[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 22:43:13 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระอรหันต์ไม่มีมิจฉาทิฏฐิทางธรรมแล้ว แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิทางโลกอยู่  (อ่าน 4404 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มีนาคม 2554 15:45:55 »

จากกระทู้กฎแห่งกรรมกำลังตามสนองอภิสิทธิ์ สุเทพ กษิต สนธิ และแกนนำพันธมิตรhttp://www.yantip.com/board/view ... 3576&extra=page%3D2  

# ผมphonsak เขียนว่า:

หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเป็นคนพูดว่า "พระเจ้าตากสินไปนิพพานแล้ว" แต่คุณต้องเข้าใจว่า  หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นพระอรหันต์เท่านั้น  ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ท่านจึงมีมิจฉาทิฏฐิได้  มีอีกหลายเรื่องที่หลวงพ่อท่านเข้าใจผิด  แต่ผมคงไม่ต้องการสืบต่อไปในเรื่องนั้น

 คุณocto เขียนว่า:  phonsak

พระพุทธเจ้า ก็เป็นพระอรหันต์ ครับ เคยสวดมนต์แปลใหมครับ พระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง..... น่ะครับ
หากเป็นพระอรหันต์แล้ว มิจฉาทิฏฐิ นั้นไม่มีแล้วครับ

ผมคิดว่าคุณphonsak พูดเพราะขาดสติ และเพราะ......ไม่พูดถึงดีกว่าครับ


...

พระอรหันต์ไม่มีมิจฉาทิฏฐิทางธรรมแล้ว แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิทางโลกอยู่


ตอบคุณ octo และเพื่อนสมาชิกที่ยังไม่เข้าใจเรื่องพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า

พระอรหันต์:  พระอรรถกถาจารย์แสดงความหมายของพระอรหันต์ไว้ 5 นัย คือ

1.ไกลจากกิเลส 2. กำจัดกิเลสได้หมดสิ้น 3. เป็นผู้หมดสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิด 4. เป็นผู้ควรแก่การบูชาพิเศษของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย 5. ไม่มีที่ลับในการทำบาป ไม่มีความชั่วเสียหายที่จะต้องปิดบัง

ด้วยเหตุนี้ พระสุกขวิปัสสก (ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว) ได้อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว

อาสวักขยญาณ = ปฏิบัติได้ จนถึงขั้นจิตละกิเลสทุกชนิด ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวกู ของกู  = ได้ปัญญาวิมุตติ (อรหันต์) ไม่มีมิจฉาทิฏฐิในเรื่องทางโลกุตตระธรรมอีกต่อไป   แต่พระอรหันต์เหล่านี้ยังมีมิจฉาทิฏฐิทางโลกอยู่  มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ไม่มีมิจฉาทิฏฐิทางโลก คือ มีสัมมาทิฏฐิทางโลก  แต่ส่วนใหญ่พระองค์ท่าน ไม่ต้องการพูดเรื่องเหล่านั้น จึงเรียกว่า "ใบไม้นอกกำมือ"  

ผมได้ยกตัวอย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่มีมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจเรื่องราวทางโลกผิดๆ เช่น เรื่องพระเยซู พระเจ้าตากสิน ฯลฯ ที่ผมบอกแล้วว่า ผมไม่ต้องการเขียนเรื่องเหล่านั้น  

พระอรหันต์ที่ได้อาสวักขยญาณ  แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิทางโลกอยู่  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ   หลวงตามหาบัว   หลวงตามหาบัวไม่มีมิจฉาทิฏฐิทางธรรมแล้ว  แต่ท่านยังมีมิจฉาทิฏฐิทางโลกอยู่  

หลักฐาน  

หลวงตามหาบัวเคยถูกลูกศิษย์ คือ นายสนธิ ลิ้ม...หลอกให้ด่าทักษิณ  แล้วอัดเทปเก็บไว้  เอาไปเผยแพร่  จนหลวงตามหาบัวเข็ดเขี้ยวไปจนตาย  ไม่กล้าพูดเรื่องการเมืองอีก  ใครหลอกถามอะไรท่าน  ท่านก็ไม่เอาแล้ว

พระอรหันต์ที่ไม่มีความเข้าใจผิดทางธรรมและทางโลก  มีสัมมาทิฏฐิอยู่ทุกกาล(อกาลิโก) เรียกว่า "สัพพัญญู" คือ ผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้า

พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก ท่านเป็นผู้หลงผิด(มิจฉาทิฏฐิ)ทางโลกมากที่สุด   ส่วนพระอรหันต์ประเภทอื่นก็มีมิจฉาทิฏฐิทางโลกลดน้อยลงตามลำดับ  พระอรหันต์เตวิชโช(ผู้ได้วิชชา 3 คือ 1.บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (รู้ระลึกชาติได้) 2.จุตูปปาตญาณ (รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)อันเป็นที่เกิดจากการเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริงจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น 3.อาสวักขยญาณ (รู้ทำอาสวะให้สิ้น)) มีมิจฉาทิฏฐิทางโลกน้อยกว่าพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก    ส่วนพระอรหันต์ประเภทพระฉฬภิญญะ(ได้อภิญญา 6) และประเภทปฏิสัมภิทัปปัตตะ จะมีมิจฉาทิฏฐิทางโลกน้อยกว่าเพื่อน  

ปฏิสัมภิทัปปัตตะ = ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4 คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง 4 ประการ ได้แก่ อัตถปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในอรรถ ธัมมะปฏิสัมภิทาความแตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาความแตกฉานในภาษา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณไหวพริบ

สรุป

พระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ประเภทเดียวที่ไม่มีมิจฉาทิฎฐิทางธรรมและทางโลก = "สัพพัญญู"

พระอรหันต์ประเภทอื่นล้วนแล้วแต่ไม่มีมิจฉาทิฎฐิทางธรรม = ได้อาสวักขยญาณ  แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิทางโลกอยู่ โดย พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก มีมิจฉาทิฏฐิทางโลกมากที่สุด  ตามด้วยพระอรหันต์เตวิชโช   พระอรหันต์ฉฬภิญญะ(ได้อภิญญา 6) และพระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตตะ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มีนาคม 2554 23:33:32 โดย phonsak » บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 13 มีนาคม 2554 20:43:35 »

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

คุณพลศักดิ ไปหลงเชื่อเปรต เชื่อสัมเวสี ที่มาแอบอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้าชื่อนั้นชื่อนี้ แอบอ้างว่าเป็นพระอรหันต์ชื่อนั้นชื่อนี้อีกแล้ว

ทางโลก ก็เรียกว่าทางโลกียะ นะจ๊ะ
อรหันต์แบบของคุณพลศักดิ์ ยังไม่เข้าขั้นโลกุตระเลย

แล้ว เปรตไม่ได้สอนต่อไป  ด้วยเหรอจ๊ะ ว่า.....

ปโยคของมิจฉาทิฏฐิ ของคุณพลศักดิ์ ก็คือ สาหตฺถิกปโยค คิดเอง นึกเอง เดาเอง เออเอง

สักกะกายะ ทิฎฐิ ก็คือ หลงตนเอง



 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 14 มีนาคม 2554 00:13:02 »

" ก็ได้ประโยชน์นะครับที่เล่าหลักการวิถีทางของความเป็นอรหันต์ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน......แต่ถ้าเราไปปรามาสเข้าโดยมิได้เจตนาก็จะเป็นกรรมได้

ตอบ

การพูดความจริงกับการปรามาสต่างกันตรงที่ การพูดความจริงไม่มีจิตอกุศล ส่วนการปรามาสผู้พูดมีจิตอกุศลในขณะที่พูด

พระพุทธองค์ไม่ได้สอนว่า "เราไปปรามาสเข้าโดยมิได้เจตนาก็จะเป็นกรรมได้"   พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า  'เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ'...แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม...  ด้วยเหตนี้    "เจตนามี กรรมมา  เจตนาไม่มี กรรมไม่มา"
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 มีนาคม 2554 11:08:44 »

" ก็ได้ประโยชน์นะครับที่เล่าหลักการวิถีทางของความเป็นอรหันต์ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน......แต่ถ้าเราไปปรามาสเข้าโดยมิได้เจตนาก็จะเป็นกรรมได้

ตอบ

การพูดความจริงกับการปรามาสต่างกันตรงที่ การพูดความจริงไม่มีจิตอกุศล ส่วนการปรามาสผู้พูดมีจิตอกุศลในขณะที่พูด

พระพุทธองค์ไม่ได้สอนว่า "เราไปปรามาสเข้าโดยมิได้เจตนาก็จะเป็นกรรมได้"   พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า  'เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ'...แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม...  ด้วยเหตนี้    "เจตนามี กรรมมา  เจตนาไม่มี กรรมไม่มา"

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

กรรมแท้ๆๆ

ก็  เจตนาที่จะพูดไง
เจตนา  นี่แหละเรียกว่า สังขาร
เป็นมโนกรรม
เจตนาด้วยอวิชชา หรือ เจตนาด้วยวิชชา ต่างหาก

