[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 07:28:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: นิมิตมหัศจรรย์ : หลวงพ่อหยก พระหยกเขียว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก 'วัดธรรมมงคล'  (อ่าน 2798 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 48.0.2564.270 Chrome 48.0.2564.270


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2559 23:53:46 »



<a href="https://www.youtube.com/v/PcYRx2zHtAM" target="_blank">https://www.youtube.com/v/PcYRx2zHtAM</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/Za8wZOp2iX0" target="_blank">https://www.youtube.com/v/Za8wZOp2iX0</a>

นิมิตมหัศจรรย์:หลวงพ่อหยก "วัดธรรมมงคล"

โดย สายทิพย์


เมื่อประมาณปี พ.ศ.2535 เราคนไทยคงจะจำข่าวอันเป็นมงคลเกี่ยวเนื่องทางพระพุทธศาสนากันได้ เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมทางหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ไม่เว้นแม้แต่โทรทัศน์ที่สนใจติดตามข่าวโดยนำไปเผยแพร่ถึงความมหัศจรรย์ที่เราได้พบหยกสีเขียวขนาดมหึมา ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากที่รอคอยมานานแสนนาน

ความต้องการรัตนชาติล้ำค่าชนิดนี้ เกิดขึ้นจากปณิธานของ พระราชธรรมเจติยาจารย์ หรือหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล กรุงเทพฯ พระสงฆ์รูปนี้ท่านเป็นศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาสักองค์หนึ่ง เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสืบไปภายหน้า ซึ่งวัตถุที่หลวงพ่อต้องการจะนำมาแกะสลักพระตามที่ท่านกำหนดไว้ในใจก็คือ หยกสีเขียว ขนาดใหญ่และบริสุทธิ์ จึงหาได้ยากยิ่งในเมืองไทยและต่างประเทศ แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อที่จะรอคอย

มาในภายหลังหลวงพ่อวิริยังค์ท่านทราบข่าวว่าในประเทศแคนาดามีบริษัททำเหมืองหยก ท่านจึงได้เดินทางไปยังประเทศแคนาดาในปี พ.ศ.2530 การเดินทางครั้งนั้นท่านเดินทางไปพร้อมกับลูกศิษย์ของท่าน เพื่อไปสืบหาหยกสีเขียวมาแกะสลักให้ได้ แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วก็ยังไม่พบหยกตามต้องการ ท่านจึงเข้าพบเจ้าของบริษัททำเหมืองหยก ขอสั่งจองก้อนหยกขนาดใหญ่ไว้ หากขุดได้ท่านจะซื้อกลับมาเมืองไทย

จากนั้นท่านและคณะศิษย์ก็ได้เดินทางกลับมารอฟังข่าวที่เมืองไทย เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆก็ยังไม่มีข่าวดีสักที เพราะแม้ทางเหมืองจะขุดพบหยกสีเขียว และนำขึ้นมาได้ก็ยังไม่ได้ขนาดตามที่หลวงพ่อต้องการ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 5 ปี ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2534 ช่วงเวลาตีสาม ซึ่งเป็นเวลาที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้นำพระภิกษุ สามเณรในวัดธรรมมงคลลุกขึ้นนั่งสมาธิเป็นปกติ ขณะที่ท่านนั่งสมาธิก็ได้เกิดนิมิตเห็นหยกสีเขียวบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมาปรากฏ เมื่อออกจากสมาธิท่านจึงมั่นใจว่าคราวนี้จะต้องได้พบหยกสีเขียวตามที่ตั้งใจไว้แน่ๆ ท่านจึงกำหนดเดินทางไปยังประเทศแคนาดาอีกครั้ง

