[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 07:36:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงปู่สรวง 500 ปี มหามุนีเทพดาบส จำพรรษา ทั่วจักรวาล (อีกฉายา เทวดาเล่นดิน)  (อ่าน 13908 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:34:07 »



<a href="https://www.youtube.com/v/RGL_LYYdvDY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/RGL_LYYdvDY</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/xpV8q8WsboI" target="_blank">https://www.youtube.com/v/xpV8q8WsboI</a>

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:35:32 »



หลวงปู่สรวงตำนานพระอริยะเจ้าแห่งทุ่งละลม จ.ศรีษะเกศ


เพื่อเป็นการเผยแผ่บารมีธรรมของหลวงปู่สรวง จึงขออนุญาตนำเรื่องนี้มาลงและขอขอบคุณ ทิพยจักร ผู้เขียน มา ณ โอกาสนี้


เรื่องราวของหลวงปู่สรวงแห่งทุ่งละลมเป็นเรื่องราวที่เล่าขานมานานหลายต่อหลายชั่วอายุคน ว่ามีพระอริยะเจ้าองค์หนึ่งมีอายุยืนยาวหลายร้อยปี มีผู้พบเห็นมาตั้งแต่รุ่นทวด รุ่นปู่ย่าตายายจนกระทั่งรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่ท่านก็ยังคงสภาพอยู่อย่างนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งยังมีปาฏิหาริย์สารพัด เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือความคิด ความคาดหมายของปุถุชนธรรมดา โดยกล่าวกันว่าท่านเดินตากฝนไม่เปียก ดำน้ำได้เป็นชั่วโมงๆ ล่องหนหายตัว เดินย่นย่อระยะทาง รักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ และมีอีกหลายต่อหลายเรื่อง เรียกว่าเป็นเรื่องเล่าที่ไม่รู้จบ ล้วนมีแต่ความน่าอัศจรรย์พิศวงในตัวท่านทั้งนั้น

ความเป็นมาจริงๆของเรื่องหลวงปู่สรวงนั้นไม่มีใครทราบประวัติท่านแน่ชัด เพราะท่านไม่เคยบอกใคร ใครถามท่านว่าท่านจำไม่ได้ เขาเรียกเราว่าสรวงก็สรวง คำพูดคำตอบของหลวงปู่สรวงนั้น ฟังดูแล้วหากพิจารณาดีๆท่านมีความมุ่งหมายให้ผู้ถามผู้ฟังทั้งหลายเลิกยึดตัวตน เข้าหาธรรมแท้ ความปล่อยวางเป็นหลัก อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นปุถุชนคนธรรมดา ก็ยังอยากรู้เรื่องราวของท่านว่าท่านคือใคร แม้ไม่รู้ก้อยากรู้ปาฏิหาริย์ของท่านอยู่ดี ซึ่งแท้จริงไม่ใช่เรื่องหลุดพ้นแต่อย่างใด

หลวงปู่สรวง ท่านเป็นสรณะที่พึ่งของชาวสุรินทร์ ชาวศรีษะเกศ และทั้งผู้ศรัทธาทั้งใกล้และไกล รวมๆแล้วก็น่าจะมีผู้นับถือท่านอยู่ทั่วประเทศ เพราะกิติศัพท์ของท่านนั้นเลื่องลือจริงๆ ไม่ว่าการให้โชคลาภ การโปรดผู้ยากให้พ้นจากความทุกข์ทั้งการกินอยู่ การเงิน ต่างๆ ผู้ที่ท่านโปรดล้วนได้รับความสุขกายสุขใจ เปรียบดังว่าได้ตายแล้วเกิดใหม่ มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมากต่างพยายามแสวงหาที่จะพบท่านให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิตเพื่อเป็นบุญวาสนา บางท่านได้เจอแต่บางท่านก็ผิดหวัง แต่กระนั้นหากมีความเชื่อความศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นว่า หลวงปู่สรวงท่านเป็นพระผู้วิเศษมีจิตเป็นทิพย์ท่านย่อมรู้เรื่องราวที่เราอธิษฐานถึงท่านด้วยความจริงใจ และมีหลายต่อหลายคนที่ได้ประสบปาฏิหาริย์จากการอธิษฐานถึงหลวงปู่สรวงโดยการอธิษฐานต่อหน้ารูปของท่านบ้างหรือแม้แต่พนมมือขอบารมีท่านก็ยังมี

ตัวผู้เขียนเองนั้นไม่เคยได้กราบหลวงปู่สรวง แต่ได้ยินเรื่องเล่าของท่านจากหลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่เคยได้ติดตามท่าน อย่างหลวงพ่อสร้อย วัดเลียบราษฏ์บำรุง ท่านเล่าว่าท่านเองพบเห็นหลวงปู่สรวงมาแต่เล็ก หลวงปู่สรวงท่านปักผ้าขาวไว้ที่ไหน ชาวเขมรอพยบที่หนีภัยสงครามจะมารวมกันอยู่บริเวณเพราะรู้กันว่าจุดที่หลวงปู่ปักผ้าขาวไว้ ลูกระเบิดไม่เคยตกลงมาสักครั้ง เพราะบารมีหลวงปู่คุ้มครอง ยามที่ชาวบ้านที่หนีตายจากภัยสงครามอดอยากหิวโหย ด้วยขาดแคลนอาหารการกินนั้นหลวงปู่สรวงท่านจะมีหม้อข้าวเล็กนำมาหุงจากนั้นก็ตักข้าวให้กับผู้ลี้ภัยสงครามทุกคน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหม้อเล็กๆที่เด็กใช้เล่นกันนั้นกลับสามารถมีข้าวเพียงพอแก่ความต้องการทุกคนอย่างน่าอัศจรรย์

สมัยเด็กหลวงพ่อสร้อยหรือเด็กชายสร้อยสมัยนั้น เคยถูกชวนจากหลวงปู่ให้เดินจากศรีษะเกศไปจังหวัดจันทบุรี ด้วยว่ามีคหบดีท่านหนึ่งจากจันทบุรีนิมนต์ท่านให้ไปฉันเพลที่บ้าน หลวงปู่ตอบตกลงพอถึงวันนัด หลวงปู่ปลุกเด็กชายสร้อยแต่เช้าตรู่ตอนตีสี่ จากนั้นทั้งหลวงปู่สรวงกับเด็กชายสร้อยต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แสงแดดก็เริ่มแรงกล้าขึ้นทุกขณะ เด็กชายสร้อยก็เริ่มหมดแรงเพราะเดินมานานหลายชั่วโมง และไม่มีทีท่าว่าจะถึงสถานที่นัดหมายของเจ้าภาพนั้นได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรด้วยการเดินเท้าเปล่าจากศรีษะเกษไปจันทบุรี ที่สุดเมื่อเด็กชายสร้อยรู้สึกเหนื่อยจนใจจะขาดแล้วนั้น ก็เอ่ยปากถามหลวงปู่สรวงขึ้นว่า หลวงปู่มันจะถึงหรือเนี่ย หลวงปู่สรวงตอบว่าเดินตัดทุ่งนาที่เห็นนี่ก็ถึงบ้านเจ้าภาพแล้ว เด็กชายสร้อยคิดว่าหลวงปู่พูดหลอกตน เพราะมันไม่น่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่ากับการเดินด้วยเท้าเปล่า แต่เด็กชายสร้อยก็อดทนเดินตามหลวงปู่ไป เมื่อพ้นจากเขตทุ่งนาเด็กชายสร้อยก็เข้าไปถามคนละแวกนั้นว่าที่นี่ที่ไหน คำตอบที่ได้คือ เขตจังหวัดจันทบุรี คำตอบที่ออกมาจากปากคนแถวนั้นเป็นสิ่งที่เด็กชายสร้อยแทบไม่เชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว พักเดียวหลวงปู่สรวงก็พาเด็กชายสร้อยขึ้นไปบนบ้านเจ้าภาพ ทันเวลาฉันเพลพอดี

เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้มีอีกมาก หลวงพ่อสร้อยเคยเล่าว่าบางครั้งท่านนั่งรถตู้จากกรุงเทพไปทุ่งละลมเพื่อกราบหลวงปู่สรวง พอรถวิ่งเข้าเขตทุ่งละลมบางครั้งเห็นหลวงปู่สรวงท่านเดินดุ่มๆอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนักท่านก็บอกคนขับรถว่าให้ขับแซงหน้าหลวงปู่ขึ้นไปจะได้รับหลวงปู่ขึ้นรถ คนขับก็เหยียบเกียร์เร่งหมายให้ทันหลวงปู่สรวงที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก แต่แปลกอะไรเช่นนั้นรถเร่งความเร็วเท่าไหร่ระยะห่างระหว่างหลวงปู่กับรถยังเท่าเดิม และทุกคนก็เห็นว่าหลวงปู่ท่านเดินเนิบๆอย่างมที่ท่านเคยเดินและหลวงปู่เองก็ชราแล้วไม่ได้เดินเร็วสักหน่อยแล้วทำไมรถถึงตามไม่ทัน เมื่อหลวงพ่อสร้อยฉุกคิดได้ ท่านจึงบอกให้รถหยุด จากนั้นท่านจึงเดินลงไปตามหลวงปู่สรวง ก็เดินทันนับเป็นเรื่องอัศจรรย์เกี่ยวกับการเดินหนย่นระยะทางที่หลวงปู่สรวงท่านแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์

พวกเราชาวภาคกลางคนกรุงเทพเรียกท่านว่าหลวงปู่สรวง แต่สำหรับคนศรีษะเกษจะเรียกท่านว่าลูกตาเบ๊าะ หรือลูกตาเอ็อว แปลว่าพระดาบส แม้ว่าหลวงปู่สรวงจะสิ้นไปแล้วแต่ท่านก้ยังอยู่ในความทรงจำและเป้นอีกตำนานของพระผู้วิเศษแห่งภูตะแบง



หลวงปู่สรวง (ลูกตาเบ๊าะ) ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง

ผู้เขียนเองเคยได้ยินคำร่ำลือมาแต่เด็กว่าตามตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชานั้นเต็มไปด้วยป่าดิบ มีอันตายทั้งจากกับดักระเบิด สัตว์ร้าย โรคภัยไข้เจ็บ ภูตผีปีศาจ แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยผู้มีวิชาอาคม พระผู้วิเศษ ฤาษีชีไพร ที่หลีกเร้นซ่อนกายบำเพ็ญตบะณานอันแรงกล้า พระผู้วิเศษ และฤาษีชีไพร โยคีที่กล่าวถึงเหล่านั้น หลายท่านมีอายุเกินกว่าร้อยปีขึ้นไปทั้งนั้น

อำนาจจิตจากการบำเพ็ญตบะณาน ประกอบด้วยอิทธิบาทสี่ ทำให้ฤาษีโยคีและพระผู้วิเศษทั้งหลายสามารถชนะกาลเวลา รักษาสังขาร มีอายุยืนนานนับร้อยนับพันปี หลวงปู่แหวน สุจินโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ศิษย์สำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เล่าวว่าสมัยที่ท่านเดินธุดงค์ไปยังภูเขาควายและป่าลึกแถบจำปาศักดิ์นั้นท่านเคยพบโยคีบางตนมีอายุหลายร้อยปีนั่งนิ่งจิตดิ่งอยู่ในฌานสมาบัติ มีต้นโพธิ์ต้นไทรขึ้นโอบ บางตนก็มีจอมปลวกขึ้นหุ้มตัว บางตนเล่าก็มีหินงอกหินย้อยขึ้นตามร่างกายหุ้มไว้กลายเป็นหิน ท่านว่ามหาโยคีฤาษีเหล่านี้ไม่ตายนะ แต่จิตอยู่ในฌานบางตนถอดจิตไปชั้นพรหมโลก ที่เป็นฤาษีโพธิสัตว์ก็มี ท่านเหล่านี้มีฤทธิ์มากแม้ต้องการออกโปรดสัตว์ก็ใช้อำนาจจิตสลายสิ่งห่อหุ้มร่างกายออกเป็นจุลมหาจุล เที่ยวออกโปรดสัตว์ได้ตามสบาย ท่านเหล่านี้หลวงปู่แหวนกล่าวว่าแม้ได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะบรรลุไม่ตกต่ำ

เรื่องที่หลวงปู่แหวนเล่านั้นดุจดั่งนิทานปรำปะรา แต่สำหรับชาวชนบทห่างไกล อย่างเมืองสุรินทร์ ศรีษะเกษนั้น ชาวบ้านแถบนั้นกลับมีพระผู้วิเศษที่มีวัตรปฏิปทาดุจดั่งมหาฤาษีโยคีที่หลวงปู่แหวนเคยเล่าไว้ไม่มีผิดนั่นคือ หลวงปู่สรวง ผู้วิเศษแห่งภูตะแบงนั้นเอง

ด้วยว่าวัตรปฏิบัติและความเป็นมาของหลวงปู่สรวงนั้นลี้ลับ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงท่านคือใคร บางคนร่ำลือว่าท่านเป็นพระเจ้าชัยวรมันพระองค์หนึ่ง บ้างก็ว่าสันณิฐานไปต่างๆนาๆ บางคนเชื่อว่าท่านคือขรัวขี้เถ้าหนึ่งในคณะโลกอุดรที่ร่ำลือกัน แต่ที่แน่ๆคือหลวงปู่สรวงนั้นมีอายุยืนยาวมาหลายร้อยปีแล้ว เห็นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายยาย มีอายุเฉลี่ยอย่างต่ำก็ไม่น้อยกว่า ๒๗๕ ปีอย่างแน่นอน ทั้งยังมีฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นที่อัศจรรย์อีกด้วย เช่นหุงข้าวหม้อเล็กนิดเดียวแต่แจกจ่ายเท่าไหร่ก็ไม่หมด สามารถเดินหนย่นระยะทางได้ มีความสามารถแบบผู้ทรงอภิญญาสมาบัติอย่างน่าอัศจรรย์ รู้เห็นมิติต่างๆ เข้าออกดินแดนลี้ลับไปมาอย่างอัศจรรย์ยิ่ง

ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีทั้งพระและฆราวาสที่ได้ร่วมเดินทางเข้าสู่ดินแดนลี้ลับแห่งเขมรและเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งลี้ลับในโลกที่ซ่อนเร้นสายตามนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย เช่นดินแดนที่มีทองคำและเพชรพลอยงอกออกมาจากดินอยู่ตามลำธารอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อลองเอามือไปหยิบจับดู ทองคำที่งอกออกจากดินนั้นก็อ่อนนิ่มคล้ายเทียนโดนไฟลน แต่กลับไม่สามารถดึงให้ขาดออกมาได้ เป็นเรื่องน่าแปลกอย่างยิ่ง
หลวงปู่สรวงจะบอกกับคณะที่ติดตามท่านไปนั้นว่ามันเป็นของเขา เพียงคำเดียวเท่านี้ ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่ของๆเรา คำว่าของเขา อาจหมายถึงมันเป็นของธรรมชาติ เป็นสมบัติแผ่นดิน เป็นของผู้มีบุญญาธิการเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ไปกับท่านจึงได้แต่ดู และเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในความทรงจำเท่านั้น ถือว่าเพียงเท่านี้ก็เป็นบุญวาสนาของชีวิตที่ได้เห็นของจริง ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นอีกมากมายนัก

ในชั่วระยะเวลาที่หลวงปู่สรวงได้โปรดลูกหลานทั้งหลายนั้น ท่านได้แสดงตัวอย่างของผู้ละโลก พร้อมทั้งแสดงความจริงในศักยภาพของจิตอันเป็นไปตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดาได้เป็นอย่างดีที่สุด แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหลวงปู่จะพูดน้อยที่สุด แต่การกระทำของท่านนั้นยิ่งกว่าคำพูดเป็นหมื่นเป็นแสนคำ

หลวงปู่สรวง พระผู้พ้นไปจากโลกและความนึกคิดของปุถุชน ผู้มีจิตเมตตาไม่มีประมาณ และเป็นแสงสว่างให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นที่พึ่งให้กับผู้ที่ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่าพระผู้พ้นโลกย่อมเป็นผู้ที่มัจจุราชไม่เห็นตัว มัจจุราชย่อมไม่อาจทำอันตรายแก่ผู้พ้นโลกไปแล้วได้ฉันใด หลวงปู่สรวงย่อมเป็นพระผู้อยู่เหนือสมมุติทางโลกรวมทั้งความตายด้วยฉันนั้น



หลวงปู่สรวงเพ่งกสิณไฟ

ครั้งที่แล้วได้เล่าเรื่องประสบการณ์ของพระอาจารย์สร้อย วัดเลียบราษฏ์บำรุง เขตบางซื่อ ซึ่งถือเป็นท่านหนึ่งที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดและสัมผัสปาฏิหาริย์จากหลวงปู่สรวง แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ว่าในปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว

ตอนที่ผู้เขียนไปกราบหลวงพ่อสร้อยสมัยก่อนนั้น ไปแต่ละครั้งก็จะได้ยินที่น่าอัศจรรย์ เกี่ยวกับหลวงพ่อสร้อยบ่างหลวงปู่สรวงบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของหลวงปู่สรวงนั้นแทบจะได้ฟังเรื่องราวไม่ซ้ำกันเลย เรื่องหนึ่งที่ยังจำได้เล่าว่าศิษย์ติดตามหลวงพ่อสร้อยท่านหนึ่งเป็นโรคหอบหืด เมื่ออาการกำเริบจะทรมานมาก ครั้งหนึ่งขณะที่ติดตามหลวงปู่สรวง หลวงปู่ท่านปัสสาวะเป็นยาให้ดื่ม ท่านนี้มีศรัทธาเชื่อมั่นจึงดื่มน้ำปัสสาวะของหลวงปู่สรวงนั่นแหละ ไม่น่าเชื่อเพราะตั้งแต่ดื่มน้ำปัสสาวะของหลวงปู่เข้าแล้ว อาการของโรคหอบหืดก็ไม่เคยกำเริบขึ้นอีกเลย
เรื่องราวของหลวงปู่สรวงนั้นผู้เขียนได้ศึกษาดูแล้ว เหมือนๆกับเรื่องราวของผู้วิเศษในอดีตหลายๆท่านมารวมกัน ความยืนยาวของอายุหลวงปู่สรวง เหมือนเรื่องของเซียนเจียงกั๊วเล่าผู้มีอายุหลายยุคหลายสมัย ในโป๊ยเซียนไม่มีผิด ยาวิเศษของหลวงปู่สรวงนั้นท่านมักเอาขี้เล็บขี้ตาของท่านทำน้ำมนต์ ก็เหมือนกับอรหันต์จี้กงที่ปั้นขี้ไคลเป็นยา หลวงปู่สรวงได้อะไรเผาทิ้ง มักก่อกองไฟเสมอๆ เหมือนกับหลวงพ่อโอภาสี และหลวงปู่กบวัดเขาสาลิกา ที่เผาทุกอย่างที่มีคนนำมาถวาย

หลวงปู่สรวงท่านมีวัตรปฏิบัติแบบไม่ยึดติดกับสิ่งใดทั้งสิ้นการนุ่งห่มผ้าก็นุ่งแบบขอไปที บางครั้งนุ่งขาว บางนุ่งผ้าลาย บางครั้งนุ่งห่มเรียบร้อย แล้วแต่ ท่านอยากฉันตอนไหนก็ฉันไม่มีเวลา อยากไปไหนก็ไปไม่สนใจใคร เรื่องราวของท่านแม้เรียบง่ายที่สุดแต่ก็อัศจรรย์ที่สุด วัตรปฏิบัติของท่านเป็นพรหมจรรย์ ความเป็นอยู่ของท่านก็ประดุจพระพรหมโดยแท้

ความเป็นอยู่แม้จะธรรมดาแต่กลับมากด้วยปาฏิหาริย์ แม้กระทั่งเมื่อท่านละสังขารเข้าสู่นิพพาน ปาฏิหาริย์แห่งท่านก็ยังเล่าขานและปรากฏเป็นอัศจรรย์อย่างยิ่ง

ท่านเป็นพระที่ไม่มีวัดอยู่แต่กลับอยู่ได้ทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งประโยคเด็ดนี้มาจากที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนถามท่านว่าท่านอยู่วัดไหน หลวงปู่สรวงตอบไปว่า ไม่มีวัดอยู่แต่เดินท่องทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งหมายความว่าท่านไม่ติดในถิ่นที่อยู่ ไม่มีความเป็นของเขาของใคร มีอิสระเหนือทุกสิ่ง ทุกที่ที่ย่ำไปก็เป็นที่ของท่านโดยธรรม

ในสิ่งที่ท่านไม่ยึดไม่ติด ไม่สนใจใคร แต่ในขณะเดียวกันกลับมีผู้ติดตามท่านมากมาย ปรารถนาอยากเป็นศิษย์ อยากเห็นอยากพบอยากกราบไหว้ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เป็นไปด้วยอำนาจธรรมเหนือโลก เหนือสมมุติ ที่เมื่อไม่ยึดติดสิ่งใดไม่ปรารถนาสิ่งใด ทุกๆสิ่งกลับเป็นของเราโดยปริยาย

ชีวิตปฏิปทาของหลวงปู่ตราบเท่าที่แสดงให้เราเห็นนั้น นับเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดมากกว่าคำเทศน์เป็นร้อยเป็นพัน หลวงปู่แสดงให้เราเห็นจริง หากผู้ศรัทธาได้นำเอาท่านเป็นแบบอย่างแม้ไม่ทั้งหมดเพียงบางเสี้ยวบางส่วนเท่านั้นก็นับว่าก่อให้เกิดความจรรโลงใจ เบาใจ น้อมไปทางนิพพิทาญาณได้เป็นอย่างดี

 รัก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=30143
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:36:52 »




หลวงปู่สรวงผู้วิเศษแห่งภูตะแบง พระผู้อยู่เหนือโลก เหนือสมมุติ

เรื่องราวความเป้นมาของหลวงปู่สรวงนั้นไม่มีใครเคยรู้เลยว่าแท้จริงท่านคือใคร

ท่านมีวัตรปฏิปทาที่แปลก ซึ่งคนทั่วไปอาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อเห็นวัตรการปฏิบัติของท่านแล้ว

จะทราบได้ว่านี่คือแนวทางแห่งการละโลก เหนือสมมุติ

หลวงปู่บอกว่าท่านไม่มีวัดอยู่แต่อยู่ทั่วไปในจักรวาล หมายความว่าเมื่อใดที่เรามีความยึดมั่นที่ตัวเอง ในสถานที่อยู่ ในอาหาร ในทรัพย์สมบัติ เมื่อนั้นเราก็ถูกพันธนาการ ถูกกักของด้วยความคิดของเราเอง ทำให้เราจำกัดซึ่งถสานที่และเวลา และผุกพันยึดมั่นเป้นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างเหนียวแน่น เกิดความถือเนื้อถือตัว อวดศักดาต่างๆนาๆ

แต่สำหรับพระผู้ละโลกแล้วนั้น ไม่มีอะไรเป็นของของใคร ทุกอย่างก็ไม่ใช่ของของเรา สรรพสิ่งล้วนพึ่งพาอาศัยกัน

หลวงปู่สรวงท่านละจากโลกนี้นานแล้ว ไม่สถานที่ไม่มีเวลาสำหรับท่าน และแม้ในวันนี้หลวงปู่สรวงท่านจะละสังขาร แต่ในความเป็นจริงท่านก้ยังอยู่และอยู่ในทุกที่อย่างอิสระ การอยู่ด้วยการเนื้อ หรือการจากไปของกายสังขารท่านเป็นเพียง


สถานปฏิบัติธรรม บายตึ๊กเจีย

ในปัจจุบันนี้พระอาจารย์เทียนชัย ได้ดำเนินการสร้างสถานปฏิบัติธรรมบายตึ๊กเจียขึ้น และเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนของ หลวงปู่สรวง

คำว่า "บายตึ๊กเจีย" เป็นภาษาเขมร เป็นคำที่หลวงปู่สรวงมักกล่าวให้พรเสมอๆ คำว่าบายเป็นภาษาเขมร แปลว่าข้าว ตึ๊ก แปลว่าน้ำ และเจียแปลว่าดี

รวมแล้วคำว่าบายตึ๊กเจีย แปลว่าข้าวน้ำดีนั่นเอง

รูปเหมือนหลวงปู่สรวงที่นำมาลงนี้ สร้างขึ้นโดย ช่างมือหนึ่งของไทยคือ คุณหนึ่ง อัศจรรย์

ในขณะที่ดำเนินการปั้นนั้น หลวงปู่สรวงได้มาเข้าทรงคนงานด้วย

ใช้เส้นเกศาจริงของหลวงปู่ในการปั้น หากผู้ใดที่มีจิตศรัทธาไปองค์หลวงปู่สรวงน่าจะไปกราบนมัสการท่านที่นี่นะครับ


สวนพุทธธรรมบายตึ๊กเจีย อ.เมือง จ.ปทุมธานี โทรสอบถามโดยตรงได้ที่ ๐๒-๕๐๑-๓๕๓๖


ภาพถ่ายของหลวงปู่สรวง

ภาพถ่ายของหลวงปู่สรวงทุกภาพถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ตามความรู้สึกของคนทั่วไป ชาวบ้านรู้กันดีว่าการถ่ายภาพหลวงปู่ทุกครั้งต้องขออนุญาติท่านก่อน เพราะอย่างนั้นจะถ่ายไม่ติดและกล้องอาจเสียได้ ภาพชุดที่พี่เม้านำมาลงเป็นครั้งมที่หลวงปู่ท่านไปเมืองกาญจนบุรี ไปกับหลวงพ่อสร้อย วัดเลียบฯ และคณะลูกศิษย์ ถือว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากแล้วครับ

องค์หลวงปู่สรวงท่าน ปกติแล้วท่านไม่ค่อยให้หวยกับใคร แต่คนจำนวนมากก็มักนำกิริยาต่างๆของท่านไปตีเป็นตัวเลข ป้าของผมท่านเคยไปกราบหลวงปุ่สรวงที่วัดเลียบราษฏ์บำรุง ท่านเล่าว่าครั้งนั้น หลวงปู่สรวงยื่นปากกาให้ป้าผมแล้วเออออให้เขียนเลขอะไรก็ได้ ป้าผมก็เขียนอย่างงง งง แต่แปลกครับเพราะงวดนั้นมันออกเลขตามที่ป้าผมเขียน เป็นเรื่องแปลกๆอีกเรื่องหนึ่ง

ทุกครั้งที่มีคนถูกหวยมาก จะมีสื่งหนึ่งที่ศิษย์ทั้งหลายสังเกตเห็นคือ เท้าของหลวงปู่จะบวมและมีแผลน้ำเหลืองไหล หลวงปู่จะเป่าขาตนเองหรือให้คนที่อยู่ใกล้ๆเป่าให้ท่าน เมื่อประกาสเลขรางวัลเรียบร้อยผ่านไปสองสามวันเท่านั้น แผลที่เกิดบนเท้าของท่านจะหายไปเอง และเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นกับท่านเลย นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่แปลกๆเกี่ยวกับหลวงปู่ท่านครับ

มีหลายคนพยายามที่จะเรียนวิชากับหลวงปู่ แต่หลวงปุ่ท่านก็ไม่เคยรับใครเป็นศิษย์ แต่ก็มีที่หลวงปู่พาไปเดินธุดงคืกับท่าน ได้พบเห็นสิ่งเร้นลับมากมาย

ส่วนเหตุผลหลักๆที่ท่านไม่อยากสอนใครท่านว่าวิชานี้เรียนแล้วจะจนทำมาหากินไม่ขึ้น เหล้กไหลหลวงปู่สรวงท่านก็มีท่านฝังไว้ในตัว ท่านว่าให้ใครไม่ได้ เพราะหากประพฤติตัวไม่ดีจะทำมาหากินไม่ขึ้นอีกเช่นกัน ทั้งหมดก็อยู่ที่บารมี การถือศีลปฏิบัติธรรมของแต่ละคนนั่นเอง หลวงปู่จึงมักบอกกับคนทั่วไปว่าให้ทานทำใจให้สบาย รักษาศีล ดังนี้เป็นต้น
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:38:05 »






หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน)

พูดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้...


