[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 09:05:01 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “คงคา-พาราณสี” 4,000 ปี...ไม่มีเปลี่ยน  (อ่าน 1790 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1006


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 43.0.2357.81 Chrome 43.0.2357.81


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 09 มิถุนายน 2558 12:50:38 »

.

“คงคา-พาราณสี” 4,000 ปี...ไม่มีเปลี่ยน
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 เม.ย. 2558


แม่น้ำคงคาฝั่งสวรรค์.

นอกจากสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่งแล้ว อีกสถานที่หนึ่งที่สมัยก่อนไม่ค่อยมีคนเข้าไปมากนัก คือ เขาดงคสิริ สถานที่ที่เจ้าชายสิทธัตถะ บำเพ็ญทุกรกิริยาก่อนที่จะตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ นานถึง 6 ปี
 
คณะของเราไปถึงดงคสิริในช่วงเย็น บรรดาแม่ชีน้อยต่างก้าวเท้าเดินขึ้นเขาอย่างขะมักเขม้น ทางขึ้นเขาดงคสิริเป็นทางลาดชัน ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ระหว่างทางจะมีเด็กขอทาน และคนหามเสลี่ยงวิ่งตามตื๊อ โดยเฉพาะขอทานนั้นมีตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขา
 
ด้านบนของภูเขาลูกนี้เป็นถ้ำหินแข็งเล็กๆ ที่ซึ่งเจ้าชายสิทธัตถะเคยได้บำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างหนักหนาสาหัส จนพระวรกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พวกเราได้มีโอกาสสวดมนต์ภาวนาบริเวณหน้าถ้ำและส่วนหนึ่งก็ทยอยกันเข้าไปกราบพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา เพื่อรำลึกถึงพระพุทธองค์อีกครั้ง



วัดพุทธทิเบตที่ดงคสิริ.

ภายในถ้ำมืดและเล็กมาก ถ้าคนเข้าไปพร้อมกันเยอะๆแทบจะไม่มีอากาศหายใจเลยทีเดียว ปัจจุบันดงคสิริอยู่ในความดูแลของวัดพุทธทิเบตที่ตั้งอยู่ปากถ้ำ ผู้ที่มาแสวงบุญจะช่วยทำบุญเพื่ออนุรักษ์สถานที่แห่งนี้ไว้เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้เรื่องราวของพระพุทธองค์ก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เพราะอย่างน้อยสถานที่แห่งนี้ก็แสดงให้ได้ประจักษ์ถึงธรรมะของพระพุทธองค์ที่ไม่ทรงปฏิบัติในสิ่งที่ตึงหรือหย่อนจนเกินไปแต่ให้ยึดมัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางอันเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
 
ดูเหมือนคณะของเราน่าจะเป็นคณะท้ายๆ ที่มีโอกาสมาเยือนถ้ำแห่งนี้ในช่วงนี้ เพราะหลังจากนี้ไปแล้ว อินเดียก็จะเริ่มเข้าหน้าร้อนที่บางครั้งอากาศร้อนจัด อุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียสก็เคยมี การไปอินเดียจึงควรไปในช่วงหน้าหนาวราวเดือน ต.ค.-มี.ค. ที่อากาศจะยังอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส กำลังสบายๆ
 
วันรุ่งขึ้นคณะของเราเดินทางสู่เมืองพาราณสี เมืองที่หากมาอินเดียแล้วไม่ได้มาเยือนต้องถือว่ามาไม่ถึงอินเดีย เพราะที่นี่คือฉากสะท้อนวิถีลีลาชีวิตของคนอินเดียยุคโบร่ำโบราณที่งดงามที่สุด ด้วยการคงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมตามแบบของตนเอง อย่างที่ไม่มีใครสามารถแทรกแซงหรือเปลี่ยนแปลงได้


พระอาทิตย์ดวงกลมโตที่ฝั่งนรก.

ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พาราณสี...ก็ยังคงความเป็นอมตะอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น ครั้งหนึ่งอังกฤษเคยพยายามที่จะเปลี่ยนชื่อพาราณสี เป็นเมืองเบนารัส(Banaras) แต่ไม่นานชาวเมืองก็กลับมาใช้ชื่อเดิมคือ พาราณสี ว่ากันว่า ที่นี่คือเมืองที่คงความเป็นอินเดียไว้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อ ประเพณี วิถีชีวิต ที่สำคัญที่สุดคือ ศรัทธาในศาสนาและปรัชญาของตนอย่างที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้
 
สองเท้าเล็กๆ เหล่าพุทธสาวิกาน้อย เดินฝ่ากับระเบิด (ขี้วัว) ไปตามถนนแคบๆ ของเมืองพาราณสีในช่วงเช้าตรู่ ที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่...ท่าทศอัศวเมธ ซึ่งเป็นท่าน้ำใหญ่ 1 ใน 5 ท่า ในจำนวนทั้งหมด 84 ท่าริมฝั่งแม่น้ำคงคา ช่วงที่ไหลผ่านเมืองพาราณสี เมืองที่มีความพยายามจะเปลี่ยนชื่อหลายครั้งหลายคราแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ



แม่ชีน้อย..กลางทุ่งข้าวสาลี.

