[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 15:06:49 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความเชื่อสยองของโลกโบราณ  (อ่าน 1576 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2321


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 20 เมษายน 2559 19:38:28 »


ความเชื่อสยองของโลกโบราณ


มัมมี่ถูกนำมาปรุงเป็นยาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12-17

การกินถือเป็นจารีตของแต่ละชาติที่มีความเชื่อต่างกันออกไป เช่นชาวญี่ปุ่นอาจกินปลาดิบที่แล่มาจากปลาที่เพิ่งว่ายน้ำอยู่เมื่อสักครู่ หรือชาวเกาหลีรับประทานปลาหมึกหนวดกระดุบกระดิบ ซึ่งที่จริงแล้วการกินยังผสานอยู่ในกิจกรรมแห่งชีวิตอื่นๆ ได้อีกอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างงานปลงศพที่เป็นพิธีแห่งวาระสุดท้าย เฮโรโดตัสกล่าวถึงงานศพที่มีการกินร่างผู้ตายในหมู่ชาว “กาลลาเตีย” ที่เชื่อว่าเป็นชนเผ่าในอินเดีย ส่วนชาวปาปัวนิวกินีมีประเพณีกินร่างของผู้เสียชีวิตที่เป็นสมาชิกในครอบครัวหรือชนเผ่าเดียวกัน ในชนพื้นเมือง “ยาโนมามโย” แถบป่าดิบชื้นอะเมซอนนำซากศพเพื่อนร่วมเผ่าที่ฌาปนกิจแล้วมารับประทานในรูปของกระดูกที่ป่นปนกับขี้เถ้าอังคารซึ่งถือเป็นการแสดงความเศร้าโศกต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

นอกจากการเปิบพิสดารในรูปแบบวัฒนธรรมและรสนิยมส่วนบุคคลแล้วยังมีเหตุผลของการเปิบสยองเพื่อ “ป้องกันโรค” ด้วย ซึ่งในยุคหนึ่งนั้นแพทย์ผู้รักษาเป็นคนแนะนำหรือปรุงขึ้นมาให้คนไข้เองด้วยซ้ำ ในอดีตมีตัวอย่างโอสถที่ทำจากมนุษย์ ซึ่งผู้ใช้คงต้องมีประสาทที่แข็งพอก่อนใช้ ดังต่อไปนี้ครับ

มัมมี่บำบัด มัมมี่หรือศพอาบยาถือเป็นโอสถยอดนิยมระดับดาวค้างฟ้าอยู่นานนับร้อยปีตั้งแต่ศตวรรษที่ 12-17 ด้วยถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องยาที่ช่วยรักษาโรคได้สารพัดตั้งแต่ปวดหัวไปจนถึงแผลในกระเพาะ โอสถสสารจากมัมมี่นี้ก็มีกรรมวิธีไม่ยากเย็นแต่อย่างใด (ถ้าไม่นับว่าต้องไปขุดที่อียิปต์แล้วแงะฝาโลงให้เปิดออกก่อนอุ้มพามัมมี่หนี!) ด้วยการเอาร่างศพอาบยาพร้อมผ้าพันนั้นมา “ป่น” ให้ละเอียด ซึ่งผงมัมมี่ที่ได้ก็จะถูกนำมาใช้เป็นยาทั้งชนิด “ใช้ภายนอก” และ “ใช้ภายใน” หรือพูดง่ายๆ ว่ามีทั้งแบบกินและแบบทาครับ เชื่อกันว่าเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการบำบัด ถ้าไม่นับว่าอาจเป็น “ความเข้าใจผิด”! ด้วยมีผู้สงสัยว่าคนโบราณยุคกลางที่ฮิตมัมมี่บำบัดไม่ต่างกับคนยุคใหม่ฮิตใบทุเรียนเทศหรือน้ำมะนาวโซดานั้น อาจตีความคำว่า “มัมมี่” (Mummy) ในตำรายาเก่าแก่ผิดไป ด้วยในสมัยก่อนนั้นมีการระบุว่า “น้ำมันดิน” หรือบิทูเมนที่ได้จากเดดซีแถวอิสราเอลนี้เป็นของที่ใช้รักษาโรคอย่างเรื้อน, เกาต์, บิด, ตาต้อ และรูมาตอยด์ได้ ซึ่งคำว่าน้ำมันดินนี้ในภาษาเปอร์เซียนเรียกว่า “มูเมีย” (Mumia) ซึ่งก็เป็นที่มาของคำว่า “มัมมี่” หรือศพอาบยาแบบไอยคุปต์นี่เอง เลยเป็นเหตุให้ฝรั่งในยุคกลางพากันหา “มัมมี่” ตัวเป็นๆ เอ้อ...ตายแล้วอันเป็นซากแห้งมาเป็นเครื่องยารักษาโรคกันยกใหญ่




