[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
01 พฤษภาคม 2567 21:52:40 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ใครตอบได้บ้างตายแล้วไปไหน ?  (อ่าน 2459 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 30 มีนาคม 2553 09:32:49 »



.............................เรื่องที่ 1....................................

..........................................ตายไม่สูญ........แล้วไปไหน...................................

ความจริงตายแล้วไม่สูญและตายแล้วไปไหนนี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า

เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี 5 สายคือ..........................................

อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

เกิดเป็นมนุษย์

เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์

เกิดเป็นพรหม

ไปพระนิพพาน

ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ
ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่ว
ที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ 5 ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้..............................................

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มีนาคม 2553 10:49:18 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553 09:37:21 »



...................................แดนเกิดสายที่หนึ่งที่เรียกว่าอบายภูมิ................................

แดนเกิดสาย ที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้าง
ความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ ๆ ไว้ 5 ประการคือ
เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 1
มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 2
ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ
หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 3
พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 4
ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 5
กรรม คือความ ประพฤติในกฎ 5 ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น.......................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มีนาคม 2553 10:37:39 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553 09:40:00 »



......................................แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์..............................


แดนเกิดสาย ที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ 10 หรือที่รู้กันง่าย ๆ ก็คือ
เป็นคนมีศีล 5 ประจำได้แก่.......................................
เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง
ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ
ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น
ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง
ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่าง ๆ
ท่านที่ทรงความดี 5 อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มีนาคม 2553 10:38:47 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553 09:44:00 »



..................................แดนเกิดสายที่สามได้แก่สวรรค์..............................


แดนเกิดสาย ที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี 2 อย่างคือ......................................
เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน
เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน
เหตุ 2 ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า




..................................แดนเกิดสายที่สี่ได้แก่พรหมโลก...............................


แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้น
ภูมิสูงกว่า
มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่
อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่า
ต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อน ตายอารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย...................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มีนาคม 2553 10:40:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553 09:46:36 »



.................................แดนเกิดสายที่ห้าได้แก่พระนิพพาน.............................


แดนเกิดสาย ที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า นิพพานสูญ กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อ ๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ 10 อย่างคือ..............................
ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่าง ๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึงไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ
รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มีนาคม 2553 10:41:27 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553 09:48:47 »



ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใด ๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้น ๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้
ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถพระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้
เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไปเมื่อตายแล้วว่ามี 5 ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตามไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง..........................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มีนาคม 2553 10:42:36 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 30 มีนาคม 2553 09:51:09 »



เรื่องของ การตายแล้ว ไม่สูญ และ ตายแล้วไปไหน ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จากหนังสือที่ อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริง ๆ หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ตายแล้วไม่สูญ แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่าง ๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่าตายแล้วไม่สูญ

<a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/23.wma" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/23.wma</a>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มีนาคม 2553 10:48:03 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.206 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 09 กุมภาพันธ์ 2567 05:41:28