มูลเหตุอันมาเป็น “วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ” (จบ) บทพระนิพนธ์ ใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อยู่บางปะอินในสมัยนั้นมีความลำบากอีกอย่างหนึ่ง ในเวลาป่วยเจ็บหาหมอยาก ได้อาศัยแต่ยากลางบ้าน ใครนับถือยาขนานไหน ก็ทำไว้สำรับบ้านเรือน ใครป่วยเจ็บก็ไปขอกิน ข้าพเจ้าเคยไปป่วยครั้งหนึ่ง และการรักษาอยู่ข้างจะขบขัน จะเล่าให้ฟังต่อไป เมื่อถึงเดือนกันยายน เห็นจะเป็นเพราะปีนั้นฝนตกชุกกว่าปกติ ข้าพเจ้าทนชื้นไม่ได้ ก็เกิดมีอาการมือเย็นเท้าเย็นและเมื่อยขบ กินอาหารมิใคร่ได้ นอนก็ไม่หลับสนิท เขาว่าเป็นโรคกระสาย มารดาให้ยากินก็ไม่หาย ขอยาที่มีตามกุฏิพระมากินก็ไม่ถูกโรค ข้าพเจ้ารำคาญ บ่นกับพระปลัดนากที่เป็นพี่เลี้ยง ท่านบอกว่า หลวงแพ่งซึ่งอยู่บ้านแป้งตรงวัดข้ามฟากมียาขนานหนึ่ง ชื่อว่า “ยาอภัยสาลี” แก้โรคกระสายชะงัดนัก แต่เป็นยาแรงด้วยเข้ากัญชาเท่ายาทั้งหลาย ใครกินมักเสียสติ อาจจะทำอะไรวิปริตไปได้ ในเวลาเมื่อฤทธิ์ยาแล่นอยู่ในตัว เจ้าของจึงไม่บอกตำราแก่ผู้อื่น เป็นแต่ทำไว้สำหรับบ้าน ถ้าใครไปขอต่อเห็นว่าเจ็บจริงจึงให้กิน ข้าพเจ้าได้ยินเล่าก็ออกคร้ามฤทธิ์ยาอภัยสาลี เกรงว่าถ้ากินเข้าไปเสียสติ เจ้าคุณอมราฯ ท่านจะติโทษได้ จึงนิ่งมาจนถึงกลางเดือนกันยายน อาการโรคกำเริบขึ้น ประจวบเวลาเจ้าคุณอมราฯ ลงมากรุงเทพฯ ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชันษา ทางโน้นพระปลัดนากเป็นผู้บัญชาการวัด ข้าพเจ้าไม่สบายเหลือทนจึงบอกพระปลัดว่า ขอลองกินยาอภัยสาลีสักที เผื่อจะถูกโรคบ้าง ท่านก็ให้ไปขอยานั้นมาจากหลวงแพ่ง เป็นยาผงเคล้าน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน กำหนดให้กินครั้งหนึ่งเท่าเมล็ดพุทรา วันเมื่อจะกิน ข้าพเจ้ายังครั่นคร้าม จึงอ้อนวอนชวนให้พระที่ชอบพอกันฉันด้วยสักสี่ห้าองค์รวมทั้งท่านปลัดด้วย แรกกินยานั้นเมื่อเวลาเย็นก็เฉยๆ ไม่รู้สึกว่ามีพิษสงอย่างไร จนออกนึกทะนงใจว่าคงเป็นเพราะกำลังของเราสู้ฤทธิ์ยาได้ ครั้นถึงเวลา ๒๐ นาฬิกา พระสงฆ์สามเณรลงประชุมกันทำวัตรที่ในพระอุโบสถตามเคย ท่านปลัดเป็นผู้นำสวดแทนเจ้าวัด พอขึ้น “หนฺท มยํ” เสียงก็แหบต้องกระแอม พอข้าพเจ้าได้ยินเสียงท่านปลัดดัง “แอ๊ม” ก็ให้นึกกลั้นหัวเราะไม่อยู่ปล่อยกิ๊กออกมา พระสงฆ์องค์อื่นที่ได้ฉันยาอภัยสาลีด้วยกัน ก็เกิดนึกขันที่ข้าพเจ้าหัวเราะ พลอยหัวเราะกันต่อไป เสียงดังกิ๊กกั๊กไปทั้งโบสถ์ ดูเหมือนพระเณรองค์อื่นๆ ที่ไม่ทราบเรื่องจะพากันตกใจ แต่ท่านปลัดยังมีสติ พอทำวัตรแล้วก็รีบเลิกประชุม ไม่สาธยายสวดมนต์ต่อไปตามเคย ข้าพเจ้ากลับมาถึงตำหนัก เมื่อเข้านอนรู้สึกเตียงโคลงไปโคลงมาเหมือนกับเรือถูกคลื่นในทะเล แต่มีสติเข้าใจว่าเป็นด้วยฤทธิ์ยาอภัยสาลี นิ่งนอนหลับตาอยู่สักครู่หนึ่งก็หลับ คืนนั้นนอนหลับสนิทเหมือนสลบจนรุ่งเช้าตื่นขึ้นรู้สึกแจ่มใส ไปนั่งกินอาหารก็เอร็ดอร่อยแทบลืมอิ่ม ทั้งเวลาเช้าและเพล เลยกลับสบายหายเจ็บ ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าลองกินยาอภัยสาลีอีกจนบัดนี้ พระที่ฉันยาอภัยสาลีด้วยกันคืนวันนั้น กลับไปกุฏิก็มีอาการวิปริตต่างๆ แต่อาการขององค์อื่นไม่แปลกเหมือนคุณแช่ม เธอไปนอนไม่หลับร้อง “ตูมๆ” เต็มเสียง จนเพื่อนสงฆ์ที่อยู่ใกล้เคียงพากันตกใจไปถามเธอบอกว่าหายใจไม่ออก ถ้าร้องตูมเสียค่อยหายใจคล่องก็พากันเห็นขัน ข้าพเจ้าได้รู้ฤทธิ์ของกัญชาในครั้งนั้นว่ามีคุณมหันต์และโทษอนันต์ แต่ก็ยังเข้าใจไม่ได้ว่าสบายอย่างไร จึงมีคนชอบสูบกัญชากันจนติด
