[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 10:55:58 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประเพณี "จกสาว" สุดแปลก! เรื่องจริงที่ต้องเล่า  (อ่าน 3037 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 51.0.2704.103 Chrome 51.0.2704.103


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2559 16:42:45 »



คนลาวในอีสาน และเวียงจันทน์ (ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๕)

ประเพณี "จกสาว"
เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ

ประเพณี "จกสาว" แปลตรงตัวก็คือ "ประเพณีล้วงสาว"  ประเพณีดังกล่าวนี้มีอยู่ในภาคอิสานและทางฝั่งพี่น้องประเทศลาวในแถบภาคใต้บางแห่ง

ทำไมการล้วงลักควักสาว จึงกลายเป็นประเพณี ทั้งๆ ที่ฟังดูแล้วมันเป็นเรื่องหยาบโลนไม่น่าที่จะมากลายเป็นประเพณีได้เลย

คนที่คิดประเพณีอะไรๆ บัญญัติขึ้นในภาคอิสานนั้น ผู้เขียนเลื่อมใสเทิดทูนว่าช่างเป็นยอดนักปราชญ์, มหาปรัชญาชั้นเยี่ยมจริงๆ เพราะท่านผู้นั้นได้มองโลกและมุมชีวิตของส่ำสัตว์ในโลกนี้ทะลุปรุโปร่งไปหมด แต่กะอีล้วงลักควักพุงสาวก็ยังอุตส่าห์วางกฏเกณฑ์เป็นประเพณีขึ้น....อย่าเพิ่งคิดแบบฉาบฉวย...จะต้องมีอะไรแอบเร้นเป็นกรรมดีอยู่อย่างแน่นอน  ลึกลงไปเบื้องหลังประเพณีนี้จะต้องมีอะไรๆ สักอย่างแน่ๆ

ตามธรรมดา คนอิสานระดับพื้นๆ ที่อยู่ไกลออกไปจากย่านความเจริญ เขาเหล่านั้นอยู่ง่ายกินง่าย แต่มิได้หมายความถึงว่าเขาจะมักง่ายเข้าไปด้วย เขากินง่ายก็เพราะความแห้งแล้งกันดารของธรรมชาติ ทำให้เขากินง่ายๆ กินเพื่ออยู่, ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน

อยู่ง่ายของเขาก็หมายถึงที่พักอาศัย เขาปลูกขึ้นง่ายๆ ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาตินำมาดัดแปลง สิ่งที่จะบันดาลให้เกิดเป็นที่อยู่อาศัยมีอยู่เยอะแยะทั้งดีและไม่ดี แต่เขาก็เลือกเอาเพียงอุปกรณ์ในการสร้างที่อยู่อาศัยมาสร้างพอสถานประมาณแห่งกำลังตน จึงดูให้เห็นไปว่าอยู่ง่ายๆ

บ้านเรือนในแถบถิ่นที่มีประเพณีนี้ มักจะปลูกด้วยไม้ไผ่ หลังคาและฝาห้องมุงด้วยหญ้าแฝก พื้นก็เป็นไม้ไผ่สับฟาก ในสิบหลังจะมีเรือนฝาและพื้นเป็นไม้กระดานสักหลัง ซึ่งหมายถึงอัครฐานของผู้เป็นเจ้าของนั้นอยู่ในขั้นเศรษฐีของหมู่บ้าน  ถ้าไม่ใช่ผู้มีอันจะกินก็ต้องเป็นบ้านของหัวหน้าบ้านเข้าไปโน่น ตำแหน่งก็เป็นตาแสง หรือกำนันนั่นแหละ

ปรเพณีการล้วงสาวนี้ เท่าที่พบประสบมาด้วยตนเองในเขตไทย ก็มีอยู่แถวบ้านโซง บ้านจิก บ้านเปือย ในเขตอำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่ง พล.ต.ต.วิเชียร สีมันตร ได้ไปสร้างเมืองล้อมป่าให้เกิดขึ้นในท้องที่อำเภอนี้แล้ว หมู่บ้านโซงในสมัยโน้นก็กลายเป็นตำบลโซง มีถนนหนทางรถราแล่นไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวก ความเจริญและอารยะแผนใหม่ก็ทะลักเข้าไปขับไล่ประเพณีต่างๆ ที่เห็นว่าล้าสมัยเหล่านั้นกระเจิดกระเจิงข้ามแดนไปสู่แคว้นลาวและเขมรไปเลย

ผู้เขียนได้มีโอกาสนำชีวิตของตนเองตะลุยลงไปในดินแดนของลาวต่อกับเขมรนานมาแล้วเมื่อ ๒๐ ปีก่อนโน้น (ประมาณ ๖๕ ปี นับถึงปีปัจจุบัน...ผู้โพสท์) เลียบแดนของเขมรและลาวเรื่อยลงไปจนกระทั่งสุดแดนลาวที่ "หลี่ผี" ข้ามตะลุยลึกไปฝั่งลาวตรงกันข้ามบุกผ่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วยไปจนกระทั่งถึง "อัตตะปือ" เมืองข่า จึงได้ย้อนกลับ ไปทำไมและเพื่ออะไรจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังหาคำตอบให้ตนเองยังไม่ถูกต้องอยู่ดี นอกจากจะตอบได้คำเดียวเท่านั้นว่า ไปเที่ยว

ปัจจุบันนี้ ผู้เขียนจึงซึมซาบเข้าหัวกะโหลกว่าได้การไปเที่ยวแต่หนกระโน้นนั้น มันคือประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีกแล้วในชั่วชีวิตนี้

ตลอดระยะทางที่ไปและกลับ หมู่บ้านที่ผ่านมาเหล่านั้น มีอะไรๆ หลายอย่างที่ประทับใจ บางทีก็แปลกใจ และมหัศจรรย์ใจ ในขนบธรรมเนียมแปลกๆ ของเขา นั่งเขียน นั่งเล่า อีกสามปีก็ไม่มีวันจบ  ในที่นี้ผู้เขียนกำลังนำเอาประสบการณ์ "ประเพณีล้วงสาว" ออกมาตีแผ่ เราก็ควรจะพักเรื่องอื่นไว้ก่อน เรียกว่าเอากันเป็นเรื่องๆ ไป ว่างั้นเถอะ!

