[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 15:07:27 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สนทนาธรรมแบบเซน ที่ส่งเสียงเฮได้... กับ ติช นัท ฮันห์  (อ่าน 1021 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 27 มิถุนายน 2559 04:43:12 »



ย้อนไปเมื่อผมไปร่วมทำกิจกรรมภาวนา (retreat) กับหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ (พระเซนเวียดนามเจ้าสำนัก Plum Village ที่ฝรั่งเศส) ที่เชียงใหม่ได้ฟังการสนทนาธรรมที่สนุก...และได้ “ตระหนักรู้” ว่าศาสนาพุทธของเรานี่ก็สร้างความหรรษาได้, ไม่จำเป็นต้องเครียดเลยแม้แต่น้อย

และยังได้พบญาติทางธรรมอีกมากมายหลายท่านรวมทั้งคุณเมตตา อุทกะพันธุ์, ประธานบริหารของอมรินทร์พริ้นติ้ง, ที่เป็นเจ้าของนิตยสาร “ชีวจิต”

เพิ่งเห็นว่าระหว่างการแลกเปลี่ยนคำถาม, คำตอบเรื่องศาสนาพุทธนั้น, ก็มีจังหวะที่ส่งเสียงหัวเราะและ “เฮ” กันได้อีกด้วย

บทสนทนาธรรมเริ่มด้วยหลวงปู่ให้เด็กน้อย ๆ ตั้งคำถามก่อน...และก็เจอดีตั้งแต่คำถามแรกเลย

ถาม...ทำไมตอนเช้าต้องมีพระอาทิตย์ด้วย?

ตอบ...ทำไมมีไม่ได้ล่ะ? (Why not? Thank you) (เฮ)

ถาม...ทำไมพระต้องใส่แว่นด้วย?

ตอบ....มีแต่พระบางรูปที่ใส่แว่น แต่หลาย ๆ ท่านไม่ใส่แว่น...คนที่ไม่ได้เป็นพระก็เหมือนกัน

ถาม....แต่หนูไม่เห็นพระที่กรุงเทพฯใส่แว่น?

ตอบ...นั่นไง...มีพระหนึ่งรูปจากกรุงเทพฯที่ใส่แว่น (เฮ)

ต่อมาก็เป็นทีของวัยรุ่นที่จะถามบ้าง

ถาม...ความสุขคือการตรัสรู้ใช่หรือไม่? เด็ก  ๆ ดูเหมือนมีความสุขกว่า...พวกเขาตรัสรู้ง่ายกว่าใช่หรือไม่?

ตอบ..คำว่าตรัสรู้ตรงข้ามกับความสับสนและความโง่เขลา...เมื่อเรามีความสับสน, เราไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลา, เราทำลายตัวเองและทำให้คนอื่นเป็นทุกข์...การตรัสรู้หมายถึงการรู้ทุกอย่างอย่างชัดเจน ทำให้บรรเทาความทุกข์ของเราได้...ความสุขที่แท้จริงคือการตระหนักรู้ว่าเรากำลังมีความสุขอยู่...สังเกตเด็ก ๆ จะเห็นว่าพวกเขาอยู่ในสรวงสวรรค์ ไม่คำนึงถึงอดีตหรืออนาคต แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขามีความสุข...เมื่อเราตระหนักรู้ว่าเรากำลังมีความสุขหรือกำลังไม่มีความสุข, นั่นก็คือการตรัสรู้อย่างหนึ่งแล้ว

ถาม...เมื่อเราพยายามเพ่งในการหายใจเข้าออก, และมีความคิดหรืออารมณ์เกิดขึ้น,เราจะจัดการกับมันอย่างไร?

