[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 เมษายน 2567 23:22:26 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขันติปรมัตถบารมี (ขันติวาทิชาดก)  (อ่าน 4844 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1003


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 เมษายน 2558 10:36:53 »

.


 พญานาคกับพระพุทธศาสนา
ขันติวาทิชาดก   ตอนที่ ๑

ในอดีตกาล พระเจ้ากาสีพระนามว่า กลาปุ ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี  ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า กุณฑลกุมาร เล่าเรียนสรรพวิชาจากสำนักตักศิลา เมื่อบิดามารดาล่วงลับไป กุณฑลมาณพก็พิจารณาว่าทรัพย์ทั้งหลายตายแล้วไม่สามารถนำติดตัวไปได้ จึงได้นำทรัพย์ทั้งหมดออกบริจาคเป็นทาน แล้วออกบวชเป็นดาบส บำเพ็ญพรตในป่าหิมพานต์

พระดาบสอยู่ในป่า มีผลไม้เป็นอาหาร นานวันเข้าก็ต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยวบ้าง จึงได้จาริกออกจากป่ามายังนครพาราณสี แล้วเข้าไปอยู่ในราชอุทยาน วันรุ่งขึ้นพระดาบสเที่ยวภิกขาจารไปในนคร เสนาบดีเลื่อมใสในอิริยาบถของพระฤๅษีจึงเชิญให้มาฉันในเรือน และให้พักอยู่ในราชอุทยานนั้น   วันหนึ่ง พระเจ้ากลาปุทรงมึนเมาน้ำจัณฑ์ เสด็จไปราชอุทยานห้อมล้อมด้วยสนมนางใน พระองค์ให้ปูที่บรรทมบนแผ่นหิน แล้วบรรทมเหนือตักนางสนมคนโปรด ให้สนมนางอื่นขับร้องและฟ้อนรำจนบรรทมหลับไป 

ลำดับนั้น เหล่านางสนมก็พากันกล่าวว่า พระราชาหลับแล้ว พวกเราขับร้องและฟ้อนรำเพื่อประโยชน์อะไร จึงทิ้งเครื่องดนตรีแล้วหลีกไปเที่ยวชมราชอุทยาน พวกนางสนมไปพบพระดาบสนั่งบำเพ็ญพรตอยู่โคนไม้ จึงเข้าไปกราบไหว้ขอฟังธรรม พระดาบสจึงแสดงธรรมแก่หญิงเหล่านั้น ฝ่ายพระราชาตื่นบรรทมขึ้นมาไม่เห็นพระสนมนางอื่น จึงตรัสว่าพวกหญิงถ่อยไปไหน พระสนมคนโปรดกราบทูลว่าหญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อมดาบสรูปหนึ่ง พระราชาทรงกริ้วถือพระขรรค์รีบเสด็จไปด้วยตั้งพระทัยว่าจักตัดหัวของพระดาบสนั้น ฝ่ายพระสนมคนโปรดก็ไปแย่งเอาพระแสงดาบจากพระหัตถ์ของพระราชาไปเสีย และกล่าววาจาให้พระราชาสงบพระทัย

พระราชาเสด็จไปยืนหน้าพระดาบส ตรัสถามว่า สมณะแกมีวาทะว่ากระไร พระดาบสทูลว่า มหาบพิตรอาตมามีขันติวาทะ กล่าวยกย่องขันติ พระราชาตรัสว่า ที่ชื่อว่าขันตินั้น คืออะไร พระดาบสทูลว่า คือความไม่โกรธในเมื่อเขาด่าอยู่ ประหารอยู่ เย้ยหยันอยู่  พระราชาตรัสว่า ประเดี๋ยวเราจักเห็นความมีขันติของแก แล้วพระราชาก็รับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมาจับพระดาบสเฆี่ยนด้วยแซ่หนามสองพันครั้ง ทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และด้านข้างทั้งสอง จนผิวพระฤๅษีขาดพระโลหิตไหลนอง

พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร  พระดาบสทูลว่า มหาบพิตรอาตมามีวาทะยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่าขันติมีในระหว่างหนังของอาตมา ขันติไม่ได้มีในระหว่างหนังของอาตมา มหาบพิตร ก็ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัย ซึ่งพระองค์ไม่อาจแลเห็น

พระราชาได้ฟัง จึงตรัสสั่งให้เพชฌฆาตตัดมือและเท้าทั้งสองข้างของพระดาบส จนโลหิตของพระดาบสไหลพุ่งออกมาเหมือนน้ำไหลออกจากหม้อทะลุ พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร พระดาบสทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมา ขันตินั่นไม่มีอยู่ที่นี้ เพราะขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัย อันสถานที่ลึกซึ้ง พระราชาจึงสั่งให้เพชฌฆาตตัดหูและจมูกพระดาบสอีก พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะกระไร พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ แต่พระองค์ได้สำคัญว่าขันติตั้งอยู่เฉพาะที่ปลายหู ปลายจมูก ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันลึก พระราชาตรัสว่า เจ้าดาบสโกง เจ้าจงนั่งเชิดชูขันติของเจ้าอยู่ที่นี้เถิด แล้วพระองค์ก็กระทืบยอดอกพระดาบส แล้วเสด็จจากไป

เมื่อพระราชาเสด็จไปแล้ว เสนาบดีเช็ดโลหิตจากร่างกายของพระดาบส เก็บรวบรวมปลายมือ ปลายเท้า ปลายหู และปลายจมูกไว้ที่ชายผ้า ค่อยๆ ประคองให้พระดาบสนั่ง กราบไหว้แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านจะโกรธ ควรโกรธพระราชาผู้ทำผิดในท่านนั้นเถิด อย่าได้ทำรัฐนี้ให้พินาศเสียเลย

พระดาบสจึงกล่าวว่า พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของอาตมภาพ ขอพระราชาพระองค์นั้นจงทรงพระชนม์ยืนนาน บัณฑิตทั้งหลายเช่นกับอาตมภาพ ย่อมไม่โกรธเคือง แล้วพระดาบสก็สิ้นชีวิตลงในวันนั้น

ฝ่ายพระราชา เมื่อเสด็จออกจากพระราชอุทยาน ลับคลองจักษุของดาบสเท่านั้น มหาปฐพีหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็แยกออก มีเปลวไฟจากนรกแลบออกมา กระชากจับพระราชาเข้าสู่อเวจีนรกที่หน้าประตูพระราชอุทยานนั่นเอง

(พระเจ้ากลาปุ มาเกิดเป็น พระเทวทัต  เสนาบดี มาเกิดเป็น พระสารีบุตร  พระดาบส มาเกิดเป็น พระสมณโคตมพุทธเจ้า)

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1003


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 10:43:25 »

.