เมื่อเจ้าคุณอมราฯ ครองวัดนิเวศน์ฯ ดูเหมือนท่านถือการ ๓ อย่างเป็นหลัก อย่างหนึ่งในระเบียบการสงฆ์ ท่านรักษาแบบแผนของวัดราชประดิษฐ์ฯ มิให้เคลื่อนคลาด อนุโลมตามพระราชประสงค์ ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงปรารถนาจะให้วัดนิเวศน์ฯ เป็นสาขาของวัดราชประดิษฐ์ฯ อีกอย่างหนึ่งท่านเอาใจใส่ในการบำรุงรักษาวัดให้เรียบร้อยสะอาดสะอ้าน เฉลิมพระราชศรัทธามิให้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงติเตียนได้ ใครไปก็ออกปากชมว่าวัดนิเวศน์ฯ รักษาสะอาดดี กับอีกอย่างหนึ่งท่านพยายามสั่งสอนสงเคราะห์บริษัทไม่เลือกหน้า ส่วนตัวท่านเองก็ไว้วางอัธยาศัยสุภาพไม่ดุร้ายหรือถือตัวทำภูมิแก่ใครๆ ชอบสนทนาสมาคมกับบุคคลทุกชั้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เหลาะแหละหย่อนตัวแก่ใครให้ลวนลาม อีกประการหนึ่งท่านประพฤติกิจวัตรสม่ำเสมอ ดูเหมือนจะตั้งใจให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่พระภิกษุสามเณรในวัดนั้น โดยปกติท่านลงโบสถ์นำทำวัตรสวดมนต์เช้าครั้ง ๑ ค่ำครั้ง ๑ เป็นนิจ ถึงวันพระท่านนำพระสงฆ์รับสาธารณะที่การเปรียญ แล้วลงโบสถ์ให้ศีลแก่พวกสัปปุรุษและแสดงพระธรรมเทศนาให้ฟังในตอนเช้ากัณฑ์ ๑ แต่ตอนบ่ายท่านให้พระองค์อื่นที่เป็นฐานานุกรมหรือเปรียญเทศน์ (เคยให้ข้าพเจ้าเทศน์ครั้งหนึ่ง) การสวดปาฏิโมกข์ที่วัดราชประดิษฐ์ฯ ดูเหมือนสมเด็จพระสังฆราชทรงสวดเองเป็นนิจ แต่ที่วัดนิเวศน์ฯ เจ้าคุณอมรมฯ สวดเองบ้าง บางครั้งก็ให้พระองค์อื่นสวด เห็นจะเป็นการฝึกหัดพระในวัดนั้น ส่วนที่เกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าท่านคงรู้สึกเกรงใจมาก ด้วยเป็นเจ้านายองค์แรกที่เป็นศิษย์ของท่าน ทั้งเมื่อก่อนบวชข้าพเจ้าก็เป็นราชองครักษ์ และเป็นนายพันตรี ผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็ก อย่างว่า “เป็นคนโต” อยู่บ้างแล้ว ถึงกระนั้นท่านก็ประพฤติอย่างเป็นอาจารย์มิได้ลดหย่อนอย่างไร เว้นแต่ไม่ให้เข้าเวรปฏิบัติท่านเหมือนกับพระบวชใหม่องค์อื่น และไม่เรียกไปหาที่กุฏิของท่าน เพราะพบกันที่ในโบสถ์วันละ ๒ ครั้งเสมอ ถ้าท่านมีกิจธุระจะไต่ถามหรือบอกเล่าแก่ข้าพเจ้า ท่านก็มักพูดที่ในโบสถ์ ท่านให้ทอดอาสนะของข้าพเจ้าไว้ใกล้กับอาสนะของท่านทางข้างหลัง มิได้นั่งปะปนกับพระองค์อื่น นานๆ ท่านจะมายังตำหนักที่ข้าพเจ้าอยู่สักครั้งหนึ่ง และดูเหมือนท่านจะคอยระวังมิให้ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญที่ตัวท่าน เป็นต้นว่าเวลาข้าพเจ้าไปสำราญอิริยาบถอยู่ที่ใด เช่นข้าพเจ้าไปนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำในเวลาเย็นๆ เวลานั้นท่านก็มักออกเดินตรวจวัด แต่ไม่เคยเห็นท่านเดินมาใกล้ศาลาที่ข้าพเจ้านั่งอยู่สักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าสังเกตเห็นท่านเกรงใจเช่นนั้น จึงมักหาเหตุไปหาท่านที่กุฏิเนืองๆ ไปถามข้ออรรถธรรมะบ้าง ไปเรียนเรื่องอื่นๆ บ้าง ดูท่านก็ยินดีชี้แจงให้ทราบ และสนทนาปราศรัยฉันอาจารย์กับศิษย์ที่สนิทสนมกันพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)