ตอบ...เมื่อเราเพ่งลมหายใจของเรา, เราก็เอาจิตของเรากลับมาหาเรา ลมหายใจที่มีสติทำให้เรามีพลัง สติคือพลังที่ทำให้เราตระหนักรู้ และโอบอุ้มความรู้สึก....ตอนแรก ๆ...อาจจะใส่ใจตามลมหายใจเข้าออก, หายใจเข้า, เราตระหนักรู้, หายใจออก, เราปลดปล่อยความตึงเครียดในความรู้สึกของฉัน...หนุ่มสาวอาจจะไม่รู้จักวิธีการดูแลอารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น...พวกเขาฆ่าตัวตายเพราะคิดว่าการตายคือหนทางแห่งการออกจากอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น...เราจึงต้องสอนให้คนหนุ่มสาวโอบรัดความรู้สึกรุนแรงและเปลี่ยนแปลงความรู้สึกรุนแรงนั้น...

ความรุนแรงเหมือนพายุ, มันมาแล้วก็พา, ทำไมเราต้องตายเพราะอารมณ์รุนแรงงนั้นเล่า?

...เรายิ่งใหญ่กว่าอารมณ์เดียวอย่างนั้น...ถ้าเรารู้วิธีควบคุมอารมณ์นั้น, เราสามารถเปลี่ยนและทำให้มันสงบลงได้...การฝึกหายใจเข้าออกอย่างมีสติเป็นวิธีการจัดการกับอารมณ์รุนแรงอย่างดียิ่ง...เพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การขึ้นลงของท้อง (ใต้สะดือ) ติดตามและเฝ้าสังเกตการหายใจเข้าออก...เพียง ๕ นาที, อารมณ์รุนแรงก็สงบลงได้...แต่ต้องไม่รอให้เกิดอารมณ์รุนแรงแล้วจึงเริ่มปฏิบัติ เพราะเมื่อถึงเวลาอารมณ์รุนแรง, เราจะลืมปฏิบัติ...ควรเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้...ฝึกทุกวันละ ๕ นาที, และภายใต้ ๓ อาทิตย์ก็จะกลายเป็นนิสัยของเรา...เมื่ออารมณ์รุนแรงเกิดขึ้น, เราก็จะจำได้ที่จะฝึกปฏิบัติ...ถ้าเราสามารถควบคุมอารมณ์เช่นนี้ได้, เราก็จะไม่มีความกลัวกับความอารมณ์รุนแรงที่จะเกิดขึ้นอีก...เมื่อเด็กกำลังร้องไห้, ก็เชิญชวนให้เด็กทำลมหายใจเข้าออก...เราควรจะสอนเด็กอายุ ๑๒, ๑๓ ,๑๔ ทำวิธีลมหายใจเข้าออกอย่างนี้...เราจะช่วยชีวิตเขาได้...ในประเทศฝรั่งเศส, มีเด็กหนุ่มสาวฆ่าตัวตายมาก ที่ฮ่องกง, ก็มีคนรุ่นใหม่ปลิดชีวิตตัวเองวันละเป็นสิบคน, เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีจัดการกับอารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น...ที่อังกฤษและอัฟริกาก็เหมือนกัน...เราจึงต้องฝึกปฏิบัติการหายใจเข้าออกให้ได้...

ถาม...การนั่งฝึกหายใจเข้าหายใจออกที่บอกตัวเองว่าหายใจเข้า, เราเป็นดอกไม้, หายใจออกเราสดชื่น...อย่างนี้เป็นการสะกดจิตหรือเปล่า?