 พญานาคกับพระพุทธศาสนา
ขันติวาทิชาดก  ตอนที่ ๒

พระพุทธเจ้าเคยกำเนิดเป็นพญานาค
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตนิทานว่า พระองค์เคยเกิดเป็นพญานาค ดังที่ปรากฏใน อรรถกถาจัมเปยยชาดก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ หน้า ๑๘๕

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุโบสถกรรม ความว่า ดูก่อนอุบาสกบาสิกาทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายอยู่รักษาอุโบสถกรรมเป็นความดี  โบราณกบัณฑิตทั้งหลายละนาคสมบัติแล้ว อยู่รักษาอุโบสถกรรมเหมือนกัน อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า พระเจ้าอังคติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในอังครัฐราชธานี ในระหว่างแคว้นอังคะและมคธะต่อกัน มีแม่น้ำชื่อจัมปานที ได้มีนาคพิภพอยู่ใต้แม่น้ำจัมปานทีนั้น พระยานาคราชชื่อว่า จัมเปยยะ ครองราชสมบัติในนาคพิภพนั้น (โดยปกติ พระราชาแห่งแคว้นทั้งสอง เป็นศัตรูกระทำยุทธชิงชัยแก่กันและกันเนืองๆ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ)

บางครั้งพระเจ้ามคธราช ยึดแคว้นอังคะได้ บางครั้งพระเจ้าอังคราชยึดแคว้นมคธได้

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามคธราช กระทำยุทธนาการกับพระเจ้าอังคราชทรงปราชัยต่อยุทธสงคราม เสด็จขึ้นม้าพระที่นั่งหลบหนีไปถึงฝั่งจัมปานที พวกทหารพระเจ้าอังคราช ติดตามไปทันเข้า จึงทรงพระดำริว่าเราโดดน้ำตายเสียดีกว่าตายในเงื้อมมือของข้าศึก ดังนี้แล้วจึงโจนลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้งม้าพระที่นั่ง   ครั้งนั้น จัมเปยยนาคราช เนรมิตมณฑปแก้วไว้ภายในห้วงน้ำแวดล้อมด้วยบริวารเป็นอันมากดื่มมหาปานะอยู่ ม้าพระที่นั่งกับพระเจ้ามคธราชจมน้ำดิ่งลงไปเฉพาะพระพักตร์แห่งพระยานาคราช พระยานาคราชเห็นพระราชาทรงเครื่องประดับตกแต่งก็บังเกิดความสิเนหา  จึงลุกจากอาสนะทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าพระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย แล้วอัญเชิญให้พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ของตน ทูลถามถึงเหตุที่ดำน้ำลงมา พระเจ้ามคธราชตรัสเล่าความตามเป็นจริง

ลำดับนั้น จัมเปยยนาคราช ปลอบโยนพระเจ้ามคธราชให้เบาพระทัยว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย ข้าพระพุทธเจ้าจักช่วยจัดการให้พระองค์เป็นเจ้าของทั้งสองรัฐ ดังนี้แล้วเสวยยศอันยิ่งใหญ่อยู่ ๗ วัน ในวันที่ ๘ จึงออกจากนาคพิภพพร้อมด้วยพระเจ้ามคธราช

พระเจ้ามคธราชทรงจับพระเจ้าอังคราชได้ ด้วยอานุภาพของพระยานาคราช แล้วตรัสสั่งให้สำเร็จโทษเสีย เสวยราชสมบัติในสองรัฐสีมามณฑล นับแต่นั้นมาความวิสาสะคุ้นเคยระหว่างพระเจ้ามคธราช กับพระยานาคราชก็ได้กระชับมั่นคงยิ่งขึ้น พระเจ้ามคธราชให้สร้างรัตนมณฑปขึ้นที่ฝั่งจัมปานที แล้วเสด็จออกกระทำพลีกรรมแก่พระยานาคราช ด้วยมหาบริจาคทุกๆ ปี  แม้พระยานาคราชก็ออกจากนาคพิภพมารับพลีกรรมพร้อมด้วยมหาบริวาร มหาชนพากันมาเฝ้าดูสมบัติของพระยานาคราช

ในกาลนั้นพระบรมโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเข็ญใจ ไปที่ฝั่งน้ำพร้อมด้วยราชบริษัท เห็นสมบัติของพระยานาคราชนั้นแล้ว ก็เกิดโลภเจตนาปรารถนาจะได้สมบัตินั้น จึงทำบุญให้ทานรักษาศีล พอ จัมเปยย นาคราช ทำกาลกิริยาไปได้ ๗ วัน ก็จุติไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์ ณ ห้องอันมีสิริในปราสาทที่อยู่ของจัมเปยยนาคราชนั้น สรีระร่างกายของพระบรมโพธิสัตว์ได้ปรากฏใหญ่โต มีวรรณะขาวราวกะพวงดอกมะลิสด พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เกิดวิปฏิสาร คิดไปว่า อิสริยยศในฉกามาวจรสวรรค์เป็นเสมือนข้าวเปลือกที่เขาโกยกองเก็บไว้ในฉาง ได้มีแก่เราด้วยผลแห่งกุศลที่เราทำไว้ เราสิกลับมาถือปฏิสนธิในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้ ประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตอยู่ดังนี้ แล้วเกิดความคิดที่จะตาย ลำดับนั้นนางนาคมาณวิกา ชื่อว่า สุมนา เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้วดำริว่า ชะรอยจักเป็นสัตว์ผู้มีอานุภาพมากมาเกิดแน่ ดังนี้แล้วจึงให้สัญญาแก่นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย  นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นทั้งหมดต่างถือนานาดุริยสังคีต มากระทำการบำเรอขับกล่อมพระมหาสัตว์ นาคพิภพที่สถิตของพระมหาสัตว์นั้น ได้ปรากฏเสมือนพิภพแห่งท้าวสักกเทวราช  มรณจิต (คือจิตที่คิดอยากตาย) ของพระมหาสัตว์ก็ดับหายไป