พอดีผมพึ่งได้ซื้อหนังสือรวมเล่ม ประวัติ อภินิหาร และ วัตถุมงคล ของ หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล มาเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว เป็นหนังสือรวมเล่มหนาจากนิตยสาร 'ลานโพธิ์'
เคยลงเอาไว้ และได้นำมารวมเล่มเป็นเล่มใหญ่ บอกตามตรงเมื่อก่อนผมไม่เคยรู้จัก หลวงปู่สรวง แต่พอดีวันนี้ไปเดินซื้อหนังสือเล่น เจอหนังสือเล่มนี้น่าสนใจดีเลยซื้อมา
อ่านๆไปจึงได้รู้ว่า อภินิหาร ของท่านมากจริงๆครับและยังมีเรื่องแปลกประหลาดอีกนับไม่ถ้วนจะเล่าก็คงไม่ หมด ใครอยากอ่านลองตามหาอ่านตามแผงดูครับและ
ที่วันนี้มาตั้งกระทู้นี้ก็เพราะว่าผมก็อ่านหนังสือเล่มนี้ไปตามปกติแต่ยัง อ่านไม่จบ วันนี้อ่านไปเจอตอนหนึ่งที่คิดว่าตรงกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันมากๆ
เป็นที่น่าแปลกใจจึงจะพิมพ์จากหนังสือมาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันครับ

เรื่องเล่าเกี่ยวกับภัยพิบัตินี้ เป็นคำบอกเล่าจาก

พระครูจันทธรรมานุโยค (ลมัย จันทโร)
เจ้าอาวาสวัดโคกตาเขียว อ.สังขละ จ.สุรินทร์

ซึ่งท่านได้เมตตาเล่าให้ทางนิตยสารลานโพธิ์ถึงเรื่อง ต่างๆ แต่ผมขอยกเรื่องที่ท่านเคยได้ยิน หลวงปู่สรวง พูดถึงเรื่องภัยพิบัติมาดังนี้ (ขออภัยถ้าเคยอ่านแล้ว)

ลป.สรวง พูดถึงภัยพิบัติ

มีประมาณ ปี 2541 ลป.สรวง ท่านแวะมาที่วัดของหลวงพ่อลมัยในช่วงเข้าพรรษา และก่อนท่านจะจากไปท่านพูดเป็นภาษาเขมรกับหลวงพ่อลมัยว่า

พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก
จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมจะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้


หลวงพ่อลมัย ได้ถาม หลวงปู่สรวง ว่าถ้าน้ำท่วมมากขนาดนั้นคนดีก็คงไม่รอดเหมือนกันจะให้ทำอย่างไร หลวงปู่สรวงบอก 'คาถาเป่าน้ำ' ให้ไม่ท่วมร่างกายแก่หลวงพ่อลมัยว่า

"อุ้ม เกรอะ เกรอะ เกรอะ เตียงตึ๊ก เกรอะ ตึงได อุมสติสวาหะ"

ต่อไปเป็นบทคัดลอกตอนที่ หลวงพ่อลมัย พูดถึงภัยพิบัติตามคำบอกเล่าจาก หลวงปู่สรวง



ถาม (ทีมงานลานโพธิ์) - หลวงปู่สรวง เคยสอนวิชาอะไรให้หลวงพ่อมั้ย ?

ตอบ (หลวงพ่อลมัย) - เคยสอน แต่โยมจะได้มั้ย เคยสอนว่า ต่อไปนะ เผาของหลวงพ่อสามวันสามคืนไม่หมด พวกยา พวกอะไร หลวงพ่อให้ก็รับ เผาโยนใส่กองไฟ ให้อะไรก็รับ แล้วก็เผา ตอนหลวงพ่อมา มีคนมาถวายเสื้อ ถวายทรัพย์ เผาหมด เขาว่ายั่งงี้ ..

ต่อไปนี้ พ.ศ. 2555 คนเก่งอยู่ในเมืองไทย อยู่ที่ไหนก็ตามแต่ มุมไหนก็แล้วแต่ พ่อ - แม่ - ญาติพี่น้อง ไม่ต้องสู้ จะตายหมด
น้ำทะเลตีข้างล่างได้ครึ่งโลกแล้ว ไม่ใช่ครึ่งประเทศนะ ครึ่งโลกแล้ว มาบอกให้หยุดนะ ไม่ต้องอยากชนะกันให้ออกไป อย่ามีเวร อย่ามีกรรม

ครั้งที่สองบอกอีก เป็นภาษาเขมรว่า ให้ออกก่อน

"พวกที่ทำลายศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ออกไปก่อน นางนาคเป่าน้ำน้ำทะเลเต็มไปหมด"

ให้มันไปแต่พวกนี้ ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ กลับเข้ามาก็ตีท่วมภูเขา มีทั้งดินมีทั้งโคลน

"พวกทำไม่ดีตายหมด" แกว่า...เทวดาตัดสินเอง เจ้ากรรมนายเวรตัดสินเอง หลวงพ่อไม่กลัว(ลป.สรวง)
แล้วก็ไม่หนีด้วย หลวงพ่อนี่ในตัวสังขละ ท่านสร้างมาหลายวัดเหมือนกัน ไปอยู่ที่นั่นเขาเอาระเบิดเข้าไป สามปีมอบตัวกันหมด ที่ถนนดินแดงหลวงพ่อก็ไป

ถาม - ที่ หลวงปู่สรวง พูดหมายความว่ายังไง ?

ตอบ - แปลว่า ไม่ต้องกลัว 2555 นางนาคเป่าน้ำ ท่วมทั้งน้ำทั้งดิน ตายวอดวาย คนที่ไม่ดีตายหมด คนดีไม่ตาย

"คนดีมันเป็น ไม่ตายจะรอด"

ท่านบอกให้คอยดู แต่มาเป่านี่มันปี 2547 - 2550 ไม่ใช่สึนามินะ นางนาคสิเป่า ปี 55 แถวเราน้ำไม่มี เขาว่านางนาคเอาขึ้นข้างบน สามวันสามคืนก็เป็นลูกเห็บ ลูกที่หนึ่ง ลูกที่สอง ถูกใครตายระเนระนาด อย่าให้ถึงขนาดนั้น "คนดีไม่ตาย"

แกว่างั้นนะ ถ้าคนมีศีลห้าไม่ถูก ก็เรา ไม่ได้กบฎพระเจ้าอยู่หัว คนที่กบฎ คนที่อยากชนะ ผืนแผ่นดินนี้ตายแน่ จะยึดแผ่นดินเป็นหลักแค่นั้นแหละ ปีนี้นาคไม่ขึ้นที่หนองคาย นาคไม่ขึ้น




หลวงปู่สรวง ท่านละสังขารเมื่อ วันที่ 8 กันยายน 2542 (ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีมะโรง )
สะรีระสังขารของท่านตั้งอยู่ที่ศาลา.ออยเตียนสรูล.วัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ

หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล

ออยเตียนสรูล เป็นภาษาเขมรแปลวว่า ให้ทานความสุข ซึ่งความหมายของคำนี้คือหลวงปู่สรวงท่านเป็นผู้ให้ ให้แก่ลูกหลาน ลูกศิษย์ ทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตท่าน
ท่านให้ได้ทุกอย่าง ทรัพย์สินเงินทองที่มีผู้ถวายท่าน ท่านไม่เคยเก็บเป็นสมบัติส่วนตัว ท่านจะให้แก่คนที่ท่านเห็นว่าเขาควรจะได้ โดยที่ไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะเป็นใคร และที่สำคัญท่านให้ความสุขกับ
ผู้มีความทุกข ์แล้วมาหาท่าน หรือแม้แต่ผู้ที่แค่นึกถึงชื่อท่านท่านก็เผื่อแผ่พลังเมตตานั้นมาช่วยให้เขา คนนั้นคลายทุกข์ได้ถ้าไม่เนื่องด้วยความทุกข์นั้นเกิดจากกฎแห่งกรรมแล้วท่าน ก็จะช่วยเสมอ นี่แหละคือที่มาของฉายาท่าน

"ออยเตียนสรูล"




หลวงปู่สรวงท่านละสังขารเมื่อ วันที่ 8 กันยายน 2542 (ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีมะโรง )
สะรีระสังขารของท่านตั้งอยู่ที่ศาลา.ออยเตียนสรูล.วัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:38:47 »



ประวัติหลวงป่สรวงผู้ทำนายพิภัย2010ผู้ไม่ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาความคิดไม่ธรรมดาคือผู้วิเศษ จริงหรือ????


เรื่องราวอภินิหาริย์ ของหลวงปู่เล่าสืบกันมา ไม่รู้จบสิ้น ดังตัวอย่าง เช่น
การย่นระยะทาง การหายตัว ตาทิพย์ เสกกิ่งไม้กลายเป็นสัตว์ และฯลฯ
สมัยก่อน ทหารมาขอของดี ท่านหักก้านธูปให้คนละหน่อย ก็ยิงไม่ออกแล้ว
ใครถวายอะไรท่านโยนเข้ากองไฟหมด
หลวงปู่ สรวง ท่านเดินทางมาที่วัดเลียบ บ่อยๆ (ปีละหลายครั้ง) เนื่องจาก หลวงพ่อสร้อย เป็นลูกศิษย์ท่าน มาแต่ละครั้งก็ได้อธิษฐานวัตถุมงคลให้ และมักแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่สรวงลุกขึ้นไปยืนถ่ายปัสสาวะที่หน้ากุฏิ พระอาจารย์โต(ลูกศิษย์หลวงพ่อสร้อย) เห็นดังนั้นจึงบอกลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งเป็นโรคลมบ้าหมูว่า ถ้าอยากหายรีบเอามือไปรองปัสสาวะหลวงปู่ทำน้ำมนต์รดหัวแล้วจะหาย ( ความจริงท่านแกล้งพูดเล่นเฉยๆ) ลูกศิษย์คนนั้นจึงวิ่งเอามือแหย่เข้าไปตรงช่องขาด้าน หลังรองน้ำปัสสาวะของหลวงปู่ แล้วเอาน้ำปัสสาวะรดบนหัวทันที หลวงปู่สรวงหันมาหัวเราะ แต่ท่าน ไม่พูดอะไร พระอาจารย์โตเล่าต่อไปว่า เมื่อไปดมบนหัวของศิษย์คนนั้นไม่ปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใดเหมือนน้ำธรรมดา หลังจากนั้นศิษย์คนนั้นก็หายจากโรคลมบ้าหมู จนทุกวันนี้ พระอาจารย์โตเล่าว่า เรื่องนี้มีผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคน และสามารถเรียกศิษย์คนนั้นมายืนยันตัวตนได้

ตาเลียด เสาศิลา เคยเห็นหลวงปู่ลงไปในน้ำ เป็นครึ่งวัน เข้าใจว่าจะจมน้ำตาย กระโดดลงไปจะไปงม ก็เห็นหลวงปู่นั่งอยู่บนขอนไม้ใต้น้ำ ที่น่าแปลกคือ รอบตัวหลวงปู่กลายเป็นอากาศหาใช่น้ำไม่ (เหมือนอยู่ในฟองสบู่)
พระของหลวงปู่ว่ากันว่าโดดเด่นหลายทางตามคำอธิษฐานดังนี้

1. บูชา 1 อาทิตย์ เห็นฤทธิ์ทางเมตตามหานิยม เจ้านายรัก ติดต่อการงานดี

2. บูชา 2 อาทิตย์ เห็นฤทธิ์ด้านโชคลาภ ค้าขาย ขายของดี ขายคล่อง เงินมาไม่ขาดสาย

3. บูชา 3 อาทิตย์เห็นฤทธิ์ ด้านเสี่ยงโชค เล่นการพนัน เสี่ยงดวง หวยล็อตเตอรี่ เห็นผลแน่นอนหากผู้นั้นบูชาด้วยความศรัทธาแน่วแน่

4. เรื่องความปลอดภัยทางรถยนต์แคล้วคลาด ไม่มีตายโหง

5. ขอได้ดังใจนึกทางด้านค้าขายธุรกิจเจริญรุ่งเรืองเวลาเดือดร้อนทางการเงิน ให้ทำพิธีบอกกล่าวจุดธูปบอกท่านและอาราธนาขอพรเช้าเย็น 9 จบ ท่านจะช่วยให้เห็นผลได้รับความสำเร็จสมหวังมามากแล้วไม่เชื่อทดลองเถิด

6. คงกระพันชาตรี ไว้ใจได้เห็นอภินิหารบ่อยๆ

7. ป้องกันคุณไสย์แก้อาถรรพณ์ ป้องกัน ผีสางนางไม้ เจ้าที่เจ้าทางได้

8. เสริมดวงหนุนดวงชะตา

9. ป้องฟ้าผ่า ไฟไหม้ ได้

หลวงปู่สรวงท่านไม่ยึดติดกับสรรพสิ่ง ใครถวายอะไร ท่านให้ แจกหมด หรือโยนเข้ากองไฟ บางครั้งท่านก็ใช้ทราย อาบราดบนตัวแทนน้ำ แต่ที่น่าแปลกคือ ทรายที่ผ่านการอาบตัวของท่านเหล่านั้น แปรสภาพเป็นพระธาตุได้

ครั้งแรกที่หลวงพ่อสร้อย พบ หลวงปู่สรวง
ตอนนั้นหลวงพ่อสร้อยอายุยังน้อยๆ เป็นเด็กๆ ไปกับอาจารย์ของท่าน (ตอนนั้นอาจารย์ของท่านอายุ 90 กว่าปี) อาจารย์ของท่านไปกราบหลวงปู่สรวง
ตอนขากลับหลวงพ่อสร้อยก็ถามอาจารย์ว่า ทำไมอาจารย์ไปกราบหลวงปู่สรวง อาจารย์อายุมากขนาดนี้
อาจารย์ท่านตอบกลับว่า ไม่ใช่ จริงๆ แล้ว หลวงปู่ท่านอายุมากกว่าอาจารย์ไม่รู้กี่เท่า