น้ำผึ้งถูกนำมาดองศพมนุษย์เพื่อใช้ทำยา

มนุษย์อาบน้ำผึ้ง เคยเห็นแต่กล้วยตากอบน้ำผึ้ง แต่คนเป็นๆ อาบน้ำผึ้งนี้ยังไม่เคยเลย ฝรั่งเขาเรียกว่า “มนุษย์เชื่อม (น้ำผึ้ง)” หรือ Mellified man เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่อุทิศตัวเพื่อเป็นยา ด้วยเชื่อว่าร่างคนเราที่รักษาไว้ดีเมื่อตายแล้วจะใช้เป็นตัวยาบำบัดโรคได้ เริ่มจากคนที่จะอุทิศตัวนั้นต้องกินอาหารให้น้อยลงทุกทีจนที่สุดแล้วก็เหลือเพียง “น้ำผึ้ง” เท่านั้นเป็นของยังชีพอย่างเดียว ในที่สุดเมื่อคน (ผู้น่าสงสาร) รายนั้นตายลงก็จะทำการปลงศพใส่ในหีบใหญ่ที่หล่อไว้ด้วยน้ำผึ้งซึ่งเหมือนกับศพอาบยาที่ใช้น้ำผึ้งดองเอาไว้แทน ซึ่งก็จะช่วยให้ร่างนั้นคงกระพันเป็นมัมมี่ในน้ำผึ้ง จากนั้นก็ปิดฝาโลงตีตราผนึกเอาไว้ เรียกว่าซีลป้องกันเอาไว้เลยเพื่อไม่ให้เปิดถ้าไม่ถึงเวลา ส่วนเวลาที่ “เหมาะสม” นั้นคือเมื่อไรทราบไหมครับ? คือต้อง 100 ปีไปแล้วหรือกล่าวง่ายๆ ว่าคนที่ยอมตายเพื่อเป็นยานั้นตั้งใจทำเพื่ออุทิศตัวอย่างแท้จริงเพราะตัวเองจนกระทั่งลูกหลานก็อาจไม่ทันใช้ ซึ่งในเรื่องนี้ที่รู้ละเอียดก็เพราะมีการบันทึกไว้ในตำราเก่าแก่เรื่องเครื่องยาสมุนไพรจีน (Chinese Materia Medica) ที่ปรมาจารย์นักธรรมชาติวิทยาแดนมังกร หลี่ ชิ-เฉิน ท่านได้จดไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ตั้งแต่เมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยท่านว่าชิ้นส่วนของมนุษย์น้ำผึ้งนี้ใช้บำบัดปัญหาแข้งขาหักและบาดแผลได้เป็นอย่างดี (ก็น้ำผึ้งมีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลได้นี่ครับ) โดยเรื่องนี้น่าจะมีที่มาจากตะวันออกกลางแถบอาระเบียโน้น


