลูกหลานของตนได้รับตำแหน่งอันมีเกียรติ สูงสุดนั้น เผื่อว่าจะได้อาศัยบารมีและพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงมีการทดสอบเพิ่มขึ้นอีกหลายขั้นตอน เป็นต้นว่า ให้ร่ายเวทมนตร์ แสดง ฤทธิ์เดช ความรอบรู้ และชาญฉลาด จนกระทั่งถึงการแสดงสมาธิจิต และ ความอดทนในการแสดงออกอย่างอื่นอีกมากมาย
 
 
นอกเหนือจากลามะตัลกูที่ชาวทิเบตเคารพสูงสุด คือองค์ดาไลลามะแล้ว ลามะตัลกูองค์อื่นที่ถือว่าเทพยดาหรือลามะขุนนางชั้นนำในอดีตกลับชาติ มาเกิดใหม่นั้น มีการพิสูจน์ความทรงจำจากชาติปางก่อน และมีการพิสูจน์ สิ่งประหลาดต่าง ๆ เช่นเดียวกัน



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ธันวาคม 2553 15:57:00 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 15:55:18 »







มีเรื่องเล่าประหลาดเกี่ยวกับลามะตัลกูตัวปลอมกับลามะตัลกูตัวจริงเกิด ขึ้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งมาดามอเล็กซนดรา เดวิด นีลได้บันทึกไว้ นั่นคือเรื่อง ราวของลามะผู้ยิ่งใหญ่ ชื่ออักนา อิซัง เจ้าอาวาสวัดแห่งเมืองแชมโด ซึ่งได้มรณภาพไปแล้วเป็นเวลา 7 ปี ซึ่งก็ยังค้นหาตัลกูผู้สวมวิญญาณใน ร่างใหม่ไม่พบ แต่ปรากฏว่าได้มีการอุปโลกน์แต่งตั้งตัลกูตัวปลอมขึ้นมา ครองอำนาจแทน และยึดสมบัติไว้ได้ทั้งหมด โดยการรร่วมวางแผนจาก เหล่าบรรดาลามะผู้มีจิตอกุศล ตบตาชาวบ้านมาเป็นเวลานานหลายปี เหตุการณ์ประหลาดได้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ตัลกูตัวปลอมกับคณะเดินทาง ไปค้าขายอีกเมืองหนึ่ง ครั้นเดินทางไปเกือบถึงครึ่งทาง ตัลกูตัวปลอม รู้สึกอ่อนเพลีย และกระหายน้ำเป็นยิ่งนัก จึงพากันแวะร้านขายของข้าง ทางนั้นเอง ขณะที่ผู้ติดตามกำลังเตรียมน้ำชาอยู่นั้น ท่านตัลกูตัวปลอม ได้ล้วงเอากล่องยานัตถุ์ออกมาจากกระเป๋าเตรียมจะนัดยา บังเอิญมีเด็ก เล็ก ๆ คนหนึ่งซึ่งเดินเล่นอยู่ภายในร้านนั้นมองเห็นเข้า และได้วิ่งหน้า ตาตื่นเข้าไปหาตัลกูตัวปลอมพร้อมทั้งยื่นมือคว้าจะแย่งเอากล่องยานัตถุ์ ไป และได้กล่าวเสียงดังลั่นว่า
 
 
" นี่มันกล่องยานัตถุ์ของข้านี่ ท่านเอามาใช้ได้อย่างไร ? "


จากคำกล่าวนี้ ลามะตัลกูตัวปลอมตกตะลึงและงงอยู่นานทีเดียว ปรากฏ ว่า กล่องยานัตถุ์นี้เดิมทีเป็นของลามะอักนา อิซัง ซึ่งล่วงลับไปแล้ว และ ลามะตัลกูตัวปลอมก็มิได้จงใจที่จะขโมย แต่ได้ถือโอกาสยึดเป็นเจ้าของ นับตั้งแต่ตถูกแต่งตั้งเป็นตัลกูขึ้นมารับตำแหน่งแทนโดยมิชอบ