'ประเพณีจกสาว' หรือ 'ล้วงสาว' นี้ อันที่จริงขณะที่ไปประสบการณ์ สมองไม่ได้คิดประหวัดถึงมูลเหตุแห่งการเกิดขึ้นของประเพณีนี้แม้แต่น้อย ค่าที่ยังตกอยู่ในวัยที่หนุ่มคะนอง จึงสนุกสานในประเพณีพิสดารนี้แต่ถ่ายเดียว ไม่ได้คิดอย่างอื่น ค่ำลงก็ไปดำเนินการตามประเพณีจนแทบจะบักโกรกตาย

ความพิสดารของประเพณีนี้ได้บัญญัติไว้ว่า เรือนหลังใดที่มีลูกสาวเป็นสาวเป็นนางแล้ว จักต้องจัดห้องนอนให้ลูกสาวอยู่ต่างหาก ตรงที่ลูกสาวนอนจะต้องเจาะช่องพอให้มือลอดเข้ามาได้หนึ่งรู และพื้นเรือนก็อย่าให้สูงเกินหน้าอก ถ้าหากปลูกบ้านสูงกว่านั้นก็จักต้องหาครกตำข้าว หรือที่รองเท้ามาทิ้งไว้ใกล้ๆ บริเวณนั้น หากมิปฏิบัติตามนั้น ถูกขว้างปาบ้านจะมาร้องทุกข์เอาเรื่องเอาราวมิได้ มันเป็นบัญญัติหรือปกาศิตที่ได้รับสืบกันมาเป็นทอดๆ เขาก็ปฏิบัติตามนั้นเป็นทอดๆ สืบต่อเนื่องกันเรื่อยมา เหนือช่วงรูที่เจาะให้มือลอดขึ้นไปเป็นหน้าต่างกว้างพอที่คนจะปีนป่ายพาตัวลอดเข้าไปได้ ปกติหน้าต่างจะปิดอยู่ตลอดเวลา เว้นจากเจ้าของห้องเขาจะพอใจเปิดเมื่อไหร่ก็เปิดได้ อันนี้เป็นประเพณีไม่บังคับว่าจะต้องเปิด ที่รูสำหรับช่องล้วงก็เหมือนกันมีฝาปิดฝาเปิดเหมือนกับบานหน้าต่าง

ความจริงประเพณีนี้มิได้หยาบโลนอะไรเลย ในทางตรงกันข้ามหรือลึกลงไปนั้น ประเพณีนี้ให้อิสรภาพ เสรีภาพ ในเรื่องการครองคู่ สมสู่ ตามหลักธรรมชาติไว้อย่างละเมียดละมัยอ่อนโยนมาก หากไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมเขาอย่างดีแล้ว มันจะกลายเป็นอีกรูปหนึ่ง นั่นหมายถึงท่านได้ดูถูกเหยียดหยามพวกเขาอย่างร้ายแรงจนอาจจะอภัยให้ไม่ได้ซึ่งจะหมายถึงการเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ

ฟังนะ...อ่านช้าๆ แล้วตรึกตรองดูให้ลึกซึ้ง

ธรรมดาคนเราไม่ใช่พอพระอาทิตย์ตกดินปุ๊บ ก็จะนอนปั๊บ แม้ว่าตามชนบทบ้านนอกทั่วๆ ไป  พอค่ำลงความมืดมิดและความเปล่าเปลี่ยวก็จะครอบคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านก็ตาม หรือเวลาสามทุ่มจะเท่ากับหกทุ่มในนครหลวงกรุงเทพธนบุรี อะไรก็ตามเถอะ ในหมู่บ้านที่มีประเพณีล้วงสาว มิใช่ว่าพอค่ำลงก็จะไปล้วงลักควักสาวกันได้ทันที และก็มิใช่ว่าขึ้นชื่อว่าเป็นอีสาวในหมู่บ้านนี้แล้วท่านก็จะไปล้วงพุงเขาได้ทุกคนไป

ประเพณี 'จกสาว' จะเริ่มต้นขึ้นด้วย เมื่อสามทุ่มผ่านพ้นไปแล้ว สาวเจ้ากำลังปฏิบัติกิจอันเป็นงานประจำก่อนที่จะง่วงนอน ด้วยการปั่นด้าย เข็นไหม หรือทำธุรกิจอันใดก็ตามแต่อยู่ที่ระเบียงบ้านหรือนอกชานบ้าน ท่ามกลางแสงใต้หรือตะเกียงอันวับแวม ก็เป็นขณะเดียวกันกับเจ้าหนุ่มจะลงจากบ้านพักของตนเตร็ดเตร่ไปคุยสาวยังบ้านที่ตนชอบ พฤติการณ์ของสาวก็ดี ของหนุ่มก็ดี เป็นพฤตินัยที่อยู่ในขอบข่ายของประเพณีว่าด้วยการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้คุยกัน โอ้โลม ปฏิโลมกัน อันเป็นธรรมเนียมประเพณีทั่วๆ ไปในภาคอิสานและประเทศลาว

