[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 เมษายน 2567 12:37:57 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ป้อมปราการแห่งพูนาคา (Punakha Dzong) ประเทศภูฏาน  (อ่าน 1395 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2559 15:50:54 »



ป้อมปราการแห่งพูนาคา (Punakha Dzong) ประเทศภูฏาน

ก่อนจะเดินทางมาเยือนภูฏาน หลายคนบอกฉันว่า พูนาคาสวยที่สุดในช่วงที่ดอกศรีตรัง หรือ Jacaranda ออกดอกสะพรั่ง ออกกลีบดอกสีม่วงจัดรับฤดูใบไม้ผลิในเดือนพฤษภาคม แข่งกับสีขาวของแนวกำแพงปราการที่น่าเกรงขามของพูนาคา ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิทัศน์ที่สวยงาม …

ฉันเองอยากจะเห็นพูนาคาในช่วงดอกไม้สวยมาก แต่ยังน้อยกว่าความอยากเห็นเมืองที่งดงามแห่งนี้ในช่วงที่มีงานประเพณีประจำปีที่จะจัดขึ้นที่ซองก์ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในภูฏานแห่งนี้ จึงเลือกที่จะเดินทางไปเยือนภูฏานในต้นเดือนมีนาคม



พูนาคาซอง หรือป้อมปราการแห่งพูนาคา เป็นซองก์เก่าแก่แห่งที่ 2 ของภูฏาน มีชื่อเต็มๆว่า Pungthang Dechen Phodrang ซึ่งมีความหมายว่า “พระราชวังแห่งความสุขสำราญ” เป็นที่ประทับของพระสังฆราชในฤดู หนาว เนื่องจากพูนาคามีอากาศไม่หนาวเย็นจนเกินไป ด้วยเหตุที่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บน พื้นที่สูงเพียง 1,468 เมตร เท่านั้นเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่นี่จึงมีอากาศอบอุ่นกว่า

ในสมัยโบราณป้อมแห่งนี้มีความสูงเพียง 1,350 เมตร จนค่อยๆเริ่มเกิดชุมขนเป็นหมู่บ้านและโรงเรียนมัธยม … ถึงแม้ว่าพูนาคาจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่กลับมีบทบาทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของภูฏาน เพราะที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงในช่วงฤดูหนาวมานานถึง 300 ปี



ท่านซับดรุง งาวัง นัมเกล ดำริให้สร้างพูนาคาขึ้นในปี พ.ศ.2180 โดยก่อนหน้านี้มีวัดที่ท่านงากี รินเซ็น ได้สร้างขึ้นไว้ก่อนแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.1871 ปัจจุบันจึงกลายเป็นป้อมเล็กและป้อมใหญ่หันหน้าเข้าหากัน ในอดีตท่านคุรุรินโปเชเคยเสด็จมาที่นี่ และพยากรณ์ไว้ว่า “บนขุนเขาด้านที่มีสัณฐานประดุจงวงช้าง บุรุษผู้มีนามว่า นัมเกล จะมาที่นี่”



มีตำนานที่เล่าขานกันอักว่า ท่านซับดรุง งาวัง นัมเกล ซึ่งเป็นพระลามะแห่งสำนักมังกรในทิเบต ภายหลับเหตุการณ์แย่งชิงเจ้าสำนักกัน ท่านได้หนีการปองร้ายมาลงมายังดิแดนตอนใต้ของทิเบต ซึ่งคือแผ่นดินภูฏานในปัจจุบัน

ข้าศึกล่าล่ามาทันที่จุดบรรจบกันของแม่น้ำโมกับแม่น้ำโพ ท่านจึงแสร้งทิ้งอัฐิของพระอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักมังกรที่ท่านนำติดตัวมาด้วย อัฐิธาตุนี้ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนปรารถนา ทหารฝ่ายศัตรูจึงพากันงมหาในแม่น้ำ แต่ต้องล้มตายด้วยความหนาวและถูกทหารของท่านซับดรุงฯสังหารไปเป็นจำนวนมาก ที่หลงเหลือรอดชีวิตก็หนีกลับทิเบตกันหมด …