ลักษณะ ทั้งเสียง คำพูด และอาการแสดงออกของเด็กคนนั้น กับลามะ ตัลกูตัวปลอมมีลักษณะบ่งชัดว่าไม่น่าจะเป็นกิริยาอาการของเด็กเลย


" ส่งมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ มันเป็นของข้า ได้ยินมั้ย " เด็กคนนั้นออกคำสั่งพร้อม ทั้งแสดงอาการโกรธ หลังจากนั้นก็ได้แสดงการระลึกชาติ พร้อมทั้งบอก ว่าตนคือลามะอักนา อิซังผู้ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง อีกทั้งสามารถเล่าความ เป็นมาของชีงิตก่อนตายได้อย่างถูกต้องเท่านั้นเอง และไม่ต้องมีใครสั่ง คณะติดตามลามะตัลกูตัวปลอมต่างพากันทรุดตัวลงกราบ พร้อมทั้งขอโทษ ด้วยเสียงละล่ำละลัก ตัวสั่นงันงกไปเลยทีเดียว


จากนั้นมาเพียงสามวัน ก็ปรากฏว่าได้มีการจัดขบวนแห่ลามะตัลกูตัวจริง ( เด็กน้อยคนนั้น ) กลับไปยังสำนักแห่งเมืองแชมโด โดยลามะตังจริงนุ่ง ห่มในชุดคล้ายกับการบวชนาค นั่งอยู่บนหลังม้าอย่าง่าเกรงขาม และมี ลามะตัลกูตัวปลอมเป็นผู้จูงม้าเดินนำหน้าไป ขณะที่ขบวนกำลังจะเคลื่อน เข้าประตูวัด เด็กคนนั้น ( ลามะตัลกูตัวจรริง ) ได้ร้องทักขึ้นว่า " เฮ้ย ทำไม ต้องเข้าประตูทางซ้ายล่ะ ทางเข้าถูกต้องมันอยู่ทางประตูขวามิใช่เรอะ ? " ปรากฏว่าประตูทางด้านขวามีจริง และถูกปิดตายมานานแล้ว ภายหลังจาก ลามะอักนา อิซังได้มรณภาพไปไม่นาน จึงใช้ประตูผ่าเข้าออกเพียงด้าน เดียว พอถึงตอนนี้ทำให้คณะกลุ่มชนทั้งที่ต้อนรับและติดตามขบวรู้สึกทึ่ง และประหลาดใจไปตาม ๆ กัน
 
 
บรรดาพระภิกษุ สามเณร และลามะทั้งหลายอาศัยอยู่ภายในวัดนั้นแตก ตื่นกับการกลับมาของผู้มีบุญ ซึ่งถือว่าเป็นลามะตัลกูตัวจริงเป็นอย่างยิ่ง ต่างห้อมล้อมมุงดูด้วยความตื่นเต้นระคนกับความยยินดี แทบไม่กระพริบ ตาทีเดียว


ในช่วงที่กำลังเสริร์ฟน้ำชาแก่ลามะตัลกูตัวจริงคือหนูน้อยคนนั้น สิ่งที่น่า ประหลาดอีกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นอีก นั่นคือเด็กคนนั้นได้จ้องมองดูถ้วยน้ำ ชาที่มีจานรองเคลือบเงิน และมีฝาปิดประดับพลอย ตั้งอยู่บนโต๊ะเบื้อง หน้า แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า


" นี่ไม่ใช่ถ้วยน้ำชาของข้านี่ เอาถ้วยลายครามใบใหญ่ของข้ามาซิ " เด็กคน นั้นสั่ง พร้อมทั้งบรรยายรูปร่างลักษณะของถ้วยลายครามให้บรรดาผู้เฝ้าใกล้ ชิดฟัง แต่ปรากกฏว่าไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับถ้วยลายครามใบนั้นเลย ทุกคน ต่างสั่นหน้าและปฏิเสธว่าไม่เคยเห็นถ้วยดังกล่าวมาก่อน