การคุยกัน การโอ้โลมปฏิโลมกันของหนุ่มสาวในช่วงนี้ เรียกว่าเป็นช่วงของการอุ่นเครื่องก่อนที่จะก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่ง ความพึงพอใจซึ่งกันและกันจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยฝ่ายชายจะเป็นผู้เอาลิ้นชุบน้ำผึ้งเข้าเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ฝ่ายหญิงอ่อนเปลี้ยลงด้วยความหวาน ความรัก ความปรารถนา ฯลฯ สุดแท้แต่จะสรรหามา "แอ่ว"

โอกาสคุยกับสาวสองต่อสองเช่นนี้ มักจะมีน้อยเพราะหนุ่มไม่หนุ่มทั้งหลายในละแวกเดียวกันหรืออาคันตุกะผู้มาเยี่ยมเยียนจากถิ่นอื่น จะถือโอกาสขึ้นไป "แอ่ว" ร่วมอยู่เป็นประจำ และโดยจารีตคุณธรรมที่ปฏิบัติกันมานานก็คือ หนุ่มแรกจะต้องหลีกทางให้ผู้มาใหม่ "แอ่ว" บ้าง และแล้วหากเขาปลงใจกับสาวน้อยนางนี้แน่แล้ว เขาจะย้อนขึ้นไป "แอ่ว" กับสาวคนนั้นเป็นหนสอง ผู้ที่มาแอ่วต่อจากเขาคนแรกก็จะรู้ได้ในเชิงทันที ว่าหนุ่มสาวคู่นั้นเป็นแฟนกันแม่นแล้ว เพราะช่วงเวลาที่หนุ่มแรกให้โอกาสแก่คนที่ ๒ นั้น บางทีก็ ๓๐ นาที บางทีก็ชั่วโมงหนึ่ง เรียกว่าให้โอกาสกันอย่างลูกผู้ชายใจนักเลง แต่เมื่อได้เวลาย้อนกลับไปใหม่ คนที่นั่งคุยอยู่จะต้องรู้และอำลาทันที และอำลาอย่างชนิดไม่ต้องย้อนไปอีกเป็นครั้งที่สอง เรียกว่าเป็นอันรู้ๆ กัน

ธรรมเนียมการคุย การ "แอ่ว" เช่นนี้ เป็นของธรรมดาทั่วไปของหนุ่มสาว เมื่อไม่มีอะไรเกินเลยไปยิ่งกว่านั้นสาวก็เข้านอน ช่องเล็กๆ ที่ห้องนอนก็ไม่เปิด คืนสอง, คืนสามหากความผูกพันทวีคูณขึ้น การจับมือถือแขนก็บังเกิดขึ้นเป็นการชิมลาง แต่ก็ได้เพียงแค่นั้น จะเกินเลยไปกว่านั้นไม่ได้ จนกว่าสาวจะปลงใจด้วยอย่างแน่แท้แล้ว การแลกเปลี่ยนของที่ระลึกซึ่งกันและกันจะเกิดขึ้น ซึ่งหมายความถึงการไต่เต้าเข้าไปสู่อันดับสองเข้าไปแล้ว นั่นคือ ไอ้หนุ่มจะลงไปคุยสาวต่อโดยเปิดช่องล้วงสาวยื่นมือเข้าไปประกอบการคุยให้ออกรสได้

เห็นไม๊ล่ะครับ ประเพณีการล้วงสาวดำเนินการด้วยลีลาดังกล่าวนี้เป็นขั้นๆ ไป มิใช่ว่าจะไปล้วงเขาได้ตะพึดตะพือ มันต้องมีพิธีรีตองเป็นขั้นๆ ไป

การแลกเปลี่ยนของที่ระลึก จากสาวมายังหนุ่ม เป็นการเปิดอกหรือเปิดไต๋กันอย่างโจ่งแจ้ง ว่าสาวเจ้าโอเคแล้วที่จะเปิดโอกาสให้หนุ่มได้ล้วงควักไชในตัวของสาวได้แล้วด้วยความเต็มใจ เรียกว่าหล่อนได้ตกลงใจเลือกเอาเจ้าหนุ่มนั้นเป็นชู้สวาทของนางแล้วตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป

การแลกเปลี่ยนของที่ระลึกให้แก่ไอ้หนุ่ม ก็คือการให้โค้ตลับหรือสัญญาณลับโดยตรงนั่นเอง เช่น แหวน หรือกำไลเพื่อที่เจ้าหนุ่มจะได้นำสิ่งที่มอบให้นั้นมาแสดงต่อเจ้าของ ในเมื่อหมอนั่นเอื้อมมือสอดเข้าไปในช่องที่เจาะไว้สำหรับล้วงสาวนั้น ถ้าหากว่าเป็นมือของยอดชู้ที่นางเลือก มือหรือนิ้วที่ลอดเข้าไปในช่องนั้นก็จักต้องมีสัญญาณลับดังกล่าวนี้ด้วย จึงจะเชื่อว่าเป็นมือหรือนิ้วของชู้สวาทของนาง หากว่ามือลึกลับอันนั้นไม่มีอะไรเป็นสัญญาณ ก็แปลว่าเป็น "มือเถื่อน" ช่องสวรรค์ดังกล่าวนั้นก็จะปิดฉับทันที

วิธีที่จะปิดช่องของสาวง่ายนิดเดียว เมื่อรู้ว่าเป็นมือเถื่อนที่หล่อนไม่เต็มใจ ก็เอาเข็มหรือไม้ขีดไฟ..จุดเฟ่!...แล้วก็จี้หมับไปที่มือนั้น มันก็หดผลุ๊บร้องเสียงโหยหวนไปเลย และช่องนั้นก็ปิดลั่นดานทันที เป็นอันว่ามือเถื่อนไม่ได้แอ้มเสียละ! แต่ก็ไม่แน่นักเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป

ทีนี้ขอย้อนกล่าวถึงหนุ่มสาวคู่ใดที่ตกล่องปล่องชิ้นกันถึงขั้นเปิดช่องล้วงให้ล้วงลักควักพุงกันแล้ว ไอ้หนุ่มก็ไม่จำเป็นจะต้องขึ้นไป "แอ่วสาว" ในตอนหัวค่ำให้บ่อยนัก เพราะเป็นอันที่รู้ๆ อะไรๆ กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่โผล่หน้าขึ้นไปพะยักพะเยิดให้สาวเห็นเป็นนัยแล้วก็ผลุ๊บไปหาเศษหาเลยรายอื่นต่อไป เป็นทั้งการรอเวลาและเป็นทั้งการเปิดโอกาสให้หนุ่มอื่นบ้างตามอัธยาศัย

ครั้นได้เวลาสาวขอตัวหนุ่มอื่นเข้านอนในห้องหับของตนแล้ว ไอ้หนุ่มยอดชู้คู่สวาทของนางก็จะวูบเข้าประชิดรูหรือช่องล้วงสาวดังกล่าวนั้นทันที เมื่อเห็นปลอดคนแล้วเขาก็จะเคาะกระดานที่เปิดรูนั้นเป็นโค๊ตตามสัญญาที่ได้ระบุกันไว้ สาวเจ้าก็เปิดกลอนดังแกร๊ก

ห้องของสาวตามปกติโดยทั่วไปมักจะไม่จุดไฟหรือทำอะไรให้มีแสงสว่าง สาวเจ้าจะอยู่ในความมืด...ความมืดอันแสนรัญจวนนั้น...แต่เพียง...เดียวดาย...พร้อมด้วยมือของชู้สวาทที่ไต่คลำไปบนร่างอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน...ทั้งภาษารักที่กระซิบกระซาบตอบโต้กันเพียงมีฝากั้น ทั้งน้ำคำและน้ำมือที่ไขว่คว้าประกอบสวรรค์อันหวานฉ่ำก็เป็นของเขาทั้งสองแล้ว  โลกทั้งโลกสงัดเงียบมีแต่หรีดหริ่งเรไรระงมร้อง แต่ก็ดูเหมือนจะแว่วแผ่วโผยเสียสิ้นดีในบรรยากาศอย่างนั้น

เชื่อไหมครับ?...ประเพณีล้วงสาวมีจุดไคลแม็กซ์มาถึงเพียงแค่นี้...แค่นี้จริงๆ ไม่มีก้าวเกินไปยิ่งกว่านี้ ถ้าหากจะมีก้าวเกินไปยิ่งกว่านี้ รูปการณ์มันก็กลายไปสู่ประเพณีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

เล่ามาถึงแค่นี้ ท่านผู้ทรงภูมิปัญญาคงจะเห็นแล้วกระมังว่า ตราบัญญัติของประเพณีนี้ได้วางแนวเซ็กโซโลยี่แอบแฝงมาในเนื้อหานั้นอย่างแนบเนียน โดยยึดเอาหลักธรรมชาติเป็นสโลแกน คนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวย่อมร้อนแรงไปด้วยสายเลือดแห่งกามตัณหาทุกรูปทุกนาม ก็เมื่อรู้แล้วอย่างนั้น ทำไมเล่าไม่หาทางให้เขาเหล่านั้นได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เขากระหายจะรู้นั้นบ้าง ประเพณีนี้จึงมีขึ้นเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้ผ่อนคลายในสิ่งที่เขาปรารถนา และคลางแคลง ตั้งแต่เขารู้จักหรือมีสัญชาตญาณในเรื่องเพศเกิดขึ้น

การรู้เรื่องเพศด้วยการบอกเล่า กับการรู้ด้วยการสัมผัสโดยตรง ย่อมมีความหมายและคุณค่าแตกต่างกัน และเมื่อหนุ่มสาวได้รู้รสในการสัมผัสเบื้องต้นบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ก้าวไปจนถึงขั้นสุดท้าย เลือดอันระอุร้อนของเขาก็คงจะคลายลงบ้างไม่มากก็น้อย การยับยั้งชั่งใจก็ย่อมจะมีขึ้น แต่ทั้งนี้เราต้องดูพฤติการณ์ของสองหนุ่มสาวนั้นประกอบด้วย มิใช่ว่าเขาลักลอบเข้าสัมผัสลูบคลำกันโดยที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่เต็มใจ  เหตุเกิด, เกิดจากคนทั้งสองได้ปลงใจที่จะรักกันแล้ว มันถึงเกิด มันจึงเป็นคนละเรื่องกับคำว่า "ร่านราคะ"

หมู่บ้านที่มีประเพณี "ล้วงสาว" ที่ผู้เขียนได้ไปประสบมาด้วยตาตนเอง มีหลายหมู่บ้านทั้งในเขตแดนไทยและแดนลาว หมู่บ้านที่ประทับใจแก่ผู้เขียนมากที่สุดอยู่ในลาวภาคใต้เกือบจะถึง "หลี่ผี" เรียกว่าหมู่บ้าน "ห้วยกะเดียน" ขึ้นอยู่กับตำบลสุขุมาลย์ เมืองมูลปาโมกข์ แขวงนครจำปาศักดิ์ หมู่บ้านนี้เป็นคนลาวกับเขมรอยู่ปนเปกัน และบางทีก็มีสาวลูกผสมเขมร-ญวน, ลาว-เขมร, ฯลฯ อะไรๆ ให้ยุ่งๆ ไปหมด แต่พูดถึงเรื่องหน้าตา ผิวพรรณ และสัดส่วนของสาวๆ ที่นี่แล้ว ไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าเป็นลูกผสมไปทางฝ่ายญวน คือมีพ่อเป็นญวนมีแม่เป็นเขมรแล้วละก้อ มีภาษีกว่าสาวใดทั้งหมดในหมู่บ้าน เพราะว่าผิวของสาวเจ้าไปทางพ่อ สัดส่วนไปทางแม่ซึ่งมีความแข็งแรงบึกบึนในลักษณะของคนร่างระหง สะโพกผาย ส่วนใหญ่มีใบหน้าเป็นลูกไข่ ๙๐% ทั้งหมู่บ้าน  ฝ่ายที่พ่อเป็นเขมรแม่เป็นลาวยิ่งเด็ดมากเพราะผิวของเจ้าหล่อนกระเดียดไปทางพ่อครึ่งหนึ่งแม่ครึ่งหนึ่ง แต่สัดส่วนยิ่งร้ายเหลือเข้าไปอีก สรุปแล้วผู้เขียนยังไม่เคยเห็นเปอร์เซนของสาวหมู่บ้านใดจะเหนือไปกว่า เท่าที่ได้ตะเวนทั้งขาไปขากลับที่หมู่บ้านนี้ผู้เขียนได้หยุดพักแรมอยู่นานถึง ๓ อาทิตย์ จึงได้เดินทางกลับแดนไทย...