ตอบ...การนั่งสมาธิแบบมีบทนำเป็นการสอนสำหรับผู้เริ่มต้น... ถ้ามีการร่วมงานภาวนาที่มีหลายวันมากกว่านี้ก็จะมีวิธีนั่งสมาธิแบบอื่น ๆ ด้วย...เราจะมีโอกาสนั่งสมาธิเงียบตลอดช่วงเวลานั้น...ผมได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่สอนวิธีนั่งสมาธิประมาณ ๕๐ บทให้ผู้เริ่มต้นฝึก...ที่หมู่บ้านพลัม, บางครั้งเราก็นั่งสมาธิแบบมีบทนำสัก ๑๕ นาที, หลังจากนั้นก็ให้นั่งสมาธิแบบเงียบ...เพื่อช่วยในการจินตนาการภาพ, ทำให้ทำสมาธิได้ง่ายขึ้น...นึกภาพถึงดอกไม้ก็ทำให้รู้สึกความสดชื่นได้ง่ายขึ้น...ถ้านึกภาพภูเขา, ก็รู้สึกถึงความมั่นคงได้ง่ายขึ้น...ภาพเหล่านี้เพียงช่วยให้เรามีสมาธิได้ง่ายขึ้นเท่านั้น..ไม่ใช่การสะกดจิต...ความจริงมนุษย์ก็เป็นดอกไม้ประเภทหนึ่ง, นี่ไม่ได้พูดเกินความจริงเลย...เพราะมันเป็นความจริง, ไม่ใช่แค่จิตนาการ...เรามีความสดชื่นในความเป็นมนุษย์แต่บางครั้ง, เราอาจจะสูญเสียความสดชื่น, เราจึงต้องเรียกความสดชื่นกลับคืนมา...ท่านั่งขัดตะหมาดดอกบัวเป็นท่านั่งที่สวยที่สุดท่าหนึ่งของมนุษย์...ในการนั่งสมาธิ, เราต้องการประสานกายและใจให้เข้ามาหากัน...หลังจากนั้น, เราก็สามารถเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นหัวเรื่องของการทำสมาธิเช่นความโกรธ, ความตายของเพื่อน, ดอกไม้...เป็นต้น...คนทำสมาธิกับนักวิทยาศาสตร์มีความเหมือนกัน...ต่างกันแต่เพียงว่านักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องไม้เครื่องมือในการค้นหา แต่คนทำสมาธิใช้การเจริญสติเป็นเครื่องมือในการค้นพบความจริงมากมาย...

ถาม...ถ้าเราไม่ได้โกรธเขาแล้ว, แต่เขายังโกรธเราอยู่...เราอยู่บ้านเดียวกัน, แต่ไม่พูดจากัน, จะแก้ไขอย่างไร?

ตอบ...ถ้าคุณไม่โกรธแล้วจริง ๆ ก็ต้องแสดงออกด้วยสายตาด้วยท่าทีในการทักทายคนคนนั้น...เราก็ต้องยิ้มให้เขา, ถ้าเราทำอย่างต่อเนื่อง, เราก็จะเริ่มสื่อสารกับคนคนนั้นได้...และอย่างที่สองที่ทำได้คือเขียนจดหมายให้เขา, บอกเขาว่าเราทุกข์ขนาดไหน, และเราได้หายโกรธแล้ว และหวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะหายโกรธและทุกข์น้อยลง..อย่างที่สามที่จะทำได้คือหาใครสักคนหนึ่งที่เข้าใจได้ให้ไปพูดกับคนนั้นเพื่อให้เขาระบายความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเรา...เพื่อให้บุคคลที่สามนำมาบอกเราให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น

ถาม...เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มา ๓๒ ปี แต่ยังเป็นนักเรียนที่ไม่ดี เพราะงานที่ทำหนักและเครียด จะทำอย่างไรดี?

ตอบ...ต้องฝึกปฏิบัติเป็นประจำกับสังฆะ ต้องหาเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ มาดื่มน้ำชาด้วยกันเพื่อจัดให้พบกันทุกสัปดาห์เพื่อปฏิบัติร่วมกันได้อย่างไร หลวงปู่มีความสุขเสมอเพราะมีสังฆะอยู่ด้วยตลอดเวลา

ถาม...ผมอยู่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้, เราดูแลตัวเองได้ แต่เราจะช่วยปกป้องคนอื่นได้อย่างไร...ฆราวาสควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์ที่มีความรุนแรงเช่นนี้?