กลาดิเอเตอร์ที่ตายในสนามประลองจะถูกควักตับไปเป็นยา

ตับและเลือดกลาดิเอเตอร์ โอสถที่ยิ่งกว่าเปิบพิสดารนี้มีในสมัยโรมัน โดยความเชื่อที่ว่าอวัยวะของมนุษย์สดๆ นั้นเปี่ยมพลัง ซึ่งอวัยวะที่ถือเป็นขุมพลังหลัก ๆคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในช่องท้องเราเป็นก้อนที่บรรจุเลือดเอาไว้จนแน่นเรียกว่า “ตับ” ซึ่งตับของใครที่จะแข็งแรงได้เท่านักสู้ที่เรียกว่า “กลาดิเอเตอร์” (Gladiator) ในสังเวียนล่ะครับ เพราะคนเมื่อ 2,000 ปีก่อนไม่มีวิธีตรวจหรอกครับว่าตับใครแข็ง อุ๊ย...ตับใครแกร่งหรือฝ่อกว่ากัน ก็ต้องเอาตับของผู้กล้า คนที่แกร่งแข็งแรงอย่างกลาดิเอเตอร์ ซึ่งเมื่อปราชัยต้องสังเวยชีวิตไปแล้วจะถูกนำร่างมาขายเป็นส่วนๆ ถ้าฟังแล้วนึกถึงเขียงหมูเกินไปก็ขอให้ทราบว่าผู้ชมบางคนยิ่งกว่านั้นโดยดื่มเลือดสดจากแขนขาที่มีบาดแผลของ “ศพ” กลาดิเอเตอร์โดยตรงเลยทีเดียวหลังแข่งเสร็จ ด้วยมีความเชื่อว่าเลือดสดๆ จากผู้กล้านั้นก็เป็นยาคุณภาพสูงที่จะช่วยบำรุงและบำบัดโดยเฉพาะโรค “ลมชัก”


พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ

โอสถทิพย์จากพระราชา ใครจะไปคาดว่านอกจากอาหารเสริมในโลกโซเชียลยุคใหม่ที่ขายกันเกร่อแล้วเมื่อ 300 ปีก่อนจะมีพระราชาองค์หนึ่งลุกขึ้นมา “ขายอาหารเสริม” ด้วย โดยสิ่งนี้ไม่ใช่ขนมครกเสวยหรือก๋วยเตี๋ยวเข้าวัง หากแต่เป็น “กะโหลก” ครับ ด้วยในรัชสมัยแห่งพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ในอังกฤษนั้นพระองค์สนใจในศาสตร์เคมีมาก ซึ่งความรู้เคมีสมัยก่อนไม่ได้เหมือนในยุคนี้หากแต่เกี่ยวกับการ “เล่นแร่แปรธาตุ” โดยสูตรของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 นี้พระองค์ใช้ “กะโหลกมนุษย์” เอามาเป็นส่วนประกอบของราชโอสถ พระองค์ไปทรง “ซื้อ” สูตรบำรุงนี้มาจากนายแพทย์ชื่อดังในสมัยนั้นคือ จอเนทาน ก็อดดาร์ด ผู้เป็นอาจารย์ศัลยแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเกรแชมในลอนดอน ซึ่งก็ได้เงินจากพระราชาไปถึง 6,000 ปอนด์ เรียกว่ามากโขในสมัยนั้น โดยคราแรกนั้นได้ชื่อยาว่า “ก็อดดาร์ดส ดร็อป” แต่ต่อมา เมื่อมาเป็นของหลวงแล้วพระเจ้าชาร์ลส์ได้ทรงเปลี่ยน ให้ดูหรูขึ้นเป็น “คิงส ดร็อป” ที่ฟังดูเท้เท่...แต่ขออย่าลืมว่าข้างในก็มีกะโหลกคนป่นอยู่เต็มๆ โดยสูตรยาบำรุงพิลึกกึกกือนี้ได้ชื่อว่าเป็นยาครอบจักรวาล ซึ่งว่าไปก็คงได้รับความนิยมในหมู่ผู้คนยุคนั้นมาก เพราะเมื่อดูจากประวัติศาสตร์ต่อมาแล้วถึงมีผู้ใช้สูตรยาเข้ากะโหลกบดนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะท่านเซอร์เคเนม ดิ๊กบี้ ผู้ใช้ยานี้รักษาโรคลมบ้าหมู (โอ้! มายลอร์ด) แล้วต่อมาก็มี ทอมัส วิลลิส ที่เอาใจผู้บริโภคหน่อยด้วยการผสม “ช็อกโกแลต” ลงไปในหัวกะโหลกบดเพื่อให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น