" ไปค้นหาดูให้ดีซิ พวกท่านต้องพบมันแน่นอน " เด็กคนนั้นได้กล่าวย้ำอีก



ทันใดนั้นประหนึ่งว่า ความทรงจำในอดีตได้บังเกิดขึ้นภายในดวงจิตเด็ก คนนั้นสามารถบอกลักษณะภาชะที่บรรจุด้วยว่ามีสีสันอย่างไร และบอก ตำแหน่งที่วางไว้ในที่แห่งหนึ่งในห้องเก็บของนั่นเอง จากนั้นบรรดาเหล่า ภิกษุสามเณร และลามะทั้งหลายต่างคอยดูและคอยฟังอยู่ด้วยความแปลก ใจ


ชั่วเวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ปรากฏว่ามีผู้คนค้นพบชุดถ้วยน้ำชาดัง กล่าวภายในหีบใบหนึ่ง มีลักษณะถูกต้องตรงตามที่เด็กคนนั้นบ่งบอก ไว้ทุกประการ

เกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดนี้ ลามะตัลกูตัวปลอมกล่าวว่า " ไม่เคยรู้เรื่อง มาก่อนเลย ว่าจะมีถ้วยน้ำชาดังกล่าวนี้อยู่ในห้องคลังเก็บของด้วย เข้าใจ ว่าท่านลามะอักนา อิซัง คงซ่อนไว้ในหีบนั้นก่อมรณภาพ ซึ่งไม่เคยมีใคร เปิดดูมานานหลายปีแล้ว "


พอถึงตรงนี้ ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตนำเรื่องราวการสถาปนาองค์ดาไลลามะ องค์ที่ 14 ของชาวทิเบตมาเล่าเพื่อประกอบแวความคิดจากเรื่องดังกล่าว ในบทนี้


ในปี ค.ศ. 1933 เมื่อองค์ดาไลลามะที่ 13 ของทิเบตได้สิ้นพระชนม์ทำให้ ราชบัลลังก์ที่พระองค์ทรงครองเป็นเวลาช้านานนั้นว่างลง ในช่วงนี้เอง ชาวทิเบตทั่วทั้งประเทศเกิดความรู้สึกว้าเหว่ ต่างพากันสวดมนต์ อ้อน วอนขอให้พระองค์ได้กลับมาอีกในร่างของเด็กทารก


ในการเลือกดาไลลามะองค์ใหม่ของทิเบตนั้น ทั้งประเทศก็ตกอยู่ในสภาพ ที่ตื่นเต้นและวุ่นวายขาดหนัก ไม่แพ้ความตื่นเต้นของผู้คน ในระหว่างช่วง มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหัฐ ฯ หรือประมุขของประเทศอื่น ๆ ทั่ว โลกเลยทีเดียว