ตอบ...มีวิธีทำให้ความรู้สึกของคนทางใต้ให้สงบลง เราควรใช้การฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) ที่จะใช้วิธีการทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจกันมากขึ้น...ประวัติศาสตร์ของไทยเราบอกว่าคนไทยสามารถดูแลพี่น้องมุสลิมอย่างไร จึงไม่มีเหตุผลที่จะทำไม่ได้ในอนาคต...ความเป็นจริงในอดีตก็คือพี่น้องชาวพุทธกับพี่น้องชาวมุสลิมก็อยู่ด้วยกันได้อย่างดี...ด้วยความช่วยเหลือของทุก ๆ ฝ่ายรวมทั้งของสื่อมวลชนที่จะเป็นสื่อกลางเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกัน...เราอาจจะจัดให้เกิดการประชุมเพื่อเชิญผู้นำอิสลามที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจดีเพื่อฟังท่านพูดอย่างลึกซึ้ง...พี่น้องชาวอิสลามของเราอาจจะได้ประสบกับเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงหรือกลัวหรือความระแวงสงสัย...เราต้องประกาศชัดเจนว่าเราต้องการฟังพวกเขาอย่างลึกซึ้ง...เราต้องปฏิบัติต่อชาวอิสลามในฐานะพี่น้องของเราเองอย่างแท้จริง...ต้องกล่าวเชื้อเชิญให้พวกเขาเสนอทางออกที่จะทำให้ชีวิตพวกเขามีความสุขมากขึ้น..การประชุมอย่างนี้อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เพราะจะได้มีการพูดจากันอย่างละเอียดครบถ้วน...ระหว่างที่พวกเขาพูด, ก็ไม่ควรจะมีการโต้ตอบ...และบุคคลที่จะเข้ามาร่วมประชุมควรจะเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพทั้งจากฝ่ายพุทธและฝ่ายอิสลาม ... เราต้องให้ความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการแก้แค้น...และในอาทิตย์สุดท้ายชาวพุทธอาจจะต้องให้ข้อมูลเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหลายที่มีอยู่เพื่อให้พ้นจากความทุกข์...และอาจจะต้องจัดการประชุมอย่างนี้โดยกลุ่มเอ็นจีโอหรือองค์กรที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาล...ถ้าเราประยุกต์ใช้คำสอนของพระพุทธเจ้า, เราก็จะสามารถนำสันติภาพกลับมาสู่ประเทศชาติอีกครั้งหนึ่ง

เป็นการสนทนาธรรมที่ยิ้มได้ทั้งบนใบหน้าและในหัวใจจริง ๆ

จาก http://www.oknation.net/blog/suthichai/2013/10/09/entry-1

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความรักหรือไมตรี โดย ติช นัท ฮันห์
กระบวนการ NEW AGE
เงาฝัน 3 3115 กระทู้ล่าสุด 04 กุมภาพันธ์ 2553 10:18:22
โดย เงาฝัน
ติช นัท ฮันห์ พระสงฆ์ชื่อดัง นำนักบวชแปดสิบรูปเยือนไทย
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 2028 กระทู้ล่าสุด 05 กันยายน 2553 08:52:18
โดย มดเอ๊ก
“๓ ทศวรรษสายธารความคิด ติช นัท ฮันห์ กับสังคมไทย”
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 11 5137 กระทู้ล่าสุด 11 มีนาคม 2554 14:48:03
โดย wondermay
เป็นเพียง เครื่องนำทาง.. :ติช นัท ฮันห์
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 0 1330 กระทู้ล่าสุด 10 กุมภาพันธ์ 2556 12:06:37
โดย เงาฝัน
ปรมาจารย์เซนโลก 'พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์' ลุยจาริกธรรมเมืองไทย
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 2 2202 กระทู้ล่าสุด 27 มีนาคม 2556 20:53:45
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.414 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 08 กุมภาพันธ์ 2567 04:14:08