พระมหาสัตว์เจ้าละเสียซึ่งสรีระของงู ทรงประดับเครื่องสรรพาลังการประทับเหนือพระแท่นบรรทม นับจำเดิมแต่นั้นมาพระอิสริยยศก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์เจ้ามาก

เมื่อนาคอยากเป็นมนุษย์จึงรักษาอุโบสถศีล
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น ในเวลาต่อมาก็เกิดวิปฏิสาร คิดว่าประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม พ้นจากอัตภาพนี้ไปสู่ดินแดนมนุษย์ จักได้แทงตลอดสัจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้ นับจำเดิมแต่นั้น ก็ทรงรักษาอุโบสถกรรม อยู่ในปราสาทนั้นทีเดียว พวกนางมาณวิกาตกแต่งกายงดงาม พากันไปยังสำนักของพระมหาสัตว์นั้น ศีลของพระมหาสัตว์ก็วิบัติทำลายอยู่เนืองๆ จำเดิมแต่นั้นพระมหาสัตว์เจ้า จึงออกจากปราสาทไปสู่พระอุทยาน นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นก็ติดตามไปแม้ในพระอุทยาน อุโบสถศีลของพระมหาสัตว์ก็แตกทำลายอยู่ร่ำไป ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าทรงจินตนาการว่า ควรที่เราจะออกจากนาคพิภพนี้ ไปยังมนุษยโลกอยู่รักษาอุโบสถ นับแต่นั้นมาเมื่อถึงวันอุโบสถ พระองค์ก็ออกจากนาคพิภพไปยังมนุษยโลก ทรงประกาศสละร่างกาย ในทานว่า “ใครจะมีความต้องการอวัยวะของเรามีหนังเป็นต้นจงถือเอาเถิด ใครต้องการจะทำให้เราเล่นกีฬางูก็จงกระทำเถิด” แล้วคู้ขดขนดกายนอนรักษาอุโบสถอยู่ที่ยอดจอมปลวก ใกล้มรรคาแถบปัจจันตชนบทแห่งหนึ่ง ชนทั้งหลายเดินผ่านไปมา ในหนทางใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์เจ้า แล้วพากันบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมเป็นต้น แล้วหลีกไป ชาวปัจจันตชนบทไปพบแล้วคิดว่าคงจักเป็นนาคราชผู้มีมหิทธานุภาพ จึงจัดทำมณฑปขึ้นเบื้องบน ช่วยกันเกลี่ยทรายรอบบริเวณ แล้วบูชาด้วยสักการะมีของหอมเป็นต้น  

จำเดิมแต่นั้นมา มนุษย์ทั้งหลายก็เลื่อมใสในพระมหาสัตว์เจ้า ทำการบูชาปรารถนาบุตรบ้าง ปรารถนาธิดาบ้าง แม้พระมหาสัตว์เจ้าทรงรักษาอุโบสถกรรม ถึงวันจาตุททสีและปัณณรสี ดิถี ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็มานอนอยู่เหนือจอมปลวก ต่อในวันปาฏิบทแรมค่ำหนึ่ง จึงกลับไปสู่นาคพิภพ เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ารักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้  เวลาล่วงไปเนิ่นนาน อยู่มาวันหนึ่ง นางสุมนาอัครมเหสี ทูลถามพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์เสด็จไปยังมนุษยโลกเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลนั้น ความจริง มนุษยโลกน่ารังเกียจ มีภัยรอบด้าน หากว่าภัยจะพึงบังเกิดแก่พระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะพึงรู้ได้ด้วยนิมิตอย่างไร ขอพระองค์จงตรัสบอกนิมิตอย่างนั้นแก่พวกหม่อมฉันด้วยเถิด

พระมหาสัตว์จึงนำ นางสุมนาเทวี ไปยังขอบสระมงคลโบกขรณีแล้วตรัสว่า "ดูก่อนพระนางผู้เจริญ ถ้าหากใครๆ จักประหารทำให้เราลำบากไซร้ น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่นมัว ถ้าพญาครุฑจับเอาไปน้ำจักเดือดพลุ่งขึ้นมา ถ้าหมองูจับเอาไปน้ำจักมีสีแดงเหมือนโลหิต"  พระโพธิสัตว์ตรัสบอกนิมิต ๓ ประการ แก่นางสุมนาเทวีอย่างนี้แล้ว ทรงอธิษฐานจาตุททสีอุโบสถ เสด็จออกจากนาคพิภพไปมนุษยโลก นอนเหนือจอมปลวก ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยรัศมีแห่งสรีรกาย แม้สรีรกายของพระมหาสัตว์นั้น ก็ปรากฏขาวสะอาดผุดผาดดังพวงเงิน ท่อนพระเศียรเบื้องบนคล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง

อนึ่ง ในชาดกนี้สรีรกายของพระโพธิสัตว์มีขนาดเท่าศีรษะคันไถ ในภูริทัตตชาดก มีขนาดเท่าลำขา ในสังขปาลชาดก มีขนาดเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง ในกาลครั้งนั้น มีมาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งไปเมืองตักศิลาเรียนอาลัมภายนมนต์ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เดินทางกลับบ้านของตนโดยผ่านมรรคานั้น เห็นพระมหาสัตว์เจ้าแล้วคิดว่า เราจักจับงูนี้บังคับให้เล่นกีฬาในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย ยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น จึงหยิบทิพโอสถ ร่ายทิพมนต์ไปยังสำนักของพระมหาสัตว์เจ้า จำเดิมแต่พระมหาสัตว์เจ้าสดับทิพมนต์ แล้วเกิดอาการเหมือนซี่เหล็กร้อนยอนเข้าไปในพระกรรณทั้งสอง เบื้องพระเศียรปวดร้าวราวกะถูกเหล็กสว่านไช พระมหาสัตว์เจ้าทรงรำพึงว่านี่อย่างไรกันหนอ จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงภายในขนด แลไปได้เห็นหมองูแล้วดำริว่าพิษของเรามากมาย ถ้าเราโกรธแล้วพ่นลมจมูกออกไป สรีระของหมองูนี้จักย่อยแหลกไปเหมือนกองเถ้า แต่เมื่อทำเช่นนั้นศีลของเราก็จักด่างพร้อย เราจักไม่แลดูหมองูนั้น ท้าวเธอจึงหลับพระเนตรทั้งสอง ทอดพระเศียรไว้ภายในขนด พราหมณ์หมองูเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์พ่นน้ำลายลงที่สรีรกายของพระมหาสัตว์ด้วยอานุภาพแห่งโอสถและมนต์ เรือนร่างของพระมหาสัตว์ในที่ซึ่งถูกน้ำลายรดแล้วๆ ปรากฏเป็นเสมือนพองบวมขึ้น ครั้งนั้นพราหมณ์หมองู จึงฉุดหางพระมหาสัตว์ลากลงมาให้นอนเหยียดยาว บีบตัวด้วยไม้กีบแพะทำให้ทุพพลภาพ จับศีรษะให้มั่นแล้วบีบเค้น พระมหาสัตว์จึงอ้าปากออก ทีนั้นพราหมณ์หมองูจึงพ่นน้ำลายเข้าไปในปากของพระมหาสัตว์ แล้วจัดการพ่นโอสถและมนต์ ทำลายพระทนต์จนหลุดถอน ปากของมหาสัตว์เต็มไปด้วยโลหิต พระมหาสัตว์สู้อดกลั้นทุกขเวทนาเห็นปานนี้ เพราะกลัวศีลของตัวจะแตกทำลาย ทรงหลับพระเนตรนิ่งมิได้ทำการเหลียวมองดู  

