[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
04 กรกฎาคม 2568 12:09:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : มองอีกแง่-เป็นมนุษย์ต่างดาวก็เป็นสุคติ  (อ่าน 1601 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 ธันวาคม 2553 09:49:41 »



 มนุษย์เราเกิดมากับความทุกข์จริงๆ ตามที่พุทธศาสนาบอก แต่ศาสนาม่ได้บอกเรื่องมนุษย์ต่างดาว ซึ่งกล่าวถึงพรหมวิมาน แต่แอริช วอนดานิเกนส์ ได้พิมพ์หนังสือขายรวมทั้งหมดถึงกว่า 30 ครั้ง จำนวนมากกว่า 3,500,000 เล่ม ชื่อว่า "วิมานของเทวดา" (Erich Von Dinkies : Chariots of the Gods?, 1973) ว่าเทวดามาเยี่ยมเยียนโลกเราโดยวิมาน (UFO) มาตั้งแต่ก่อนที่เราจะมีโฮโม ซาเปียนส์เสียอีก แต่เท่าที่ผู้เขียนรู้ ทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่ได้เหมือนกันเปี๊ยบ จริงๆ แล้วอาจพูดได้ว่าไม่เหมือนกันเลยก็ได้ นอกจากนี้ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนจะบอกว่าแม้แต่วัยและวันเวลาก็ไม่เหมือนกัน สำหรับตัวเองที่พูดมานั้นขึ้นกับหน้าที่ โดยเฉพาะความรับผิดชอบของเราในเวลานั้นๆ ดังนั้นในช่วงที่เป็นเด็กและยิ่งเล็กเท่าไหร่? เรายิ่งไม่ค่อยมีทุกข์มากนัก เรียกว่าพอจะมีสุขบ้าง ที่พูดนั้นพูดไปตามประสบการณ์ความรู้สึกเท่านั้น ทั้งนี้และทั้งนั้นการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นเต็มไปด้วยความทุกข์จริงๆ มากหรือน้อยเป็นไปตามความรู้สึกของผู้ที่กำลังได้รับความทุกข์อยู่ในขณะนั้นๆ แต่คนเราจะมีน้อยคนนักที่จะนั่งฟังความทุกข์ของคนอื่นด้วยความตั้งใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าตนเองก็มีทุกข์เหมือนกัน บทความของวันนี้จะมองในอีกแง่หนึ่งคือ มองว่าคนที่มีรูปกายคล้ายกับมนุษย์ หรือมนุษย์ต่างดาว ที่ผู้เขียนเชื่อว่ามีอย่างแน่นอนนั้น เมื่อตายไปแล้วก็ย่อมจะไปสู่สุคติได้เหมือนกันเช่นเดียวกับมนุษย์เราในโลกนี้ สุดแต่กรรมที่กระทำนั้น