แม่ชีน้อยๆ ค่อยๆ เร่งฝีเท้าก้าวตามคุณยาย แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ไปลงเรือที่จอดรออยู่ ก่อนที่นายท้ายจะหันหัวเรือแล่นออกสู่แม่น้ำคงคา ล่องไปตามลำน้ำ
 
เสียงเพลงจิตประภัสสร เริ่มต้นขึ้น....“จิตเดิมแท้ เป็นจิตประภัสสร กิเลสจรนั้นเข้ามาทีหลัง ปล่อยกายใจ เผลอไผลไม่ระวัง ประมาทเพียงครั้ง จะหลงไม่ตรงทาง......”
 
สองฟากฝั่งของแม่น้ำคงคาถูกเปรียบเปรยให้เป็นนรกและสวรรค์ ฝั่งที่เต็มไปด้วยผู้คนคือสวรรค์ ส่วนอีกฝั่งที่เป็นสันทรายดูแห้งแล้งร้างไร้ผู้คน มีแค่เพิงเล็กๆ ของเหล่าจัณฑาลมองเห็นอยู่ลิบๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นฝั่งนรก



กองไฟที่ไม่เคยดับมอดที่ท่ามณีกรรณิกา.

พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงร้อนแรงขึ้น ละครชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำคงคาเริ่มโลดแล่น กองไฟที่ใช้สำหรับเผาร่างไร้วิญญาณที่ท่ามณีกรรณิกาฆาตลุกโชน เช้าวันนั้นเรามองเห็น 4 ชีวิตที่กลับคืนสู่ธรรมชาติ ย่อยสลายเป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชาวฮินดูไม่ประหวั่นพรั่นพรึงกับความตายมากมายนัก เพราะเชื่อว่า ความตายก็คือการกลับสู่อ้อมกอดของเทพเทวะ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น และการเผาก็คือการเผาความชั่วร้าย เผากิเลสทั้งปวงออกเสียก่อนที่จะไปพบพระผู้เป็นเจ้า
 
มีคนเพียง 5 ประเภทเท่านั้นที่จะไม่ถูกเผา แต่จะถูกผูกกับหินถ่วงทิ้งน้ำ ได้แก่ เด็กแรกเกิด สาวพรหมจรรย์ นักบวช คนถูกงูกัด และคนถูกฟ้าผ่า โดยชาวฮินดูเชื่อว่าคนเหล่านี้ได้ถูกชำระล้างบาปแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ไฟเพื่อเผาไหม้ร่างอีก



คงคายามรุ่งอรุณ.

อีกอย่างหนึ่งที่เราได้เห็นระหว่างล่องเรือในแม่น้ำคงคาก็คือ การบูชาสุริยเทพหรือพระอาทิตย์ ที่ชาวฮินดูเชื่อว่า จะสามารถทำลายอำนาจความชั่วร้ายที่อยู่ในจิตใจได้ การไหว้พระอาทิตย์จะทำให้บุคคลนั้นเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานและประสบความสำเร็จในชีวิต ชาวฮินดูจึงนิยมมาอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้น และขอพรต่อสุริยเทพในทันทีที่แสงแรกของดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น
 
มาคราวนี้ อีกอย่างที่เราได้เห็นคือผู้หญิงชาวฮินดูที่โกนหัว มานั่งกันอยู่เต็มบริเวณท่าน้ำ โดยเฉพาะท่ามณีกรรณิกาที่ใช้เผาศพ พระอาจารย์เฉลิมชาติ ซึ่งเป็นพระวิทยากร เมตตาให้ความรู้ว่า ผู้หญิงเหล่านี้คือแม่ม่ายที่สามีตาย แล้วถูกแม่สามีหรือครอบครัวของสามีขับออกจากบ้าน เธอเหล่านี้ต้องมีชีวิตที่ทุกข์ทน ต่ำต้อยยิ่งกว่าจัณฑาลต้องมารับใช้สัปเหร่อที่ทำหน้าที่เผาศพ และอาศัยนอนที่ธรรมศาลา ซึ่งอยู่ด้านบนของถนนเลียบแม่น้ำคงคา บางคนแม้แต่ลูกสาวตัวเล็กๆ ก็ถูกจับโกนหัว เป็นตราบาปไปทั้งชีวิต



บรรดาแม่ม่ายชาวฮินดูที่ถูกโกนหัว พากันมาอาศัยที่ธรรมศาลา.

ฟังเรื่องผู้หญิงฮินดูต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โชคร้ายแล้ว เราหันกลับไปมองที่เรือของแม่ชีน้อย นึกปีติอยู่ในใจว่า เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ช่างโชคดีเสียนี่กระไร ที่ไม่ต้องตกเป็น “เหยื่อ” แห่งโชคชะตา
 
แต่พวกเธอกลับกำลังได้รับการบ่มเพาะให้เดินในเส้นทางธรรมของพระพุทธองค์ แม้จะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นเวลาสั้นๆที่มีค่าและมีความหมายกับชีวิตมากมาย
 
เสียงสวดมนต์ของเหล่าแม่ชีน้อยดังขึ้นอีกครั้งกลางแม่น้ำคงคา เราหันไปมองที่ท่ามณีกรรณิกา เจริญเมตตาให้กับหญิงผู้โชคร้าย และหวังว่าเมื่อใช้ กรรมหมดในชาตินี้แล้ว เธอจะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพที่ตายทั้งเป็นเช่นนี้อีก
 
ลาก่อนคงคา...มหานที และพาราณสี เมืองแห่งสวรรค์และนรกที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง.



พุทธสาวิกาลงเรือล่องแม่น้ำคงคา.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.423 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 11 มกราคม 2567 12:31:43