[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 21:12:26 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ฝัน-บ่อยเหลือเกินกับการแปลว่าถูกหรือไม่ถูก  (อ่าน 1475 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5068


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 20 มีนาคม 2554 08:11:11 »



 เคยเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับความฝันที่ตัวเองเคยฝันและมีประสบการณ์ลงในไทยโพสต์หลายครั้งมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆ นี้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่ต้องเล่าเรื่องความฝันที่สำหรับผู้เขียนยิ่งแก่ตัวลงก็ยิ่งฝันบ่อยขึ้น จนกระทั่งนอนหลับไม่ได้เป็นต้องฝันทุกครั้ง คือว่าฝันทุกวันไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนขอให้หลับเท่านั้นก็จะต้องฝัน จะหลับนานเท่าไหร่ก็ต้องฝัน และ แปลก! ที่ความฝันของผู้เขียนจะต้องมีสองอย่างประกอบกันเสมอ คือฝันนั้นต่อได้ และความฝันจะเหมือนเป็นประสบการณ์เชิงประจักษ์จริงคือกระจ่างชัดมากๆ และจำได้ทุกครั้ง เคยเล่าไว้แล้วในคอลัมน์ของผู้เขียนในไทยโพสต์ว่าก่อนหน้านี้มีอยู่สองประการที่จำได้คือ หนึ่งผู้เขียนจะฝันซ้ำๆ ไม่รู้ว่ากี่หน (คงจะเป็นหลายๆ สิบครั้งก็ได้) ถึงงานที่ทำยังไม่ทันสำเร็จแล้วเสร็จจนจำรูปแบบและเนื้อหาหาของความฝัน “ในฝัน” ได้ และแทบจะทายล่วงหน้า “ในฝันครั้งต่อๆไป” ได้ เช่นฝันว่ากรุงเทพมหานครได้มีการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ “ชั้นในหรือในเมือง” จากตัวเมืองเก่าที่ไร้การวางแผนผังเมืองตั้งแต่เยาวราชแสะราชวงศ์ มาถึงโอเดี้ยนที่ในฝันเต็มไปด้วยตึกระฟ้าที่สูงมากๆ แน่นขนัดจนถึงสีสมและพระรามหนึ่งถึงหน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง รวมทั้งสามแยก-เฉลิมบุรี ตลอดเจริญกรุงตะวันออกโดยรื้อทั้งหมดทิ้งกับห้ามการปลูกใหม่ทุกชนิด การเปลี่ยนแปลงใหม่ในฝันที่จะฝันบ่อยๆ ที่จำได้เหลือแต่โคลนตม เพราะอาคารเก่า ตึกเก่าๆ ถูกรื้อทิ้งไปทั้งหมด ที่ผู้เขียนกล่าวว่างานที่ทำยังไม่ทันสำเร็จแล้วเสร็จจนกระทั่งทายในฝันล่วงหน้าในฝันครั้งต่อๆ ไปได้ เป็นต้นว่าจะฝันเห็นทุกตรอกและถนนสั้นๆ ที่เชื่อมระหว่างถนนสีลมกับสุรวงศ์ หรือระหว่างถนนสีลมกับถนนสาธรนั้น “จะเป็นช่วงระหว่างการทำงานที่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ” ทั้งสิ้น และภาพของการฝันรูปแบบนั้นจะปรากฏในความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่านับเป็นสิบๆ ครั้งหรือร้อยครั้ง ถึง “งานที่ไม่สำเร็จแล้วเสร็จ” (เพราะผู้เขียนจะตื่นก่อนจากความฝันทุกครั้งเลย) ในภาพอื่นๆ หรือรูปแบบอื่นๆ สองหรือสามภาพหรือรูปแบบของความฝัน ที่ล้วนจะมีเนื้อหาสาระเหมือนๆ กัน เช่นเดินทางไปในซอยหรือสวนเดิมๆ ที่เผชิญอุปสรรคต่างๆ ที่ล้วนเป็นงานที่ผู้เขียนยังทำไม่แล้วเสร็จซึ่งก็ทายล่วงหน้า - ในฝัน - ได้ แล้วก็จะตื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่ “งานนั้นๆ” ยังไม่ทันสำเร็จแล้วเสร็จแต่ประการใด ทั้งหมดที่ผู้เขียนฝันและเล่ามานี้จึงใคร่ขอให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้อ่านที่เป็นนักจิตวิทยาช่วยพิจารณาดูว่า ทางด้านของการทางจิตวิทยาในฐานะที่เป็นจิตแท้ๆ (จิตไร้สำนึก - ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่าจิตใต้สำนึกแต่เพราะว่าผู้เขียนไม่ค่อยเชื่อฟรอยด์เท่าใดนัก เพราะฟรอยด์เป็นแม็ตทีเรียลิสต์ที่ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าที่ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นสัพพัญญู และจะไม่ผิดเลย และอีกอย่างหนึ่งเพราะการบริหารโดยสมอง และที่สมองนั้นผู้เขียนคิดว่ามีความเป็น “โดยรวม” และมีความเป็นปัจเจกซึ่งใช้เวลาทางโลกไม่เท่ากัน ฉะนั้นจิตไร้สำนึกจึงเก่ามากกว่ามากนัก - กับจิตสำนึก) ผู้อ่านจะมีความเห็นอย่างไร?