ทำจากกระจกสี ประดิษฐานเหนือประตูเข้าพระอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ
ในสมัยนั้น ยังไม่เกิดประเพณีมีหลักสูตรสำหรับพระบวชใหม่จะต้องเรียนและสอบความรู้ เป็นแต่เมื่อแรกเข้าพรรษาลงโบสถ์ในเวลาค่ำไหว้พระสวดมนต์แล้ว มีพระฐานานุกรมหรือเปรียญองค์หนึ่งขึ้นธรรมาสน์ปาติโมกข์ อ่านบุพพสิกขาสอนพระบวชใหม่วันละตอนไปจนจบคัมภีร์ นอกจากนั้นเช่นคำไหว้พระสวดมนต์และข้อวัตรปฏิบัติต้องท่องและเรียนเอาเอง แต่เจ้านายมักได้ศึกษามาแต่ก่อนทรงผนวชแล้ว กิจที่ข้าพเจ้าจะต้องเรียนเมื่อบวช จึงมีน้อยกว่าพระบวชใหม่องค์อื่น สามารถจะช่วยทำการอย่างอื่นๆ ให้เป็นประโยชน์ได้ ข้าพเจ้ารับเป็นหน้าที่ในการสองอย่าง คือ จัดโรงเรียนอย่าง ๑ กับบำรุงต้นไม้ที่ปลูกเป็นเครื่องประดับพระอารามอย่าง ๑ ด้วยเมื่อก่อนข้าพเจ้าบวช ได้รับหน้าที่จัดตั้งโรงเรียนหลวงอยู่แล้ว เป็นแต่ยังไม่ได้ตั้งเป็นกรมศึกษาธิการ ไปเห็นโรงเรียนที่วัดนิเวศน์ฯ เกิดประหลาดใจที่เด็กนักเรียนเรียนตั้งปียังอ่านไม่ออกโดยมาก ถามอาจารย์รอดซึ่งเป็นผู้สอนว่าทำไมเด็กจึงเรียนรู้ช้านัก แกบอกเหตุให้ทราบว่าที่บางปะอินนั้นพ่อแม่ให้เด็กมาเรียนหนังสือแต่เวลาว่างนา ถ้านับวันเรียนปีหนึ่งไม่กี่เดือน พอมีการทำนาเมื่อใดพ่อแม่ก็มาเอาลูกไปช่วยทำการ เช่น ให้เลี้ยงน้องในเวลาผู้ใหญ่ไปทำนาเป็นต้น จนเสร็จการจึงกลับเอามาส่งโรงเรียนอีกเป็นเช่นนั้นปีละหลายๆ คราว เด็กได้เรียนอะไรไว้ก็มักไปลืมมากบ้างน้อยบ้าง เมื่อกลับมาต้องสอนย้อนขึ้นไปใหม่ จึงรู้ช้า ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าที่พ่อแม่ให้ลูกหยุดเรียนเช่นนั้น ด้วยความจำเป็นในอาชีพ จะห้ามไม่ได้ ทางแก้ไขมีแต่ต้องคิดแก้กระบวนสอนแยกความรู้เป็นอย่างๆ ให้เด็กเรียนสำเร็จภายในเวลาเรียนระยะละอย่าง เป็นมูลเหตุที่ข้าพเจ้าจะแต่งหนังสือ “แบบเรียนเร็ว” มาใช้ในโรงเรียนทั้งปวงเมื่อภายหลัง แต่เด็กนักเรียนที่เป็นลูกศิษย์อยู่ประจำวัดก็มีพวกหนึ่ง มักเป็นลูกผู้ดีเป็นพื้น ลูกศิษย์วัดในปีที่ข้าพเจ้าบวช เมื่อเติบโตมาได้เป็นขุนนางก็หลายคน จะระบุแต่ที่นึกได้ในเวลาเขียนหนังสือนี้ คนหนึ่งชื่อแช่ม เป็นบุตรหลวงสุนทรภักดีที่บ้านแป้ง ได้เป็นพระยาวรุณฤทธีศรีสมุทรปราการ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ยังลูกชายหลวงธรรมวงศ์ประวัติก็หลายคน ที่เติบใหญ่ในเวลาข้าพเจ้าบวช พอยกสำรับประเคนข้าพเจ้าได้ ๓ คน คนที่ ๑ ชื่อเพิ่ม ต่อมาได้เป็นหลวงอนุสาสนวินิจ คนที่ ๒ ชื่อสด ต่อมาได้เป็นหลวงสังขวิทยวิสุทธิ คนที่ ๓ ชื่อเหม ได้เป็นพระยาโอวาทวรกิจอยู่ในกรมศึกษาธิการทั้ง ๓ คน คนที่ ๔ ชื่อทองสุก เวลานั้นยังเล็กชอบเที่ยววิ่งเล่นในลานวัด แต่อย่างไรมาติดข้าพเจ้า บิดาเลยยกให้ ครั้นเติบใหญ่สำเร็จการศึกษาแล้ว ข้าพเจ้าขอเอามาฝึกหัดให้รับราชการกระทรวงมหาดไทย เมื่อข้าพเจ้าออกจากมหาดไทยมาแล้ว ได้เป็นพระยาแก้วโกรพ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ลูกชายคนเล็กชื่อบุญศรี เกิดเมื่อข้าพเจ้าบวชอยู่ที่วัดนิเวศน์ฯ เติบใหญ่เข้ารับราชการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นหลวงประชาภิบาล ตำแหน่งนายอำเภอ นอกจากที่ระบุมายังมีคนอื่นอีก แต่นึกไม่ออกจึงไม่กล่าวถึง
มีการอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นที่โรงเรียนวัดนิเวศน์ฯ เมื่อปีที่ข้าพเจ้าบวชแล้ว จึงแพร่หลายไปถึงโรงเรียนทั้งปวง คือให้นักเรียนสวดคำนมัสการคุณานุคุณ ข้าพเจ้าไปสังเกตเห็นว่าในโรงเรียนยังขาดสอนคดีธรรม แต่จะให้เทศน์ให้เด็กฟังก็ไม่เข้าใจ เห็นว่าถ้าแต่งเป็นคำกลอนให้เด็กท่องสวดจะดีกว่า ข้าพเจ้าบอกความที่ปรารภไปยังพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) ขอให้ท่านช่วยแต่งคำนมัสการส่งขึ้นไปให้ ท่านก็แต่งให้ตามประสงค์ เป็นคำนมัสการ ๗ บท ขึ้นต้นด้วยบทบาลีแล้วมีกาพย์กลอนเป็นภาษาไทยทุกบทนมัสการพระพุทธเจ้าขึ้นว่า “องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน” เป็นต้นบท ๑ นมัสการพระธรรมเจ้าบท ๑ นมัสการพระสงฆ์เจ้าบท ๑ สามบทนี้ให้เด็กสวดเมื่อเริ่มเรียนตอนเช้า มีคำบูชาคุณบิดามารดาบท ๑ บูชาคุณครูบท ๑ สำหรับให้สวดเมื่อเริ่มเรียนตอนบ่าย และมีคำบูชาพระคุณพระมหากษัตริย์บท ๑ คำขอพรเทวดาบท ๑ สำหรับให้สวดเมื่อจะเลิกเรียน เริ่มสวดกันในโรงเรียนวัดนิเวศน์ฯ ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังบวชอยู่
มีการอีกอย่างหนึ่งซึ่งเริ่มเกิดขึ้นที่วัดนิเวศน์ฯ เมื่อปีข้าพเจ้าบวช ด้วยข้าพเจ้าไปทราบว่าในฤดูน้ำเมื่อว่างการทำนา และสามารถใช้เรือไปไหนๆ ได้สะดวก เป็นเวลาสำหรับราษฎรเที่ยวเตร่หาความสนุกสบายตลอดแขวงจังหวัดอยุธยา พอออกพรรษาก็พากันเที่ยวไหว้พระตามวัดต่างๆ และแข่งเรือกันเล่นที่หน้าวัดเป็นประเพณีมีมาแต่โบราณ จนถือกันเหมือนนัดหมายว่าวันนั้นประชุมกันที่วัดนั้นเป็นแน่นอน เริ่มตั้งแต่เดือน ๑๑ แรมค่ำ ๑ ไปจนสิ้นเดือน ตั้งแต่สร้างวัดนิเวศน์ฯ พวกราษฎรอยากนัดกันไหว้พระที่วัดนิเวศน์ฯ แต่ยังเกรงกลัวด้วยมิได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต ข้าพเจ้าทูลความตามที่ได้ทราบ ลงมายังสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็ทรงยินดี ดำรัสสั่งให้ข้าพเจ้าจัดการให้ราษฎรไหว้พระ ณ วัดนิเวศน์ฯ ในปีนั้น จึงเอาวันแรม ๑๒ ค่ำเป็นกำหนดมิให้พ้องกับวันไหว้พระที่วัดอื่น แล้วชักชวนพวกกรมการกับพวกคฤหบดี ให้ช่วยกันตกแต่งวัดและมีการมหรสพ ประกาศพระบรมราชานุญาตให้ราษฎรรู้กันแพร่หลาย ก็เลยมีประเพณีไหว้พระวัดนิเวศน์ฯ แต่ปีนั้นต่อมาทุกปีจนบัดนี้พระศรีมหาโพธิ์
Ficus religiosa เมล็ดพันธุ์จากเมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลูก เมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๒๐
โพธิ์ต้นนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดมาก ด้วยทรงเพาะเมล็ดเอง เมื่อก่อนเสวยราชย์
การที่ข้าพเจ้าช่วยแต่งต้นไม้ในวัดนิเวศน์ฯ มีข้อขบขันอยู่บ้าง ด้วยในพระวินัยห้ามมิให้พระภิกษุตัดต้นไม้ ดูน่าสันนิษฐานว่า ความหมายห้ามมิให้ทำให้ต้นไม้ตายเป็นสำคัญ แต่พระถือกันว่า ถ้าตัดต้นไม้แม้ตัดเพียงกิ่งก้านหรือตัดแต่งเพื่อให้ต้นไม้งอกงามดีขึ้น ก็เป็นอาบัติล่วงสิกขาบทนั้น ถึงสั่งให้ผู้อื่นตัดก็ไม่พ้นอาบัติ แต่ว่ามีทางหลีกอาบัตินั้นได้ ด้วยสั่งเป็นกัปปิยโวหารว่าให้ไป “ดู” ถึงผู้รับคำสั่งจะไปตัดต้นไม้ พระผู้สั่งก็ไม่เป็นอาบัติ ถือกันมาดั่งนี้ ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าเห็นจะใช้กันมาแต่ก่อนเก่า