ย่ามวิเศษ
หลวงปู่สรวงท่านจะมีย่ามอยู่ 1 ใบ สามารถหยิบอะไรที่ต้องการออกมาจากย่ามได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลก บางทีท่านก็หยิบยามวนออกมา บางทีก็หยิบ ธนบัตรออกมาเป็นปึกๆ 4 พันบ้าง 5 พันบ้าง ไม่รู้ว่าออกมาได้อย่างไร

หลวงปู่สรวงนั่ง เดิน บนผิวน้ำ
เรื่องนี้เล่าแล้วยาว ท่านเคยแสดงปาฏิหาริย์ นั่งบนผิวน้ำตอนอยู่ในประเทศลาว มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้ ตอนนี้รูปอยู่ที่ อ.บุญส่ง กัดจิตร (ผู้ที่ศรัทธาหลวงปู่มากผู้หนึ่ง)
ในคราวหนึ่งตอนหลวงปู่พาพระหลายรูปธุดงค์ มีแม่น้ำพระต่างๆ ก็ลุยน้ำข้ามไป ขาดแต่หลวงปู่ หลวงปู่ทำท่าขาหย่อนๆ แล้วก็ชักขึ้น พระหลายรูปที่ข้ามไปแล้วก้กังวลใจว่าหลวงปู่จะข้ามมาได้ไหม ฉับพลันหลวงปู่สรวงก็ก้าวลงมา แต่ไม่ได้ลงในน้ำ ฝ่าเท่าท่านกลับอยู่เหนือผิวน้ำ เดินข้ามาเหมือนดินบนดินอย่างไรอย่างนั้น

บทวิเคราะห์ อายุกาลหลวงปู่สรวง
อันนี้ข้าพเจ้าวิเคราะห์เอง จากการฟังอาจารย์ และศิษย์ในสายหลวงปู่สรวง
ท่านน่าจะอายุมากกว่า 500 ปี มาก เพราะ
สมัยก่อนครูบาเที่ยงธรรม เคยบอกกับผู้คนที่ ถามถึงอายุท่านว่า ท่านอายุเท่าไร ท่านถามอายุแต่ละคนที่อยู่ในที่นั้น พอถามเสร็จ ท่านตอบว่าเอาอายุพวกแกมารวมกันยังไม่เท่าอายุฉัน (ตอนนั้นลองบวกคร่าวๆ ได้ กว่า 700 ปี)
แต่ ครูบาเที่ยงธรรม ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สรวงอีกทีนะ (พระอาจารย์โตท่านเล่าให้ฟังนะ) แล้วหลวงปู่สรวงจะอายุเท่าไรอ่ะ
อายุ 500 ปี จำวัดทั่วจักรวาล บางท่านเรียกว่า ผู้วิเศษแห่งภูตะแบง บางท่านเรียกว่า เทวดาเล่นดิน
เป็นสมญานามที่ หลาย ๆ ท่านให้ไว้กับ หลวงปู่สรวง พระอภิญญาผู้อยู่เหนือโลก เหนือกาลเวลานั่นเอง
พระอภิญญาในยุคนี้ คงจะไม่มีใครโดดเด่นเท่าหลวงปู่สรวง
คนแก่เฒ่า กล่าวว่า ตอนเด็กๆ ก็เห็นท่านอยู่แบบนี้ ปู่ย่า ตายาย ก็เคยเห็นท่านอยู่แบบนี้ แม้แต่หลวงปู่ฤทธิ์ ก็เคยกล่าวถึงสังขารของหลวงปู่สรวงว่าไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่ของท่านที่เปลี่ยนแปลง
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:39:19 »








อยากให้ลองพิจารณาภาพทั้งสามนี้ว่าพอจะเห็นแปลกบ้างไหม
ภาพแรกถ่ายเมื่อปี2516
ภาพที่2และ3ถ่ายก่อนหลวงปู่สรวงมรณภาพแค่เดือนหรือ2เดีอนเท่านั้น

บุรุษที่อยู่ในภาพทั้งสองคือพ่อลุงบุญเลิศ เพียรเพิ่มพูน
ขณะที่ถ่ายภาพแรกกับหลวงปู่พ่อลุงอายุ26ปี
ภาพที่2และ3ถ่ายเมื่อปี2543 พ่อลุงมีอายุ53ปี

คนที่เราเห็นกับตาเลยขะรับว่าแก่เฒ่าไปจริงๆคือพ่อลุงบุญเลิศ

บุญเลิศ เพียรเพิ่มพูน
ปัจจุบันอายุ62ปี


พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่าคราวที่หมู้บ้านถึงกับร้างหนนั้น ถือว่าเป็นเหตุให้ได้พบหลวงตาสรวงเป็นครั้งแรก

หลวงตาสรวงท่านมาที่หมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง ไกลจากหมู่บ้านที่พ่อลุงบุญเลิศไปรับงานขุดสระราวๆ20กว่ากิโล
คนทั้งหมู่บ้านนี้เมื่อทราบว่าหลวงตามา ก็พากันหอบลูกจูงหลา่นไปกราบหลวงตาที่หมู่บ้านโน้นกันจนหมด

หมู่บ้านจึงร้างอย่างที่prigtaiได้เล่าไว้แล้ว

พ่อลุงบุญเลิศเกิดข้อสงสัยว่าพระอะไรกัน ถึงกับให้คนทิ้งบ้านแจ้นไปหาจนบ้านร้างขนาดนี้
ก็เลยตามไปดู

"พอไปเห็น..โอ๊ยย..มันอะไรกันนักกันหนา..หลวงตานอนกลิ้งเกลือกอยู่กับขี้ดิน สกปรก ขี้ไคลขึ้นเป็นคราบ ขี้ตาก้อนเท่าเม็ดถั่ว น้ำลายก็ไหลเยิ้ม ขอโทษนะหลาน..หำก็โผล่ออกมาทั้งพวงอีกด้วย"

พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่า เกิดความเัอน็จอนาถแกมสมเพช
ทั้งสมเพชหลวงตาและพวกชาวบ้าน
พระก็เหมือนผีบ้า ชาวบ้านยิ่งบ้าหนักกว่าอีก มาแห่มาแหนล้อมหน้าล้อมหลังกราบพระบ้ากันประหลกๆ

"พอนึกในใจเท่านั้น หลวงตาก็ทำปากจู๋ส่งเสียงจุ๊กๆ นิ้วชี้ก็เคาะลงที่พื้นดินป๊อกๆๆสามครั้ง..โน่น..แม่ไก่ มันกำลังหากินหาเลี้ยงลูกเจี๊ยบอยู่ฝูงหนึ่ง มันหยุดกึก หันกลับมา แล้วก็ทั้งบินทั้งวิ่งมาหาหลวงตา
ทั้งแม่ทั้งลูกวิ่งกันปานกับกลัวจะมาไม่ทัน คือมันแย่งกันวิ่งสลับบินมาหาหลวงตาแบบรีบร้อนที่สุด..ตัวแม่ไก่มาหมอบนิ่งอยู่ข้าง ๆ หลวงตา ส่วนลูกๆพอมาถึงก็โดดขึ้นเล่นบนตัวหลวงตา..น่ารักมาก"

พ่อลุงบุญเลิศบอกว่าตอนนั้นชักจะนึกแปลกใจแปลบปลาบเล็กๆเข้าบ้างแล้ว
สักครู่หลวงตาสรวงก็เอานิ้วมือขีดลงพื้นดินเป็นวงกลมเล็กๆ
จับลูกไก่ตัวหนึ่งวางใส่ในวงกลม
แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งอยู่บนกระท่อม

แม่ไก่กับลูกของมันทั้งฝูงก็ลุกขึ้นกลับออกไปหากินตามปกติเหมือนเดิม
เว้นแต่ลูกไก่ตัวที่อยู่ในวงกลมเท่านั้น

"มันนอนเล่นเหมือนมีความสุข จิกขนตัวเอง นอนเหยียดแข้งเหยียดขา ลุงย่องเข้าไปจับมันออกมาปล่อยนอกวงกลม มันก็กลับวิ่งเข้าไปอยู่ในวงกลมอีก จับมันออกมาอีกที มันก็กลับเข้าไปในวงกลมเหมือนเก่า"

ตอนนี้พ่อลุงบุญเลิศตาสว่างแล้วขะรับ
ลุกขึ้นเดินตามหลวงตาเข้าไปที่กระท่อม
พอก้มลงจะกราบเท้า

"ท่านชักเท้าหนีไม่ให้กราบ ลุงขยับตามไปจะกราบให้ได้ ท่านก็ชักเท้าหนีอีก ลุงจึงตัดสินใจจับขาท่านไว้ไม่ให้หนี จึงได้กราบสมใจ แล้วก็ขอขมาท่านว่า ลูกหลานผิดไปแล้ว มองคนก็แค่เปลือก ไม่ใด้มองถึงเนื้อใน จึงเป็นเหตุให้นึกประมาทครูบาอาจารย์"


"แล้วลูกไก่ที่อยู่ในวงกลมล่ะ" ข้าพเจ้าถามพ่อลุงบุญเลิศ
"อ๋อ..สักครู่หลวงตาทำปากเป่าลมไป มันจึงออกสามารถจากวงกลมวิ่งกลับไปหาแม่ของมันได้"
"หลังจากนั้นพ่อลุงก็กลายเป็นผู้ติตดามหลวงตาไปจนตลอดชีวิต"
"ไม่นะ..กว่าท่านจะยอมให้ติดตามก็อีกเป็นเดือน ระหว่างนั้นตามท่านไปอย่างเดียว ไม่ให้คลาดสายตา ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนก็ตาม "
"ท่านก็ยอมให้ตามหรือขะรับ"
"ท่านไล่ให้หนี ไม่ให้ตาม แต่ลุงเล่นลูกตื๊อไม่ยอมถอย ท่านไล่ เราก็หลบไปอยู่ห่างๆ พอเผลอๆก็กลับเข้ามา เป็นแบบนี้อยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่งลุงเหนื่อยหลาย หิวก็หิว ข้าวไม่ได้กินทั้งวัน เผลอหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ตัว ตื่นอีกทีเพราะว่ามีคนมาปลุก พอลืมตาก็มืดค่ำสนิทไปแล้ว"
"หลวงตามาปลุก"
"เปล่าๆ ท่านน่ะหนีไปแล้ว แต่เกิดเปลี่ยนใจให้ลูกศิษย์ที่ติดตามท่านประจำย้อนกลับมาปลุก"
"อ้าว..ก็ไหนว่าท่านไม่มีลูกศิษย์"
"ไม่เชิงลูกศิษย์..คือหลวงตาชอบจะมีผู้ติดตามประจำอยู่สามคน แต่ไม่ได้ติดตามพร้อมกันทั้งสามคน ท่านให้ตามแค่ทีละคนเท่านั้น แล้วทั้งสามคนเป็นพวกไม่เต็มบาทด้วยกัน คนไม่เต็มบาทนี่แหละมาปลุก มันบอกว่าหลวงตาไปแล้วๆๆ หลวงตาให้มาตามลุงให้ตามไป"

พ่อลุงบุญเลิศเล่าต่อไปว่า
"หลวงตาท่านรออยู่อีกที่หนึ่ง ไกลพอสมควร ท่านพาเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะพาไปไหน ไฟฉายก็ไม่มี เดินตามท่านไป จนไปทะลุถึงหมู่บ้า่นหนึ่ง ท่านไปปลุกชาวบ้าน บอกให้เขาหาข้าวให้ลุงกิน ท่านว่าหาข้าวให้ลูกชายกินหน่อย ลูกชายหิวข้าว บ้านนั้นเอาปลากระป๋องมาเปิดให้กินกับข้าวเหนียว หิวจนตะกรุมตะกราม กินเกลี้ยงไม่มีเหลือ หลวงตาหัวเราะชอบใจ..ตั้งแต่นั้นท่านเรียกลุงว่าลูก แล้วก็ยอมให้ติดตามท่านตลอดมาอย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละ"

พ่อลุงบุญเลิศตื๊อจนหลวงตาสรวงใจอ่อน
ในบั้นท้ายสุด
ได้กลายเป็นคนขับรถให้หลวงตาสรวงเพื่อด้นธุึดงค์
จรดลไปทั่วแว่นแคว้นแดนดิน
เกิดสมญานามอีกหนึ่งว่าหลวงตาทางหลวง
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:40:09 »






พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่าเรื่องนี้เกิดหลังจากเริ่มติดตามหลวงตาสรวงช่วงแรกๆ
ท่านพาเดินป่าขึ้นไปพักอยู่บนเขาในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
มีลูกศิษย์ไม่เต็มบาทไปด้วยอีกคนหนึ่ง

ราวๆบ่ายของวันหนึ่ง หลวงตาบอกพ่อลุงบุญเลิศให้ก่อไฟเตรียมไว้ ตัวท่านจะไปหาปลามาให้กิน
ท่านหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมปลาช่อนตัวขนาดหน้าแข้ง
ยังดิ้นกระแด่วไม่ทันตาย

พอมาถึงท่านหักคอปลาดังกร๊อบ

พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่าถึงกับร้องครางในใจอยู่คนเดียว เอ๊า..เป็นไงเป็นกัน ก็มันหิวเต็มที

หลวงตาลงมือเผาปลาด้วยตัวเอง เอาไม้คอยเขี่ยคอยพลิก กลิ่นปลาเผาหอมจนน้ำลายแตกเต็มปาก

พอปลาสุกท่านก็แบ่งปลาออกเป็น3ส่วน
ส่วนหางให้คนไม่เต็มบาท
ส่วนกลางให้พ่อลุงบุญเลิศ
ส่วนหัวท่านฉันเอง

พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่า ปลาอร่อยมาก ทั้งสดทั้งเหนียวพอดีกิน เสียแต่ว่ากินลำบากอยู่บ้าง ต้องค่อยๆลอกหนังปลาออก ไม่ให้ขี้เถ้าเปื้อนเนื้อปลา
ลอกหนังแล้วก็กองไว้ที่ก้อนหินข้างๆตัว
ก้างปลาก็กองรวมไว้ด้วยกัน

หลังจากอิ่มดีแล้ว หลวงตาเรียกให้รีบลุกขึ้นตามท่านลงไปทำน้ำมนต์ให้ชาวบ้านที่หมู้บ้านตีนเขา
พอลงเขามาเห็นชาวบ้านเตรียมครุน้ำถังน้ำนั่งรอกันสลอน อย่างกับว่านัดกันไว้

หลวงตาก็แค่นิ้วมือจุ่มลงไปแกว่งในน้ำให้ทีละราย เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ
ชาวบ้านถวายเงินคนละ 10 บาท, 20 บาท ท่านไม่รับ ส่งเงินคืนให้ชาวบ้านหมด

"เขาไม่รู้ทำไง ก็เลยไปตักข้าวสารมาให้ บอกว่าเอาขึ้นไปหุงกินบนเขา"

เมื่อกลับขึ้นมาถึงที่พักบนเขา จวนมืดแล้ว พ่อลุงบุญเลิศจึงเตรียมหุงข้าวกินมื้อเย็น

"เห็นแปลก..หนังปลากับก้างปลาที่เราลอกแกะทิ้งไว้บนก้อนหิน กลายเป็นเปลือกมันสำปะหลัง เท่านั้นแหละจึงร้องเอะอะใส่ท่าน โอ๊ยยๆ..หลวงตาตั๋วข้าน้อย หลวงตาตั๋วแล้ว"
(ตั๋ว-โกหก,หลอกลวง,)

หลวงตาก็แค่หัวเราะอยู่หยุมๆ

"เราเลยไปสำรวจดู เดินตามรอยเท้าที่ท่านหายไปหาปลา ก็ไปเห็นรอยขุดหัวมันสำปะหลัง เราไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า แถวนั้นมันมีน้ำมีห้วยมีธารที่ไหน หลวงตาจะไปเอาปลามาได้ไง"
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:42:21 »



หลวงตาสรวงช่วยคนคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย

ในบรรดาเรื่องราวที่เป็นแนวอภินิหารของหลวงตาสรวง,เรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ผมชอบที่สุด

คุณบุญเลิศเล่าว่า,ลูกศิษย์เมืองจันทบุรีชื่อคุณนก มารับเอาตัวหลวงตาสรวงไปพักที่บ้านของเธอ ใกล้ชายแดนเขมร คลับคล้ายว่าอยู่ในเขตคลองลึก จำชื่อหมู่บ้านไม่ได้

โดยรับเอาตัวหลวงตาไปก่อนหวยออกไม่กี่วัน
คือมีแผนจะเอาหวยจากหลวงตานั่นเอง

หลวงตาก็ได้ให้หวยจนคุณนกและชาวบ้านถูกกันถ้วนทุกคน

หลังถูกหวยแล้ว คุณนกยังคงรั้งตัวหลวงตาไว้ไม่ปล่อยให้กลับ ตั้งใจให้อยู่บอกหวยงวดต่อไปอีกงวด ทั้งยังขัดกระแสต้องการให้หลวงตาอยู่ต่อไปจากชาวบ้านไม่ได้

งวดต่อมาหลวงตาให้หวยถูกอีก
คนรวยหวยมากกว่างวดที่แล้ว หลายคนที่เชื่อมั่นทุ่มแทงได้เงินมากมายกันทั้งหมู่บ้าน

คุณนกทำท่าจะรั้งตัวหลวงตาไว้อีก ไม่ยอมให้หนีกลับศรีสะเกษ

ร้อนถึงคุณบุญเลิศซึ่งพักอยู่บ้านในเมืองอุบล

"ผมฝันครับ, ฝันว่าหลวงตามาหา บอกให้ช่วยไปรับที อยากกลับแล้ว..เรื่องฝันเห็นหลวงตามาบอกให้ไปรับ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก คือก่อนหน้านั้นก็ฝันมาหลายหน ทุกหนก็เป็นเรื่องจริงๆคือหลวงตาต้องการให้ไปรับ จึงรีบขับรถออกจากบ้านไปเมืองจันทน์ทันที"

พอไปถึงหลวงตาวิ่งมาหาที่ประตู แสดงอาการดีใจ จะขึ้นรถกลับ ใครก็ทัดทานไม่อยู่
ชาวบ้านแห่กันมาล้อมรถ ต้องเจรจากันนิดหน่อย เขาจึงยอมให้พาหลวงตากลับ

ก่อนกลับชาวบ้านทุกคนพากันมาถวายเงิน
รวมๆแล้วได้40,000บาทถ้วนพอดี

ปกติหลวงตาไม่รับเงิน ใครถวายจะส่งคืน ถ้าเซ้าซี้จะให้รับไว้ หลวงตาจะเผาเงินนั้นทิ้งต่อหน้าต่อตา
ท่านว่า
"ของไม่ดี คนตีกัน ฆ่ากัน แย่งชิงกันก็เพราะสิ่งนี้ เงินเป็นของไม่ดี"

แต่ว่าคราวนี้แปลกท่านรับเงินทั้งหมดไว้แล้วใส่เก็บลงย่าม

ต้องเข้าใจธรรมชาติของหลวงตากับคนขับรถ(คุณบุญเลิศ) เมื่อหลวงตาขึ้นรถแล้ว จะไปที่ไหนจะไปหนใด ก็สุดแต่หลวงตาจะชี้นิ้วให้ขับไป
ท่านให้ขับเลาะไปตามถนนเลียบชายแดน ผ่านหมู่บ้านแปลกๆไปเรื่อย จนกระทั่งผ่านหมู่บ้านเล็กๆ(จำชื่อไม่ได้) หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้อรัญประเทศ คือห่างจากอรัญฯราว15-20กม.เท่านั้น

เพียงแค่ผ่านเลยหมู่บ้านมาไม่ไกลเท่าไหร่
หลวงตาล้วงเงิน 40,000 บาทโยนออกหน้าต่างทิ้งตรงข้างทาง

"ผมเบรคตัวโก่งเลยครับ,จะถอยรถกลับไปเก็บเงิน,หลวงตาบอกไม่เอาๆเงินของเขา ทิ้งไปๆ"
คุณบุญเลิศนึกเสียดายจนร้อนรนอยู่ในใจ
"เงินตั้ง40,000นะ ใครไม่เสียดาย แทนที่จะโยนทิ้ง ยกให้เราก็ยังจะดีกว่า ทีนี้ใจมันก็คิดแต่เรื่องเงิน จะหาทางกลับไปเอาเงินนั้นให้ได้ พอดีมองเห็นวัดอยู่ริมทาง เลี้ยวเข้าไป ส่งหลวงตาขึ้นไปบนศาลา บอกว่าหลวงตาคอยอยู่นี่ก่อน ผมมีธุระ ขอไปทำธุระเดี๋ยวเดียวจะกลับมา"

หลวงตาหัวเราะหยุมๆไม่ว่าอะไร

ย้อนรถกลับมาบริเวณที่หลวงตาโยนเงินทิ้ง จอดรถหาอย่างไรก็ไม่เจอ

"แน่ใจว่าจำไม่ผิด ตรงนี้แน่นอน แต่หาไม่พบ ฉุกใจคิดได้ว่าอาจมีใครเก็บเอาไป จึงขับรถไปที่หมู่บ้านใกล้ๆที่เพิ่งผ่านมา เห็นคนออกันอยู่ศาลากลางบ้านเป็นกลุ่มใหญ่ จอดรถเดินเข้าไปถาม มีใครเห็นถุงเงิน40,000บ้างไหม เป็นเงินหลวงตา ท่านลงไปถ่ายอุจาระตรงข้างทางแล้วลืมไว้"

คุณบุญเลิศโกหกไปตามเรื่อง

"ผมนี่แหละครับเก็บไปได้" ชายผู้หนึ่งออกมารับเรื่องนี้อย่างองอาจผึ่งผาย
"โอ๊ย,ดีหลาย นึกว่าจะสูญเงินไปแล้ว ว่าแต่ไปเห็นเงินนี้ได้ยังไง"
"ผมจะไปผูกคอตายแถวนั้น เห็นถุงเงิน เปิดมานับดู มี 4 หมื่นพอดีเลย"
"อ้าว,จะฆ่าตัวตายทำไม แล้ว4หมื่นน่ะพอดีอะไร"
"ผมเอาที่เอาบ้านไปจำนองเขาไว้4หมื่น ไม่มีเงินไถ่ เขากำลังจะมายึด พอ่แม่พี่น้องผมจะไม่มีที่อยู่ พากันลำบากเพราะผม กลุ้มใจคิดหาทางออกไม่เจอ เป็นความผิดของผมที่ทำให้พ่อแม่พี่น้องเดือดร้อน
เงินค่าไถ่ก็หาไม่ได้เลยคิดอยากตาย"
"........."
"ผมเอาเงินที่เก็บได้มาที่นี่ บอกผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านให้มาเป็นพยาน ว่าเงินนี้ผมเก็บได้ สงสัยว่าจะเป็นเงินของพระอยู่เหมือนกัน รอว่าถ้าไม่มีใครมาขอรับเงินคืน ผมจะเอาเงินนี้ไปไถ่บ้าน เมื่อพ่อลุงมาบอกว่าเป็นเงินพระลืมไว้ ผมก็จะคืนให้"

คุณบุญเลิศถึงกับซึม
เดินกลับมาที่รถ สตาร์ทเครื่องไม่พูดไม่จา
ชาวบ้านมองตามงงๆ
ก่อนออกรถจึงกล่าวว่า
"เงินนี่หลวงตาไม่ได้ลืมไว้หรอก หลวงตาท่านให้เจ้านั่นแหละ เอาไปไถ่บ้านเถอะ"
"เดี๋ยวก่อนครับหลวงตาที่ไหน"
"เจ้าไม่รู้จักหรอก รีบไปซะ,เอาไปไถ่บ้านเร็วๆก่อนจะถูกยึดนะ"

ว่าแล้วก็ออกรถไปด้วยหัวใจเบิกบานเป็นสุข
นึกเคารพรักหลวงตามากกว่าเก่าอีกไม่รู้กี่เท่า

ส่วนชายชาวบ้านผู้คิดสั้น มองตามรถจนหายลับไปจากสายตา
เขาไม่มีทางเข้าใจอะไรได้เลย
ไม่มีวันเข้าใจ
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:43:10 »








เปิดประวัติความลับหลวงปู่สรวง

พระอาจารย์เทียนชัย แห่งสวนพุทธธรรมบายตึ๊กเจีย ได้เล่าไว้ว่า

ก่อนหลวงปู่จะละสังขารปี 43 ท่านบอกกับคนใกล้ชิดว่าอีก 10 ปีความลับจะเปิดเผย ครั้นพอครบ 10 ปีในปี 53 เป็นปีที่ ท่านเจ้าคุณถาวร เชิญท่านอาจารย์สมมรรค กั้วพิสมัย ขึ้นบรรยายธรรมบนศาลาพระราชศรัทธรา ในวาระนี้เองท่านอาจารย์สมมรรคได้ขึ้นเล่าเรื่องราวของหลวงปู่สรวงที่ได้รับ ฟังมาจากหลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิง ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก มีศรัทธาญาติโยมรับฟังเรื่องราวของหลวงปู่สรวงในครั้งนั้นในครั้งนั้นเป็น จำนวนหลายร้อยคนเต็มศาลาพระราชศรัทธาไปหมด
ท่านอาจารย์สมมรรคเริ่มเปิดประวัติของหลวงปู่สรวงจากคำบอกเล่าของหลวงปู่ โป๊ะ วัดบ้านบิง ดังนี้ว่า หลวงปู่สรวงเป็นชาวเขมรเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าชัยวรมัน องค์หลวงปู่สรวงท่านมีศักดิ์มีฐานันดรเป็นลูกชายคนโตครองตำแหน่งอุปราชผู้จะ ขึ้นครองราชย์สมบัติแห่งเมืองขอมคนต่อไป ท่านเป็นพี่ชายของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 และแน่นอนว่าถ้าท่านอยู่ตามทางโลกท่านย่อมเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

แต่องค์หลวงปู่สรวงมีจิตใจใฝ่ในทางเนกขัมมะคือออกบวชมาแต่เยาว์วัยด้วยวาสนา ที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ และไม่ปรารถนาจะอยู่ตามทางโลกอีกต่อไปทั้งเล็งเห็นว่าการมีชีวิตอยู่ตามทาง โลกโดยเฉพาะการขึ้นครองราชย์สมบัตินั้นเป็นสิ่งที่มีภาระมาก ต้องตัดสินลงอาญา ต้องก่อกรรมทำบาปโดยใช่เหตุ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจออกบวช

การออกบวชครั้งแรกของหลวงปู่สรวงนั้นท่านออกบวชเป็นฤๅษี ท่านท่องเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพรจนไปพบเจออาจารย์ที่เป็นมหาฤๅษีผู้สำเร็จ อภิญญาสมบัติ มี อายุยืนยาวนับพันปี มีญาณสมาบัติกล้าแข็งมีฤทธิ์อภิญญาสามารถเหาะเหินเดินฟ้า เดินไต่น้ำ ดำดิน เดินทะลุภูผากอไผ่หินผาศิลาแลงที่ทึบทั้งแท่งก็เดินทะลุได้ มีตาทิพย์หูทิพย์ ล่วงรู้ในสิ่งต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ หลวงปู่สรวงร่ำเรียนวิชากับองค์มหาฤๅษีผู้ทรงฤทธิ์จนสำเร็จวิชาต่างๆครบถ้วน ทรงอภิญญามีอายุยืนยาวนานไม่จำกัดกาลเวลาได้ ที่สำคัญคือองค์หลวงปู่สรวงมีอภิญญาแก่กล้าทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ต่างๆ หลวงปู่สรวงเมื่อสำเร็จเป็นมหาโยคีผู้มีฤทธิ์อำนาจทางจิตอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านก็เที่ยวโปรดชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ องค์หลวงปู่สรวงท่านจะประจำอยู่ตามอโรคยาศาลาโดยอโรคยาศาลานี้เป็นปราสาทหิน ขนาดเล็กสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานพยาบาล แก่ประชาชนชาวบ้านทั้งหลาย ที่ได้รับทุกขเวทนาจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ องค์หลวงปู่สรวงท่านก็โปรดชาวบ้านด้วยเวทย์มนต์คาถา ตัวยาสมุนไพร พลังอำนาจจิต ทำให้ชาวบ้านพ้นจากทุกข์ของเจ็บไข้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ในช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที 1 ชนชาติขอมยังนับถือลัทธิพราหมณ์ บูชาเทพยาดา และภูตผีเป็นสรณะ พระเจ้าแผ่นดินยอมให้สร้างปราสาทเพื่อบูชาเทพเจ้า การสร้างปราสาทต้องใช้แรงงานทั้งคนทั้งสัตย์จำนวนมากมาย นอกจากนี้การบูชาเทพเจ้าในสมัยนั้น ยังนิยมการบูชายัญ และพิธีกรรมอีกมากมาย ทัศนคติการใช้แรงงานคนในการสร้างปราสาทหินและการบูชายัญนั้นหลวงปู่สรวงไม่ เห็นด้วย เพราะเป็นการทรมานคน ทรมานสัตว์ เห็นแล้วเกิดความสังเวชใจ อย่างไรก็ตามหลวงปู่สรวงหรือมหาโยคีสรวงในครั้งนั้นก็ได้แต่เก็บความรู้สึก ไว้ภายใน และด้วยอำนาจฌานสมบัติที่ท่านสำเร็จสำเร็จแล้ว จึงทำให้ท่านสามารถมีชีวิตยืนยาวนับแต่รัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 จนมาถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 2,3,4,5,6และ 7

ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี่เองความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนาแบบมันตรยานกำลังก่อตัวและเจริญ อย่างสูงสุด ในช่วงต้นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังนับถือลัทธิพราหมณ์ จนกระทั่งมหาโยคีสรวงได้ปลงใจว่าควรจะหันมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะเป็นศาสนาที่มีการบำเพ็ญสมณะธรรมและมีหลักธรรมอันลึกซึ้ง เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับลัทธิโยคีที่ตนนับถืออยู่ แต่ดีกว่าลัทธิพราหมณ์ตรงที่ไม่เน้นการสร้างปราสาทเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีการบูชายัญ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้นองค์มหาโยคีสรวงจึงขอออกบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยมีพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นองค์ประธานในการบวชและเมื่อมหาโยคีสรวงกลายมาเป็นหลวงปู่สรวงแล้วท่านก็ ชักชวนให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หันมานับถือพระพุทธศาสนา จนกระทั่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีพระราชศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง พระองค์ทรงนับถือในคติพระโพธิสัตว์ตามแนวมันตรยาน ที่นับถือองค์อวโลกิเตศวร พระองค์มีความเชื่อว่าพระองค์คือองค์อวตารของพระอวโลกิเตศวรเจ้า ทั้งนี้จึงเกิดแรงบันดาลใจให้พระองค์จำหลักหน้าพระองค์เองไว้ตามปรางค์ ปราสาทต่างๆ เรียกหน้าแบบ “บายน” จัดเป็นกลุ่มๆละ 9 กลุ่มละ 72 กลุ่มละ 81 ทุกกลุ่มเมื่อเอาเลขสองตัวบวกกันจะรวมแล้วได้ 9 ทุกครั้งไปการสร้างกาจำหลักพระพักตร์ของพระองค์ไปทุกๆทิศเป็นไปตามคติที่ว่า องค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงเป็นผู้มองสรรพสัตว์และเงี่ยหูฟังสรรพสัตว์ ทั้งหลายด้วยปรารถนาจะสงเคราะห์ช่วยเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง โดยเฉพาะทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั้นแล

หลวงปู่สรวงเมื่อบวชเข้ามาในบวรพระพุทธศาสนาแล้วก็เจริญกรรมฐานตามแนวทางของ พระพุทธองค์จนบรรลุธรรมสูงสุด เป็น “จตุปฏิสัมภิทาญาณ” แก่กล้าในอิทธิฤทธิ์ในเดชสูงสุด ดำเนินตนตามแนวทางพระโพธิสัตว์ คือ แม้บรรลุหลุดพ้นแล้วก็ยังไม่เข้านิพพานจะยังโปรดสรรพสัตว์ผู้ยากทั้งหลายดู และพระพุทธศาสนาต่อไปก่อน อีกนานเท่าไรไม่มีกำหนดแล้วแต่ความปรารถนาขององค์หลวงปู่สรวงท่านเอง

หลวงปู่สรวงมีชีวิตอยู่อย่างไร้กาลเวลาไม่มีกำหนดเวลาถึงความสิ้นสุด ท่านชำนาญในการเข้านิโรธ เข้าสมบัติ 8 ถอดจิตชำนาญใน มโนมยิทธิการแสดงฤทธิ์ทางใจ ชำนาญในกสิณอภิญญา ควบคุมบังคับธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างเด็ดขาด สามารถเนรมิตวัตถุสามารถเรียกของจากอีกที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่งได้ สามารถชนะแรงโน้มถ่วงของโลก ชนะกาลเวลา มีความเป็นอิสระจากพันธนาการทุกชนิด ชนะกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ทางโลกวัตถุทุกประการ นี่คืออภิญญาส่วนหนึ่งอันยกตัวอย่างมาน้อยนิดในองค์พระหลวงปู่สรวงมหามุนี ดาบสผู้ทรงอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์เหนือโลกเหนือวิลัยแห่งปถุชนคนธรรมดา

หากจะนับอายุของหลวงปู่สรวงตั้งแต่เกิดมาในสมัยพระเจ้าชัยวรมัน จนมาถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อายุท่านก็นับพันปีแล้ว และหากนับช่วงระยะเวลาจากยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จนถึงปัจจุบันก็ไม่ต่ำกว่า 1,200 ปี ลองคำนวณดูแล้วอายุของท่านก็ยาวนานนับพันปี เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่หลวงปู่โป๊ะ วัดบ้านบิง ถ่ายทอดเอาไว้
อาจารย์สมมรรค กั้วพิศมัย ฆราวาสอภิญญา ผู้เปิดเผยความลับประวัติอันพิสดารของหลวงปู่สรวง

“ อาจารย์สมมรรค กั้วพิสมัย ” นับเป็นฆราวาสอภิญญาที่มีความสามารถทางจิตอย่างน่ามหัศจรรย์ ท่านอาจารย์ สมมรรค กั้วพิสมัย มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ “ท่าน เจ้าคุณถาวร จิตฺตถวโร” แห่งวัดปทุมวนาราม ชีวิตเริ่มแรกของท่านนั้นอยู่กับพระอาจารย์บุญเคน ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าแท้ๆ ของท่าน พระอาจารย์บุญเคนเป็นพระสุปฏิปันโน มีพลังจิตที่น่าอัศจรรย์ ท่านอาจารย์สมมรรคเล่าว่า ตอนเช้าหลังจากพระอาจารย์บุญเคนฉันเสร็จแล้วจะรินน้ำผึ้งใส่บาตรแล้วพาท่าน อาจารย์สมมรรคไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง นำบาตรวางไว้พักเดียวจะเห็นวัตถุลึกลับบางอย่างเลื้อยลงมาจากผนังถ้ำ พระอาจารย์บุญเคนเล่าว่า“นี่แหละเหล็กไหลเขามาทานน้ำผึ้ง” ทุกครั้งจะมีเหล็กไหลเลื้อยตัวลงมาเสพน้ำผึ้งที่พระอาจารย์บุญเคนนำมาให้ทุก ครั้ง และพระอาจารย์บุญเคนท่านเองก็ไม่เคยคิดจะตัดเหล็กไหลแต่อย่างใด เพียงแต่นำน้ำผึ้งมาเลี้ยงเท่านั้น นี่คือส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ท่านอาจารย์สมมรรคมีต่ออาจารย์บุญเคนการ ภาวนาก็เช่นกันถือได้ว่าท่านอาจารย์สมมรรคเริ่มมาจากท่านพระอาจารย์บุญเคน เป็นผู้เริ่มสอนให้นิสัยแห่งการภาวนา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้พบอาจารย์สมมรรค กั้วพิสมัย

หลวงปู่โป๊ะท่านนี้รู้จักหลวงปู่สรวงดีมาก จำได้ว่าท่านพูดว่าหลวงปู่สรวงท่านมีเชื้อเจ้ามาจากทางเขมร แต่น่าเสียดายที่ท่านมรณภาพไปแล้ว ผู้เขียนฟังแล้วก็รู้สึกเสียดายเป็นกำลัง หลังจากนั้นไม่นานท่านผู้อ่านท่านนี้ก็ส่งพระเครื่องของหลวงปู่โป๊ะมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งต่อมาเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างยิ่ง ที่ผู้เขียนได้พบกับ “ท่าน อาจารย์สมมรรค กั้วพิสมัย” ที่วัดปทุมวนารามโดย “ท่านเจ้าคุณถาวร จิตตฺถาวโร” เป็นผู้แนะนำ และช่วงเวลานั้นเองที่ผู้เขียนรู้สึกว่าวัดปทุมวนารามน่าจะมีรูปเหมือนองค์ หลวงปู่สรวงไว้ให้ผู้คนกราบไหว้แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีอย่างไรขึ้นมาได้ แต่คนทำไม่เท่าฟ้ากำหนดเพราะใครจะรู้ได้ว่าท่านอาจารย์ สมมรรค กั้วพิสมัย ผู้เป็นหลานท่านเจ้าคุณถาวรนี้มีความผูกพันกับหลวงปู่สรวงอย่างลึกซึ้ง และกลายมาเป็นผู้แนะนำให้เจ้าคุณถาวรให้สร้างปูนเหมือนหลวงปู่สรวงขึ้น ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในสวนป่าพระราชศรัทธา

ท่านอาจารย์สมมรรคเป็นผู้ยืนยันว่าหลวงปู่สรวงเป็น “พระทองคำ” เป็น “พระ อรหันต์” แท้ๆ และที่สำคัญในการพบท่านอาจารย์สมมรรคครั้งนั้นทำให้ผู้เขียนรู้ว่าท่าน อาจารย์สมมรรคผู้นี้มีความผูกพันกับหลวงปู่โป๊ะอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์สมมรรคเปิดเผยว่าหลวงปู่โป๊ะเป็นพ่อบุญธรรมของท่าน ตัวท่านกับหลวงปู่โป๊ะจึงมีความผูกพันแน่นเฟ้น ในสมัยที่หลวงปู่โป๊ะท่านอาพาธ ตอนนั้นท่านอาจารย์สมมรรคเริ่มเชี่ยวชาญในสมาธิโดยเฉพาะเรื่องการรักษาโรค ท่านได้อธิฐานขอรับรักษาพระภิกษุที่อาพาธ และครั้งนั้นเองที่ท่านได้ทีโอกาสรักษาอาการอาพาธของหลวงปู่โป๊ะ อาการอาพาธของหลวงปู่โป๊ะครั้งนั้นหนักมาก จนหลวงปู่หมดสติไป ลมหายใจขาดหายไปแล้ว ท่านอาจารย์สมมรรคอธิฐานน้ำมนต์หยดลงในปากหลวงปู่โป๊ะ แล้วสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น หลวงปู่โป๊ะกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง!

จากการช่วยชีวิตของหลวงปู่โป๊ะในครั้งนี้ยิ่งทำให้อาจารย์สมมรรคและหลวงปู่ โป๊ะมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง หลวงปู่โป๊ะเมื่อตอนจะละสังขารครั้งสุดท้าย ได้ตั้งใจมอบวัดและทรัพย์สินทั้งหมดให้ท่านอาจารย์สมมรรคแต่ท่านอาจารย์สม มรรคไม่เอาไม่ต้องการสิ่งใดๆทั้งสิ้น สุดท้ายเมื่อท่านอาจารย์สมมรรคไม่เอาสิ่งใด หลวงปู่โป๊ะจึงถอนฟันกรามออกจากปากส่งให้ท่านอาจารย์สมมรรค

ท่านอาจารย์สมมรรคเล่าว่า “มันเป็นไปไดอย่างไรคนธรรมดาถอนฟันที่ไม่โยกไม่โคลง ถอนออกจากปากด้วยมือเปล่านี่แหละ ตอนถอนออกมาเลือดนี่กระเซ็นเต็มปาก” ตัวอาจารย์สมมรรคเห็นยังตกใจ ระคนสงสัยในการกระทำของหลวงปู่โป๊ะ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านทำ ท่านถามหลวงปู่โป๊ะว่า “หลวงปู่ให้ฟันผมทำไม” หลวงปู่โป๊ะพูดด้วยเมตตาว่า “เอ็งมันโง่ ให้ฟันจะได้ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวงได้ทำสิ่งใดก็จะได้สำเร็จไงละ” การเจอท่านอาจารย์สมมรรคซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของหลวงปู่โป๊ะอาจเป็นเรื่อง บังเอิญหรืออาจเป็นเรื่องที่หลวงปู่สรวงบันดาลให้ผู้เขียนมาเจอท่านอาจารย์ สมมรรคก็ได้ จึงทำให้เกิดความกระจ่างความเข้าใจในอรรถในธรรมยิ่งขึ้นรวมถึงเรื่องราวอัน เร้นลับของหลวงปู่สรวงด้วย ธุดงค์เจอไม่ธุดงค์ไม่เจอ ความผูกพันระหว่างหลวงปู่สรวงกับหลวงปู่โป๊ะ หรือพระครูปิยะ เขมคุณ วัดบ้านบิง จ. ศรีสะเกษ นั้นนับว่าแน่นแฟ้นมาก หลวงปู่โป๊ะเล่า ว่าเมื่อท่านบวชแล้วท่านก็เดินธุดงค์ฝึกจิตใจ ผจญกับเสือ กับช้าง กับภูตผีปีศาจความยากลำบากความไข้ความเจ็บความทุรกันดารแต่ไม่เคยย่อท้อ เพราะต้องการแสวงหาสัจธรรม ในระหว่างที่หลวงปู่โป๊ะธุดงค์นั้นท่านจะพบหลวงปู่สรวงบ่อยมาก ได้บำเพ็ญสมณธรรมร่วมกับหลวงปู่สรวงในแถบประเทศเขมรอยู่นาน ทั้งในเขาพนมกุเลน พนมตะแบง พนมดงรักไปเจอหลวงปู่สรวงหลายที่ หลายครั้ง พอมาพอท่านชราภาพลงท่านมาอยู่ฝั่งไทยพออยู่กับที่แล้วไม่ค่อยเจอหลวงปู่สรวง เหมือนตอนธุดงค์ แต่แปลกที่หลวงปู่จะมาเยี่ยมเสมอๆไม่ว่าตนอยู่ที่ไหนหลวงปู่สรวงท่านก็รู้ และตามมาเยี่ยมเสมอ ๆ