ชัยชนะครั้งนั้น ทำให้ท่านซับดรุงฯสร้างพูนาคาซองก์ ณ จุดบรรจบกันของทั้งสองลำน้ำนั่นเอง … พูนาคา จึงถือเป็นราชธานีแรก และเป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างชาติของชาวภูฏาน



นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ประวัติศาตร์เกิดขึ้นที่นี่หลายครั้ง เช่นในปี 1907 ใช้เป็นสถานที่จัดราชาภิเษกกษัตริย์องค์แรกของภูฏาน คือ สมเด็จพระราชาธิบดีที่ 1 อูเก็น วังชุก (Ugyen Wangchuck)

ในปี 1910 ใช้เป็นสถานที่ลงนามสนธิสัญญาพูนาคาระหว่างภูฏานกับอังกฤษ ว่าด้วยนโยบายต่างประเทศที่ภูฏานยอมรับการดำเนินนโยบายตามแนวทางอังกฤษ ในขณะที่อังกฤษต้องไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของภูฏานเช่นกัน

ปี 1988 ใช้เป็นที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสของสมเด็จพระราชาธิบดีที่ 4 จิกมี ซิงเย วังชุก (Jigme Singye Wangchuck) โดยใช้พท้นที่ของวัดเดโชะ ซึ่งเป็นวัดหลวงที่ตั้งอยู่ในพูนาคา ซองก์



ท่านซับดรุง งาวัง นัมเกล ได้ใช้ป้อมแห่งนี้เป็นเมืองหลวงในช่วงฤดูหนาว เพราะเป็นเขตพื้นที่ต่ำกว่าเขตอื่นในภูฏาน ในช่วงฤดูหนาวฝ่ายบริหารของภูฏานจึงย้ายจากเมืองทิมพูมายังพูนาคาเป็นประจำทุกปี







ในช่วงฤดูหนาว ด้านหน้าของปูนาคาซองจะเป็นจุดที่แม่น้ำโพ (Po Chu) และแม่น้ำโม (Mo Chu) ซึ่งหมายถึง แม่น้ำพ่อ และแม่น้ำแม่ ตัวแทนของชายและหญิงไหลมาบรรจบกันพอดี เหมือนโอบกอดพูนาคาซองก์เอาไว้แนบแน่น



พูนาคาซองมีขนาดกว้าง 180 เมตร ยาว 72 เมตร มีหอกลางสูง 6 ชั้น ลักษณะรูปทรงคล้ายเรือลำใหญ่ ส่วนของโดมทองของพูนาคาสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2219 และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณทางศาสนาและร่องรอยทางวัฒนธรรม

มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำทั้งสองในระหว่างช่วงปี พ.ศ.2463-2473 แต่ก็มาถูกน้ำท่วมพังทลายเสียหายในภายหลัง ปัจจุบันได้มีการสร้างสะพานไม้ขนาดใหญ่ที่ทอดตัวข้ามสายน้ำไปสู่ตัวป้อมปราการขึ้นมาทดแทน ซึ่งไม่ใช่การป้องกันข้าศึกอีกต่อไป แต่เป็นการเปิดประตูรับนักท่องเที่ยวจากแดนไกล



พูนาคา ซองก์ ประสบภัยธรรมชาติหลายครั้ง โดยเป็นภัยจากไฟไหม้ 6 ครั้ง จากแผ่นดินไหว 1 ครั้ง และจากน้ำท่วม 2 ครั้ง ในปี 1960 cละ 1994 เนื่องจากธารน้ำแข็งถล่มมาตามแม่น้ำโพ ไหลเข้าท่วมเมืองพูนาคา รวมทั้งซองก์แห่งนี้ด้วย ซึ่งในแต่ละครั้งสร้างความเสียหายใหญ่หลวง รวมถึงเอกสารทางประวัติศาสตร์มากมายที่สูญหายไปด้วย