เพราะบางทีมีความจำเป็นที่พระจะต้องให้ตัดต้นไม้ เช่นมีต้นไม้เอนจะล้มทับกุฏิก็ดี หรือในป่าดงมีต้นไม้รกกีดขวางทางเดินจะหลีกไปให้ได้ก็ดี พระจึงสั่งผู้อื่นโดยกัปปิยโวหารให้ไป “ดู” ต้นไม้นั้น ผู้รับใช้เห็นเหตุก็ตัดต้นไม้สำเร็จประโยชน์ ก็เลยสั่งเช่นนั้นมาเป็นประเพณี จะมีมูลมาอย่างไรก็ตาม การที่สั่งให้ตัดแต่งต้นไม้พระใช้คำว่า “ดู” เป็นประเพณี ถ้าใครไม่รู้มูลเหตุไปได้ยินคำสั่งเช่นว่า “ดูกิ่งนั้นเสียสักหน่อย ดูกิ่งนี้ให้สั้นเสียอีกสัก ๖ นิ้ว” หรือว่า “ดูหญ้าเสียให้เตียน” และ “ดูต้นนั้นเสียทั้งต้นทีเดียว” ดั่งนี้ก็จะประหลาดใจ ข้าพเจ้าทราบคติเรื่องนี้มาตั้งแต่บวชเป็นสามเณร เมื่อบวชพระก็สั่งให้ “ดู” คลองที่วัดนิเวศน์ฯ มีต้นโพธิ์พันธุ์พระศรีมหาโพธิ เมืองพุทธคยา ปลูกไว้เป็นเจดียวัตถุต้นหนึ่ง โพธิ์ต้นนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดมาก ด้วยทรงเพาะเมล็ดเองแต่เมื่อก่อนเสวยราชย์ (ดังปรากฏในหนังสือทรงพระราชนิพนธ์แจกในงานพระศพพระเจ้าลูกเธอกรมขุนสุพรรณภาควดี) เดิมอยู่ในกระถางมาช้านาน ครั้นเอาไปปลูกที่วัดนิเวศน์ฯ ได้อากาศและรสดินถูกธาตุก็งอกงามรวดเร็ว แต่แตกกิ่งสาขาเก้งก้างไม่มีใครกล้าตัดแต่ง ด้วยเกรงพระราชอาญาหรือกลัวบาปอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเอาเป็นธุระสั่งให้ “ดู” กิ่งก้านพระศรีมหาโพธิที่เกะกะ แต่งจนเรือนงาม สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นก็โปรด นอกจากนั้นข้าพเจ้าให้หาต้นมะม่วง ขึ้นไปปลูกรายเป็นระยะในกำแพงวัด และหลวงสุรยุทธโยธาหารหาต้นหูกวางขึ้นไปปลูกรายที่ริมเขื่อนเพื่อให้รากยึดดินกันพัง ดูเหมือนจะยังอยู่จนบัดนี้ทั้ง ๒ อย่าง
เมื่อเวลาข้าพเจ้าบวช สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จขึ้นไปประทับที่พระราชวังบางปะอิน ๓ ครั้ง ครั้งแรกเสด็จไปถวายพุ่มเมื่อแรกเข้าพรรษา ครั้งหลังเสด็จไปพระราชทานพระกฐินเมื่อออกพรรษาแล้ว โปรดฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์วัดนิเวศน์ฯ กับวัดชุมพลนิกายาราม เข้าไปรับบิณฑบาตที่ในพระราชวังทั้ง ๒ ครั้ง ครั้งแรกรับบิณฑบาตทางบก ใช้สะพายบาตรมีสายโยคตามอย่างโบราณ อยู่ข้างจะลำบากแก่พระธรรมยุตเพราะเคยแต่อุ้มบาตร เจ้าคุณอมราฯ ท่านสั่งให้ฝึกหัดซักซ้อมรับบาตรสะพายสายโยค ด้วยเกรงว่าฝาบาตรหรือแม้ตัวบาตรจะไปพลัดตกลง แต่เมื่อคราวพระราชทานพระกฐินเป็นฤดูน้ำ เข้าไปรับบิณฑบาตทางเรือ มีเรือสำปั้นฝีพายหลวงไปรับสมเด็จพระสังฆราช เจ้าคุณอมราฯ และตัวข้าพเจ้ากับพระและเจ้าเณรที่บวชขึ้นไปด้วยกัน เราเป็นแต่นั่งไป ไม่ต้องทำอะไรนอกจากคอยเปิดฝาบาตรรับอาหาร แต่พระสงฆ์ในท้องถิ่นองค์อื่นต้องลงเรือสำปั้นเล็ก ซึ่งเรียกกันว่า “เรือรับบิณฑบาตร” มีบาตรตั้งข้างหน้าพายไปเองอย่างไปเที่ยวรับบิณฑบาตโดยปกติ พระสงฆ์บางองค์ไม่ชำนาญการพายเรือเพราะโดยปกติไม่ใคร่ออกรับบาตร ไปได้ความลำบากก็มี ในปีข้าพเจ้าบวชนั้น ได้ยินว่าเรือพระครูธรรมทิวากร (โห้) เจ้าอาวาสวัดชุมพลฯ เข้าไปล่มที่ในพระราชวังต้องช่วยกันเอะอะ