พราหมณ์หมองูคิดว่า เราจักทํานาคราชให้ทุพพลภาพ จึงขึ้นเหยียบย่ำร่างกายของพระมหาสัตว์ตั้งแต่หางขึ้นไป คล้ายกับจะทำให้กระดูกแหลกละเอียดไป แล้วม้วนพับอย่างผืนผ้า ขยี้กระดูกให้ขยายเช่นอย่างกลายเส้นด้ายให้กระจาย จับหางทบทุบเช่นอย่างทุบผ้า สกลสรีรกายของพระมหาสัตว์แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต พระมหาสัตว์นั้นสู้อดกลั้นมหาทุกขเวทนาไว้ ครั้นพราหมณ์หมองูรู้ว่าพระมหาสัตว์อ่อนกำลังลงแล้ว จึงเอาเถาวัลย์มาถักทำเป็นกระโปรง ใส่พระมหาสัตว์ลงไปในกระโปรงนั้น แล้วนำไปสู่ปัจจันตคามให้เล่นท่ามกลางมหาชน พราหมณ์หมองูปรารถนาจะให้แสดงท่วงทีอย่างใดๆ ในประเภทสีมีสีเขียวเป็นต้น และสัณฐานทรวดทรงกลมหรือสี่เหลี่ยมเป็นต้น หรือขนาดเล็กใหญ่เป็นต้น พระมหาสัตว์เจ้าก็กระทำท่วงทีนั้นๆ ทุกอย่าง ฟ้อนรำทำพังพานได้ตั้งร้อยอย่างพันอย่าง
 
มหาชนดูแล้วชอบใจ ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์เป็นอันมาก เพียงวันเดียวเท่านั้นได้ทรัพย์ตั้งพัน และเครื่องบริขารราคานับเป็นพัน แต่ชั้นแรกพราหมณ์หมองูคิดไว้ว่า เราได้ทรัพย์สักพันหนึ่งแล้วก็จักปล่อยไป แต่ครั้นได้ทรัพย์จำนวนเท่านั้นแล้วคิดเสียว่า ในปัจจันตคามแห่งเดียวเรายังได้ทรัพย์ถึงขนาดนี้ ในสำนักพระราชาและมหาอำมาตย์ คงจักได้ทรัพย์มากมาย จึงซื้อเกวียนเล่มหนึ่งกับยานสำหรับนั่งสบายเล่มหนึ่ง บรรทุกของลงในเกวียนแล้วนั่งบนยานน้อย พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก บังคับพระมหาสัตว์ให้เล่นในบ้านและนิคมเป็นต้นโดยลำดับไป แล้วคิดว่าเราจักให้นาคราชเล่นถวายในสำนักของพระเจ้าอุคคเสน แล้วก็จักปล่อยดังนี้ แล้วก็เดินทางต่อไป

พราหมณ์หมองูฆ่ากบนำมาให้นาคราชกินเป็นอาหาร นาคราชรำพึงว่าพราหมณ์หมองูนี้ฆ่ากบอยู่บ่อยๆ เพราะอาศัยเราเป็นเหตุ เราจักไม่บริโภคกบนั้น แล้วไม่ยอมบริโภค เมื่อพราหมณ์หมอดูรู้ดังนั้น ได้ให้ข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งแก่พระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์คิดว่าถ้าหากเราจักถือเอาอาหารนี้ไซร้ เราคงจักตายภายในกระโปรงเป็นมั่นคง จึงมิได้บริโภคอาหารแม้เหล่านั้น พราหมณ์หมองูไปถึงพระนครพาราณสีแล้วให้พระมหาสัตว์เล่นให้คนดูที่ใกล้ประตูเมือง ได้ทรัพย์สินอีกเป็นจำนวนมาก แม้พระราชาก็ตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่าเจ้าจงให้งูเล่นให้เราดูบ้าง

เขาทูลสนองพระราชโองการว่าได้พะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจักให้เล่นถวายพระองค์ในวันปัณณรสีพรุ่งนี้ พระราชาตรัสสั่งให้พนักงานเภรีตีกลองประกาศว่า พรุ่งนี้นาคราชจักฟ้อนรำที่หน้าชานชาลาหลวง มหาชนจงมาประชุมกันดูเถิด แล้วในวันรุ่งขึ้น ตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งชานชาลาหลวง และตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูมาเฝ้า พราหมณ์หมองู นำพระมหาสัตว์มาด้วยกระโปรงแก้ว ตั้งกระโปรงไว้ที่พื้นลาดอันวิจิตรนั่งคอยอยู่

ฝ่ายพระราชาเสด็จลงจากปราสาทแวดล้อมด้วยหมู่มหาชน ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ พราหมณ์หมองูนำพระมหาสัตว์ออกมาแล้วให้ฟ้อนรำถวาย มหาชนพากันดีใจไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ตามปกติ พากันปรบมือ โบกธงโบกผ้า แสดงความรื่นเริงนับด้วยหมื่นแสน ฝนรัตนะเจ็ดประการก็ตกลงมาตรงเบื้องบนพระโพธิสัตว์ เมื่อพระมหาสัตว์ถูกจับมานั้นครบหนึ่งเดือนเต็มบริบูรณ์ ตลอดเวลาเหล่านี้พระมหาสัตว์สู้ทนมิได้บริโภคอาหารเลย
 

 โปรดติดตามตอนต่อไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 เมษายน 2558 10:45:56 โดย Maintenence » บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1003


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 27 เมษายน 2558 12:47:18 »

.