พูดความจริง แต่เป็นโลกียะ ยังไงก็กรรม

โลกียะสังขาร ยังไงก็กรรม กรรมดำ กรรมขาว ปนเป

แต่โลกุตตรสังขาร เกิดได้แต่กรรมขาว


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 15 มีนาคม 2554 19:40:59 »

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น


เอามาให้คุณพลศักดิ์สองบท จะได้ตาสว่าง
ไม่ไปหลงเชื่อเปรต ที่มาแอบอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้าชื่อนนั้นชื่อนี้
ไม่ไปหลงเชื่อสัมภเวสี ที่แอบอ้างว่า เป็นพระโพธิสัตว์ชื่อนั้นชื่อนี้

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

บทแรก ว่าด้วยสัมมาทิฎฐิ ของพระอริยะที่เป็นโลกุตตระ

บทสอง ว่าด้วยสังขาร และความจงใจ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

    [๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
           

สังขารขันธ์
             สังขารขันธ์ เป็นไฉน
[ทุกมูลกวาร]
             [๖๔] สังขารขันธ์หมวดละ ๑ คือ สังขารขันธ์เป็นจิตตสัมปยุต
             สังขารขันธ์หมวดละ ๒ คือ สังขารขันธ์เป็นเหตุ เป็นนเหตุ
             สังขารขันธ์หมวดละ ๓ คือ สังขารขันธ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็น
อัพยากฤต
             สังขารขันธ์หมวดละ ๔ คือ สังขารขันธ์เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร เป็น
อรูปาวจร เป็นอปริยาปันนะ
             สังขารขันธ์หมวดละ ๕ คือ สังขารขันธ์เป็นสุขินทริยสัมปยุต เป็น
ทุกขินทริยสัมปยุต เป็นโสมนัสสินทริยสัมปยุต เป็นโทมนัสสินทริยสัมปยุต
เป็นอุเปกขินทริยสัมปยุต
             สังขารขันธ์หมวดละ ๖ คือ จักขุสัมผัสสชาเจตนา โสตสัมผัสสชา-
*เจตนา ฆานสัมผัสสชาเจตนา ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา กายสัมผัสสชาเจตนา
มโนสัมผัสสชาเจตนา สังขารขันธ์หมวดละ ๖ ด้วยประการฉะนี้
             สังขารขันธ์หมวดละ ๗ คือ จักขุสัมผัสสชาเจตนา ฯลฯ กาย-
*สัมผัสสชาเจตนา มโนธาตุสัมผัสสชาเจตนา มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเจตนา
สังขารขันธ์หมวดละ ๗ ด้วยประการฉะนี้
             สังขารขันธ์หมวดละ ๘ คือ จักขุสัมผัสสชาเจตนา ฯลฯ สุขสหคต-
*กายสัมผัสสชาเจตนา ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาเจตนา มโนธาตุสัมผัสสชาเจตนา
มโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเจตนา สังขารขันธ์หมวดละ ๘ ด้วยประการฉะนี้
             สังขารขันธ์หมวดละ ๙ คือ จักขุสัมผัสสชาเจตนา ฯลฯ มโนธาตุ-
*สัมผัสสชาเจตนา กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเจตนา อกุสลมโนวิญญาณ-
*ธาตุสัมผัสสชาเจตนา อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเจตนา สังขารขันธ์
หมวดละ ๙ ด้วยประการฉะนี้
             สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ คือ จักขุสัมผัสสชาเจตนา ฯลฯ สุขสหคต-
*กายสัมผัสสชาเจตนา ทุกขสหคตกายสัมผัสสชาเจตนา มโนธาตุสัมผัสสชาเจตนา
กุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเจตนา อกุสลมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเจตนา
อัพยากตมโนวิญญาณธาตุสัมผัสสชาเจตนา สังขารขันธ์หมวดละ ๑๐ ด้วยประการ
ฉะนี้
บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554 20:49:22 »

คนอวดเก่ง เป็นผู้รู้ ชอบใช้วิธีเดิมๆ  เอาพุทธพจน์ข้อความที่ตนเอง ไม่มีวันเข้าใจ กะจะมาถามผม  แต่ก็ไม่กล้าถาม

  คุณกำลังจะถามอะไรผม  ถามมาตรงๆได้เลย  อายครู อวกเก่งต่อหน้าครู ย่อมไม่มีทางได้วิชาไป 

