[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 18:08:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะบนแคร่ไม้  (อ่าน 1764 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 06 มกราคม 2554 13:41:31 »


     

        ธรรมะบนแคร่ไม้
        พระมนตรี อาภัสสะโร
        ๕ มกราคม ๒๕๓๓

หวลรำลึกนึกถึงพระผู้ทรงคุณแห่งโลก พระปฐมบรมครูของพวกเรา พระองค์ทรงสละความสุขสะดวกสบาย
จากเวียงวังอันโอฬาร มุ่งสู่ป่าเปลี่ยวเพื่อแสวงหาโมกขธรรม แล้วความสำเร็จก็ได้บรรลุแก่พระองค์
โดยอาศัยความสงบสงัดแห่งธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร เป็นเครื่องประกอบ

จึงใครอยากจะเตือนทุกท่าน ที่มุ่งเข้ามาเพื่อแสวงหาหนทางอันสูงสุดดังกล่าว จงดูพระองค์เป็นเยี่ยง
อย่าง ความสุขสะดวกสบายนี้ พวกเราจึงมิอาจจะก้าวเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้สักที ชาติแล้วชาติเล่า
ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้...

แล้วก็คงจะเป็นไปในลักษณะนี้อีกนานแสนนาน ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ หากพวกเรายังไม่ยอมสลัดความเคย
ชิน ติดอยู่กับความสุขสะดวกสบายรอบข้าง ไม่พยายามที่จะปรับกระแสจิตให้ไหลทวนกระแสกิเลส
ที่มันแอบแฝงซ่อนเร้นมาในรูปของความอยากทั้งหลาย หากว่าต้องการจะพ้นทุกข์ต้องตัดความสุข
สะดวกสบายลงให้มาก ฝากญาติโยมหมั่นท่องให้ขึ้นใจไว้ด้วย


หัดสร้างกำลังใจ และให้กำลังใจด้วยตัวเอง ดีกว่าที่จะไปคอยขอรับกำลังใจ หรือคำพร
จากผู้อื่น คนที่รู้จักเตือนตัวเอง สอนตัวเอง และให้กำลังใจตัวเองนั้น ย่อมจะต้องได้รับผลสำเร็จ
ในสิ่งที่ตนตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างแน่นอน พระผู้มีพระภาคยังทรงตรัสไว้เลยว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง"
จงเตือนตนเองด้วยตนเองนั่นแหละประเสริฐที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาธรรมสายที่เรากำลังเดินกันอยู่นี้จะต้องหันเข้ามามองข้างใน คือตรวจตัวเอง
เตือนตัวเอง และให้กำลังใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาอย่าประมาท อย่าชะล่าใจ อย่าเหนื่อยหน่ายเป็นอันขาด
แล้วความเจริญงอกงามไพบูลย์ในอรรถในธรรม ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เป็นลำดับๆ


ดังเช่น เรามีความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย จะต้องพลัดพรากจากของรักด้วยกันทุกคน หรือที่ว่า
สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งๆนั้นจะต้องล่วงไหลสู่ความแตกดับเป็นธรรมดา ฯลฯ สัจจะธรรมเหล่านี้
จะต้องเป็นอมตะธรรมคู่โลกตลอดไป ใครก็ลบล้างไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเสมือนหนึ่ง..เปิด
ของที่ปิด..หงายของที่คว่ำ...ดับของที่ร้อน... ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ พระธรรมคำสอนของพระองค์จึงสว่าง
ไสว เจิดจรัส ดุจดวงประกายพฤกษ์ซึ่งมีรัศมีกระจ่างหล้า เหนือกว่าหมู่ดาราทั้งปวงในสากลจักรวาล

เป็นบุญบารมีอย่างยิ่งของพวกเราแล้ว ที่มีวาสนาได้มาเกิดทันศาสนาขององค์ประทีปแก้ว และได้เข้ามา
ประพฤติปฏิบัติธรรมกัน จงอย่ามัวรอช้าเสียเวลาอยู่กับของหลอกลวงอันเป็นสมมติอยู่เลย อาตมา
เคยพูดเคยเตือนอยู่บ่อยๆว่า พวกเราทุกคนมีเวลาอันน้อยนิดในโลกนี้ จึงไม่ควรปล่อยเวลาอันมี
ค่าดังกล่าวให้สูญสิ้นไป โดยที่พวกเรานำสิ่งที่มีค่า และเป็นประโยชน์สาระแก่ชีวิตติดตัวได้เพียง
น้อยนิด จะเป็นที่เสียใจอย่างยิ่ง หากว่ามรณะภัยมาถึงในขณะที่เราทำประโยชน์ทั้งสามกาล อันได้แก่
ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในสัมปรายภพ และประโยชน์อันสูงสุดได้เพียงน้อยนิด
ไม่สมค่าที่ได้เกิดมา พบพระพุทธศาสนา