 พญานาคกับพระพุทธศาสนา
ขันติวาทิชาดก  ตอนที่ ๓

นาคเทวีตามหาพระสวามี
ฝ่าย นางสุมนาเทวีระลึกถึงว่า สามีที่รักของเราเสด็จไปนานนักหนา จนป่านนี้ยังไม่เสด็จมาที่นี่เลย ครบหนึ่งเดือนพอดี จักมีเหตุเภทภัยอะไรหนอ ดังนี้แล้วจึงไปตรวจดูสระโบกขรณี เห็นมีน้ำสีแดงดังโลหิตก็ทราบว่า ชะรอยสามีของตนจักถูกหมองูจับเอาไป จึงออกจากนาคพิภพไปตรวจดูใกล้จอมปลวก เห็นร่องรอยที่พระมหาสัตว์ถูกหมองูจับและทำให้ลำบากแล้ว ทรงกันแสงร่ำไห้คร่ำครวญ ดำเนินไปยังปัจจันตคามสอบถามดูสดับข่าวความเป็นไปนั้น แล้วติดตามไปจนถึงเมืองพาราณสี ยืนกันแสงอยู่ที่กลางอากาศในท่ามกลางบริษัท ณ ประตูพระราชวัง พระมหาสัตว์กำลังฟ้อนรำถวายพระราชา เหลือบแลดูอากาศเห็นนางสุมนาเทวี แล้วละอายพระทัยเลื้อยเข้าไปนอนขดในกระโปรงเสีย ในเวลาที่พระมหาสัตว์เลื้อยเข้าไปสู่กระโปรงแล้ว พระราชาทรงพระดำริว่า นี่เหตุอะไรกันเล่าหนอ จึงทอดพระเนตรแลดูทางโน้นทางนี้ เห็นนางสุมนาเทวียืนอยู่บนอากาศจึงตรัสว่า “ท่านเป็นใคร งามผ่องใสดุจสายฟ้า และอุปมาเหมือนดาวประจำรุ่ง เราไม่รู้จักท่านว่าเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์หรือเป็นหญิงมนุษย์”

นางสุมนา ทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชา หม่อมฉันหาใช่เทพธิดาหรือคนธรรพ์หรือหญิงมนุษย์ไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นนางนาคกัญญา อาศัยเหตุอย่างหนึ่ง จึงได้มาในพระนครนี้

“ดูก่อนนางนาคกัญญา ท่านมีอาการเหมือนคนมีจิตฟั่นเฟือน มีอินทรีย์อันเศร้าหมองดวงเนตรของท่านไหลนองไปด้วยหยาดน้ำตา อะไรของท่านหาย หรือว่าท่านปรารถนาอะไรจึงได้มาในเมืองนี้ เชิญท่านบอกมาเถิด”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน มหาชนชาวโลกเรียกร้องสัตว์ใดว่าอุรคชาติ ผู้มีเดชอันสูงในมนุษยโลก เขาเรียกสัตว์นั้นว่านาค บุรุษคนนี้จับนาคนั้นมาเพื่อต้องการเลี้ยงชีพ นาคนั้นแหละเป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคนั้นเสียจากที่คุมขังเถิดเพคะ

พระราชาสงสัยจึงตรัสถามว่า “ดูก่อนนางนาคกัญญานาคราชนี้ประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า ไฉนจึงมาถึงเงื้อมมือของชายวณิพกได้เล่า เราจะใคร่รู้ถึงการที่นาคราชถูกกระทำจนถูกจับมาได้ ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เราเถิด”

นางสุมนา ทูลตอบว่า “นาคราชนั้นประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า พึงทำแม้นครให้เป็นภัสมธุลีไปได้ แต่เพราะนาคราชนั้น เคารพนบนอบธรรม จึงได้บากบั่นบำเพ็ญตบะ”

พระราชาตรัสถามต่อไปอีกว่า “ไฉนนาคราชจึงยอมให้บุรุษนี้จับมาได้เล่า”
 


นางสุมนาเทวี เมื่อจะกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ จึงกล่าวคาถาความว่า “ข้าแต่องค์ราชันย์ นาคราชนี้มีปกติรักษาจาตุททสีอุโบสถและปัณณรสีอุโบสถ นอนอยู่ใกล้ทางสี่แพร่ง บุรุษหมองูจับนาคราชนั้นมาด้วยต้องการหาเลี้ยงชีพ นาคราชนี้เป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคราชนั้นจากที่คุมขังเถิด” ครั้น นางนาคกัญญาสุมนาเทวี ทูลอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทูลอ้อนวอนพระราชาซ้ำอีก ได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า “สนมนารีถึงหมื่นหกพันนาง ล้วนสวมใส่กุณฑล แก้วมณี บันดาลห้วงวารีทำเป็นห้องไสยาสน์ แม้สนมนารีเหล่านั้น ก็ยึดถือนาคราชนั้นเป็นที่พึ่ง ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดปล่อยนาคราชนั้นโดยธรรม ปราศจากกรรมอันสาหัส ด้วยบ้านส่วยร้อยบ้าน ทองร้อยแท่ง และโคร้อยตัว ขอนาคราชผู้แสวงบุญจงเหยียดกายได้ตรงเที่ยวไป จงพ้นจากที่คุมขังเถิด”

พระราชาได้สดับคาถาของนางนาคกัญญา จึงให้ปล่อยนาคราชไป นาคราชออกมาแล้วเลื้อยเข้าไประหว่างกองดอกไม้ ละอัตภาพนั้นเสียแล้วกลายเพศเป็นมาณพน้อย ตบแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับอันงดงาม คล้ายกับชำแรกดินออกมายืนอยู่ฉะนั้น นางสุมนาเทวี ลอยลงมาจากอากาศ ยืนเคียงข้างพระภัสดาของตน นาคราชได้ยืนประคองอัญชลีนอบน้อมพระราชาอยู่