สมองคนเคยถูกใช้เป็นตัวยารักษาโรคลมบ้าหมู

สมองคน สำหรับสูตรยาน่ายี้ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นสูตรที่ “คุณหมอ” คิดค้นขึ้นมาเองนะครับ แต่โชคดีที่ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 นมนานกาเลมาแล้ว โดยเริ่มจากคุณหมอจอห์น เฟรนช์ ชาวอังกฤษ กับนักเคมี ชาวเยอรมันคือ โยฮานน์ ชโรเดอร์ ทั้งคู่ได้จดบันทึกสูตรการใช้ “เกร แม็ทเท่อร์” ของสมองซึ่งแปลบ้านๆ แบบผมก็คือเนื้อสมองส่วนนอกที่หยิกๆ หยักๆ นั่นละครับ เอามาใช้เป็นตัวยารักษาโรคลมบ้าหมู ท่านเจ้าของสูตรระบุไว้ชัดถึงรายละเอียดการ “ปรุงสมอง” ครับว่า เมื่อได้สมองของชายหนุ่มที่เพิ่งตายมาหมาดๆ แล้วก็ให้เอามาบดจนละเอียดให้กลายเป็นเนื้อเนียนเหมือนครีมข้นก่อนแล้วจากนั้นใส่มันลงในเหล้าองุ่นพร้อมกับ “มูลม้า” ที่แถวบ้านหลายคนเรียกว่าขี้ม้า แล้วจากนั้นหมักไว้ด้วยกันเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อครบเวลาแล้วให้นำมากลั่นโดยก่อนจะใช้จริงต้องมีการปรุงกลิ่นให้หอมหวนชวนใช้ ซึ่งเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นฝีมือผู้ร่วมคิดอีกท่านที่เป็นนักเคมียุคนั้นคือชโรเดอร์ที่ช่วยสกัดกลิ่นบุปผาเข้ามาใส่อย่างลาเวนเดอร์, มาล์มซี, วอเทอร์ออฟลิลลี่ แล้วก็เก็บเอาของ เหลวที่กลั่นมาได้ทั้งหมดเอาไว้ใช้ครับ ทั้ง 2 ท่านนั้นยังได้แถมเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ห้อยท้ายไว้ราวกับตำรากับข้าวว่าถ้าไม่สะดวกหาสมองเด็กหนุ่มจะใช้ “ศพ” ทั้งร่างเลยก็ได้ แล้วหั่นไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนที่จะตำจนป่นแล้วหมักกับเหล้าไว้ก่อนจะกลั่นเอามาใช้เช่นเดียวกับเหล้าแช่สมอง (อึ๋ย)


ในยุคหนึ่งเหงื่อของนักโทษประหารจะถูกนำไปปรุงยา และเมื่อตายแล้วศพก็ยังถูกนำไปทำยาด้วยเช่นกัน

เหงื่อผู้ถึงฆาต เรื่องนี้เป็นการรักษาในศตวรรษที่ 17 อีกเช่นกัน โดยมีมนุษย์หัวใสผู้เป็นต้นคิด เกิดไอเดียขึ้นมาว่าทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ไม่ควรปล่อยทิ้งให้เสียด้วยสามารถนำมาใช้รักษาโรคได้หมดรวมถึง “ของเสีย” ด้วย ซึ่งหยาดเหงื่อก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของของเสียที่ขับออกมาโดยยอดชายหัวใสนามว่านายยอร์จ ทอมสัน นี้ได้ออกสูตรการรักษา “ริดสีดวงทวาร” ด้วยเหงื่อคนใกล้ตาย ซึ่งกรรมวิธีในการหาวัตถุดิบนั้นก็ไม่ยากไม่เย็น (สำหรับนายทอมสัน) คือไปตีซี้กับเพชฌฆาตที่แขวนคอนักโทษหน่อยแล้วก็หาขวดหรือแก้วอะไรก็ได้ไปรออยู่ใกล้ๆ หลักประหารคอยยื่นให้นักฆ่านั้นช่วยรองเอา “เหงื่อ” จากผู้ที่จะต้องถูกปลิดชีวิตในอีกไม่กี่นาทีต่อไปนั้น นอกจากนั้นยังได้ให้เทคนิคไว้เผื่อกลัวไม่สะดวกต่อผู้ใช้อีกว่า หากผู้ใช้ปรารถนาเหงื่อจากมือคนใกล้ตายสดๆ ก็อาจขอให้เขาใช้มือที่ชุ่มเหงื่อกาฬนั้นมาช่วยสัมผัสบริเวณที่เจ็บป่วย (อย่างริดสีดวงเนี่ยนะ) สักหน่อยได้พอเป็นบุญกิริยา ซึ่งฟังดูแล้วอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้นะครับ เพราะมีรายงานว่าเมื่อศตวรรษที่ 19 นี้เองก็มีผู้ไปรอคอยอยู่ใกล้ๆ ตะแลงแกงผูกคอนักโทษเพื่อจะไปจับมือชุ่มเหงื่อของคนใกล้ตายนั้นมาทาถูทาถูที่ก้อนซีสต์ซึ่งก็คือถุงน้ำที่งอกนูนขึ้นมาของตัวเองครับ