องค์ดาไลลามะที่ 13 ได้สัญญาไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า พระองค์จะกลับมา เกิดในหมู่บ้านชาวทิเบตอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าหลังจากที่พระองค์สิ้น พระชนม์ไปแล้ว 3 - 4 ปี ก็ไม่มีวี่แววให้เห็นเด่นชัดว่าจะพบเด็กทารกที่จะ เป็นลามะตัลกู สวมชีวิตวิญญาณแทนได้ แต่พอจะย่างขึ้นปีที่ 5 บรรดาโหร ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดเดรปัง วัดแกนเด็น และวัดสัมยี ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุง ลาซาเมืองหลวงของทิเบต ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 50 ไมล์ ได้บำเพ็ญสมาธิ เพื่อทำนายหาเด็กที่มีลักษณะพิเศษ ปรากฏว่า ต่างก็ได้เห็น ภาพนิมิตอันเป็นดินแดนที่ดาไลลามะเกิดใหม่ เบื้องบูรพาทิศ ณ สถานที่ แห่งนั้น เป็นกระท่อมหิน บนฝั่งทะเลสาบ มีลำธารไหลผ่าน จากคำทำนาย จากภาพภาพนิมิตตรงกันนี้เอง คณะกรรมการจากลามะชั้นสูงทั้งฝ่ายบรรพ ชิตและฆราวาส ก็ได้เดินทางออกสืบหาดาไลลามะที่เกิดใหม่ตามดินแดน ต่าง ๆ ด้านบูรพาทันที ครั้นเดินทางไปถึงดินแดนดังกล่าวก็ค้นหาเด็กผู้ชาย ที่มีลักษณะพิเศษ คือหูสองข้างกางออก และมีขนาดใหญ่ มีรอยตำหนิไกล้ กับสะบัก ขาทั้งสองข้างมีรอยเป็นทางคล้ายกับลายหนังสือทิเบตโบราณ ในที่สุดก็พบเด็กที่มีเค้าเข้าลักษณะดังกล่าวนี้จริง ๆ ถึงสามคน แต่คนแรก เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุก่อนที่คณะค้นหาดาไลลามะจะเดินทางไปถึง ส่วน เด็กคนที่สองนั้น หลังจากคณะค้นหาได้ตรวจดูพบว่า ลักษณะไกล้เคียง แต่ไม่ตรงกับลักษณะดังกล่าวอย่างแท้จริง และปรากฏว่าในช่วงที่ทดสอบ ให้ลองเลือกสิ่งของซึ่งเป็นของดาไลลามะองค์ที่ 13 หากเลือกได้ถูกต้อง แสดงว่าเป็นผู้ระลึกชาติได้ พอถึงตรงนี้ เด็กคนที่สองนี้ก็ร้องไห้และวิ่ง หนีไปเลยโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ ในที่สุดคณะค้นหาดาไลลามะได้พบ เด็กคที่สามที่แคว้นโกโกนอระใกล้พรมแดนจีน ( ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ของทิเบต ) เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1937 บิดามารดาของเด็กเป็นชาวนาที่ มีฐานะค่อข้างมั่งมี หลังจากทดสอบทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแล้ว ต่อจากนั้น เด็กน้อยคนที่สามก็สามารถเลือกสิ่งของต่าง ๆ ของดาไลลามะองค์ก่อน ( องค์ที่ 13 ) ได้ถูกต้องหมด บรรดาคณะผู้สืบค้นหาดาไลลามะจึงได้ประ กาศทันทีว่า " พบผู้มีบุญแห่งดินแดนทิเบตแล้ว " ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะ ลงเอยด้วยดี แต่ปรากฏว่าข้าหลวงจีนแห่งแคว้นโกโกนอระ ( อันเป็นดิน แดนภายใต้การยึดครองของจีน ) ไม่ยอมให้พาเด็กไป เว้นเสียแต่ว่าจะต้อง จ่ายเงิให้เสียก่อน กว่าจะตกลงจ่ายเงินกันได้เวลาผ่านไปร่วมสองปีพอดี ดังนั้นในปี ค.ศ. 1939 คณะสืบหาองค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 ก็ได้ครองราช บัลลังก์ เด็กน้อยคนที่ได้บตำแหน่งองค์ดาไลลามะนี้มีอายุเพียง 5 ปีเท่านั้น เวลาจะขึ้นประทับบนราชบัลลังก์ก็จะต้องมีคนอุ้มขึ้นอุ้มลง ก็คงจะมีลักษณะ อาการคล้ายกับเด็กทั่วไป


กฏเกณฑ์สำคัญบางประการเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับตำแหน่ง องค์ดาไลลามะมีดังนี้


เมื่อเด็กที่ได้รับเลือกถูกพาไปยังกรุงลาซา พร้อมทั้งบิดามารดาและญาติ มิตรแล้ว จะต้องประทับที่พระราชวังโพทาละ เพื่อศึกษาและอบรมการ ปฏิบัติต่าง ๆ จากคณะลามะชั้นสูง เพื่อเตรียมการเป็นกษัตริย์ และสกล มหาสังฆปรินายก เป็นเวลานานนับสิบ ๆ ปี จนกระทั่งมีพระชนมายุได้ ครบ 18 ปีแล้วถึงจะได้รับบริหารราชการแผ่นดินโดยตรง ส่วนในช่วงที่ ยังไม่ถึง 18 ปี ก็มีผู้สำเร็จราชการกับคณะลามะชั้นสูงเป็นผู้ปกครองบ้าน เมืองแทน
 