แน่นอนความฝันที่ผู้เขียนฝันเห็นโดยเนื้อหา (content) นั้นสังเกตว่ามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเวลาที่กำลังฝันอยู่นั้น ทั้งฟรอยด์ ทั้งจุง ทั้งอ็อดโตไม่ได้พูดอย่างจำเพาะเจาะจงในเรื่องนี้ แต่ผู้เขียน ค่อนข้างจะชอบคาร์ล จุง พูดง่ายๆ มักจะเป็นจุงเกี้ยนมากกว่าเป็นฟรอยเดียน แม้จะมีหลายอย่างที่เรายืนอยู่ตรงกันข้ามเพราะผู้เขียนคิดว่าคาร์ล จุง เป็นทั้งมิสติก (mystic) และมิธติค (mythic) เกินไปแต่มีนักวิชาการ - เช่นซิสเตอร์ซิสิเลีย (sister Sicilia) จะบอกว่าผู้เขียนก็เป็นมิสติกร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ดังนั้นตอนที่คาร์ล จุง ประกาศเป็นทางการว่าตนได้เลิกเป็นลูกบุญธรรมของซิกมัน ฟรอยด์และขอเป็นตัวของตัวเองแทนที่จะเป็นแม็ตทีเรียลิสต์ (materialist) ดั่งพรอด แล้วไปเชื่อคนอย่างชาร์ลส์ ดาร์วิน อย่างหัวปักหัวปำ (ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเอง) ทำให้การตัดความสัมพันธ์จากฟรอยด์ – ที่ทรงอิทธิพลมากในทางจิตวิทยาเพราะ ฟรอยด์เก่งจริงๆ ในเวลานั้น - ทำให้คาร์ล จุง กลายเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบในหมู่นักวิชาการและนักจิตวิทยาไปช่วงเวลาหนึ่งในตอนนั้น

และที่ผู้เขียนชอบคาร์ล ซี. จุง เป็นพิเศษอาจจะเป็นเพราะว่าผู้เขียนเพิ่งพบเมื่อตอนแก่ไม่ถึงยี่สิบปีนี้เองว่า ผู้เขียนก็เป็นมิสติก (mystic) ดังที่ซิสเตอร์ซิสิเลียว่าไว้เช่นเดียวกันกับคาร์ล จุง เพียงแต่การแปลความฝันของผู้เขียนรวมถึงการสะท้อนความจำที่ยังไม่รู้ว่าถูกหรือไม่ถูก หรือแม้แต่ใกล้เคียง - ห่างไกลหรือไม่ประการใด? ก็เห็นจะต้องรอจนกว่าปี 2012 และปี 2020 หรือ ปีกุน ปีที่มีวิวัฒนาการทางจิตของประชากรโลกโดยรวมส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลก (spirituality) ได้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ผู้เขียนเชื่อมันว่าโลกไม่ได้แตก แต่วัฒนธรรมและอารยธรรมที่มีอัตตาตัวตน “ตัวกูของกู” (self) และอหังการมมังการ (ego) จะหายไปจากโลกพร้อมกับประชากรจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 80% พร้อมๆ กัน แต่โลกจะไม่แตกจริงๆ มนุษย์เราจะได้เลิกแตกแยกเอาชนะกันเสียที อย่าลืมว่าจิตทั้งสองประเด็นนั้น (จิตรู้หรือจิตสำนึกที่คุณหมอประเวศ วะสี และชมรมจิตวิวัฒน์เรียกว่า จิตเล็กที่อยู่ตรงกันข้ามกับจิตใหญ่ที่ชมรมจิตวิวัฒน์ประสงค์ให้เป็น นั่นคือเป้าหมายที่คิดว่าโลกต้องการจะเห็น