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 2.0.0.20 Firefox 2.0.0.20


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 06 มกราคม 2554 13:45:07 »


         

ค้างคาวลูกหนู ๒-๓ ตัว บินฉวัดเฉวียนอยู่ไปมา รอบข้างมีแต่ความสงบ เงียบวังเวง ทำให้เห็นกิริยา
ของจิตที่มาในรูปความคิด ออกไปปั้นเรื่องปั้นราวขึ้นมาหลอกหลอนอย่างถนัด จิตแต่งเป็นเรื่อง
ผีๆสางๆขึ้นมาหลอกหลอนเข้าของจิต นึกถึงคำพูดของหลวงปู่ดูลย์ที่ว่า "คนเราทุกข์ เพราะ
ความคิดของตัวเอง" เพราะไม่รู้เท่าทันมายาของจิต ไปหลงตามแล้วก็ช่วยมันปรุง ทุกข์
จึงเกิดขึ้น เพียงแต่เราดูมันอยู่เฉยๆ มันคิดอะไรขึ้นมา เราอย่าไปห้าม แล้วเราก็อย่าไปตาม
เฝ้าแต่มองดูเฉยๆ อย่าเพ่ง อย่าจ้อง ดูเบาๆ นุ่มๆ ความปรุงแต่งทั้งหลายก็ถอยหมดไป

เมื่อความปรุงแต่หมดไป จิตก็ถึงความว่าง มีรู้อยู่เฉยๆ เพราะตามธรรมดา แก่นที่แท้ของจิต
จริงๆนั้น มันไม่มีความนึกคิดปรุ่งแต่ง ดีชั่ว บาปบุญอะไรทั้งนั้น มีลักษณะเพียง "รู้อยู่" เฉยๆ รู้ชนิด
ไม่ปรุงแต่ง ไม่สร้างเรื่องสร้างราว เพียงรู้กระจ่างแจ่มใสอยู่เท่านั้น หลวงปู่ดูลย์ท่านจึงเรียก
ว่า "จิตหยุดเคลื่อนไหว" .....ภาวะดังกล่าวไม่ใช่ของง่าย ขอจงค่อยๆปฏิบัติไป อย่ากำหนด
อย่ามุ่งหวังผลจนเลอเลิศ เพียรพยายามปฏิบัติไปอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอแล้วผลก็จะเกิดขึ้น
ขออย่าได้เบื่อหน่าย ท้อแท้ เป็นอันขาด.

จงคิดไว้เสมอว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ โชคดีที่สุดแล้ว หน้าที่ของเรา คือ เร่งรีบหาความดีใส่ตัวให้มาก
วันคืนล่วงเลยผ่านไปเร็ว พร้อมกับความทรุดโทรมมอดไหม้แห่งวัยและสังขาร ช่วงเวลาอันแสน
สั้นที่เหลืออยู่นี้ จงรีบขวนขวายหาความดีใส่จิตใสใจให้มาก "ดี" ที่เป็นยอดของความดีทั้งหมด ก็คือ
ทำใจให้สะอาดจากไฟสามกอง เป็นอิสระจากอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง นี่เป็น
สิ่งที่เราควรเร่งรีบลงมือกระทำก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป


การที่จะนำตัวเองให้ถึงแดนเกษม คือ ที่สุดแห่งทุกข์นั้นก็มิใช่จะเป็นของง่ายนัก เราจะ
ต้องประกอบไปด้วยวิริยะ อุตสาหะ ความอดทน และความตั้งใจอย่างแน่วแน่ พรั่งพร้อมสม
บูรณ์ไปด้วย สติ ปัญญา อิทธิบาทสี่อย่าครบครัน จิตจะต้องมั่นคง ไม่โลเลเหลวไหล หากพรั่ง
พร้อมครบครันด้วยสิ่งเหล่านี้แล้ว เป็นอันหวังได้เลยว่า จะต้องเข้าถึงแดนดินถิ่นนิพพานใน
ชาตินี้ได้แน่ๆ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปรียบเทียบ และทรงประทานโอวาท สำหรับผู้ที่มีเจตน์จำนง มุ่งสู่แดน
นิพพาน พระองค์ทรงกล่าวว่า "อันธรรมดาแม่น้ำคงคานั้น จะมีที่สุดไหลลงสู่ห้วงมหาสมุทร"
ทรงชี้ให้ดูขอนไม้ที่ลอยอยู่ในลำน้ำคงคา และทรงกล่าวว่า "ขอนไม้ท่อนนั้นก็จะต้องลอยลง
สู่มหาสมุทรด้วยเช่นกัน หากว่าขอนไม้ท่อนนั้นจะไม่เข้าใกล้ฝั่งโน้นหรือฝั่งนี้ จะไม่จมลงเสียก่อน
ระหว่างทาง จะไม่เกยบก จะไม่ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์จับไว้ จะไม่ถูกวังน้ำวนพัดวนเอาไว้ จะไม่
เน่าข้างในเสียก่อน"