ประเพณีล้วงสาวทั้งหมดที่ผู้เขียนบรรยายมาได้เกิดขึ้นที่นี่ แม้ว่าจะมีที่หมู่บ้านอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ความประทับใจที่มิได้มีเหมือนกับหมู่บ้าน "ห้วยกระเดียน" เนื่องจากผู้เขียนได้อยู่ศึกษาประเพณีของเขา จนหลับตาเห็นภาพแต่หนหลังเหมือนกับมันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แท้ๆ

ความประทับใจของประเพณีนี้ อยู่ที่น้ำใจอันกว้างขวางของหนุ่มเจ้าของถิ่นที่เปิดโอกาสให้อาคันตุกะได้เข้าถึงประเพณีของเขา ผู้เขียนได้ลองสอบถามตาแสง (กำนัน) ว่าในหมู่บ้านนี้มีการฉุดคร่าอนาจารกันบ้างไหม? ได้รับคำตอบว่าตั้งแต่แก (กำนัน) จำความได้จนกระทั่งผมเป็นสีดอกเลาอยู่ขณะนี้ ไม่เคยได้ยินหรือมีเรื่องราวดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเลย แต่ไอ้เรื่องคบชู้สู่ชายที่นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา เพราะประเพณีได้เปิดประตูให้เสรีภาพในเรื่องความรักใคร่กันอย่างไม่อั้น แต่ก็มิใช่เละเฟะฟอนเหมือนสังคมในฮอลีวูด

ไม่ว่าจะอยู่ในป่าดงพงไพรหรือในย่านนครธรรมที่เต็มไปด้วยแสงสีแห่งอารยะ  ผู้ชายเป็นเพศผู้ที่แสวงหากำไรเอาเปรียบเพศตรงกันข้ามทุกรูปทุกนาม  ในหมู่บ้านที่มีประเพณีล้วงสาวก็เช่นกัน น้อยนักที่ไอ้หนุ่มจะมีรักเดียวใจเดียวในเมื่อประเพณีให้โอกาสอย่างกว้างขวางแก่เขา เขาก็ดำเนินการเป็นพ่อพวงมาลัยกับสาวๆ โดยแอบซ่อนเป็นชู้คู่สวาทกับสาวๆ ในหมู่บ้านสองสามคนขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ วิธีการของเขาก็ง่ายนิดเดียวคือพยายามจีบสาวจนให้ได้โค๊ตลับ หรือสัญญาณลับ' จากสาวมาคนละอันแล้วเขาก็จะใช้โค๊ตนั้นๆ กับเจ้าของโค๊ตโดยพยายามอย่าให้มันผิดตัวเท่านั้น เขาก็เป็นชายที่มีความสุขคนหนึ่งในโลก โดยเฉพาะในหมู่บ้านนั้น

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 กรกฎาคม 2559 13:34:36 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5462


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2559 11:20:11 »


ประเพณี "จกสาว"
เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ (จบ)

ปัญหาที่เล่าค้างไว้ ว่าเมื่อการลูบคลำได้บังเกิดอารมณ์ถึงขั้นสุดท้ายจะทำอย่างไร ปัญหานี้อยู่ที่ตัวสาว หากอารมณ์นั้นตรงกันถึงขีดสุด สาวเจ้าก็จะเปิดหน้าต่างซึ่งอยู่เหนือ "ช่องล้วงสาว" นั้นให้ไอ้หนุ่มปีนขึ้นไปหาเท่านั้นก็สิ้นเรื่องราว แต่มิได้หมายความว่าจะให้ไอ้หนุ่มได้กินไข่แดงฟรีๆ  เมื่อนาทีอันสุดยอดนั้นผ่านไปแล้วสาวก็จะเรียกพ่อเฒ่าแม่เฒ่าให้ลุกขึ้นมาดูหน้าลูกเขยแมวขโมยคนนั้นทันที

เมื่อมาถึงขั้นนี้ ประเพณี "ล้วงสาว" ก็ได้คลายไปอีกเปราะหนึ่งโดยกลายเป็นประเพณีของการได้ผัวได้เมียในแบบฉบับที่เขาเรียกกันว่าประเพณี "ซู"  ความพิสดารของประเพณีนี้ก็มีแยกแตกแขนงออกไปอีก เพราะมันคาบเกี่ยวกับประเพณีแรก   นั้นคือเมื่อเกิดการ "ซู" กันขึ้นซึ่งหมายถึงการลักลอบได้เสียกันเอง ถ้าหากว่าสาวเจ้าไม่ร้องเรียกพ่อแม่ให้รู้ว่าตนถูกไอ้หนุ่มกินไข่แดง หรือเผลอไปโดยกะว่าจะร้องเรียกแม่พ่อในตอนใกล้จะสว่าง ไอ้หนุ่มมันแว๊บหายตัวโดดหน้าต่างไปก็เป็นอันว่าชวด โดนกินไข่แดงฟรีไป แต่ถ้าสาวเจ้าไม่เผลอ หรือไม่ประมาทร้องเรียกพ่อเฒ่าแม่เฒ่าให้รู้เสียแล้วก็เป็นอันว่าเจ้าหนุ่มนั้นจะต้องเสียผี ตบแต่งตามประเพณี ถ้าหากไอ้หนุ่มไม่ยอมแต่งก็จะต้องเสียค่าสินไหมตามคำเรียกร้องของฝ่ายหญิง และไอ้หนุ่มคนนั้นก็อย่าได้มาแหย็มอีกต่อไปตลอดชาตินี้