หลวงปู่สรวงท่านชอบอยู่ป่าไม่ชอบอยู่บ้าน อยู่วัด อยู่กับที่ หลวงปู่ท่านไม่ชอบท่านเป็นพระธุดงค์เป็นฤๅษี ท่านมีจริตอยู่ตามที่กันดารลำบาก ตามป่าเปลี่ยวกระท่อมร้าง นั้นแหละจริตหลวงปู่สรวงดังนั้นถ้าธุดงค์อยู่บำเพ็ญอยู่จะเจอหลวงปู่ประจำ แต่พออยู่กับที่แล้วสบายแล้วท่านไม่ค่อยมาเพราะไม่ใช่จริตท่าน อยู่ที่อยากเจอหลวงปู่สรวงก็ต้องหมั่นบำเพ็ญทางสมถะและวิปัสสนา ถ้าออกบวชเป็นพระธุดงค์ได้ยิ่งดี ลูกศิษย์หลวงปู่ต้องเป็นผู้ให้ไม่ติดในความสุขสบาย ถ้าใครดำเนินรอยธรรมตามนี้ได้ถือว่าเป็นลูกรักของหลวงปู่สรวง
เดินตามกูมามึงปลอดภัย ไม้คานหาบระเบิด

ในสมัยที่หลวงปู่โป๊ะกำลังเดินธุดงค์ตั้งใจปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์อยู่นั้น ท่านะไปทุกที่ๆอันตรายเพื่อทดสอบจิตใจ ยุคนั้นหลวงปู่โป๊ะเล่าให้อาจารย์สมมรรคฟังว่า หลวงปู่สรวงท่านจะคอยมาบอกว่าให้ไปที่ไหนบ้าง ท่านจะบอกจุดหมายและเส้นทางเวลาเดินก็แยกกันไป บางจุดที่ท่านสั่งให้ไปนั้นจะเต็มไปด้วยกับระเบิด เพราะยุคนั้นเขมรเกิดปัญหาสงครามกลางเมือง ฆ่ากันตายอย่างมโหฬาร คนตายนับล้านพื้นที่จำนวนมากในป่าเขาเต็มไปด้วยกับระเบิด ฝังระเบิดแบบถี่ยิบขนาดกบกระโดดยังไม่พ้นกับระเบิดเลย ในครั้งนั้นหลวงปู่สรวงท่านคุ้ยระเบิดเอาไม้คานมาหาม เดกินลัดเลาะไปเรื่อย หลวงปู่ท่านระเบิดที่ได้มาทั้งหมดไปกองไว้ที่ค่ายตำรวจตระเวนชายแดน พวก ตชด. วิ่งหนีกันหมด เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงๆ แต่หลวงปู่ท่านสามรถทำระเบิดสังหารให้ด้านไม่มีอันตรายใดๆ ตอนเดินธุดงค์ถ้าต้องฝ่ากับระเบิดตามชายแดนแล้วหลวงปู่สรวงท่านจะมาปรากฏตัวแล้วบอกว่า “มึงเดินตามกูมามึงปลอดภัย”
นับเป็นเรื่องหนึ่งที่หลวงปู่โป๊ะท่านประทับใจหลวงปู่สรวงมากและศรัทธาในความสามารถขององค์หลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 กันยายน 2558 08:58:49 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 42.0.2311.90 Chrome 42.0.2311.90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 24 เมษายน 2558 18:44:39 »



ชัดเจนสายสิญจน์ไม่ไหม้ไฟท่านสำเร็จกสิณและมีฌานแก่กล้าแน่นอน
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 45.0.2454.85 Chrome 45.0.2454.85


ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 05 กันยายน 2558 08:59:36 »



ต่อ ๆๆๆๆๆๆ  ตลก

ท่านอาจารย์สมมรรคถามหลวงปู่โป๊ะว่า “ผู้นี้คือใครคนหรือฆราวาส”

หลวงปู่โป๊ะเล่าว่า “ท่านเป็นพระ....ท่านคือหลวงปู่สรวงผู้วิเศษ”

หลวงปู่โป๊ะเจอหลวงปู่สรวงตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ มาบัดนี้อายุ ๗๔ ปีแล้ว แต่หลวงปู่สรวงก็ยังคงสภาพเหมือนเดิมไม่เห็นแก่จากที่เคยเห็นเลย หลังจากที่หลวงปู่โป๊ะต้อนรับปฏิสันถารหลวงปู่สรวงสักครู่หนึ่งแล้ว หลวงปู่สรวงก็เริ่มแสดงฤทธิ์ให้อาจารย์สมมรรคเห็นเป็นบุญตาทันที หลวงปู่สรวงมาพร้อมกับสะพายย่ามเก่าๆ ใบหนึ่งซึ่งมองแล้วไม่มีทางที่ภายในจะมีอะไรอยู่อย่างแน่นอน แต่เมื่อหลวงปู่สรวงเอามือล้วงไปในย่าม แล้วควักบางอย่างขึ้นมา ปรากฏว่าสิ่งที่ติดมือหลวงปู่สรวงขึ้นมากลับเป็นปลาดุกตัวเป็นๆ ดิ้นสะบัดน้ำไปมา มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อในสายตาของอาจารย์สมมรรค เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ หลวงปู่สรวงยื่นปลาดุกตัวเป็นๆ ที่กำลังดิ้นสะบัดจนน้ำกระจายให้กับหลวงปู่โป๊ะพร้อมกับพูดว่า “ให้มึงเอาไปต้มกิน” หลวงปู่โป๊ะรับปลาดุกจากหลวงปู่สรวงก็ยื่นให้อาจารย์สมมรรค เมื่ออาจารย์สมมรรครับไปแล้วท่านก็ไม่คิดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กลับนำเอาปลาดุกตัวนั้นไปปล่อยในอ่างน้ำใส สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาอาจารย์สมมรรค คือปลาดุกตัวกล่าวกลับละลายกลายเป็นน้ำ รวมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำในอ่างไป เป็น สิ่งที่มหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อกับปาฏิหาริย์ที่ปรากฏต่อสายตาของอาจารย์สม มรรคที่ต่อเนื่องกันถึงสองเรื่อง ตั้งแต่ล้วงปลาดุกออกจากย่ามและปลาดุกละลายกลายเป็นน้ำ การพบเจอปาฏิหาริย์จากองค์หลวงปู่สรวงในครั้งทำให้ท่านอาจารย์สมมรรคเกิดแรง บันดาลใจในการปฏิบัติกรรมฐานยิ่งขึ้นท่านอาจารย์สมมรรคกล่าวว่าปกติหลวงปู่ โป๊ะท่านก็เป็นพระมีฤทธิ์อยู่แล้ว เจอหลวงปู่สรวงยิ่งมีฤทธิ์อัศจรรย์ยิ่งกว่า พระเขมรที่ทรงอภิญญาและเป็นพระอริยะเจ้าแท้ๆ เป็นพระอรหันต์ ซึ่งมีความผูกพันเกี่ยวโยงนั้นจะมีหลวงปู่โป๊ะ ผู้ชำนาญในเรื่องกสิณน้ำ หลวงปู่ธรรมรังสี ผู้เชี่ยวชาญกสิณไฟ และหลวงปู่สรวงผู้เชี่ยวชาญในกสิณญาณและกรรมฐานทุกชนิด ดังนั้น หลวงปู่สรวงจึงนับเป็นสุดยอดแห่งพระอริยะเจ้าโดยแท้จริง

ท่านอาจารย์สมมรรคได้อุทิศตัวในการปฏิบัติโดยเฉพาะเรื่อง “กสิณ ญาณ” ท่านเปิดเผยว่าเริ่มฝึกจากกสิณลมทำอยู่ ๑๕ ปี กสิณดิน ทำอยู่ ๕ ปี แล้วฝึกกสิณน้ำ ๑๒ ปี กสิณดิน ฝึกกสิณไฟ ๗ ปี จนเกือบตาบอด กสิณแต่ละชนิดนั้นท่านว่ากสิณลมนั้นยากที่สุด และการฝึกนั้น ท่านเริ่มจากการฝึกที่ยากที่สุดไปหาง่ายที่สุด กว่าจะสำเร็จได้ทานต้องงดเจอผู้คน เก็บตัวเงียบไม่พูดคุยกับใครเป็นเวลานาน จนสำเร็จแล้วนั่นแหละจึงค่อยออกมาเจอผู้คน หลวงปู่สรวงจึงนับเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์สมมรรค จนเกิดความสำเร็จในธรรมอันเยี่ยมยอดในเวลาต่อมา
ย้อนความหลังอิทธิฤทธิ์หลวงปู่สรวง-หลวงปู่โป๊ะ

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่อาจารย์สมมรรคอยู่กับหลวงปู่โป๊ะและหลวงปู่สรวงที่ วัดบ้านบิง จ.ศรีสะเกษในครั้งนั้นมีเรื่องเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้นในวัดใกล้ๆ กัน คือมีชายหนุ่มคนหนึ่งอกหักจากแฟนทะเลาะกับแฟนสาวจนเกิดความคลุ้มคลั่ง หนุ่มผู้นี้ได้เอาระเบิดมาผูกไว้กับตัวแล้วเข้ามาในวัดใกล้ๆ ขู่ใครต่อใครว่าจะใช้ระเบิดฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่พยายามเกลี่ยกล่อมสุดความสามารถ ชายผู้นี้ก็ไม่ยอม ทางเจ้าหน้าที่จึงหมดหนทาง ที่สุดจึงนิมนต์หลวงปู่โป๊ะไปเทศนาโปรด ไปช่วงเกลี่ยกล่อมเนื่องจากหลวงปู่โป๊ะเป็นพระที่ชาวบ้านรู้จักนับถือกันมาก ที่สุดในย่านดังกล่าว ในขณะนั้นทั้งหลวงปู่สรวงและอาจารย์สมมรรคก็อยู่ด้วยหลวงปู่โป๊ะจึงเชิญทั้ง หมดไปด้วยกัน

พอไปถึงที่เกิดเหตุชายหนุ่มคลุ้มคลั่งคนดังกล่าวกำลังกำระเบิดไว้ในมือ เหตุการณ์ ตอนนั้นตึงเครียดมาก เจ้าหน้าที่กันคนที่มุงดูออกห่างจากบริเวณเนื่องจากกลัวเหตุระเบิด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจะพลอยทำให้ผู้มุ่งดูบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อนุญาตแต่เพียงหลวงปู่โป๊ะ หลวงปู่สรวงและท่านอาจารย์สมมรรคเข้าไปสถานที่เกิดเหตุเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ เกลี่ยกล่อมชายผู้คลุ้มคลั่ง หลวงปู่โป๊ะพยายามเทศนาโปรดแต่ชายหนุ่มผู้นั้นแต่ดูเหมือนทุกอย่างไม่เป็นผล เพราะความไม่มีสติของชายผู้นั้นจึงไม่รับฟังสิ่งใดๆที่หลวงปู่โป๊ะเทศนาสอน ที่สุดชายหนุ่มคนดังกล่าวถอดสลักระเบิดหมายจะตายสมดังคิด ในวินาทีนั้นใครต่อใครคิดว่าคงเกิดการ “ตายหมู่” แน่แล้ว ทั้งหลวงปู่โป๊ะ หลวงปู่สรวงและอาจารย์สมมรรค คงไม่มีใครรอดออกไปแน่นอน แต่เหตุการณไม่เป็นตามนั้น! ระเบิดที่ถูกถอดสลักลูกดังกล่าวกลับด้าน ไม่ระเบิดตามที่คาด สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งความระทึกขวัญแก่ผู้คนทั้งหลายทั้งกลัวทั้งแปลกใจระคนกันไป เมื่อระเบิดเจ้าโอกาสเหมาะของกลุ่มเจ้าหน้าที่ต้องรีบเข้าล็อคตัวชายหนุ่ม ผู้คลุ้มคลั่งอย่างทันทีทันควันในทันที ทำให้ยุติเหงตุร้ายระงับเหตุวุ่นวายได้ในที่สุด หลังจากจบเหตุการณ์ครั้งนี้องค์หลวงปู่สรวงชมหลวงปู่โป๊ะและท่านอาจารย์สม มรรคว่าเก่ง ว่าขลัง ฝ่ายหลวงปู่โป๊ะและท่านอาจารย์สมมรรคก็กราบขอบพระคุณในเมตตาบารมีขององค์ หลวงปู่สรวง ที่แผ่เมตตาทำให้ระเบิดไม่ทำงาน หลวงปู่โป๊ะชมหลวงปู่สรวงท่านว่าขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง หลวงปู่สรวงอยู่ที่ไหนรับรองปลอดภัยจากระเบิดจากปืนชะงัดยิ่งนัก