     แต่ถ้าให้พูดอย่างหมดเปลือกจริงๆ เกิดมาเป็นมนุษย์ที่พุทธศาสนาถือว่าเป็นการเกิดใหม่ที่เป็น "สุคติ" หรือมีวิถีชีวิตที่จะรู้จักความสุขบ้าง แม้ว่าจะเป็นความสุขที่ส่วนใหญ่มากๆ มักจะไม่สมบูรณ์ เพราะส่วนมากเป็นความสุขทางกายภาพนำที่ตัวเองก็ไม่รู้และคิดว่าคือความสุขที่แท้จริง มีน้อยคนนักที่รู้ความสุข 2 ด้าน นั่นคือความสุขทางกายภาพและทางจิตภาพ แทบจะรู้สึกว่ามาพร้อมๆ กัน แต่จริงๆ แล้วโดยมีที่จิตมีก่อนและมีจิตนำ นั่นคือความสุขที่สมบูรณ์ และที่มีปีติหรือความซาบซ่านเป็นหัวหอก (blissful happiness) ซึ่งผู้ปฏิบัติสมาธิแทบทุกคนรู้จักดี แต่มีบางคนที่ไม่มีปีติเลยก็ได้ นอกจากนี้สุคติซึ่งเป็นการเกิดมาบนโลกนี้ของมนุษย์นั้นจะมีทางเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง คือสามารถจะเลือกเส้นทางของจิตที่ดีงามอันเป็นเส้นทางแห่งจิตวิญญาณที่จะนำไปสู่สวรรค์หรือนิพพานได้ หรือเส้นทางแห่งความเลวร้ายที่จะนำไปสู่อบายหรือนรกได้ ซึ่งภพภูมิอื่นๆ ไม่มีทางเลือกเช่นนี้ การมีทางเลือกเช่นว่านี้ทำให้ นอกจากมนุษย์ภูมิซึ่งทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นภพภูมิแห่งกามเฉกเช่นสวรรค์ระดับล่างสุดๆ หรือชั้นระดับกามาวจรภูมิที่ถือว่าเป็นสุคติภูมิแล้วยังทำให้ผู้เขียนมีความสงสัยว่ากามาวจรภูมิจะเป็นภูมิที่มีภพเช่นโลกเราหรือดาวเคราะห์ในกาแล็กซีทางช้างเผือกเราหรือไม่? หรืออีกนัยหนึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวประเภทหนึ่งหรือไม่? ความสงสัยที่น่าเชื่อว่าอาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ คือมีรูปกายอยู่ภายนอกและมีจิตอยู่ภายในหรือไม่? ทั้งนี้ น่าจะยกเว้นโดยเฉพาะภูมิหรือสวรรค์ที่ไม่มีรูป (อรูปพรหม) ทั้งหลาย ซึ่งท่องเที่ยวไปด้วยจิต (psychological) ที่ผู้เขียนเคยเขียนลงในไทยโพสต์เมื่อเร็วๆ นี้ ในเรื่อง "ประสบการณ์ใกล้ตายที่เป็นลบ" (FNDEs ซึ่งเป็นลบหรือ negative) ที่เป็นเสมือนนรกและพุทธศาสนาสายทิเบตก็บอกว่าน่าจะเป็นเหมือนๆ กับสวรรค์ชั้นพรหม คือเป็นการท่องเที่ยวไปด้วยจิตหรือเป็นความรู้สึกด้วยจิตที่ว่ามาข้างบนนั้น 

     ในสมัยโบราณเราจะเห็นว่าวิวัฒนาการของจิต - ที่จริงๆ แล้วผู้เขียนคิดอย่างแน่ใจคือการบริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาลหรือจิตจักรวาลของคาร์ล กุสต๊าฟ จุง (universal unconscious continuum) เป็นจิตรู้หรือจิตสำนึกของคนแต่ละคนโดยสมอง ดังที่ผู้เขียนได้บอกไปแล้วหลายครั้งและจะย้ำอีก เพราะมันสำคัญมากๆ สมองนั้นสำคัญเหลือเกิน แต่สมองก็ไม่ใช่จิต และจิตรู้หรือจิตสำนึกนั่นเองที่มีวิวัฒนาการที่ทางศาสนาพุทธเรียกว่าวิญญาณขันท์ที่ 5 ที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการ "รู้" (cognition) ซึ่งนอกจากจะเป็นจิตสำนึกที่รู้แล้ว (ยามปกติ) แต่จิตไร้สำนึก (ยามไม่ปกติ เช่น อภิญญา (ESP) หรือในปรภพ) ก็รู้ได้โดยไม่ใช้สมอง ซึ่งคาร์ล จุง ก็เชื่ออย่างนั้น (unconsciousness cognition) ฉะนั้น วิวัฒนาการของจิตตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ามาแล้ว คนโบราณจึงมักจะเทียบกับสีต่างๆ ของสายรุ้ง ซึ่งมี 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง นั้น นับจากบนหรือสูงสุดลงมา แต่จะบวกสีสุดท้ายหรือสุดยอดเหนือสีม่วงเป็นสีขาวนวลหรือสีเหลืองที่กระจ่างใสที่เป็นสีของพระเจ้า หรือ (Buddha hood) อันแสดงถึงความจริงที่แท้จริง (Supreme Reality) แต่ผู้เขียนคิดว่าเราอย่าไปหลงสีต่างๆ จะดีกว่า เพราะเราอาจจะสับสน อย่าลืมว่าสีต่างๆ ที่แคลร์ เกรฟ (ตายแล้ว) และดอน เบ็ค ใช้ในสไปรัลไดนามิกส์ (spiral dynamics) นั้นได้สีต่างๆ มาจากการถ่ายรูปออร่า (aura)

