[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 เมษายน 2567 06:57:26 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๓ นิกายสติเดียว : วิปัสสนาบนหน้าข่าว  (อ่าน 1269 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 07 สิงหาคม 2559 00:34:33 »



๓ นิกายสติเดียว : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม

              อาจารย์คนแรกที่สอนผู้เขียนให้รู้จัก "สติ" เป็นพระธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ท่านชื่อพระอาจารย์มหาดี ติสสเทโว ตอนที่ผู้เขียนบวชได้สองเดือนอาจารย์ดีได้ย้ายมาสอนบาลีในวัดที่ผู้เขียนบวชอยู่ วันที่อาจารย์ย้ายมาช่วงนั้นผู้เขียนไปธุระที่อื่น พอกลับมาถึงวัด พี่สาวซึ่งบวชเป็นแม่ชีบอกว่าพระอาจารย์ดีฝากบอกว่า ผู้เขียนจิตใจเหม่อลอยไม่ค่อยมีสติ มีอาการน่าเป็นห่วง หากมีเวลาว่างให้ไปพบท่านด้วย จึงหาเวลาไปสนทนาธรรมกับท่านที่กุฏิ พบว่าท่านเป็นพระที่มีอัธยาศัยดีถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ก็เหมือนกับเรารู้จักกันมานาน ท่านรู้ว่าผู้เขียนไม่มีสติตั้งแต่ยังไม่รู้จักหน้าค่ากันด้วยซ้ำ เมื่อสนทนากันจึงถามท่านว่าแล้วความมีสติคืออะไร ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเป็นคนมีสติ อาจารย์ดีตอบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า "ทำอะไรก็ให้รู้ลมหายใจเข้า-รู้ลมหายใจออกแค่นั้นก็พอ"

              ได้ฟังแค่นั้นก็เข้าใจทันทีว่าอาจารย์ดีหมายความว่าให้เรามีการระลึกรู้ตัวตลอดเวลานั่นเองโดยใช้ "ลมหายใจ" เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนให้ตัวเรามีสติรู้ตัวต่อเนื่องตลอดเวลา

              ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผู้เขียนก็เฝ้าปฏิบัติตนให้มีการระลึกรู้ตัวตลอดเวลาไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน ซักผ้า เข้าห้องน้ำ สรงน้ำ เดินไปโน่นมานี่ และรู้สึกสนุกที่ตัวเองได้เฝ้าระวังจับจ้องตัวเองให้มีสติตื่นรู้อยู่ตลอดเวลามิได้ขาดจนอาจารย์ดีต้องมาเตือนว่า "ท่านตั้งใจมากเกินไปแล้ว พอสติหายไปท่านก็พยายามจับจ้องให้มีมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องการให้มันหายไปไหน" ได้ฟังแค่นั้นก็เข้าใจทันทีว่าตัวเองกำลังปฏิบัติผิด

              เมื่อไรที่ "การระลึกรู้" หายไป เราก็เฝ้ากำหนดจับจ้องให้มันคงอยู่กับเราไม่ให้คลาดสายตาไปไหน พอสติหายไปเราก็ผิดหวังจนรู้สึกเกร็งไม่เป็นไปตามธรรมชาติเพราะพยายามจับจ้องให้มันคงอยู่กับเราไปนานๆ ซึ่งแท้จริงแล้วสติหรือการระลึกรู้ของเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาสามารถสูญหายลืมเลือนไปได้ซึ่งเป็นเรื่องปกติ การพยายามจับจ้องและเฝ้าระวังไม่ให้สติหายไปจึงเป็นเรื่องผิดปกติและเป็นการปฏิบัติที่ตึงเกินไป

              อาจารย์ดีแนะนำว่า "ท่านไม่ต้องเฝ้าจับจ้องจนมากเกินไปขนาดนั้น เมื่อไรที่สติหรือการระลึกรู้หายไปก็กำหนดให้เกิดขึ้นมาใหม่แค่นั้นเอง" เมื่อนั้นผู้เขียนจึงเข้าใจวิธีการเจริญสติมากขึ้นว่าเราไม่ต้องคาดหวังให้มันอยู่กับเราไปตลอดหรือหมกมุ่นกับมันมากจนเกินไป ถ้ามันหายไปก็กำหนดมันขึ้นมาใหม่แค่นั้นเอง

              นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผู้เขียนได้รู้จักกับคำว่า "สติ" เพราะเท่าที่ผ่านมาเรารู้จักคำว่าสติแต่ไม่เคยรู้เลยว่าสติคือ "ความระลึกได้" แค่เราระลึกได้ว่าเรากำลังทำอะไรในปัจจุบันก็คือสติอย่างแท้จริง ผู้เขียนโชคดีที่ได้รู้จักกับครูบาอาจารย์ที่มีเมตตาช่วยแนะนำการเจริญสติให้หลังจากที่บวชได้ไม่นาน ทำให้ทราบแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเจริญสติ

              โดยปกติผู้เขียนเป็นคนชอบฝันกลางวันปล่อยให้ความคิดล่องลอยฟุ้งกระจายไปในอากาศโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหยุดความฟุ้งซ่านฟุ้งกระจายนั้นได้อย่างไร บังเอิญอาจารย์ดีเป็นพระที่รู้ใจ รู้ว่าจะสอนผู้เขียนให้มีสติและรู้ว่าจะแนะนำผู้เขียนให้ปฏิบัติอยู่ในทางสายกลางได้อย่างไร หากอาจารย์ดีไม่แนะนำผู้เขียนก็คงตั้งใจที่จะมีสติมากจนเกินไปและไม่รู้ว่าจะหลุดออกจากการยึดติดในสตินั้นได้อย่างไร

              อาจารย์ดียังแนะนำเพิ่มเติมว่าขณะสวดมนต์ก็ให้สติอยู่กับลิ้นหรือริมฝีปาก แต่ละวันที่ผ่านไปก็พยายามอย่าให้จิตคิดถึงเรื่องที่ไกลจากตัวเราเกินกว่าหนึ่งเมตร นั่นเป็นคำสอนของอาจารย์ดีที่ผู้เขียนยังจำได้ ท่านอยู่วัดเดียวกับผู้เขียนเพียงแค่ปีเดียวเมื่อท่านย้ายไปเราก็ไม่เคยพบท่านอีกเลย

              ๓ ปีต่อมาผู้เขียนได้พบกับลามะในสายวัชรยานท่านหนึ่งโดยบังเอิญ ท่านชื่อ สมันตา ท่านบวชมาจากเนปาลเป็นนิกาย "เกลุกปะ" หรือนิกายหมวกเหลือง ย้อนหลังกลับไปประมาณ ๒๐ ปีที่แล้วคนไทยยังรู้จักพุทธศาสนานิกายวัชรยานกันน้อย แม้ปัจจุบันพุทธศาสนานิกายวัชรยานก็ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก การได้สนทนาธรรมกับท่านสมันตาเป็นการเปิดโลกทัศน์ทำให้รู้จักพุทธศาสนานิกายวัชรยานมากขึ้น

              พุทธศาสนานิกายวัชรยานมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยในประเทศทิเบต นิกายนี้มีความเชื่อว่าลามะคือพระโพธิสัตว์ที่กลับชาติมาเกิดเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ทุกวันนี้ประเทศทิเบตถูกจีนยึดครองทำให้ชาวทิเบตและลามะจำนวนมากต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ดาไลลามะผู้นำทิเบตยังต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศอินเดีย ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาแบบทิเบตจึงกระจายออกไปเจริญเติบโตนอกประเทศทิเบต คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจพุทธศาสนาแบบทิเบตและเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นชาวพุทธหลังจากได้ปฏิบัติภาวนากับลามะที่เข้าไปเผยแผ่พุทธศาสนาในอเมริกา คนอเมริกันจึงรู้จักพุทธศาสนานิกายวัชรยานมากกว่านิกายอื่นๆ