คำว่า "ฝั่งโน้น" หมายถึง อายตนะภายนอกทั้งหก "ฝั่งนี้" หมายถึงอายตนะภายใน ผู้ปฏิบัติธรรม
จะต้องมีความระมัดระวังสำรวมให้ดี คำว่า "จมลงกลางทาง" หมายถึงว่ามีความกำหนัดยินดี
ในกามราคะ คำว่า "เกยบก" หมายถึงอัสมิมานะ คือทนงตัวถือดีว่าตัวเก่ง แล้วมีทิฏฐิไม่ยอมลง
ให้ใคร ข้อที่ว่า "ถูกมนุษย์จับไว้" หมายถึงนักบวชผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อเข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรม
แล้ว แทนที่จะตั้งใจบำเพ็ญเพียร กลับไปเที่ยวมั่วสุมคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ชอบพูด
คุยแต่ในเรื่องที่ไม่ใช่อรรถไม่ใช่ธรรม ฯลฯ

ในข้อที่ว่า "ถูกอมนุษย์จับไว้" นั้น หมายถึงผู้บำเพ็ญ
เพียร แทนที่จะมุ่งปฏิบัติให้ตรงเข้าสู่แดนพ้นทุกข์ กลับไปติดไปเพลินอยู่กับฌานสมาบัติ ติดเรื่อง
ฤทธิ์เรื่องเดช ไปติดและพอใจอยู่ในความสุขแค่สวรรค์ คำว่า "วังน้ำวน" หมายถึงกามคุณห้า
คำว่า "เน่าภายใน" หมายถึงนักบวชผู้ที่ทุศีล บวชเข้ามาแล้ว แทนที่จะรักษาธรมวินัย กลับทำตัว
ตรงกันข้าม ทำท่าเคร่งครัดต่อหน้าญาติโยม มีข้อวัตรปฏิบัติไม่ถูกธรรมถูกวินัย เช่นบอกใบ้ให้หวย
ดูหมอ ทำเสน่ห์ยาแฝด ขับรถ อันไม่ใช่กิจของสงฆ์


เมื่อได้พิจารณาดูพุทธโอวาทดังกล่าวนี้แล้ว จะเห็นว่า พระผู้มีพระภาคของพวกเรานั้น ทางมีพระ
ปรีชาญาณอย่างเยี่ยมยอด ทรงมีอุปมาอุปมัยทำให้เข้าใจได้ง่าย สามารถโน้มนำเอาธรรมชาติที่
เกิดขึ้นรองๆข้าง มาเป็นธรรมะอบรมสั่งสอนทำให้เห็นจริงเห็นจัง เกิดความดื่มด่ำประทับใจเป็น
อย่างยิ่ง ก็อย่างที่อาตมาเคยพูดไว้เสมอว่า "ธรรมะ" คือ "ธรรมชาติ" "ธรรมชาติ" คือ "ธรรมะ"
จำได้ไหม? ใครสามารถสร้างจิตของตัวเองให้นุ่มนวล ผสมผสานกลมกลืนกับธรรมชาติรอบข้าง
จนสามารถหล่อหลอมเป็นเนื้อหาเดียวกับธรรมชาติ ผู้นั้นจะเข้าใจธรรมะ และเข้าถึงธรรมได้อย่างดี

ต้นไม้ ใบหญ้า ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หากว่าเรามีปัญญา
ก็อาจนำสิ่งเหล่านี้ มาเป็นอรรถเป็นธรรม อบรมสั่งสอนจิตใจของเราได้เป็นอย่างดี ใจเราก็จะฉลาด
รอบรู้ แหลมคมขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง อันเป็นธรรมชาติรอบตัวได้เป็น
อย่างดี ความสงบร่มเย็นก็จะบังเกิดขึ้นกับใจเราเป็นทวีคูณ เพราะใจถูกหล่อหลอมเป็นเนื้อหาเดียว
กับธรรมชาติเป็นอย่างดี แล้วธรรมะทั้งหลายก็จะบังเกิดขึ้น เป็นปัญญาให้เราได้พิจารณาตลอด
เวลา เราก็จะเดินอยู่ในบรรดาธรรมสายนี้ด้วยความสงบร่มเย็นก้าวหน้าตลอดไป ฝากญาติโยมที่คิด
จะเข้าวัดอย่างจริงจัง ลองพิจารณาดูด้วย


http://www.luangpee.net/forum/?topic=1189.0
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
คำค้น: ออกจาก สังสารวัฏ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.353 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มีนาคม 2567 10:11:40