เมื่อข้าพเจ้าบวชอยู่วัดนิเวศน์ฯ ประจวบกับมีเหตุสำคัญเกิดขึ้นอย่างหนึ่งซึ่งควรจะเล่า เพราะคนภายหลังยังไม่มีใครได้เคยพบเหตุเช่นนั้น เมื่อเดือนสิงหาคมจะเป็นวันใดข้าพเจ้าไม่ได้จดไว้ แต่อยู่ในระว่างวันที่ ๒๗ จนถึงวันที่ ๓๐ เวลาบ่าย ข้าพเจ้านั่งอยู่ตำหนักได้ยินเสียงดังเหมือนยิงปืนใหญ่ไกลๆ หลายนัด นึกในใจว่าคงยิงสลุตรับแขกเมืองที่เข้ามากรุงเทพฯ ครั้นเวลาเย็นลงไปนั่งเล่นที่สะพานท่าน้ำตามเคย ไปพูดขึ้นกับพระที่อยู่มาก่อน ท่านบอกว่าที่วัดนิเวศน์ฯ ไม่เคยได้ยินเสียงปืนใหญ่ยิงในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นการสำคัญก็ไม่ค้นหาเหตุต่อไป ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเห็นแสงแดดเป็นสีเขียวตลอดวัน คนทั้งหลายพากันพิศวงทั่วไปในท้องถิ่น ที่ตื่นตกใจก็มี แต่ในวันต่อมาก็กลับเป็นปกติตามเดิม เป็นหลายวันจึงได้ทราบข่าวว่า ภูเขาไฟระเบิดที่เกาะกระกะเตา ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะชวากับเกาะสุมาตรา คนตายหลายหมื่น เสียงภูเขาไฟระเบิดและไอที่ออกบังแสงแดด ทั้งระลอกน้ำในท้องทะเล แผ่ไปถึงนานาประเทศไกลกว่าที่เคยปรากฏมาแต่ก่อน เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่านี้ถ้าใครจะใคร่รู้โดยพิสดารจงไปดูในหนังสือเอนไซโคลปีเดีย บริแตนิคะ ตรงอธิบายเรื่องเกาะกระกะเตาก็จะรู้ชัดเจนอนุสาวรีย์คุณปลัดเสงี่ยมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าเป็นพิเศษ
ให้ประดิษฐานเจดีย์อัฐิธาตุ คุณหญิงเสน่หามนตรี ตำแหน่งคุณปลัดเสงี่ยม
ราชนัดดา ใน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สายนครศรีธรรมราช
ณ วัดนิเวศธรรมประวัติ พระราชวังบางปะอินพระนครศรีอยุธยา เมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๑
อนุสาวรีย์สร้างด้วยศิลาอ่อนแกะสลักสวยงาม มีกำแพงล้อมรอบ ประดับเสากำแพงด้วยกระถางศิลาอ่อน
หลังคามุงกระเบื้องหินชนวนแบบโบราณ ซึ่งเป็นวัสดุมุงดั้งเดิมของพระอุโบสถ
ภายในประดิษฐานเจดีย์ทรงระฆังลงรักปิดทองบรรจุอัฐิ พระเสน่หามนตรี หรือคุณปลัดเสงี่ยม
พระพี่เลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดปรานมาก
คราวนี้ถึงตอนข้าพเจ้าจะสึก มีเรื่องประหลาดน่าเล่าอยู่บ้าง เมื่อออกพรรษาแล้วมีเวลาว่างก่อนทอดพระกฐินหลวงอยู่หลายวัน ข้าพเจ้าทูลลาไปเที่ยวทางหัวเมืองข้างเหนือ ก็โปรดฯ พระราชทานเรือไฟหลวงให้ใช้ และให้ไปทอดกฐินหลวงที่วัดธรรมามูล แขวงเมืองชัยนาทด้วย เมื่อกลับมาจัดการให้ราษฎรไหว้พระที่วัดนิเวศน์ฯ แล้วลงมากรุงเทพฯ เพื่อทูลลาสึกตามธรรมเนียม ตั้งแต่ข้าพเจ้าบวชได้ลงมากรุงเทพฯ ครั้งเดียวเท่านั้น พักอยู่ ๓ วัน พอเฝ้าทูลลาสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง สมเด็จพระอุปัชฌาย์ และสมเด็จพระสังฆราชแล้วก็กลับขึ้นไปวัดนิเวศน์ฯ ต่อมาในไม่กี่วัน มีเรือไฟหลวงรับมหาดเล็กเชิญลายพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงขึ้นไปถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่งความว่า พวกฮ่อจะลงมาตีหัวเมืองชายพระราชอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือ (คือมณฑลอุดร) อีก จะแต่งกองทัพให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ (เวลานั้นทรงบัญชาการมหาดไทย) เป็นจอมพลเสด็จขึ้นไปปราบฮ่อ มีพระราชประสงค์จะให้ข้าพเจ้ามีตำแหน่งไปในกองทัพครั้งนั้นด้วย ในพระราชหัตถเลขาตรัสว่า “เมื่อรับกฐินแล้วขอนิมนต์ให้สึกโดยเร็ว” ข้าพเจ้าทราบก็ยินดี ด้วยเป็นทหารจะได้ไปเห็นการทัพศึก รับสั่งให้โหรหาฤกษ์ เฉพาะไปได้ฤกษ์ตรงกับวันที่จะพระราชทานพระกฐิน สมเด็จพระสังฆราชท่านปรึกษากับเจ้าคุณอมราฯ ว่าข้าพเจ้าควรจะอยู่ให้เสร็จพิธีกราลกฐินเสียก่อน ท่านบอกว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงปรารภว่า มีความขัดข้องอยู่อย่างหนึ่งในการที่ข้าพเจ้าจะสึกค่ำวันนั้น ด้วยพระสงฆ์ต้องสภาคาบัติ เพราะวันนั้นนุ่งห่มผ้าไตรย้อมขมิ้นที่พระราชทานในการพระกฐินด้วยกันทั้งวัด แม้สมเด็จพระสังฆราชเองเมื่อก่อนวันทอดกฐิน เข้าไปสวดมนต์ที่ตำหนักใหม่ของพระอัครชายาเธอฯ ก็ไปห่มผ้าไตรย้อมขมิ้น เป็นอาบัติอย่างเดียวกัน จะรับปลงอาบัติให้ไม่ได้ ขอให้บอกข้าพเจ้าว่า เมื่อบวชได้บวชโดยบริสุทธิ์แล้ว จะสึกก็ควรให้บริสุทธิ์อย่าให้อาบัติติดตัวไปจึงจะสมควร ความยากก็จะเกิดขึ้น ด้วยพระสงฆ์ธรรมยุตติซึ่งจะรับแสดงอาบัติมีอยู่ถึงวัดเสนาสน์ฯ ที่พระนครศรีอยุธยาเป็นอย่างใกล้ ในเวลากำลังมาปรึกษากันอยู่ที่ตำหนักนั้น เผอิญเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ไปหา ท่านมีแก่ใจให้ยืมเรือไฟของท่านรับพระขึ้นไปแสดงอาบัติที่วัดเสนาสน์ฯ จึงวานคุณทรัพย์ขึ้นไปแสดงอาบัติบริสุทธิ์ แล้วกลับมารับอาบัติของข้าพเจ้าได้ทันเวลา พิธีการสึกนั้นทำที่ในพระอุโบสถ ข้าพเจ้านิมนต์สมเด็จพระสังฆราชกับเจ้าคุณอมราฯ และพระฐานานุกรมอีก ๓ รูป นั่งเป็นคณะปรก พิธีก็ทำง่ายๆ ข้าพเจ้าเข้าไปกราบ แล้วนั่งคุกเข่าประนมมือกล่าวแก่พระสงฆ์ว่า “คีหิติ มํ ธาเรถ” ถ้าแปลก็ว่า “ท่านทั้งหลายจงถือว่าข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์” แต่เมื่อว่าไปแล้วเห็นสมเด็จพระสังฆราชท่านนั่งนิ่งเฉยอยู่ ข้าพเจ้าก็ประนมมือนั่งคุกเข่านิ่งอยู่ ประเดี๋ยวท่านสั่งให้ข้าพเจ้าว่าอีก แต่ให้ว่าเช่นนั้นซ้ำถึงสี่ห้าครั้ง เมื่อว่าครั้งหลังท่านหันไปถามเจ้าคุณอมราฯ ว่า “เห็นจะขาดละนะ” เจ้าคุณอมราฯ รับว่า “ขาดแล้ว” ท่านจึงบอกให้ข้าพเจ้าไปเปลื้องไตร ผลัดผ้าเป็นคฤหัสถ์ ที่ทำเช่นนั้นเพราะท่านถือว่าการที่สึกใจต้องสิ้นอาลัยจริงๆ จึงจะขาดจากเพศสมณะ ถ้าใจยังอาลัยอยู่ถึงปากจะว่าอะไรก็ไม่ขาด ถ้าไปทำอะไรละเมิดพระวินัยก็จะเกิดเป็นบาปกรรมฐานภิกษุทุศีล จึงให้ว่าลาสึกซ้ำอยู่จนเห็นว่าใจสิ้นอาลัยจริงๆ แล้วก็อนุญาตให้สึก ครั้งนั้นจะเสด็จไปพระราชทานพระกฐินถึงเมืองลพบุรีด้วย เมื่อสึกแล้วข้าพเจ้าเตรียมตัวจะไปตามเสด็จในตำแหน่งราชองครักษ์ แต่รุ่งขึ้นเช้าไปถวายพระราชกุศล มีพระราชดำรัสว่าอย่าไปตามเสด็จเลย ให้รีบกลับกรุงเทพฯ เตรียมตัวไปทัพ พอเสด็จไปแล้วไม่มีเรืออื่น ข้าพเจ้าจึงขอยืมเรือแหวดของหลวงสุนทรภักดีที่บ้านแป้ง ให้คนแจวลงมาจากวัดนิเวศน์ฯ ในเย็นวันนั้น จนใกล้รุ่งสว่างจึงมาถึงบ้าน แต่การที่จะไปทัพนั้นต่อมาอีกสัก ๑๕ วันก็บอกเลิก ด้วยได้ข่าวว่าพวกฮ่อถอยหนีไปหมดแล้ว เพราะรู้ว่าทางหัวเมืองเตรียมกองทัพไว้ไม่ประมาทเหมือนหนหลัง