ความยอกย้อนของประเพณี "ซู" ที่คาบเกี่ยวกับประเพณีล้วงสาวยังมีปลีกย่อยพิสดารออกไปอีกคือ หากไอ้หนุ่มยินยอมตบแต่งตามประเพณี ซู และอยู่กินกับสาวถึง ๓ วัน ต่อไปหมอจะโดดตุ๊บลงเรือนหายป๋อมไปเลยเป็นแรมเดือนยังไงก็แล้วแต่ หากหมอกลับมาสาวคนนั้นก็ยังเป็นสิทธิของหมออยู่ แต่หากหมอนั่นอยู่กับสาวเพียงคืนเดียว แล้วหายป๋อมไม่มาบ้านสาวอีกเลยเป็นระยะเวลาเลยสามวันขึ้น ถือว่าสาวคนนั้นอิสระไม่มีพันธะใดๆ ต่อกันอีก ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลกลใดก็ตาม ฟังดูให้ดีครับสามคืนกับคืนเดียวมีผลแตกต่างกันมหาศาลอย่างนี้  นี่แหละครับประเพณีอันพิสดารที่ให้ความอิสระในเรื่องความรักและกามารมณ์ โดยวางอยู่บนมาตรฐานของศีลธรรมอันดีงาม

ย้อนกล่าวถึงน้ำใจอันกว้างขวางของหนุ่มเจ้าถิ่นต่ออาคันตุกะ หากอาคันตุกะผู้นั้นอยู่ในหมู่บ้านนั้นนานเหมือนผู้เขียน การคบหาสมาคมเป็นบันไดแรกที่จะไต่เต้าเข้าไปถึงประเพณีของเขา หากการคบหาสมาคมเป็นบันไดแรกที่จะไต่เต้าเข้าไปถึงประเพณีของเขา หากการคบหานั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจรักใคร่ซึ่งกันและกัน และลงได้ถึงขั้นผูกแขนเป็น "เสี่ยวเหยเพยแพง" กันแล้วก็ยิ่งง่ายเข้า เพื่อนรักซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นหากหมอบังเอิญเป็นคนเจ้าชู้มีโค๊ตลับหลายอันกับสาวๆ หมอก็จะแบ่งปันโค๊ตอันนั้นให้ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับ "บัตรปันส่วน" หรือหากหมอไม่เจ้าชู้หมอก็จะไปขอจากเพื่อนๆ ที่เจ้าชู้มาเป็นการต้อนรับหรือรับรองแขกเมืองให้เรา ๑ อัน แล้วก็พาเราไปชี้ตัวสาวเจ้าของโค๊ต หรือนำไปแนะนำให้รู้จักกันโดยไม่ให้เกิดพิรุธว่าไอ้หนุ่มต่างถิ่นมันมีใบเบิกทางที่จะย่องมาล้วงตับสาวละ

ตานี้ก็เป็นบทบาทของเราเองที่จะขึ้นไป "แอ่ว" ดังได้กล่าวข้างต้นเป็นการกรุยทางแล้วก็ลองขอสิ่งแลกเปลี่ยน (โค๊ต) หากสาวไม่ให้ก็ บ่เป็นหยังดอก เพราะเรามีอยู่แล้ว กะว่าได้เวลาสาวควรจะหลับนอนแล้วเราก็ลาลงเรือนมาเสีย แล้วก็ย้อนกลับไปเคาะสัญญาณลับที่ช่องล้วงสาว

ในขณะที่ "แอ่ว" สายตาเราก็โลมเลียมหน้าตาส่วนสัดของสาวเจ้าไว้แล้ว (สัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส) อดใจไว้อีกสักนิดก็จะได้พิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสอยู่แล้วน่า อะไรทำนองนั้น ปากก็คุยไปตาก็โลมเลียมไป

สาวๆ ในหมู่บ้านที่มีประเพณีอันนี้ ถ้าดูเพียงฉาบฉวยจะเหมือนคนใจง่าย แต่ที่จริงแล้วสาวๆ เหล่านั้นได้ถูกฝึกปรือให้มีความคิดเห็น มีความพอใจ โดยตนของตนเอง โดยเฉพาะเหตุผลของเจ้าหล่อนเหล่านั้น ไม่มีใครจะกล้ายื่นมือเข้าไปสอดแทรก ทั้งนี้ก็เพราะหมู่บ้านได้ตราประเพณีเสรีภาพ อิสรภาพ  ทั้งกายและใจไว้แก่พวกหล่อนอย่างนั้นนี่...  ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เจ้าหล่อนจะอ่อนไหวไปกับคำโลมเลียมของหนุ่มและไม่หนุ่ม หากอารมณ์ของพวกหล่อนเกิดพ้องพานกันขึ้น