     มนุษย์นั้นนอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมาแล้วยังมีคุณสมบัติที่ทางวิชาการถือว่ามีศักยภาพที่แทบจะไม่มีขอบเขต ดูได้จากความคิดคำนึงจินตนาการดังที่ไอน์สไตน์ว่าไว้ว่า ความรู้กับสติปัญญาความฉลาดนั้นไม่สำคัญหากเทียบกับจินตนาการ เพราะว่าจินตนาการสามารถเดินทางไปรอบโลกได้ในทันทีทันใด จนมีผู้กล่าวว่าไม่มีอะไรที่มนุษย์จะทำไม่ได้ และนั่น - ทำให้มนุษย์ในอดีต เช่น ฟรานซิส เบคอน นักปราชญ์ผู้ทรงอิทธิพลยิ่งเมื่อ 500 ปีก่อน และมนุษย์ทั้งยุโรปในเวลานั้นได้พากันหลงตัวเอง (narcissism) น่าเกลียด (anthropocentric) จนกระทั่งมีบางคนที่มีจำนวนไม่น้อยในทุกวันนี้ (ราวๆ 5-15%) โดยเฉพาะคนในประเทศด้อยพัฒนาที่ด้อยการศึกษา - ไม่สามารถจะมีวิวัฒนาการตามธรรมชาติได้ตามปกติเหมือนเพื่อนเขา ซึ่งมีวิวัฒนาการสูงถึงขั้นระดับตัวตนและเหตุผล (self - rational) อันเป็นระดับชั้นที่คนส่วนใหญ่มีอยู่ในปัจจุบัน คนจำพวกนี้จะยังคงอยู่ระดับหรือชั้นแห่งการเจริญเติบโตวิวัฒนาการอยู่ในที่ขั้นต่ำที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ (mythic) นั่นคือยังอยู่ที่นิยายจักรๆ วงศ์ๆ คนจำพวกนี้คือพวกผู้คลั่งชาติ คลั่งศาสนา (fundamentalist) บ้าสี บ้าเข็มขัด หรือเครื่องหมายที่ตนอยู่ (membership) ซึ่งเหตุผลเป็นเรื่องรองๆ ทำไม? มนุษย์ถึงต้องเป็นเช่นนั้น? เพราะอะไรหรือ? เราถึงต้องเจริญเติบโตวิวัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอน นั่นชี้บ่งว่าเป็นจิตที่คุมกายและพฤติกรรมทั้งหมด จริงๆ แล้วเกิดมาเป็นสัตว์โลกที่รวมทั้งมนุษย์แล้วไม่ว่าอะไรจะต้องขึ้นอยู่กับจิตทั้งหมดเลย ว่าเพราะมีจิตสัตว์โลกทั้งหลายโดยเฉพาะมนุษย์จึงต้องเรียนรู้ไปตามลำดับ? เราไม่รู้คำตอบเหล่านี้ ซึ่งไม่ง่ายเลย แต่น่าจะอยู่ที่จิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาล (self) รูปแบบต่างๆ เช่น ความคิด อารมณ์ที่ต้องรอคอยช่วงเวลาในการวิวัฒนาการไปตามช่วงหนึ่งๆ เปลี่ยนแปลง คือรอให้จิตไร้สำนึกของจักรวาลที่ว่านั้นให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เสียก่อน? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ รูปและช่วงเวลาหรือวัยและอายุก็มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งกับมนุษย์และจักรวาลที่มีรูปมีกายทั้ง 2 เลย และวิวัฒนาการก็คือ วัยหรือช่วงเวลาโดยธรรมชาติของจิตไร้ของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในกายหรือสมองของมนุษย์ (self) จะเปลี่ยนแปลงเป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เท่านั้น มนุษย์จึงมีความสำคัญที่สุดในประเด็นของการเรียนรู้เฉพาะด้านวิวัฒนาการสำคัญกว่าภพภูมิใดๆ ทั้งสิ้นในประเด็นนี้ ส่วนประเด็นของความทุกข์หรือความสุขที่แท้จริงเป็นคนละประเด็น สุคติคือภพภูมิของการเรียนรู้และวิวัฒนาการที่สุดท้ายแล้วจะต้องเป็นบูรณาการ และนั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนคิดมาตลอดถึงเหตุผลที่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางแห่งสภาวะจิตวิญญาณอันเป็นบูรณาการ ซึ่งก็คือนิพพานนั่นเอง   