 
- ตลอดพะชนม์ชีพ ต้องดำรงเพศพรหมจรรย์ แต่งงานไม่ได้เด็ดขาด - ห้ามเสวยสุราเมรัย - นับตั้งแต่เยาว์วัยเป็นต้นมา ต้องศึกษาพุทธศาสนาอย่างละเอียดและลึกซึ้ง รวมทั้งการฝึกสมาธิ การเข้าฌาน และคัมภีร์อัศักดิ์สิทธิ์ของทิเบตนับตั้งแต่ สมัยโบราณ นอกจากนี้ความรู้ทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ ตลอดจนกระทั่งอักษรศาสตร์และวิทยากรที่สำคัญอื่น ๆ นั้น จำเป็นต้องศึกษาด้วย


เป็นที่น่าเสียดายที่องค์ดาไลลามะองค์ที่ 14 ได้เข้ารับบริหารงานราชการ แผ่นดิน ทั้ง ๆ ที่พระชนมายุยังไม่ครบ 18 ปีตามกำหนดกฏเกณฑ์เลย และ ในปีนั้นเอง คือช่วงปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1950 กองทัพจีนแผ่นดินใหญ่ ก็เคลื่อนพลข้ามพรมแดนเข้าไปโจมตีทิเบตทันที หลังจากนั้นมา พระองค์ พร้อมทั้งพสกนิกรชาวทิเบตต้องเผชิญกับภัยสงครามและการรุกรานอย่าง หนักตลอดมา และถึงกับสิ้นชาติไปนที่สุด เมื่อปี ค.ศ. 1965 ครั้นบ้านเมือง แตกระส่ำระสาย พระองค์พร้อมทั้งชาวทิเบตอีกเป็นจำนวนมากได้อพยพ หลบหนีไปอยู่ในอินเดีย เนปาล และดินแดนใกล้เคียงบางแห่งตลอดมา จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลานานหลายปีแล้ว


ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นข้อยืนยันที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อถือเกี่ยวกับ การกลับชาติมาเกิดใหม่ของชาวทิเบต ซึ่งต่างได้ยึดมั่นถือมั่นมานาน จน ประทับแน่นอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำอย่างมิรู้ลืม
 
จาก มายาศาสตร์เร้นลับ ในดินแดนทิเบต


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ธันวาคม 2553 15:57:31 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 15:57:54 »




การกลับชาติมาเกิดในธิเบต



ผู้ซึ่งรอบรู้กฎแห่งกรรมและเข้าถึงความรู้แจ้งสามารถเลือกที่จะกลับมา เกิดชาติแล้วชาติเล่าเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ในธิเบตประเพณีการรจดจำผู้เกิด ใหม่ดังกล่าวหรือ ธุลกู เริ่มต้นที่คริสต์ศตวรษที่ ๑๓ และสืบเนื่องมาจน ปัจจุบัน เมื่ออาจารย์ผู้รู้แจ้งเสียชีวิต ท่านอาจทิ้งเครื่องชี้แนะว่าท่านจะไป เกิดใหม่ที่ไหน จากนั้นหนึ่งในบรรดาศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่สุดหรือกัลยาณมิตร ของท่านอาจเห็นนิมิตหรือความฝันบ่งบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับการรเกิดใหม่ ของท่าน ในบางกรณี ศิษย์เมื่อชาติก่อนอาจเข้าหาอาจาร์ซึ่งเป็นที่รู้จักกัน ดีและได้รับการยกย่องนับถือว่ามีความสามารถจดจำธุลกูได้ อาจารย์ท่าน นี้อาจฝันหรือเห็นนิมิตที่ช่วยให้ท่านแนะนำกำกับการแสวงหาธุลกู เมื่อ เด็กได้รับการค้นพบ อาจารย์ผู้นี้จะเป็นผู้ยืนยันความถูกต้อง


จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของประเพณีนี้ก็เพื่อเป็นหลักประกันว่าปรีชาญาณ และความทรงจำของอาจาย์ผู้รู้แจ้งจะไม่สูญหาย สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต ผู้เกิดใหม่ก็คือในระหว่างการฝึกฝน ธรรมชาติดั้งเดิมของท่าน หรือปรี ชาญาณและความทรงจำที่ผู้เกิดใหม่ได้รับสืบทอดมาจากชาติก่อนจะตื่น ขึ้น และนี้คือสัญญาณอันแท้จริงที่บ่งชี้ว่าท่านเป็นผู้กลับมาเกิดจริง ๆ ตัวอย่างเช่นองค์ทะไลลามะยอมรับว่า ตั้งแต่เล็กแล้วท่านสามารถเข้าใจ ปรัชญาและคำสอนทางพุทธศาสนาได้โดยไม่ยาก ขณะที่คนธรรมดายาก ที่จะเข้าใจได้ และมักจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะเชี่ยวชาญ
 
ธุลกูจะได้รับการเลี้ยงดูด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง แม้แต่ก่อนจะฝึกฝนจะเริ่ม บิดามารดาของท่านจะได้รับการแนะนำให้เอาใจใส่ท่านเป็นพิเศษ การฝึก ฝนธุลกูจะเข้มงวดและเข้มข้นกว่าการฝึกฝนพระธรรมดาเพราะท่านนถูก คาดหวังไว้มาก
 
บางครั้งท่านจะจำชาติที่แล้วหรือแสดงความสามารถพิเศษได้ ท่านทะไล ลามะกล่าวว่า " เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กเล็ก ๆ ซึ่งกลับชาติมาเกิดจะจำวัตถุ สิ่งของและผู้คนจากชาติที่แล้วได้ บางคนยังสามารถสาธยายคัมภีร์ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครสอนมาก่อน " ผู้กลับชาติมาเกิดบางคนจะต้องปฏิบัติหรือศึกษา น้อยกว่าคนอื่น อาจารย์ของข้าพเจ้า ท่านจัมยัง เคนเซ อยู่ในข่ายนี้
 
เมื่ออาจารย์ของข้าพเจ้ายังเด็ก ท่านมีครูฝึกที่เข้มงวดมาก ท่านต้องอยู่กับ ครูฝึกในกุฏิของท่านในภูเขา เช้าวันหนึ่ง ครูฝึกของท่านไปที่หมู่บ้านใกล้ เคียงเพื่อประกอบพิธีให้คนหนึ่งซึ่งเพิ่งตาย ก่อนที่ครูฝึกจะออกเดินทาง ได้ให้หนังสือเรื่อง สวดพระนามพระมัญชุศรี แก่อาจารย์ข้าพเจ้า หนังสือ นี้ยาว ๕o หน้าและยากมาก ๆ ปกติต้องใช้เวลานับเดือน ๆ กว่าจะจำได้ คำพูดของครูฝึกก่อนจากไปคือ " จำให้ได้ภายในเย็นนี้ "


เคนเซน้อยเหมือนเด็กทั่วไป ดังนั้นเมื่อครูฝึกของท่านจากไป ท่านก็เริ่ม เล่น ท่านเล่นและเล่นจนเพื่อนบ้านกระวนกระวายใจยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ พวก เขาขอร้องอาจารย์ว่า " ท่านท่องหนังสือดีกว่า หาไม่ท่านจะถูกตี " เขารู้ ดีว่าครูฝึกของท่านเข้มงวดและดุเพียงใด แม้กระนั้นท่านก็ไม่สนใจและ ยังเล่นต่อไป ในที่สุดก่อนอาทิตย์ตก เมื่อท่านรู้ว่าครูฝึกกำลังกลับมา ท่าน ก็อ่านหนังสือทั้งเล่มเพียงจบเดียว เมื่อครูฝึกกลับมาและทดสอบท่าน ท่าน สามารถสาธยายหนังสือทั้งเล่มจากความจำได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ทุกถ้อย คำ