สรุป แล้วจากเหตุการณ์ระทึกขวัญดังกล่าวท่านทั้งสามจึงได้ชมซึ่งกันและกัน ทั้งถ่อมตัวกันไปมา สรุปได้ว่าทั้งสามท่านคือหลวงปู่สรวง หลวงปู่โป๊ะและท่านอาจารย์สมมรรค ต่างมีอภิญญาบารมีอันสามารถระงับดับระเบิดไม่ให้ทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าทั้งสามท่านไม่ดีจริงก็คงล้มหายตายจากกันไปหมด แต่นี่ดีจริงๆจึงพากันปลอดภัยทั้งคณะรวมทั้งเจ้าหน้าที่และผู้คนที่มุงดูพา กันปลอดภัยตามๆกันไปด้วย

เหตุการณ์ที่เล่ามานี้ยังเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในความจำจดของชาวบ้าน หลายท่านซึ่งเป็นพยานในความขลังความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงปู่สรวง หลวงปู่โป๊ะและท่านอาจารย์สมมรรคเป็นอย่างดี ท่านอาจารย์สมมรรคกล่าวว่า ท่านหลวงปู่โป๊ะเองท่านก็เป็นพระมีฤทธิ์ เรื่องระเบิด เรื่องปืน ท่านก็ขลัง วัตถุมงคลของท่านกันอาวุธเหล่านี้ได้อย่างชะงัดนัก หลวงปู่สรวงเองก็เช่นกันเป็นพระที่มีฤทธิ์สูงส่ง ไปไหนมาไหนตามชายแดนไม่เกรงต่อกับดักระเบิด เรื่องระเบิดเรื่องปืนและอาวุธทั้งหลายหมดประสิทธิภาพทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้า ท่าน

ความขลังความศักดิ์สิทธิ์จากองค์หลวงปู่สรวงก็ดี หลวงปู่โป๊ะก็ดี และท่านอาจารย์สมมรรค ล้วนมีที่มาจากพลังจิตอันพิสดารทั้งสิ้น

กล่าว ย้อนหลังไปถึงครั้งที่หลวงปู่สรวงมาหาหลวงปู่โป๊ะครั้งแรกๆเรื่องนี้ท่าน อาจารย์สมมรรคเป็นผู้เล่าให้ฟังว่า ท่านเล่าว่าหลวงปู่โป๊ะเจอหลวงปู่สรวงมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่เคยได้เรียนวิชา อะไรกับท่าน เรียกว่ายังไม่สนิทสนมกัน จนเมื่อหลวงปู่โป๊ะออกบวช ปฏิบัติกรรมฐานร่ำเรียนวิชา จนแก่กล้ามีฤทธิ์ทางใจแล้วหลวงปู่สรวงได้ย้อนกลับมาหาหลวงปู่โป๊ะอีกครั้ง มาคราวนี้หลวงปู่สรวงแสดงฤทธิ์ให้หลวงปู่โป๊ะเห็นเป็นอัศจรรย์ ฤทธิ์ที่หลวงปู่สรวงแสดงให้หลวงปู่โป๊ะเห็นนั้นคือ หลวงปู่สรวงท่านเดิมมาหาพร้อมกับแบกกับดักระเบิดสะพายบ่ามาเป็นพวง แล้วนำไปกองหน้าหลวงปู่โป๊ะๆเองเห็นกับดักระเบิดมาเป็นพวงขนาดนั้นก็ตกใจ ถามหลวงปู่สรวงว่าเอามาทำไม หลวงปู่สรวงบอกมาให้ท่านนั่นแหละ

ถึง ตรงนี้ท่านอาจารย์สมมรรคกล่าวที่หลวงปู่สรวงนำเอากับดักระเบิดมาเป็นพวงมา ให้หลวงปู่โป๊ะนั้นเป็นเพราะหลวงปู่โป๊ะเป็นพระที่มีฤทธิ์อยู่แล้วดังนั้น หลวงปู่สรวงคงมาละทิฐิมานะของหลวงปู่โป๊ะด้วยการแสดงฤทธิ์ของท่านให้เห็น เป็นที่ประจักษ์เสียก่อนจึงคุยกันรู้เรื่อง ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่โป๊ะก็เชื่อมั่นหลวงปู่สรวงเต็มใจไม่มีความเคลือบแคลง สงสัยอันใดอีกเลย
คำบอกเล่าจาก พระอาจารย์บุญช่วย

พระอาจารย์บุญช่วย นั้นเป็นคนพื้นเพลพบุรี แต่เดิมประกอบธุรกิจส่วนตัว และด้วยความที่ชอบทางวิชาคาถาอาคมจึงเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เรื่อยมา จนกระทั่งรับศีลถือพรตเป็นผ้าขาว ไปกราบนมัสการครูบาอาจารย์ดังนี้

หลวงปู่เจียม วัดอินทราสุการาม ซึ่งท่านให้ผ้าขาวบุญช่วยไปเรียนวิชากับหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ เข้ากราบหลวงปู่ฤทธิ์ และมาอยู่กับหลวงปู่หงษ์ ตามคำแนะนำของหลวงปู่เจียม หลวงปู่หงษ์ แนะนำวิชาทางสมุนไพร แต่ผ้าขาวบุญช่วยกล่าวว่าสมุนไพรหายากขอเป็นทางพระคาถาอาคม หลวงปู่หงษ์ก็เมตตาประสิทธิให้ ตอนที่อยู่กับหลวงปู่หงษ์นั้นท่านทำหน้าที่ช่วยคนเจ็บคนป่วยหลายอย่างจนเป็นที่ไว้วางใจหลวงปู่หงษ์อย่างมาก ต่อมาจิตใฝ่ทางเนกขัมมะมากขึ้นจึงออกบวชหลังจากบวชได้ไม่เท่าไหร่มีปะขาวลึกลับท่านหนึ่งชื่อ จันตึ๊บเป็นชาวเขมรมาหาและบอกให้ไปเรียนวิชาที่เมืองเขมร

หลวงพ่อบุญช่วยไม่เคยรู้จักปะขาวจันตึ๊บมาก่อนยังความแปลกใจและคิดจะหาความจริงดู ที่สุดท่านจึงตัดสินใจธุดงค์สู่เมืองเขมร ตามหาอาจารย์จันตึ๊บ เมื่อเข้าสู่เมืองเขมรแล้วเป็นที่อัศจรรย์ว่าท่านระลึกได้ว่าท่านเคยเกิดในบ้านนี้เมืองนี้มาก่อน ท่านมีโอกาสเข้าไปในพระราชวังเก่าแก่ของเจ้านโรดมสุหนุ ปัจจุบันลูกชายคนโตดูแลรักษาอยู่ ในเวียงของเจ้านโรดมนี้ท่านพบสิ่งสำคัญคือ ร่างของดาบสผู้หนึ่ง เรียกว่าลูกตาเบ๊าะ นอนนิ่งอยู่ ลูกชายของเจ้านโรดมกล่าวว่านี่คือร่างหนึ่งของหลวงปู่สรวง

จากการเปิดเผยของลูกชายเจ้านโรดมสีหนุ เล่าว่าหลวงปู่สรวงท่านเป็นเชื้อเจ้ามีความเป็นมาลึกลับพิสดาร ท่านเป็นคนสร้างเทวา ลัยเขาพนมกุเลน เมื่อขึ้นไปจะพบหลักฐานคือ หินมหึมาสลักเป็นสัตว์ต่างๆสี่ตัวคือ วัว ช้าง กิเลน และราชสีห์

การสร้างนี้เล่ากันว่าหลวงปู่สรวงพร้อมทั้งพี่น้องรวมกันสี่คน เรียกว่าสี่พระหน่อไปฝึกวิชากันบนเขาพนมกุเลน ทั้งสี่คนที่ร่ำเรียนวิชาด้วยกันมีหลวงปู่สรวง หลวงปู่รชรัตน์ หลวงปู่พระองค์พรึม และหลวงปู่จันตึ๊บ ทั้งสี่ร่ำเรียนวิชาเป็นตัวแทนของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ใครสำเร็จก่อนก็ลงจากเขาได้ก่อน ปรากฏว่าหลวงปู่สรวงสำเร็จก่อนใครลงจากเขาคนแรก จากนั้นหลวงปู่สรวงไปสร้างพระใหญ่ห่างจากเขาพนมกุเลนไม่ไกล แล้วละสังขาร ทางสำนักพระราชวังรู้จึงอัญเชิญสังขารมาบรรจุโลงแก้ว สังขารนั้นก็หาเน่าเปื่อยเหมือนปุถุชนแต่ค่อยๆแห้งลงไม่เน่าเปื่อยแต่อย่างใด จากนั้นมาท่านประกอบร่างที่สองขึ้นบนเขาภูตะแบง ท่านมีน้องชายน้องสาวด้วยทั้งหมดเป็นผู้มีอภิญญา ในขณะที่อีกสามพระหน่อก็ทยอยกันสำเร็จวิชาเช่นกัน ทุกท่านได้วิชาตายคืน คือตายก็ได้อยู่ก็ได้เปลี่ยนร่างไปมาได้

อาจารย์จันตึ๊บที่มาพบหลวงพ่อบุญช่วยก็คือ หนึ่งในสี่พระหน่อสี่พี่น้องที่ร่ำเรียนด้วยกันมากับหลวงปู่สรวง นอกจากอาจารย์จันตึ๊บแล้วหลวงพ่อบุญช่วยได้พบกับพระองค์พรึมในร่างพระด้วย อาจารย์จันตึ๊บและพระองค์พรึมเตือนหลวงพ่อบุญช่วยถึงเหตุการณ์ในบ้านเมืองไทย คนจะฆ่าผลาญกันเอง จะเกิดสึนามิ แผ่นดินจะไหวจะถล่ม ภูเขาไฟก็จะระเบิด ท่านเตือนมานานนับสิบปีถัดจากนั้น สึนามิมาก่อนแล้วเหตุการณ์คนสีแดงก็เกิดตามมา ล่าสุดปีที่แล้วพระองค์พรึมเรียกหลวงพ่อบุญช่วยไปหาเตือนว่า ต่อไปนี้ปี 2554-2555 จะเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ บ้านเมืองก็วุ่นวาย ที่สำคัญคือเตือนว่า จะมีแผ่นดินไหวใหญ่จากจีนแล้วจะส่งผลลงมายังเมืองกาญจนบุรีอันนี้อันที่หนึ่ง อันที่สองจะเกิดพายุใหญ่จากเวียดนามแล้วส่งผลถึงเมืองไทย ท่านเรียกไปบอกแล้วก็สอนคาถาเอาคาถานั้นมาเป็นคำภาวนา ท่านสั่งให้พระอาจารย์บุญช่วยนั่งก็ให้ภาวนา นอนก็ให้ภาวนา ภาวนาแล้วแผ่เมตตาจะลดภัยพิบัติทั้งหลายได้ หลวงพ่อบุญช่วยเมตตาบอกคาถาภาวนากันภัยพิบัติเป็นอักขระคาถาสายวิชาหลวงปู่สรวงมีแค่สามพยางค์คือ “อะกรึงกะ” ท่องคำนี้เสมอๆ ก่อนเกิดเหตุก็รู้ล่วงหน้าได้ กันภัยที่จะมาถึงตัวได้ วิธีท่องตั้งนะโมสามครั้งแล้วตั้งจิตอัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงปู่สรวงและสี่พระหน่อเทพพรหมพ่อแม่ครูอาจารย์ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ จากนั้นภาวนาคาถานี้ไปเรื่อยๆ รักษาไว้เป็นอารมณ์ทางใจ จะภาวนาพุทโธสลับ สัมมาอะระหัง สลับแล้วก็ภาวนาคาถานี้ไปด้วยก็ได้เอาให้เป็นกรรมฐานให้ใจสบายต่อไปภัยพิบัติจะมาให้รักษาความดีกันเข้าไว้
หลวงปู่สรวงเป็นพระอริยะโพธิ์สัตว์ ที่มากด้วยเมตตา

หลวงพ่อบุญช่วย ท่านเมตตาเล่าถึงเรื่องหลวงปู่สรวงที่น่าพิสดารมากมาย หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจคือการเปิดเผยเรื่องวิชาตายคืน วิชาตายคืนนี้เป็นวิชาลี้ลับพิสดารตามแนวทางของมันตระยาน ซึ่งลัทธินี้เคยรุ่งเรืองในสมัยขอมโบราณยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มันตระยานเป็นการผสมผสานระหว่างพุทธกับพราหมณ์ ดังนั้นจึงมีวิชาเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ เล่นฤทธิ์เดชเวทมนต์�
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
หลวงพ่อลมัย พูดถึงภัยพิบัติตามคำบอกเล่าจาก หลวงปู่สรวง
คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
-NWO- 0 4090 กระทู้ล่าสุด 14 พฤษภาคม 2555 12:43:58
โดย -NWO-
หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ ท่องนรกและเมืองสวรรค์
เสียงธรรมเทศนา
เฮียสี่บะหมี่เน่า 0 2280 กระทู้ล่าสุด 14 มิถุนายน 2559 17:04:13
โดย เฮียสี่บะหมี่เน่า
หลวงปู่สรวง ไปมาอย่างลึกลับ มอบข้าวทิพย์ให้เณรได้ฉัน กลิ่นหอมประหลาด อิ่มทนนาน
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
มดเอ๊ก 0 1766 กระทู้ล่าสุด 04 ตุลาคม 2559 12:24:05
โดย มดเอ๊ก
หลวงปู่สรวง วรสุทโธ วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ต.ช่องสาริกา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
ใบบุญ 0 898 กระทู้ล่าสุด 21 พฤศจิกายน 2561 15:10:09
โดย ใบบุญ
[ข่าวเด่น] - เลขเด็ดพิธีบวงสรวงแบบพิมพ์รูปหล่อ หลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน โค้งสุดท้ายงวด 16 ต.ค.6
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 120 กระทู้ล่าสุด 16 ตุลาคม 2566 01:06:51
โดย สุขใจ ข่าวสด
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.672 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 12 เมษายน 2567 16:57:16