พญานาคเชิญพระเจ้ากาสิกราชชมเมือง จัมเปยยนาคราชเมื่อหลุดพ้นจากที่คุมขังแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า "ข้าแต่พระเจ้ากาสิกราช ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงผดุงกาสิกรัฐให้รุ่งเรือง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าขอประคองอัญชลีแด่พระองค์ ขอเชิญเสด็จทอดพระเนตรนิเวศน์ ของข้าพระพุทธเจ้าเถิดพระเจ้าข้า"

 “เราก็อยากจะไปดูนิเวศน์ของท่าน"  พระราชาตรัสตอบ  "ดูก่อนนาคราช แท้จริงคนทั้งหลายเขากล่าวถึงเหตุที่มนุษย์จะพึงคุ้นเคยกับอมนุษย์ว่าพึงคุ้นเคยกันได้ยาก ถ้าท่านขอร้องเราถึงเรื่องนั้น"    

พระมหาสัตว์เมื่อจะทำสัตย์สาบาน เพื่อให้พระราชาทรงเชื่อถือ ได้ตรัสพระคาถาว่า “ข้าแต่พระราชา แม้ถึงว่าลมจะพึงพัดภูเขาไปได้ก็ดี พระจันทร์และพระอาทิตย์ จะพึงเผาผลาญแผ่นดินก็ดี แม่น้ำทุกสายพึงไหลทวนกระแสก็ดี ถึงกระนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย ข้าแต่พระราชา ท้องฟ้าจะทำลายไป ทะเลจะเหือดแห้งไป มหาปฐพีมีนามว่าภูตธราและพสุนธราจะพึงม้วนได้ เมรุบรรพตอันหนาแน่นด้วยศิลาจะพึงถอนไปทั้งราก ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย” เมื่อพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาก็มิได้ทรงเชื่อ จึงตรัสพระคาถาอีกว่า “เธอเป็นผู้มีพิษร้ายแรงยิ่ง มีเดชมาก ทั้งโกรธง่าย เธอหลุดพ้นจากที่คุมขังไปได้ ก็เพราะเหตุที่เราช่วยเหลือ เธอควรจะรู้บุญคุณที่เราทำไว้แก่เธอ"

พระมหาสัตว์เมื่อจะทำสัตย์สาบาน เพื่อให้พระราชาทรงเชื่อต่อไป จึงกล่าวคาถาความว่า "ข้าพระพุทธเจ้าถูกคุมขังอยู่ในกระโปรง เกือบจะถึงความตาย จักไม่รู้จักอุปการคุณที่พระองค์ทรงกระทำแล้วเช่นนั้น ก็ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงหมกไหม้อยู่ในนรกอันแสนร้ายกาจ อย่าได้รับความสำราญกายสักหน่อยหนึ่งเลย" พระราชาทรงเชื่อถ้อยคำของพระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงชมเชยจึงตรัสพระคาถาว่า “คำปฏิญาณของเธอนั้น จงเป็นคำสัตย์จริง เธออย่าได้มีความโกรธ อย่าผูกโกรธไว้ ขอสุบรรณทั้งหลายจงละเว้นนาคสกุลของท่านทั้งมวล เหมือนผู้เว้นไฟในฤดูร้อนฉะนั้น"

แม้พระมหาสัตว์เจ้า เมื่อจะชมเชยพระราชาจึงกล่าวคาถาอีกว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์ทรงเอ็นดูนาคสกุล เหมือนมารดาผู้เอ็นดูบุตรคนเดียวผู้เป็นสุดที่รักฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้ากับนาคสกุลจะขอกระทำเวยยาวฏิกกรรม อย่างโอฬารแด่พระองค์ "พระราชาเสด็จนาคพิภพ พระราชาได้เสด็จไปยังภพพญานาค
ด้วยขบวนเสด็จใหญ่ พนักงานเภรี ตะโพน บัณเฑาะว์ และแตรสังข์ ของพระเจ้าอุคคเสนราช มาพร้อมหน้ากัน พระราชาทรงแวดล้อมด้วยสนมนารี เสด็จไปในท่ามกลางหมู่สนมนารีงามสง่ายิ่งนัก ในกาลเมื่อพระเจ้าพาราณสี เสด็จออกจากพระนครไป พระมหาสัตว์เจ้าทรงบันดาลนาคพิภพให้ปรากฏมีกำแพงแก้ว ๗ ประการ และประตูป้อมคู หอรบ แล้วนิรมิตบรรดาที่จะเสด็จไปยังนาคพิภพ ให้ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับงดงาม ด้วยอานุภาพของตน พระราชาพร้อมด้วยราชบริพาร เสด็จเข้าไปยังนาคพิภพโดยมรรคานั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาคและปราสาทราชวัง น่ารื่นเริง บันเทิงพระทัย

พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่าพระเจ้ากรุงกาสีวัฒนราช ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาคอันงาม วิจิตรลาดแล้วด้วยทรายทอง ทั้งสุวรรณปราสาทก็ปูลาดไปด้วยแผ่นกระดานแก้วไพฑูรย์ พระองค์เสด็จเข้าไปสู่นิเวศน์ของจัมเปยยนาคราชมีรัศมีโอภาสดังแสงอาทิตย์แรกอุทัย รุ่งเรืองไปด้วยรัศมีประหนึ่งสายฟ้าในกลุ่มเมฆ พระเจ้ากาสิกราชทรงทอดพระเนตรจนทั่วนิเวศน์ของจัมเปยยนาคราช อันดารดาษไปด้วพฤกษชาตินานาชนิด หอมฟุ้งขจรไปด้วยทิพยสุคนธ์อบอวลล้วนวิเศษ เมื่อพระเจ้ากาสิกราช เสด็จเข้าไปในนิเวศน์ของท้าวจัมเปยยนาคราชเหล่าทิพยดนตรีก็ประโคมขับบรรเลง ทั้งนางนาคกัญญาทั้งหลายก็ฟ้อนรำ ขับร้อง พระเจ้ากาสิกราชเสด็จขึ้นนิเวศน์ ซึ่งมีหมู่นางนาคกัญญาตามเสด็จ ทรงพอพระทัย ประทับนั่ง ณ พระสุวรรณแท่นทอง อันมีพนักไล้ทาด้วยแก่นจันทน์ทิพย์