ป้อมแห่งนี้ได้สร้างถูกขึ้นใหม่โดยพระราชดำริของพระมหากษัตริย์องค์ที่ 4 ได้นำช่างที่มีฝีมือเฉพาะด้านของประเทศ กว่า 1,000 คน และใช้เวลา 12 ปี จึงสร้างเสร็จ และได้เฉลิมฉลองเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2003

มีการอัญเชิญพระพุทธรูปรันจุงกัรชาปานี จากอารามราลุงในทิเบตขึ้นประดิษฐานไว้ โดยมีความเชื่อกันว่า พระพุทธรูปรันจุงกัรชาปานี คือรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่ศักดิ์สิทธิ์มาก จึงมีผู้คนที่มาเยือนพูนาคาซองเข้ามากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับเยี่ยมชมศูนย์กลางการบริหารประเทศ







สถาปัตยกรรมของซองก์แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยลวดลายและสีสัน เป็นการผสมผสานศิลปะของจีนและอินเดียเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เล่าขานถึงผู้พิทักษ์สี่ทิศ คือ นำโดซ (Numthose) กษัตริย์สีทองแห่งทิศเหนือ แภคซีโป (Phagchepo) กษัตริย์สีฟ้าแห่งทิศใต้ ยูลคอซุง (Yulkhorsung) กษัตริย์สีขาวแห่งทิศตะวันออก และเซนมิเซง (Chenmizang) กษัตริย์สีแดงแห่งทิศตะวันตก





นอกจากนี้ในส่วนที่สองของซองก์ ซึ่งอยู่ด้านหลัง เป็นส่วนสังฆาวาส ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่อนุญาตให้มีการบันทึกภาพด้านในของอาคาร … ส่วนนี้จะประกอบไปด้วยโบสถ์วิหาร 21 แห่ง

มีวิหารบูชาเทพจักรสัมวระในนิกายตันตระที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2526 รวมถึงงานศิลปะสวนงามที่ฝากไว้บนเสาวิหาร ภาพจิตรกรรมบนผนัง พระพุทธรูปดินเหนียว และรูปปั้นท่านซับดรุง งาวัง นัมเกล ที่เป็นงานฝีมือประณีตที่ช่างชาวภูฏานบรรจงสร้างสรรค์ออกมาเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพบูชา

หออุตเสะ เป็นที่เก็บรักษาประติมากรรมรูปพะโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสี่กรอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวภูฏานเรียกว่า เซ็นเรซิก (Chenrezig) และพระบรมสารีริกธาตุของพระศากยมุนีพุทธเจ้า





ที่สำคัญคือ ป้อมปราการแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่จัดงานพระราชพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน กับ นางสาวเจตซุน เปมา ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นพระราชินีองค์ใหม่ แห่งราชอาณาจักรภูฏาน







ส่วนสังฆาวาสนี้ เป็นสถานที่ที่บรรดาพระนักบวชใช้เป็นที่ศึกษาพระธรรมวินัย … ในวันที่เราไปเยือนเห็นพระหนุ่มในจีวรสีเลือดนกมารวมกันในอาราม มีพระชั้นผู้ใหญ่นั่งบนอาสนะ เข้าใจว่าเป็นการทำกิจวัตรของสงฆ์



ส่วนสำคัญอยูที่บริเวณลานด้านใต้ ซึ่งเป็นอาคารที่เก็บสังขารศักดิ์สิทธิ์ของท่านซับดรุง นาวัง นัมเกล บุคคลสำคัญแห่งภูฏานผู้สร้างซองก์แห่งนี้ขึ้นมา

เราเห็นชาวภูฏานหลายคนสักการะอย่างนอบน้อมจากภายนอกอาคาร ที่นี่มีเพียงกษัตราธิราชเท่านั้นที่ผ่านเข้าไปได้ พูนาคาซองก์มีความสำคัญยิ่ง เพราะกษัตริย์ทุกพระองค์ต้องเสด็จฯมารับผ้าคล้องพระศอจากสังขารของท่านซับดรุงนี้ในพิธีราชาภิเษกสมรส



จาก http://www.oknation.net/blog/Supawan/2012/05/08/entry-2

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.354 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 07 เมษายน 2567 19:12:11