ธรรมดาแล้ว ไม่มีครูฝึกที่จิตปกติคนไหนจะมอบงานขนาดนั้นให้เด็กเล็ก ๆ ทำในจิตใจส่วนลึกของท่านรู้ว่าอาจารย์เคนเซเป็นพระมัญชุศรี หรือพระ พุทธเจ้าแห่งปัญญาญาณ ที่แบ่งภาคมาเกิด ดูเหมือนกับว่าท่านพยายามล่อ หลอกให้อาจารย์เคนเซ " พิสูจน์ " ตนเอง สำหรับตัวเด็กนั้น การรับงาน อันยากเข็ญเช่นนั้นโดยไม่อุทธรณ์ร้องบ่น ก็เป็นการยอมรับโดยนัยว่าท่าน เป็นใคร ในเวลาต่อมาอาจารย์เคนเซได้เขียนในอัตชีวประวัติของท่านว่า ถึงแม้ครูฝึกจะไม่พูดออกมา ท่านก็ประทับใจทีเดียว


อะไรที่สืบเนื่องมายังธุลกู ? ธุลกูเป็นคนเดียวกับคนที่กลับชาติมาเกิดหรือ ไม่ ? คำตอบคือใช่และไม่ใช่ เจตนาและความมุ่งมั่นของท่านที่จะช่วยเหลือ ผู้อื่นยังเหมือนเดิม แต่ท่านมิใช่คนเดียวกันแท้ ๆ สิ่งที่สืบเนื่องจากชาติหนึ่ง มาอีกชาติหนึ่งก็คือ องค์คุณอันประเสริฐ ซึ่งชาวคริสต์เรียกว่า " พระสง่า ราศรี " การส่งผ่านองค์คุณอันประเสริฐหรือพระสง่าราศรีนี้จะเป็นไปอย่าง สอดคล้องและเหมาะสมกับแต่ละยุคอย่างพอดิบพอดี และผู้ที่กลับชาติมา เกิดก็จะปรากฏตัวอย่างเหมาะสมที่สุดกับกรรมของผู้คนในยุคของท่าน เพื่อ จักสามารถช่วยเหลือเขาเหล่านั้นอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด


ดูเหมือนว่าตัวอย่างอันน่าประทับใจที่สุดที่ชี้ให้เห็นถึงความไพบูลย์ ทรง ประสิทธิภาพ และละเอียดอ่อนของระบบนี้เห็นนี้เห็นจะได้แก่ องค์ทะไล ลามะ ท่านได่รับการนับถือจากชาวพุทธว่าเป็นอีกภาคหนึ่งของพระอวโล กิเตศวรหรือพระพุทธเจ้าแห่งมหาการุณยธรรมอันไม่มีประมาณ


- จาก ประตูสู่สภาวะใหม่ คำสอนธิเบตเพื่อเตรียมตัวตาย และช่วยเหลือผู้ไกล้ตาย โดย โซเกียล ริมโปเช -
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
เรื่องจากต่างแดน : เปิดตำหนัก 'ทะไล ลามะ' ที่อินเดีย
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 1 2569 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:26:37
โดย มดเอ๊ก
"แห่งการงานอันเบิกบาน" : โดย ท่าน ตาร์ถัง ตุลกู ( คัดมาบางส่วน )
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 12 8573 กระทู้ล่าสุด 15 มิถุนายน 2553 20:09:56
โดย มดเอ๊ก
ล่ามองค์ทะไล ลามะ “พระพุทธเจ้าในตัวคุณ”
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 1 2120 กระทู้ล่าสุด 16 ธันวาคม 2553 23:03:17
โดย หมีงงในพงหญ้า
รายการพื้นที่ชีวิต: สัมภาษณ์ ดาไล ลามะ หัวข้อ พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
แคทรีนจังกกไข่ 1 1858 กระทู้ล่าสุด 16 มกราคม 2556 02:06:35
โดย แคทรีนจังกกไข่
ปัญญาญาณแห่งการอภัย: บทสนทนาและการเดินทางเปี่ยมมิตรภาพ (องค์ ทะไล ลามะ)
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 1221 กระทู้ล่าสุด 11 สิงหาคม 2559 18:56:30
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.382 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มีนาคม 2567 02:28:27