กำลังแห่งความเพียรของมหาบุรุษผู้ประสงค์บำเพ็ญพุทธการกธรรม
พระเจ้าสาคร... หมอบด้วยพระอุระแทบเบื้องพระยุคลบาทพระผู้มีพระภาคแล้ว เปล่งวาจาตั้งปณิธานว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยบุญนี้ แม้ข้าพระองค์ขอจงได้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคตมศักยะ” แล้วได้ตรัสว่า “ข้าแต่พระนาถเจ้า แม้พระองค์ตรัสรู้แล้วช่วยสัตว์ทั้งหลายให้ตรัสรู้ได้ฉันใด ข้าพระองค์ตรัสรู้แล้วก็จักช่วยสัตว์ทั้งหลายในโลก ให้ตรัสรู้ด้วยฉันนั้นเหมือนกัน”

“ข้าแต่พระนาถเจ้า แม้พระองค์หลุดพ้นแล้วจากสังสารทุกข์ ช่วยเปลื้องสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นด้วยฉันใด ข้าพระองค์หลุดพ้นแล้วจากสังสารทุกข์ ก็จักช่วยเปลื้องสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นด้วย ฉันนั้น”

“ข้าแต่พระนาถเจ้า แม้พระองค์ข้ามพ้นแล้วจากสังสารทุกข์ ช่วยเปลื้องสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นด้วยฉันใด ข้าพระองค์ข้ามพ้นแล้วจากสังสารทุกข์แล้ว ก็จักช่วยสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นด้วย ฉันนั้น”

พระเจ้าสาครได้ตั้งปณิธานดังนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงสดับปณิธานนั้นแล้วได้ตรัสถวายพระพรว่า “มหาบพิตร ชื่อว่าการแสวงหา “พุทธธรรม” ทำได้แสนยาก ถ้าหากพระองค์ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า ขอพระองค์ได้โปรดสดับสิ่งที่ทำได้ยาก ซึ่งอาตมาภาพได้กล่าวนี้” แล้วทรงตรัสกำลังแห่งความเพียรของมหาบุรุษผู้ประสงค์บำเพ็ญพุทธการกธรรม ด้วยอุปมาต่างๆ ต่อไปว่า “ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลใดสามารถใช้เท้าเหยียบย่ำห้องจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยถ่านเพลิงร้อนระอุไปจนถึงฝั่งโน้นได้ บุคคลนั้นแหละสามารถบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้”

“ก็หรือว่าบุคคลใด สามารถใช้เท้าเหยียบย่ำห้องจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลวไปจนถึงฝั่งโน้นได้ บุคคลนั้นแหละสามารถบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้”

“ก็หรือว่าบุคคลใด สามารถใช้เท้าเหยียบย่ำห้องจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาที่ร้อนแดงโชติช่วงไปจนถึงฝั่งโน้นได้ บุคคลนั้นแหละ สามารถบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้”

“ก็หรือว่าบุคคลใด สามารถใช้กำลังแขนของตนว่ายข้ามห้องจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำร้อนคล้ายกับในโลหกุมภีนรกไปจนถึงฝั่งโน้นได้ บุคคลนั้นแหละ สามารถบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้”

“ก็หรือว่าบุคคลใด สามารถใช้เท้าเหยียบย่ำห้องจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งดาดาษไปด้วยพุ่มไม้ไผ่มีหนามไปจนถึงฝั่งโน้นได้ บุคคลนั้นแหละ สามารถบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้”

“ก็หรือว่าบุคคลใด สามารถใช้เท้าเหยียบย่ำห้องจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งดาดาษด้วยคมมีดโกนไปจนถึงฝั่งโน้นได้ บุคคลนั้นแหละ สามารถบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้”

“ข้ออุปมาแม้อื่นอีกยังมีอยู่ คือ ในโลกนี้ ดอกมะเดื่อหาได้แสนยาก ฉันใด ความเป็นพระพุทธเจ้า ก็หาได้แสนยากกว่านั้น”


 โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 เมษายน 2558 12:49:41 โดย Maintenence » บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1003


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 30 เมษายน 2558 11:28:23 »

.


 พญานาคกับพระพุทธศาสนา
ขันติวาทิชาดก  ตอนที่ ๔ (จบ)

มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพ  
พระราชาได้เห็นบ้านเมืองอันสวยงามของพญานาค จึงสอบถามและได้คำตอบจาก จัมเปยยนาคราช ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรมเพราะเหตุแห่งบุตร ทรัพย์ หรือแม้เพราะเหตุแห่งอายุก็หาไม่ แต่เพราะข้าพระพุทธเจ้าปรารถนากำเนิดมนุษย์ ฉะนั้น จึงได้บากบั่นมุ่งมั่นบำเพ็ญสมณธรรม"

เมื่อพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาเมื่อจะทรงทำการชมเชย จึงตรัสพระคาถาว่า “ท่านมีดวงเนตรแดง มีรัศมีส่องแสงสว่าง ประดับตกแต่งแล้ว ปลงเกศาและมัสสุแล้ว ประพรมด้วยจุรณจันทน์แดง ฉายแสงไปทั่วทิศ ดังคนธรรพราชฉะนั้น ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก เพรียบพร้อมไปด้วยสรรพกามารมณ์  ดูก่อนท่านนาคราช เราขอถามเนื้อความนี้กะท่าน มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพด้วยเหตุไร

ลำดับนั้น พระยานาคราช เมื่อจะกราบทูลให้พระราชาทรงทราบจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่ พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน เว้นมนุษยโลกเสียแล้วความบริสุทธิ์ หรือความสำรวมย่อมไม่มีเลย ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรม ด้วยตั้งใจว่าเราได้กำเนิดมนุษย์ แล้วจักทำที่สุดแห่งชาติและมรณะได้”  พระราชาทรงสดับคำนั้น แล้วตรัสพระคาถาความว่า "ชนเหล่าใดมีปัญญาเป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ดูก่อนพระยานาคราช เราได้เห็นนางนาคกัญญาทั้งหลายของท่านและตัวท่านแล้ว จักทำบุญให้มาก"