ตั้งแต่สึกแล้วข้าพเจ้าก็ห่างกับเจ้าคุณอมราฯ มาหลายปี เพราะนานๆ ท่านจึงลงมากรุงเทพฯ ครั้งหนึ่ง แต่เวลาข้าพเจ้าขึ้นไปบางปะอินคราวใดก็ไปหาท่านเสมอ นอกจากตัวข้าพเจ้า ในเจ้านายมีกรมพระสมมตฯ อีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งสนิทชิดชอบกับท่าน เพราะทรงผนวชอยู่วัดราชประดิษฐ์ฯ เมื่อท่านยังอยู่วัดนั้น มักไปหาท่านเหมือนกับข้าพเจ้า เรื่องเนื่องกับประวัติของท่านในระยะนี้ดูเหมือนขุนปฏิบัติชินบุตร บิดาของท่านถึงแก่กรรม (หรือจะถึงแก่กรรมก่อนข้าพเจ้าบวชก็จำไม่ได้แน่) และทรงพระกรุณาโปรดฯ พระราชทานฐานานุศักดิ์ให้ท่านตั้งพระวินัยธร กับพระวินัยธรรมได้อีก ๒ รูป เสมอยศเจ้าคณะจังหวัด นอกจากนั้นก็ที่มีคนศรัทธามาบวชเรียนในวัดนิเวศน์ฯ มากขึ้นจนต้องสร้างกุฏิคณะนอกเพิ่มเติมดังกล่าวมาแล้ว มามีเหตุสำคัญเกิดขึ้นฯ เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๑ ในปีนั้นข้าพเจ้าตามเสด็จขึ้นไปบางปะอินเมื่อเข้าพรรษา ไปถวายพุ่มตามเคยเห็นท่านผ่ายผอมและผิวพรรณหม่นหมองผิดกับแต่ก่อน ถามอาการท่านตอบแต่ว่าไม่ใคร่สบาย ไม่บอกว่าป่วยเจ็บอย่างไร กรมพระสมมตฯ ก็ทรงสังเกตเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน ครั้นเมื่อออกพรรษาตามเสด็จขึ้นไปทอดพระกฐิน ไปหาเจ้าคุณอมราฯ อีก ดูท่านก็ยังหม่นหมองอยู่เช่นนั้น แต่คราวนี้ถามท่าน ท่านบอกให้ทราบว่า ความเบื่อหน่ายสมณเพศเกิดขึ้นแก่ท่านมาหลายเดือนแล้ว เพียรระงับสักเท่าใดก็ไม่ระงับได้ เห็นจะต้องลาสิกขาเป็นสิ้นวาสนาเพียงนั้น กรมพระสมมตฯ กับข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านสึก ต่างอ้อนวอนห้ามปรามท่านก็ไม่ยอม พูดจาชี้แจงแก่ท่านอย่างไรท่านก็โต้แย้ง ประหลาดใจในคำโต้แย้งของท่านนั้น มักยกเอากลอนในเรื่องพระอภัยมณีมาท่องอ้าง ตั้งแต่ข้าพเจ้ารู้จักกับท่านมา ไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องประโลมโลก หรือได้ยินว่าท่านอ่านหนังสือเรื่องใด ซึ่งในทางศาสนาปรับว่าเป็น “ติรัจฉานกถา” มาแต่ก่อน เห็นจะจับอ่านหนังสือพระอภัยมณีเมื่อเกิดไม่สบายนั่นเอง เป็นอันรู้ว่าท่านเป็นโรคซึ่งชาววัดเรียกว่า “โรคกระสัน” อันเป็นเหตุที่พระราชาคณะและเปรียญสึกมาแต่ก่อนโดยมาก ที่จริงพระภิกษุเป็นโรคอย่างนี้มีมาแต่ในพุทธกาล ปรากฏอยู่ในหนังสือเก่าเช่นนิบาตชาดก เป็นต้น หลายเรื่อง แต่พระคันถรจนาจารย์เห็นจะยกมาแสดงเฉพาะเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงสามารถแสดงพระธรรมเทศนาให้กลับใจได้ ในเรื่องเจ้าคุณอมราฯ กรมพระสมมตฯ กับข้าพเจ้าปรึกษากันเห็นว่าอาการโรคหนักเสียแล้วยังมีแต่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงองค์เดียวที่จะทรงห้ามปรามได้ด้วยเจ้าคุณอมราฯ มีความกตัญญูมาก แต่เมื่อไปกราบทูลให้ทรงทราบ มีพระราชดำรัสว่า โรคอาการถึงเช่นพระอมราฯ ยอมให้สึกเสียดีกว่า ถ้าขืนใจให้บวชอยู่ต่อไปอาจจะให้โทษแก่ตัว เมื่อท่านได้ทราบว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจะไม่ทรงขัดขวางก็ถวายพระพรลาสึก เมื่อต้น พ.ศ.๒๔๓๒ เมื่อสึกนั้นอายุได้ ๓๗ ปี บวชเป็นพระภิกษุ ๑๖ พรรษาพลับพลาที่ประทับ รัชกาลที่ ๕ ในพระอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ
สุสานสวนหินดิศกุลอนุสรณ์ที่บรรจุอัษฐิธาตุท่านผู้เป็นบุรพการี - เจ้าจอมมารดาชุ่ม พระสนมเอกรัชกาลที่ ๔
เจ้าจอมมารดา ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ท่านอุบัติเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๗ ถึงอสัญกรรมเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖
บริเวณหน้าพระราชวังบางปะอิน เป็นจุดขึ้นกระเช้าข้ามแม่น้ำไปยังวัดนิเวศธรรมประวัติ
กระเช้าข้ามฟาก ไปยังวัดนิเวศธรรมประวัติ