ทันทีที่ได้ไปถึงเมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ซึ่งเป็นรัฐใหญ่ของประเทศแคนาดา ท่านก็ทราบข่าวว่ามีการขุดพบหยกสีเขียว ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการขุดพบมา ซึ่งสถานที่พบหยกก้อนนี้ไม่ใช่ที่เหมืองหยก แต่เป็นเหมืองทองคำของ นายจอห์น สกัสเลอร์ ชาวเยอรมัน นายจอห์นผู้นี้เข้ามาแสวงโชคในแคนาดาด้วยการทำเหมืองหาสินแร่ทองคำนานหลายสิบปีแล้ว กิจการนับว่ารุ่งเรืองและการขุดพบหินหยกครั้งนี้เป็นการพบโดยไม่คาดฝันมาก่อน ซึ่งวันที่ขุดพบก็ตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2535 ตรงกับวันที่หลวงพ่อวิริยังค์ท่านนั่งสมาธิมีนิมิตเห็นหยกสีเขียวพอดี ดูจะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ไม่น้อย นายจอห์นเล่าว่าวันนั้นขณะกำลังคุมงานขุดหาแร่ทองคำตามปกติ จู่ๆเขาก็เกิดความต้องการจะให้คนงานขุดเจาะลงไปยังที่แห่งหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผลและไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะอะไรจึงอยากให้ขุดบริเวณนั้นขึ้นมา ซึ่งเมื่อคนงานเริ่มขุดเจาะผิวดินและหินก็พบว่าตรงบริเวณนั้นมีสายแร่ทองคำมากพอสมควร จึงให้ขุดต่อไปอีก เมื่อขุดต่อไปสายแร่ทองคำก็หายไป นายจอห์นก็จะบอกให้หยุดขุดเพียงเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไรจึงพูดไม่ออกและน่าแปลกที่คนงานซึ่งกำลังขุดก็ไม่ทักท้วง ทั้งๆที่ไม่ได้แร่ทองคำขึ้นมาเลย คล้ายกับมีพลังอำนาจจากอะไรบางอย่างบังคับให้ขุดต่อไป จนในที่สุดความอัศจรรย์ก็บังเกิดเมื่อมีการขุดพบก้อนหยกสีเขียวขนาดมหึมาอยู่ภายในหลุมลึก เป็นหยกสีเขียวที่สมบูรณ์สวยงาม ไร้รอยตำหนิ เพียงก้อนเดียวที่มาผุดในเหมืองทองคำ และน่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือจากการสันนิษฐานจากนักธรณีวิทยาผู้ร่วมทีมขุดและจากความเชี่ยวชาญของนายจอห์นเอง ทำให้แน่ใจว่าหยกก้อนนี้ไม่ใช่หยกที่เกิดขึ้นในสถานที่นี้ แต่หยกก้อนนี้ได้เคลื่อนตัวจากยอดเขาสูงสุดคือยอดเขาคิงส์เม้าน์เทนลงมา และใช้เวลาเคลื่อนไหลไม่ต่ำกว่า 8,000-10,000 ปีอย่างแน่นอน กว่าจะมาปรากฏ ณ ที่ขุดพบ

และหลังจากขุดพบหยกก้อนนี้ก็ต้องใช้เวลาถึง 7 วัน กว่าจะนำขึ้นจากดินได้โดยไม่มีส่วนใดบุบสลาย ฝ่ายเจ้าของเหมืองคือนายจอห์นนั้น ยิ่งพอรู้ว่าหลวงพ่อวิริยังค์ต้องการติดตามสืบหาหยกเขียวบริสุทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อนำไปแกะสลักองค์พระพุทธรูปเป็นตัวแทนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะประดิษฐ์ไว้ในประเทศไทยก็ยิ่งขนลุกด้วยความปีติ เขาเชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้เป็นปาฏิหาริย์แน่นอน หยกก้อนนี้ต้องมีเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยเฝ้าปกปักรักษาไว้เพื่อเป็นรัตนชาติในพระพุทธศาสนาเท่านั้น จึงบันดาลให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น

เมื่อรัตนชาติสีเขียวก้อนนี้เดินทางมาเมืองไทยก็ได้มีพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ และหลังจากเสร็จสิ้นพิธีก็ต้องเฟ้นหาช่างฝีมือเพื่อมาแกะสลักหยกให้เป็นองค์พระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่างแกะสลักฝีมือเยี่ยมที่สุดในโลกมีอยู่ที่ประเทศอิตาลีเท่านั้น ดังนั้น หลวงพ่อวิริยังค์จึงต้องเดินทางไปประเทศอิตาลีอีกครั้ง เพื่อไปติดต่อช่างแกะสลักนายหนึ่งชื่อว่า เปาโล เวี้ยกกี้ โดยที่ไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า ทราบแต่เพียงว่าช่างคนนี้เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยด้วย แต่เมื่อคณะของหลวงพ่อเดินทางไปถึงก็ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยปิดและไม่สามารถติดต่อช่างเปาโลได้เลย เพราะไม่รู้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ ทำให้หลวงพ่อผิดหวังอย่างยิ่งจึงต้องเดินทางกลับเมืองไทย

แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะก่อนที่จะเดินทางในวันรุ่งขึ้น คณะของหลวงพ่อได้พากันไปซื้อรองเท้าที่ร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่ช่างเปาโลก็เข้าไปซื้อรองเท้าในร้านเดียวกัน จึงได้เจรจารายละเอียดและนัดหมายในเรื่องการแกะสลักพระพุทธรูปหยกเขียว หลังจากนั้นช่างเปาโลและช่างอีกคนหนึ่งชื่อ ซีซี่ก็เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อทำการแกะสลักหยกสีเขียวเป็นองค์พระพุทธรูป ซึ่งมีการเปิดเผยในภายหลังจากปากของช่างเปาโลว่า เขารู้สึกประหลาดใจมากในการมาแกะสลักพระพุทธรูปหยกครั้งนี้ เพราะขณะที่เขากำลังแกะสลักนั้น มันเหมือนกับมีแม่เหล็กมาดูดที่มือเขาตลอดเวลา และตามความรู้สึกของเขานั้นเหมือนกับพระพุทธเจ้า เสด็จมาคอยให้เห็นอยู่ตรงหน้าและเวลาฝันก็จะฝันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยครั้ง

จากเรื่องราวทั้งหมดทำให้เราได้สัมผัสกับความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ ซึ่งปัจจุบันถูกประดิษฐานอยู่บนชั้น 3 ของศาลาพระปรมาภิไธยย่อภปร. ภายในวัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101 องค์พระพุทธรูปหยกเขียวนี้ มีพระนามเต็มว่า พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย หรือ หลวงพ่อหยก ซึ่งโดยพุทธลักษณะแล้วเป็นพระพุทธรูปที่ถูกบรรจงแกะสลักอย่างงดงามและหาดูได้ยากยิ่ง

---------------------------

ที่มา: นิตยสารหญิงไทย
ฉบับที่ 747 ปีที่ 32 ปักษ์หลัง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549

 
จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,11052.msg40889/topicseen.html#msg40889

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 48.0.2564.270 Chrome 48.0.2564.270


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2559 23:54:22 »



หยก กับพระพุทธรูป

พันธุ์แท้พระเครื่อง ราม วัชรประดิษฐ์

"หยก" หรือที่ตามตำนานจีนเรียกกันว่า "หินแห่งสรวงสวรรค์" เข้ามามีบทบาทผูกพันกับวิถีชีวิตของมนุษย์มานานกว่า 4,000 ปีแล้ว มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน ก่อนที่จะกระจายไปทั่วทุกมุมโลกทั้งแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก ความศรัทธาและความเชื่อในอำนาจลี้ลับของ "หยก" เป็นสิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ ไม่เพียงแต่ชาวจีนเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึงคุณค่าอันนอกเหนือจากความงามอันเป็นเอกลักษณ์ แม้กระทั่งชาวอเมริกา อเมริกากลาง และทวีปยุโรป ฯลฯ ก็ต่างมีความศรัทธาในอำนาจลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับแพทยศาสตร์ว่า "หยก" สามารถช่วยบำบัดรักษาโรคไตและโรคทางเดินปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังพบว่าบางคนสามารถคาดคะเนสภาพลมฟ้าอากาศจากการสังเกตสี ของ "หยก" ถ้าหากหยกปรากฏสีมัวหมองน่าสะพรึงกลัว เป็นลางบอกเหตุว่าพายุร้ายกำลังจะมา หรือแม้กระทั่งเรื่องสุขภาพ หลายๆ คน เชื่อว่า ถ้าหยกที่สวมใส่อยู่มีสีสันสดใสแวววาว แสดงว่าผู้สวมใส่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ จิตใจแจ่มใส มีสง่าราศี และโชคลาภ แต่ถ้าหยกนั้นมีสีหม่นหมองไม่ส่องประกาย แสดงว่าสุขภาพจะอ่อนแอ จิตใจหมองมัว กำลังมีทุกข์หรืออับโชค เป็นต้น