ผมเห็นความประพฤติของคุณดีขึ้น เลิกด่าว่าผู้เป็นอาจารย์ก่อนถามแล้ว  ผมเลยเปิดโอกาสให้ถามได้
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 19 มีนาคม 2554 22:13:24 »

คนอวดเก่ง เป็นผู้รู้ ชอบใช้วิธีเดิมๆ  เอาพุทธพจน์ข้อความที่ตนเอง ไม่มีวันเข้าใจ กะจะมาถามผม  แต่ก็ไม่กล้าถาม

  คุณกำลังจะถามอะไรผม  ถามมาตรงๆได้เลย  อายครู อวกเก่งต่อหน้าครู ย่อมไม่มีทางได้วิชาไป 

ผมเห็นความประพฤติของคุณดีขึ้น เลิกด่าว่าผู้เป็นอาจารย์ก่อนถามแล้ว  ผมเลยเปิดโอกาสให้ถามได้

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ไม่ถามคุณพลศักดิหรอก

เรื่องอะไรจะไปเสพทุกข์อัน ประกอบด้วยโทษ ไม่เป็นประโยชน์ ฯ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

บันทึกการเข้า
phonsak
นักโพสท์ระดับ 8
***

คะแนนความดี: +1/-2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 306


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 20 มีนาคม 2554 15:08:34 »

คนอวดเก่ง เป็นผู้รู้ ชอบใช้วิธีเดิมๆ  เอาพุทธพจน์ข้อความที่ตนเอง ไม่มีวันเข้าใจ กะจะมาถามผม  แต่ก็ไม่กล้าถาม

  คุณกำลังจะถามอะไรผม  ถามมาตรงๆได้เลย  อายครู อวกเก่งต่อหน้าครู ย่อมไม่มีทางได้วิชาไป 

ผมเห็นความประพฤติของคุณดีขึ้น เลิกด่าว่าผู้เป็นอาจารย์ก่อนถามแล้ว  ผมเลยเปิดโอกาสให้ถามได้


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ไม่ถามคุณพลศักดิหรอก

เรื่องอะไรจะไปเสพทุกข์อัน ประกอบด้วยโทษ ไม่เป็นประโยชน์ ฯ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น




ใช่แล้ว... ความอยากรู้อยากเห็น แล้วไม่รู้ เป็นเหตุแห่งความทุกข์   แต่อย่าไปทะลึ่งเอาสิ่งที่ตนไม่รู้จริง  ไปสอนคนอื่น  และอย่าไปขัดขวางผู้ที่เขาอยากรู้ด้วย
บันทึกการเข้า
armageddon
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 8
*

คะแนนความดี: +2/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 229


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 20 มีนาคม 2554 20:32:28 »

คนอวดเก่ง เป็นผู้รู้ ชอบใช้วิธีเดิมๆ  เอาพุทธพจน์ข้อความที่ตนเอง ไม่มีวันเข้าใจ กะจะมาถามผม  แต่ก็ไม่กล้าถาม

  คุณกำลังจะถามอะไรผม  ถามมาตรงๆได้เลย  อายครู อวกเก่งต่อหน้าครู ย่อมไม่มีทางได้วิชาไป 

ผมเห็นความประพฤติของคุณดีขึ้น เลิกด่าว่าผู้เป็นอาจารย์ก่อนถามแล้ว  ผมเลยเปิดโอกาสให้ถามได้


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ไม่ถามคุณพลศักดิหรอก

เรื่องอะไรจะไปเสพทุกข์อัน ประกอบด้วยโทษ ไม่เป็นประโยชน์ ฯ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น




ใช่แล้ว... ความอยากรู้อยากเห็น แล้วไม่รู้ เป็นเหตุแห่งความทุกข์   แต่อย่าไปทะลึ่งเอาสิ่งที่ตนไม่รู้จริง  ไปสอนคนอื่น  และอย่าไปขัดขวางผู้ที่เขาอยากรู้ด้วย

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ม่ะใช่ผมหรอกครับ

ที่ทะลึ่งน่ะ เป็นคุณพลศักดิ์มหาเกรียนสิบประโยคตะหาก

รู้งูๆปลาๆแบบจับแพชนแกะ จะต่อยอดไปยังไงก็พัง
เมื่อพื้นฐานไม่มี อ่านบาลีก็ไม่ออก ก็เลย ก็อ่านพระไตรปิฎก ตีความมั่วส่งเดช

เห็นคุณมหาเกรียน ไปเวปญาณทิพย์ อ่านบาลีไม่ออก  ตีความมั่วๆ หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.409 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 20 กุมภาพันธ์ 2567 19:31:48