สาวที่หมู่บ้าน 'ห้วยกระเดียน' ไม่เห็นเป็นของแปลกหรือเป็นที่เสียหายอะไร ในเมื่อเจ้าหล่อนจะให้ "โค๊ต" ไปกับหนุ่มหลายๆ คน ในเมื่อหนุ่มๆ เหล่านั้นยังรักเผื่อเลือกได้ทำไมพวกเจ้าหล่อนจะทำบ้างไม่ได้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น

ผู้เขียนผวาร่างไปที่ "ช่องล้วงสาว" เคาะป๊อกๆ ตามโค๊ตที่ได้รับมา ๒ ที  ภายในห้องของสาวยังเงียบกริบอยู่ อีกอึดใจหนึ่งก็เคาะป๊อกๆ อีกสองที คราวนี้ได้ยินเสียงฟากไม้ไผ่ที่รองรับร่างของหล่อนดังกรอบแกรบ  แสดงว่าเจ้าหล่อนรู้แล้วว่าเป็นสัญญาณหรือโค๊ตของใคร  พออีกป๊อกๆ หนสุดท้าย สลักที่ปิดบนช่องล้วงก็ดังแกร๊กแต่หล่อนไม่เปิดเอง ผู้เขียนลองเอานิ้วมือดันเบาๆ มันก็เปิดออก แล้วผู้เขียนก็เสือกลำแขนเข้าไปจนสุดช่วงไหล่ เอามือควานคว้าหาตัวสาวเจ้า ปรากฏว่าควานพบแต่อากาศอันว่างเปล่าท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจของเจ้าหล่อน  ควานจนแขนล้าก็ไม่พบเจ้าของห้อง จึงเลยทอดแขนลงด้วยความอ่อนใจ ตอนนี้เองที่สาวเจ้าตะครุบมือของผู้เขียนปั๊บ  หล่อนเอามือหนึ่งกดแขนไว้ให้อยู่นิ่งๆ กับที่ อีกมือหนึ่งของหล่อนก็คลำหา "โค๊ต" ที่นิ้วมือผู้เขียนได้ "โค๊ต" เป็นแหวนถักด้วยหวายสวมไว้ที่นิ้วกลาง หล่อนคลำดูที่แหวนนั้นจนมั่นใจแล้วจึงหยิกมั๊บลงบนหลังมือ แล้วร่างของหล่อนก็ขยับมาจนชิด "ช่องล้วงสาว" ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำไมมาถึงดึกนัก เค้าง่วงนอนแล้วไม่ใช่เหรอ  วันหลังมาใหม่ดีกว่า ฯลฯ อะไรทำนองนี้เป็นเชิงเง้างอน ผู้เขียนก็โอ้โลมด้วยคำหวานเบาๆ เพื่อคล้อยตามอารมณ์งอนของเจ้าหล่อน

ตอนที่หล่อนขยับตัวเข้ามาชิด "ช่องล้วงสาว" นั้น แขนของผู้เขียนเป็นอิสระแล้ว ผู้เขียนได้ยกมันขึ้นลูบไล้ตามหลังไหล่และลำแขนของเจ้าหล่อนอย่างแผ่วเบาละมุนละไม ไม่ปรากฏว่าสาวเจ้าขัดขืนแต่ประการใด  แต่พอผู้เขียนทำท่าจะเลยเส้นขนานไปตามสัญชาตญาณของเพศผู้ สาวเจ้ากลับปัดป้องอย่างเหนียวแน่น ผู้เขียนจึงต้องใช้ลิ้นลมเข้าโลมเล้าอีกแรงหนึ่ง สาวเจ้าจึงทอดตัวลงนอนเหยียดอยู่ข้างๆ "ช่องล้วงสาว"

ปล่อยให้ผู้เขียนลูบไล้ไปตามสบาย ท่านลองหลับตานึกภาพเอาเองเถอะว่าการที่ผู้ชายอย่างเราท่าน มีโอกาสได้ลูบไล้ร่างของหญิงสาวด้วยความเต็มใจของเจ้าหล่อน เพียงมีแขนและมือข้างเดียวนั้น มันจะทารุณจิตใจสักเพียงไหน?  ผู้เขียนชักกระตุกดิ้นงอแดยันอยู่เพียงฝ่ายเดียว  สาวเจ้ากลับนอนหัวเราะคิ๊กๆ เหมือนจะยั่วให้ทลายฝาห้องเข้าไปพิชิตเสียสิ้นดี แต่ก็ทำไม่ได้ จนแล้วจนรอดมันก็ไอ้แค่นั้น วอนเสียงสั่นเสียงเครือให้สาวเปิดหน้าต่าง สาวก็เงียบเฉย แม้ว่าบางครั้งร่างของหล่อนจะบิดเบี้ยวไปมา แต่เสียงกระซิบที่ดังโต้ตอบออกมาก็มีอยู่เพียงประโยคเดียวซ้ำซากอยู่อย่างนั้นว่า...ไม่ได้ ไม่ได้ ..ผิดผี...ผิดผี...!!  ไม่มีอะไรดีกว่ากระซิบกระซาบนัดหมายหล่อนอีกในคืนวันรุ่งขึ้น, นัดเวลา, นัดแนะโค๊ตใหม่ที่จะใช้ในวันรุ่งขึ้น ซักซ้อมกันจนเป็นที่ขึ้นใจ  ผู้เขียนก็ลาสาวกลับไปนอนที่พักด้วยอาการอันโผเผเบาเนื้อเบาตัวพอประมาณ...เฮ่อ...เหนื่อย...


คืนวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานัดผู้เขียนก็ตรงไปเลย โดยไม่ต้องขึ้นไปแอ่วอย่างเมื่อวานนี้ เมื่อได้โค๊ตที่ได้นัดหมายกันไว้ถูกต้องแล้ว “ช่องล้วงสาว” ก็เปิดออกมาดังแกร๊ก แต่คราวนี้สาวเจ้าเป็นคนเปิดเอง

มีการตรวจสอบเครื่องหมายที่นิ้วมืออีกเช่นเคย แต่คราวนี้สาวเจ้ายอมทอดตัวให้ลูบไล้เร็วกว่าคืนที่แล้ว กระบิดกระบวนต่างๆ ก็ไม่มี เสียงพูดคุยจากเจ้าหล่อนก็ชักจะหายไป มีแต่เสียงลมหายใจฟืดฟาดดังลอดฝาออกมาแทน  ผู้เขียนได้รับทราบเคล็ดลับมาจากไอ้หนุ่มเจ้าของโค๊ตแล้วว่าจักต้องดำเนินการอย่างไรกับสาวนางผู้นี้  หลักใหญ่หรือเคล็ดที่ว่านี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากไอ้หนุ่มผู้ใจกว้างมันสอนไว้ว่า ให้ใจเย็น, ข่มอารมณ์,  ดำเนินการอย่างละมุนละไม,  อย่าตะกรุมตะกราม  หากดำเนินการอย่างนี้ได้แล้วโดยไม่ด่วนวิ่งล่วงหน้าหล่อนไปถึงหลักชัยก่อนแล้ว ไม่นานนักดอกสาวเจ้าก็จะลุกพรวดพราดขึ้นมาเปิดหน้าต่างรับอย่างแน่นอน นั่นแหละคือชัยชนะของคำว่า ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’

และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาผ่านไปไม่ถึง ๓๐ นาที เสียงครางของสาวกลายเป็นเสียงสะอื้นถี่ๆ อยู่พักหนึ่ง หน้าต่างเหนือ ‘ช่องล้วงสาว’ ก็เปิดผลั๊วะออกมา ก็ไม่มีปัญหาอะไรต่อไปอีกแล้วใช่ไหม? ครับ!

ความจริงประเพณีการล้วงสาว มันสิ้นสุดสมบูรณ์แบบตั้งแต่คืนแรกโน่นแล้วขอยืนยันอีกครั้งว่า ประเพณีการล้วงสาวมีเพียงแค่นั้นจริงๆ ผู้เขียนยอมรับว่าไอ้เพียงแค่นั้นของประเพณีนี้ ทำให้อารมณ์หนุ่มของผู้เขียนผ่อนคลาย หรือที่เรียกว่า “แก้ขัด” ไปได้อย่างสบายมาก แต่ก็อย่างว่าคำว่าพอของโลกมนุษย์มีซะเมื่อไหร่ ได้เท่านี้แล้วก็อยากจะได้ให้มันมากไปยิ่งกว่านั้น เป็นสันดานของมนุษย์

ส่วนเหตุเกิดในคืนที่สองนั้น มันได้กลายเป็นประเพณี “ซู” ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ ไปเสียแล้ว ไม่ใช่ประเพณีล้วงสาว

ผู้เขียนอาจเป็นคนโชคดีในการคบมิตร ไอ้หนุ่มเพื่อนเกลอผู้เสียสละหมอยังอุตส่าห์แนะทีเด็ดเกี่ยวกับทางหนีทีไล่ไว้เสร็จ เมื่อก้าวล้ำเข้าไปถึงขั้น “ซู” แล้วจะแก้ไขอย่างไร ไอ้เพื่อนรักมันบอกให้ผู้เขียนต่อยให้หนัก อย่าให้คู่ต่อสู้โงหัวขึ้นมาได้ ยิ่งใกล้จะสว่างเท่าไหร่ มีหมัดน็อคเท่าไหร่ น็อคให้สลบเหมือดไปเลย อย่าได้ปรานี  

ดังนั้น พอไก่ขันครั้งที่ ๓ ผู้เขียนก็กล่อมสาวน้อยบ้านห้วยกะเดียนเสียสลบไสลไปเลย แล้วผู้เขียนก็ปาฏิหาริย์ตุ๊บลงทางหน้าต่าง หายลับไปกับความสลัวๆ ของเวลารุ่งอรุณ  หวานไปรายหนึ่งละ

สามอาทิตย์ที่อยู่ ณ หมู่บ้านวิมานทิพย์แห่งนั้น ผู้เขียนได้ล้วงสาวโดยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของบรรดาเสี่ยวๆ รุ่นราวคราวเดียวกันไม่เว้นแต่ละคืน และแทบทุกคืนมักจะถึงขั้น “ซู” ทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะได้ลับเคล็ดหรือทริกจากเพื่อนๆ นั่นเอง  

เพียงอาทิตย์ที่ ๓ ผู้เขียนก็เดินโต๋เต๋ จำต้องอำลาหมู่บ้านพิสวาสแห่งนั้นกลับมาด้วยความอาลัย

จากวันนี้ไปจนถึงวันหน้า ประเพณีอันนี้ก็คงจักได้เป็นเพียงอดีตที่ฝังใจของผู้ได้ผ่านพบประสบมาเท่านั้น โลกได้วิวัฒนาการก้าวไกลไปจนมนุษย์ถึงโลกพระจันทร์แล้ว ประเพณีดังกล่าวนี้ก็คงสูญหายไปทีละนิดๆ จนกระทั่งมลายไปตามความเจริญของโลกยุคใหม่  ประเพณีอันพิสดารนี้วางมาตรการอยู่ได้ด้วยจิตใจของคนในสมัยนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะถูกประคับประคองมาจนถึงปัจจุบันนี้ มันก็คงจะดำเนินไปบนหลักการดังกล่าวนั้นไม่ได้ เพราะคนในยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจ ไปจนไม่มีสิ่งใดที่จะกระชากฉุดหยุดรั้งไว้ได้เสียแล้ว...น่าเสียดาย...[/size]

...เฮ๊อ...น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 กรกฎาคม 2559 13:35:18 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.54 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 21 มีนาคม 2567 00:21:34