ถ้าหากว่าเราเชื่อคาร์ล จุง ที่บอกแล้วว่าผู้เขียนเชื่อในการ “วิจัย” หรือการสังเกตอย่างเป็นระบบของเขามากกว่าไม่เชื่อ ไม่ใช่เพราะว่าคาร์ล จุง เองเป็นมิสติกเหมือนๆ กับผู้เขียน อย่าลืมว่าจุงนั้นเป็นหลานแท้ๆ (นอกสมรส) ของกวีและนักปรัชญาของเกอเธ่และไม่เป็นการเกินเลยแต่อย่างใดหากเราจะพูดว่าคาร์ล กุสตาฟ จุง เป็นจีเนียส ผู้เขียนเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ตามคาร์ล จุง ว่า จิตไร้สำนึก (unconscious) ของจักรวาลคือสิ่งที่เป็นตัวต้นเหตุของความฝัน ตรงนี้ขอย้ำว่าเป็นจิตไร้สำนึกจักรวาลไม่ใช่จิตสำนึกที่ฟรอยด์และนักวิทยาศาสตร์แม็ตทีเรียลิสต์ รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ของไทยในปัจจุบันแทบทั้งหมด และนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ของประเทศพัฒนาใหม่ๆ ของเอเชียที่ไม่รู้จักควอนตัมฟิสิกส์พอ หรือมองควอนตัมฟิสิกส์ไปทางสสาร หรือทางรูปกาย (physical หรือmatter) เช่นว่า - ไล่ไปตั้งแต่ความฝันเป็นเรื่องของความปรารถนาหรือความอยากของเราที่เราทำไม่เสร็จ หรือไม่กล้าทำยามตื่นหรือยามรู้ตัว จึงเอาไปฝันแล้วทำให้เสร็จในฝันอันเป็นความคิดของฟรอยด์ซึ่งเป็นจิตรู้หรือจิตสำนึกที่เป็นผลของการบริหารของสมองและที่สมองของปัจเจกบุคคลของคนผู้นั้นยามที่ตื่นและรู้ตัว จึงไม่รู้ว่าฟรอยด์จะคิดและรู้เรื่องจิตรู้หรือจิตสำนึกได้อย่างไร? นอกจากคิดเอาเอง อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะแพทย์ - ที่ส่วนมากจะมองชีวิตแบบฝรั่งแบบตะวันตกเพราะเรียนมาทางนั้นโดยมักโยนทิ้งอะไรๆ ที่เป็นตะวันออก ที่ก่อนหน้านี้แทบว่าจะโดยสิ้นเชิง แล้วจะทำท่าเหมือนจะดูถูกคนอื่นๆ ที่เรียนน้อยกว่าตนและบูชาฝรั่ง (ที่เป็นเหมือนเทวดา) น้อยกว่าตน นั่น-เราพูดกันรวมๆ เท่านั้นนะ และที่สำคัญคนมักไปคิดว่าอาชีพแพทย์นั้นเป็นอาชีพสำคัญที่สุดเพราะเป็นอาชีพที่ช่วยชีวิตมนุษย์ที่เรามักจะคิดว่าอะไรๆที่เกี่ยวข้องกับคนจะสำคัญกว่าเพื่อน - คือ แพทย์ส่วนใหญ่จะคิดว่า ฝันไม่มีอะไรสำคัญเลยเพราะมองก็ไม่เห็น และแม้ฝรั่งก็คิดไม่ออก เราชาวตะวันออกจะคิดได้อย่างไรจึงตามฝรั่งตามครูไปดีกว่า ฝันถึงได้แปลว่าเป็นผลของอาหารไม่ย่อย กระเพาะปัสสาวะเต็ม หรือครุ่นคิดมากๆ ฯลฯ   
คนเราทุกคนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของจิตรู้อยู่ตลอด เวลาและที่ต้องเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการ ในเบื้องแรกก็คือจิตแห่งอัตตาตัวตน (self) ซึ่งเหมือนๆ กับการเจริญเติบโตของเด็กเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ เสื่อมแก่ชราซึ่งจะต้องมีขึ้นตลอดเวลาเช่นเดียวกัน จากประสบการณ์ของเรา หรือพูดง่ายๆ วันเวลาจากนาทีวินาทีที่ผ่านไป นั่นคือ ตัวรู้หรือธาตุรู้หรือจิตสำนึก – ภาวะตระหนักรู้ที่สมองเรามีหน้าที่ “บริหารจิตไร้สำนึก” (หรือจิตจักรวาลของคาร์ล จุง) ที่เข้ามาอยู่ในทุกที่ว่างของสมอง