โลชั่นไขมันมนุษย์ ว้าว...สาวๆ จะรอผิวสวยอยู่ไยไปดูโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ไฮเอนด์นี้กันไหมครับ แม้จะเชื่อแน่ว่าคำตอบคือ “ไม่” แต่คำตอบนี้อาจเปลี่ยนไปในบางพื้นที่ของยุโรปสมัยก่อน โดยเฉพาะกับผู้ที่ทนทุกข์กับโรคไขข้อที่ปวดเข้ากระดูกแสนทรมานยามหน้าหนาวและไม่หนาว ท่านที่มีอาการตะคริวจับ, ชาตามตัวและเส้นประสาทเสื่อม ทั้งหมดนี้มีสิ่งที่เชื่อกันว่าช่วยได้คือ “ไขมันมนุษย์” ครับ โดยได้วัตถุดิบมาจากซากศพของฆาตกรและศัตรูที่เสียชีวิต โดยในเนเธอร์แลนด์ตอนนั้นมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นคือ “ศัลยเพชฌฆาต (Surgeon-executioner)” ซึ่งก็คือราชมัลผู้ประหารนักโทษนั่นละครับ แต่ผันตัวเองมา “ชำแหละศพ” เหยื่อที่ตัวฆ่าด้วย ดังที่มีเขียนเล่าไว้ว่ามีเพชฌฆาตท่านหนึ่งที่วันนี้เพิ่งผูกเชือกแขวนคอปล่อยนักโทษให้ไปสู่ปรโลกเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็ตั้งโต๊ะขายน้ำมันทาถูเพื่อสุขภาพจากศพที่ตัวเองสังหารไปหมาดๆ เรื่องนี้ถึงกับมีอาร์ติเคิลทางการแพทย์ที่กล่าวถึงไว้ใน Journal of Pharmacy ในปี 1922 ได้พูดถึงการอ้างสรรพคุณของ “น้ำมันศพผูกคอ (Hangman’s Salve)” หรือเรียกอีกชื่อว่า “น้ำมันคนบาป (Poor Sinner’s fat)” ในเนเธอร์แลนด์แดนกังหันลมว่า มันเป็นที่นิยมในหมู่ชาวดัตช์ว่าใช้รักษากระดูกหลุดและความพิการต่างๆ อย่างไรก็ดีครับ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือเนเธอร์แลนด์ได้ยกเลิกกฎหมายประหารชีวิตแบบแขวนคอไปนมนานแล้ว ดังนั้นโลชั่นที่อ้างว่าเป็นไขมันมนุษย์นั้นก็คงไม่ได้มีน้ำหนักมากครับ

เฮ้อ...ฟังแล้วสยองปนคลื่นไส้ ขอบอกก่อน ว่าที่เขียนมานั้นเป็นเรื่องที่เป็นความเชื่อที่เล่าต่อๆ กันมาบ้างซึ่งก็เชื่อว่าคงไม่มีผู้ใดไป “ทดลอง” ทำอย่างพิสดารตามเพราะอันตรายมาก ด้วยชิ้นส่วนของสัตว์หรือคนมีโอกาสนำเชื้อโรคได้สูงดังโรคไวรัสทำลายสมองต่างๆ แถมสูตรต่างๆ ที่ว่ามาก็ไม่ถือว่าเป็นสูตรที่ใช้ได้ผลแต่อย่างใด ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบโบราณพ้นสมัยไปแล้วโดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 17 ที่ผมได้พบว่ามีเรื่องราวใช้ศพรักษานี้อยู่ในบันทึกทางการแพทย์ต่างๆ อยู่เยอะพอดู ซึ่งเหตุหลักๆ ก็เพราะไม่มีหยูกยาที่เหมาะจะใช้เลยต้องหาของ (ใกล้ตัวม้ากมาก) มาแก้ขัดไปพลางๆ ก่อน.


โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.461 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 15 กุมภาพันธ์ 2567 20:30:44