              ผู้เขียนมีโอกาสถามท่านสมันตาว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมของท่านเป็นอย่างไร ท่านตอบว่าแนวทางการปฏิบัติของท่านคือการเจริญสติ รู้สึกตัวตลอดเวลาหรือบางครั้งก็กำหนดให้จิตอยู่กับจิต ไม่ให้จิตฟุ้งซ่านไปไหน นั่นเป็นครั้งที่สองที่มีโอกาสพบกับครูบาอาจารย์ที่สอนการปฏิบัติในแนวทางการเจริญสติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่มาจากนิกายวัชรยาน ซึ่งเป็นนิกายที่มาจากเทือกเขาหิมาลัยอันแสนไกล ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจถึงแม้เราจะมาจากคนละนิกายที่อยู่ห่างไกลกันแต่เราก็มีแนวทางการปฏิบัติแบบเดียวกันคือ "การเจริญสติ"

 
              ราวปี ๒๕๔๗ หรือประมาณสิบปีถัดมาคณะสงฆ์จากหมู่บ้านพลัม ซึ่งเป็นสายของท่านติช นัท ฮันห์ เป็นพุทธศาสนาสายมหายานจากประเทศเวียดนามที่ไปเจริญเติบโตอยู่ในประเทศฝรั่งเศสได้เดินทางมาจัดงานภาวนาในเมืองไทย นำโดย ภิกษุณีนิรามิสา งานภาวนาครั้งนั้นจัดที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ผู้เขียนมีโอกาสเข้าร่วมภาวนาครั้งนั้นด้วย รู้สึกประหลาดใจอีกครั้งเมื่อพบว่าวิถีการปฏิบัติของหมู่บ้านพลัมใช้การเจริญสติที่ลมหายใจเข้า-ออกเป็นเครื่องมือระลึกรู้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่อาจารย์ดีเคยสอนผู้เขียนเมื่อหลายปีก่อน พร้อมกับรู้สึกทึ่งเมื่อค้นพบว่าพุทธศาสนาทั้ง ๓ นิกาย คือ เถรวาท มหายาน และวัชรยาน ต่างมีวิถีการปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน คือ การมีสติระลึกรู้อยู่ในปัจจุบัน

              สิ่งที่น่าสนใจก็คือพุทธศาสนาได้ผ่านการเดินทางมาแล้วกว่า ๒,๕๐๐ ปี มีการแตกออกเป็นนิกายใหญ่ๆ ๓ นิกาย คือ เถรวาท มหายาน และวัชรยาน แต่ละนิกายได้เดินทางแผ่กระจายไปตามจุดต่างๆ ของโลก แทรกซึมอยู่ในดินแดนที่แตกต่างกันทั้งภาษา วัฒนธรรม ประเพณี มีชื่อเรียกนิกายที่ไม่เหมือนกัน เมื่อดูจากภายนอกเราแตกต่างกันมาก

              ถึงแม้เราจะดูแตกต่างกันอย่างไร การปฏิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้เรามีความเหมือนกันทั้งสามนิกายก็คือ "การมีสติระลึกรู้อยู่ในปัจจุบัน"  นั่นเอง


จาก http://neobuddhism.blogspot.com/2013_02_01_archive.html

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/150825

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
วิปัสสนาบนหน้าข่าว : วัตรปฏิบัติวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1217 กระทู้ล่าสุด 30 มิถุนายน 2559 02:22:10
โดย มดเอ๊ก
ครู กับ ศิษย์ : วิปัสสนาบนหน้าข่าว
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1198 กระทู้ล่าสุด 07 สิงหาคม 2559 00:44:00
โดย มดเอ๊ก
วิปัสสนาบนหน้าข่าว : จากสมมติ สู่วิมุติเข้าพรรษากับอุบาสิกาใจพระ(ธุดงค์)
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1305 กระทู้ล่าสุด 15 สิงหาคม 2559 19:47:14
โดย มดเอ๊ก
วิปัสสนาบนหน้าข่าว : 'อยู่กับปัจจุบัน' ฮิมานชู โซนิ (ผู้รับบท พระพุทธเจ้า)
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1405 กระทู้ล่าสุด 15 สิงหาคม 2559 20:09:10
โดย มดเอ๊ก
วิปัสสนาบนหน้าข่าว : อารมณ์เซน.? (เยี่ยมคารวะ ปราชญ์ผู้เฒ่า อ.ธีระ วงศ์โพธิ์พระ)
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 1976 กระทู้ล่าสุด 07 ตุลาคม 2559 23:21:02
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.3 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 17 มีนาคม 2567 06:56:36