พญานาคราชกราบทูลพระราชาว่า "ชนเหล่าใดมีปัญญาเป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ข้าแต่พระมหาราชาพระองค์ ได้ทอดพระเนตรเห็นนางนาคกัญญาและตัวข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ขอจงบำเพ็ญบุญให้มากเถิด" ครั้นพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้าอุคคเสนะ ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จกลับไปยังมนุษยโลก จึงตรัสอำลาว่าดูก่อนท่านนาคราชเรามาอยู่ก็เป็นเวลานาน จำจักต้องลากลับไปยังมนุษยโลก พระมหาสัตว์เจ้าจึงทูลท้าวเธอว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้นพระองค์โปรดเลือกถือเอาทรัพย์สมบัติไปตามพระประสงค์เถิด   เมื่อจะทรงแสดงทรัพย์สมบัติ จึงกราบทูลว่ากองเงินและกองทองของข้าพระพุทธเจ้านี้มากมาย สูงประมาณเท่าต้นตาล พระองค์จงตรัสสั่งให้พวกราชบุรุษนี้ไปจากนาคพิภพนี้ แล้วจงตรัสสั่งให้สร้างพระราชวังด้วยทองคำ ให้สร้างกำแพงด้วยเงินเถิด นี้กองแก้วมุกดาอันเจือปนด้วยแก้วไพฑูรย์ห้าพันเล่มเกวียน พระองค์จงตรัสสั่งให้ราชบุรุษขนไปจากนาคพิภพนี้ แล้วให้ลาดลง ณ ภูมิภาคภายในพระราชฐาน ภูมิภาคภายในพระราชฐานก็จักสะอาดปราศจากเปลือกตมและละอองธุลี ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นราชาอันประเสริฐผู้ทรงพระปรีชาอันล้ำเลิศ ขอพระองค์โปรดเสวยราชสมบัติครอบครองพระนครพาราณสี อันมั่งคั่งสมบูรณ์ สง่างามล้ำเลิศ ดุจทิพยวิมานเห็นปานฉะนี้เถิดพระเจ้าข้า  พระราชาทรงสดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์แล้วก็ทรงรับไว้ พระมหาสัตว์จึงให้พนักงานเภรี เที่ยวตีกลองประกาศว่า ราชบุรุษทั้งปวงจงพากันขนเอาทรัพย์สมบัติ มีเงินทองเป็นต้นไปตามปรารถนาเถิด แล้วเอาเกวียนหลายร้อยเล่มบรรทุกทรัพย์สมบัติส่งถวายพระราชา พระราชาเสด็จออกจากนาคพิภพ กลับไปสู่พระนครพาราณสี ด้วยยศบริวารเป็นอันมาก เล่ากันว่านับแต่นั้นมา พื้นชมพูทวีปจึงเกิดมีเงินมีทองขึ้น

พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า “โปราณกบัณฑิตทั้งหลายละนาคสมบัติแล้ว อยู่รักษาอุโบสถศีลด้วยอาการอย่างนี้” จากนั้นทรงประชุมชาดกว่า “หมองูในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัตในบัดนี้ นางนาคกัญญาสุมนาเทวี ได้มาเป็นราหุลมารดา พระเจ้าอุคคเสนราชได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนจัมเปยยนาคราชได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล”


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๗๖

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 พฤษภาคม 2558 15:29:20 โดย Maintenence » บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1003


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2558 09:54:45 »

.



พญานาคกับพระพุทธศาสนา

นอกจาก จัมเปยยนาคราช แล้วยังมีการบำเพ็ญบารมีของพญานาคอีกหลายเรื่อง คือในการบำเพ็ญศีลบารมี เมื่อครั้งเป็นสีลวนาคราช ในกาลที่เป็น ภูริทัตตนาคราช ในกาลที่เป็น ฉัททันตนาคราช ในคัมภีร์รุ่นหลังก็ กล่าวถึงพญานาคมากมาย เช่นใน ตำนาน สิงหนวัติ กล่าวว่า

เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง ๔ ด้าน เป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ ๔ ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมีพญานาค ซึ่งตามความเชื่อ การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์พญานาคไว้ เช่นที่ ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึงความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจที่มีพญนาคเป็นสัญลักษณ์ คนไทยเรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงานจิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับ นาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และ นาคทันต์คันทวยรูปพญวนาค พญานาคกับพระพุทธศาสนาจึงมีความเกี่ยวพันกันตลอด แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังเคยเกิดเป็นพญานาค เพื่อบำเพ็ญบารมี  

ในการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในวันออกพรรษาคงมิใช่แต่พญานาคเท่านั้นที่ถวายสักการะบูชาพระพุทธเจ้า เหล่าเทพยดาอื่นๆ ก็ทำการบูชาด้วย โลกนี้มนุษย์จึงมิได้อยู่เพียงลำพังยังมีหมู่สัตว์อื่นๆ อีกมาก แต่เรามองไม่เห็นเพราะยังไม่มีญาณแก่กล้า หากเชื่อตามพระไตรปิฎกพญานาคมีอยู่จริง และมีปรากฎหลายแห่ง แต่พญานาคจะมาทำบั้งไฟถวายพระพุทธเจ้าในวันออกพรรษาจริงหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอยู่เหมือนเดิม มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งบอกไว้น่าคิดว่า “จงเชื่อในสิ่งที่ทำและทำในสิ่งที่เชื่อ” ถ้าหากความเชื่อนั้นไม่เป็นการเบียดเบียนตนและผู้อื่น อย่างไรก็ตามในวันออกพรรษา ยังคงมีดวงไฟสีเขียวเรืองพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงให้เห็นเหมือนทุกปี หน้าที่ของ วิทยาศาสตร์ก็ต้องทำการพิสูจน์หาความจริงกันต่อไป แต่ศาสนาเมื่อปลูกฝังความเชื่อและปฏิบัติตามหลักศีลธรรม คือการบูชาบุคคลที่ควรบูชาถือว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่ง ดังนั้นการที่ชาวบ้านเชื่อว่าพญานาค จะจุดบั้งไฟถวายสักการะแด่พระพุทธเจ้า ย่อมไม่ใช่ความเชื่อที่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว เพราะพญานาคมีปรากฏในหลักฐานสำคัญของพระพุทธศาสนา และมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหลายแห่ง แม้แต่พระพุทธเจ้าเองเมื่อยังบำเพ็ญบารมีก็ยังเคยถือกำเนิดเป็นพญานาคด้วย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 พฤษภาคม 2558 15:30:26 โดย Maintenence » บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.399 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 11 เมษายน 2567 08:39:35