เราต้องไม่ลืมว่าการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของจิตแห่งอัตตาตัวตน (self) ของแต่ละคนเป็นปัจเจกนั้นเป็นเรื่องที่แยกย่อยและเป็นไปตามขั้น ชั้นหรือระดับของการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของสเปกตรัมทางจิตที่หยาบใหญ่กวา และใช้เวลาวิวัฒนาการนานกว่า ทั้งเป็นส่วนของการเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยรวม นั่นคือชีวิตของเราแต่ละคนในโลกที่ต้องเดินทาง การเดินทางเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นไปตามสเปกตรัม (ของจิต) ที่จะต้องวิวัฒนาการไปตามระดับหรือชั้นหรือขั้นนั้นๆ จนกว่าเราจะวิวัฒนาการทางจิตถึงสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ไล่สู่นิพพานหรือรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า

ดังนั้น คาร์ล กุสตาฟ จุง และผู้เขียนจึงเชื่อว่าจิตไร้สำนึกหรือที่คาร์ล จุง เรียกว่าจิตไร้สำนึกร่วมจักรวาล (universal unconscious continuum) คือตัวรู้ต่างหากที่ไม่ผ่านการบริหารที่สมอง คือเป็นตัวรู้อีกตัวหนึ่งไม่ใช่จิตสำนึกที่เป็นเรื่องปกติธรรมดา คาร์ล จุง ถึงได้เรียกว่าความรู้ของจิตไร้สำนึก (unconscious cognition) และทุกวันนี้นักจิตวิทยาทั่วไปก็รู้กันดี (unconsciousness as consciousness)  เช่นการรู้ในความพ้องจองกัน (synchronicity) ในปรภพเมื่อเราตายไปแล้วที่ย่อมไม่มีสมองบริหารจิตจักรวาลหรือในความฝัน (จุงเชื่อว่าความฝันทุกๆ ความฝันเลยเป็นเรื่องของจิตไร้สำนึกทั้งนั้น) อย่างน้อยในตอนแรกหรือเป็นตัวนำ และผู้เขียนก็เชื่ออย่างนั้นจึงไม่เชื่อฟรอยด์เลยในเรื่องความฝันนี้ ฟรอยด์อาจจะถูกในตอนหลังเท่านั้นซึ่งสำคัญมากกว่า ไม่รู้จริงๆ ว่าคาร์ล จุงจะเชื่อในเรื่องปรภพหรือไม่? เพราะฝรั่งมักเป็นคริสต์จึงไม่เชื่อในการเกิดใหม่ไปเรื่อยๆ เวียนง่ายอยู่อย่างนั้น แต่รู้ว่าโจเอล ฟิชเชอร์ จิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโทรอนโตเชื่อ และเรียกว่าอภิจิต (meta-consciousness) ซึ่งเป็นจิตรู้ของจิตไร้สำนึกในปรภพ - ปรภพนั้นไม่มีกายจึงไม่มีสมอง ฉะนั้นก็จะไม่มีจิตสำนึก (หรือจิตรู้ตามปกติ)

สำหรับคาร์ล จุง การแปลความฝันอาจเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าค่อนข้างจะซับซ้อนมากสำหรับผู้เขียน อย่างไรก็ตามบอกแล้วว่าในระยะหลังๆ มานี้ผู้เขียนฝันบ่อยมากๆๆ แถมจำได้กระจ่างชัดเสียด้วย ที่สำคัญคือซับซ้อนไม่มากนัก ดังนั้นส่วนใหญ่ยังคิดว่าพอแปลได้ สังเกตเอาเองว่ามีอยู่สามประการที่สังเกตเห็น แต่จะเป็นจริงดังที่สังเกตหรือไม่ - ไม่แน่ใจ คือหนึ่ง การฝันของผู้เขียนที่ว่าบ่อยเหลือเกินนั้นพบว่ามันสัมพันธ์กับการทำสมาธิที่ทำประจำและยาวนานจริงๆ ของผู้เขียนที่ทำสมาธิทุกวันและวันหนึ่งๆ ก็อย่างน้อยสองชั่วโมง สอง สำหรับผู้เขียน ความรู้ที่ได้มานั้นๆ ล้วนมาด้วยความฝันหรือตอนตื่นมาจากฝันทั้งสิ้น สาม ความฝันของผู้เขียนนั้นคิดว่าพอที่จะแปลได้ เพราะว่าฝันซ้ำๆ ซากๆ และฝันต่อได้ แถมยังกระจ่างชัดเสียด้วย.

http://www.thaipost.net/sunday/200311/35954

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2466 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2744 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2053 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1996 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2050 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.342 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 09 เมษายน 2567 04:24:15