จากความศรัทธาและความเชื่อต่างๆ ดังกล่าวมานี้ ทำให้มีผู้คิดค้นสัญลักษณ์แบบประติมากรรมหยก โดยนำมาผนวกกับศาสตร์ทางดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และศาสตร์ในการคำนวณตัวเลข ประมาณ 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงต้นราชวงศ์ชาง ได้มีการใช้สัญลักษณ์แบบประติมากรรมหยกนี้ในการพยากรณ์พระประสงค์ของพระเจ้าและเหตุการณ์ธรรมชาติต่างๆ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ อันนับว่ามีความ ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว และคุณสมบัติสำคัญของ "หยก" คือจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพ ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามานานเท่าใด เมื่อสองร้อยปีเป็นอย่างไรปัจจุบันก็เหมือนเดิมทุกประการ ต้องใช้ความสามารถของผู้ชำนาญการด้านนี้จริงๆ จึงจะสามารถแยกคุณลักษณะพิเศษของหยกแต่ละยุคสมัยได้

สำหรับประเทศไทยเรา นอกเหนือจากพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ "พระแก้วมรกต" ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ พระคู่บ้านคู่เมืององค์สำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ยังมีพระพุทธรูปหยกอีกมากมายประดิษฐานแทบทุกจังหวัด เพื่อให้สาธุชนได้กราบขอพรทั้งเรื่องโชคลาภและสุขภาพ โดยฉบับนี้จะขอกล่าวถึง "พระพุทธรูปหยก" องค์สำคัญอีกองค์ ที่นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งของโลก นั่นคือ "พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย" หรือ "หลวงพ่อหยก วัดธรรมมงคล" พระพุทธรูปหยกปางสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตักกว้าง 1.66 เมตร และสูง 2.2 เมตร



มูลเหตุสืบเนื่องจาก พระราชธรรมเจติยาจารย์ หรือ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ได้นิมิตเห็นหยกสีเขียวบริสุทธิ์ก้อนใหญ่ที่สุดในโลกได้กำเนิดขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ไปพบเห็นหยกเขียวก้อน มหึมา น้ำหนักถึง 32 ตัน ที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2534 ซึ่งขุดค้นพบโดย นายจอห์น สกุสเลอร์ ที่เหมืองทอง แต่สันนิษฐานว่าถิ่นกำเนิดหยกก้อนนี้คือ ยอดเขาคิงส์เมาน์เท่น ซึ่งเคลื่อนตัวมาที่บ่อทองคำ คำนวณการเดินทางโดยประมาณ 8,000 ถึง 10,000 ปี จึงดำเนินการติดต่อจนได้มาเป็นกรรมสิทธิ์ โดยขนส่งถึงวัดธรรมมงคลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535

หยกก้อนนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นำมาแกะสลักเป็นองค์พระพุทธรูป "หลวงพ่อหยก" ส่วนที่ 2 นำมาแกะสลักเป็นเจ้าแม่กวนอิม และส่วนที่เหลือจากการแกะสลักองค์ใหญ่ ได้นำมาแกะสลักเป็นองค์เล็กๆ เพื่อให้สาธุชนที่เดินทางมาวัดธรรมมงคลได้เช่าบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยใช้ช่างแกะสลักผู้มีชื่อเสียงและชำนาญการจากประเทศอิตาลี ถึง 3 คน และใช้เวลานานถึง 12 เดือน จึงแล้วเสร็จเป็นองค์พระพุทธรูป เนื่องจากหยกเป็นหยกเนื้อดีและมีความแข็งมาก

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามว่า "พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย"

ปัจจุบัน "พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย" หรือ "หลวงพ่อหยก" ประดิษฐาน ณ ศาลา ภ.ป.ร. หรือศาลาหลวงพ่อหยก วัดธรรม มงคล ถนนสุขุมวิท 101 ซอยปุณณวิถี 20 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ

จาก http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOekl4TURjMU9BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE5TMHdOeTB5TVE9PQ==
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.42 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 30 มีนาคม 2567 16:13:00