     "สุคติ" นั้นคือวิถีชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับทุคติอันเป็นวิถีชีวิต อันได้แก่ อบายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม มนุษย์และเทวดาระดับล่างหรือกามาวจรภูมิที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นภพภูมิ ก็คือมนุษต่างดาวที่อยู่ในสวรรค์ชั้นล่างที่สุดที่ 6 ขั้น เพราะว่ายังเกี่ยวข้องกับกามและคิดว่าตนมีหนทางที่จะเลือกทางเดินของตน มีทางเลือกของตนนั้น ผู้เขียนคิดเอาเองว่า มนุษย์และเทวดาหรือมนุษย์ต่างดาวคิดว่าตนเป็นผู้เลือกนั้น สุคติจึงน่าจะเป็นดาวเคราะห์ดวงไหนก็ได้ เพราะเป็นกามาวจรภูมิเหมือนๆ กัน จริงๆ แล้วล้วนแล้วแต่กำหนดด้วยการกระทำหรือกรรมสัตว์โลกหรือมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่ามนุษย์นั้นๆ จะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่? เพราะทั้งมนุษย์และเทวดาระดับล่างนั้นๆ ต่างก็มีทั้งจิตที่เป็นกุศลและจิตที่เป็นอกุศลเท่าๆ กัน ต่างก็มีกรรมที่เป็นของตนเองและกรรมร่วมโดยรวม โดยเฉพาะในชั้นล่างๆ เช่น ชั้นหรือระดับที่มี 4 กษัตริย์ปกครอง ชั้นหรือระดับที่มีเป็นเทพอสูร แต่ชั้นหรือระดับที่อยู่สูงกว่าจะมีจิตที่เป็นกุศล (กุศลจิต) เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (อภิธรรมมัตสังคาหะ)

     มนุษย์ในโลกนั้นหรือมนุษย์ต่างดาวเกิดอยู่ในสุคติก็จริง แต่ "มีที่มา" ไม่เหมือนกัน ที่มนุษย์จึงมีหลายๆ ที่มา บางคนจึงสงสัยและมักถามว่าประชากรในโลกมาจากไหนถึงได้มีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ และหมูเห็ดเป็ดไก่มาจากไหนคนจึงกินไม่หมดสักที ทั้งที่ประชากรของโลกก็เพิ่มทวีมากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ก็ขอตอบรวมกันเสียเลยว่า จักรวาลนี้จักรวาลเดียวมีคลื่นอนุภาคถึง 10 ยกกำลัง 80 ซึ่งเมื่อสภาพคลื่นได้สลายตัว (wave-function collapse) ก็จะเหลืออนุภาคหรือสสารที่ประกอบเป็นวัตถุเนื้อเยื่อเต็มจำนวนนั้น - ทีนี้พุทธศาสนาบอกว่าทุกๆ สิ่งทุกๆ ปรากฏการณ์มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตล้วนประกอบด้วยรูปกับนามเท่านั้น และรูปกายของชีวิตทั้งหลายทั้งปวงวิวัฒนาการมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต โดยมาจากจิตปฐมภูมิที่แยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้น - โดยควอนตัมเม็คคานิกส์และพุทธศาสนาที่กล่าวเหมือนกันว่าได้มาจากความว่างเปล่าทางควอนตัม (quantum vacuum) หรือสุญตา เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตตั้งแต่เม็ดกรวด เม็ดทราย พืชพันธุ์ต้นไม้ มด ปลวก หรือแมลง จนกระทั่งกุ้ง ปลา ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ล้วนมีสิทธิ์ที่จะมีวิวัฒนาการได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ผู้ใดที่หลุดจากกรรมหรือใช้กรรมหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรกชั้นไหนก็ย่อมจะเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อการเรียนรู้ และเพื่อแสวงหาจิตวิญญาณนิพพาน (spirituality-nirvana) กันทั้งนั้น อย่าลืมว่าทางพุทธศาสนานั้นการเกิดใหม่ไม่ว่าในภพภูมิไหน? หรือภพไหน? หรือภูมิอะไร? ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ดังนั้นวิวัฒนาการไม่มีขาดตอน เพียงแต่การเจริญเติบโตวิวัฒนาการนั้นเป็นเรื่องของกายอย่างเดียวก็ได้ เป็นเรื่องของจิตอย่างเดียวก็ได้ หรือทั้งกายและจิตก็ได้ ดั่งสวรรค์ชั้นล่าง ชั้นกามาวจรภูมิ หรือมนุษย์ต่างดาวอย่างในบทความของวันนี้ ทั้งนี้ ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำนั้นๆ.


http://www.thaipost.net/sunday/261210/32048

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.63 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มิถุนายน 2568 21:12:41