[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 01:42:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: commerce Buddha be rusty Buddhist  (อ่าน 2814 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 10 เมษายน 2553 10:43:17 »


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/02.%20Track%202.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/02.%20Track%202.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/02.%20Track%202.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>



..........ถ่ายภาพประกบอบบทความโดย(บางครั้ง)ให้เสียงประกอบเนื้อหาโดย(บางครั้ง)..........



คำว่าพุทธพาณิชย์นี้ไม่ได้หมายความว่าร้านค้าสังฆทาน จะต้องเป็นพุทธพาณิชย์ ร้านสังฆทานนั้น จัดเป็นการพาณิชยกรรม ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาบางร้านอาจเข้าข่ายพุทธพาณิชย์แต่บางร้านก็ไม่ใช่พุทธพาณิชย์ก็ได้ อีกนัยหนึ่งไม่จำเป็นว่าต้องค้าขายเกี่ยวกับพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นพุทธพาณิชย์ แต่คำว่าพุทธพาณิชย์ใช้หมายถึงจิตที่ไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น ค้าข้าวไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา แต่หากคนค้าข้าวนั้นทำบุญหวังผลประโยชน์ตอบแทน มิได้ทำบุญเพื่อขจัดความตระหนี่ ขจัดความยึดมั่นในทรัพย์ หรือเพื่อโปรดสัตว์ สนับสนุนพุทธศาสนาแต่ทำโดยหวังเพื่อประโยชน์ส่วนตนว่าทำบุญแล้วต้องได้ผลอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ใครจะไปทำ คิดแบบนี้ เป็นการซื้อ ขายแลกเปลี่ยนเป็นการพาณิชย์ซึ่งแฝงเข้ามาบิดเบือนหลักการในพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นพุทธพาณิชย์ดังนั้น คำว่าพุทธพาณิชย์นั้นจะดูแต่การกระทำเพียงเปลือกนอกนั้นไม่ได้ ต้องตรวจดูจิตข้างใน คือเริ่มจาก สัมมาทิฐิหรือ มิจฉาทิฐิ ในการทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น การกระทำตามคำสอนของพระพุทธศาสนาต้องเริ่มจากสัมมาทิฐิ คือ มีความคิดเห็นตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าก่อนไม่ใช่คิดเห็นเป็นอื่น แต่สักแต่ว่าทำไป คนภายนอกมองดูคิดว่าเป็นคนดี เพราะดูแต่เปลือกนอกไม่ได้ดูจิต เช่น การให้ทานแก่คนมากมาย นั่นดูเหมือนเป็นคนดีที่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเขาให้เพราะเขากำลังสมัครผู้แทนราษฎรพอดี และจิตเขาหวังผลจากวัฒนธรรมความกตัญญูของคน ว่าจะต้องให้ผลคืนกลับมาแก่เขาในรูปคะแนนเสียงแล้วละก็ นับว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฐิ อันคำว่า มิจฉาทิฐิ นั้นมีมากมายหลายแบบ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลก็ได้บันทึกไว้ส่วนหนึ่ง แต่ปัจจุบัน โลกเต็มไปด้วยกระแสทุนนิยม วัตถุนิยม บริโภคนิยม ทำให้พระพุทธศาสนาถูกบิดเบือนด้วยกระแสความคิด อันเป็นมิจฉาทิฐิที่เกิดขึ้นด้วยระบอบทุนนิยมนี้ คือ พุทธพาณิชย์ ที่จะได้กล่าวถึงอย่างละเอียดนี้เอง........................................



........................................พุทธพาณิชย์สนิมแห่งพระพุทธศาสนา.......................................

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2553 12:25:20 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 10 เมษายน 2553 10:47:40 »




...................................นิยามของคำว่าพุทธพาณิชย์ในบทความนี้...................................



ดังที่ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าแม้ แต่ร้านสังฆทาน ก็ไม่จัดเป็นพุทธพาณิชย์ ดังนั้น บทความที่จะกล่าวต่อไปนี้ จึงไม่มีวัตถุประสงค์ที่
จะทำลายระบอบเศรษฐกิจใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาเลย แต่มุ่งทำลายความคิดที่ผิดทาง หรือ มิจฉาทิฐิ ที่อยู่ในใจของท่านสาธุชนทั้งห
ลายต่างหาก ท่านยังสามารถทำอาชีพทุกประการได้เหมือนเดิม แม้จะค้าเครื่องรางของขลัง ก็ไม่จำเป็นว่าจะผิดเสมอไป เพียงแค่ปรับจิตใจให้เป็น
สัมมาทิฐิเท่านั้น อาชีพของท่าน ก็จักเข้าข่าย สัมมาอาชีวะไปด้วยได้ บทความนี้ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อโครงสร้างของประเทศในส่วนใดเลย
แต่มุ่งตรงเรื่อง ความคิดและจิตใจ เท่านั้น ดังนั้น จึงขอนิยามความหมายของพุทธพาณิชย์ให้ชัดเจนตรงกันดังต่อไปนี้...........................
พุทธพาณิชย์ คือ กิจกรรมอันมีรากฐานจากความคิดเชิงธุรกิจ แต่แฝงเข้ามากระทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยที่ไม่เจตนาหรือเจตนาก็ดี ทราบหรือไม่ทราบก็ดี ว่าตนนั้นทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่เปลือกนอก แต่ไม่ได้ทำจากแก่นแท้ของพระธรรมตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง อันได้แก่ การคิด พูด กระทำ เพื่อสนองวัตถุประสงค์ทางการค้าหรือการแลกเปลี่ยน ไม่ได้มุ่งหวังมรรคผลทางธรรม ให้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น ทำบุญกับเจ้าแม่กวนอิมจะได้ค้าขายร่ำรวย เป็นต้น        
ในสมัยพุทธกาล ได้มีบันทึกถึงอานิสงค์ของการทำบุญไว้มากมาย แต่พระพุทธเจ้ามักเทศนาสอนเรื่องอานิสงค์ของการทำบุญ เมื่อหลังที่ผู้ทำได้กระทำเสร็จสิ้นแล้ว จิตของผู้กระทำก็กระทำด้วยใจที่ศรัทธาอยากให้ ไม่ได้อยากได้รับผลคืนกลับอันใดเลย เมื่อพระสาวกสงสัยและถามถึงอานิสงค์ต่าง ๆ พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบไว้ แต่ในปัจจุบัน เรามักไม่ได้มีศรัทธาอย่างแท้จริง เราต้องการรู้ก่อน ว่าทำแล้วจะได้อะไรเป็นผล และผลที่เราอยากได้ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่ความหลุดพ้นทุกข์อย่างแท้จริงแต่เป็นผลเชิง โลกียะสุข
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2553 12:14:42 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 10 เมษายน 2553 10:50:30 »



ในสมัยโบราณก่อนระบบการพาณิชยกรรมจะรุ่งเรื่องนั้นชาวจีนโพ้นทะเลเข้ามาพัฒนาระบบพาณิชยกรรมในประเทศต่าง ๆ ต่างก็ใช้ความอุตสาหะอดทน และไม่ได้หวังผลว่าจะได้ความร่ำรวยถึงปัจจุบันนี้ ทว่าผลจากการบำเพ็ญเพียรของพวกเขาก็ทำให้ลูกหลานมีความเป็นอยู่ที่ดีในแผ่น ดินอื่นที่ไม่ใช่แผ่นดินเกิดของตนภายหลัง ลูกหลานที่เกิดมาไม่ได้พบความทุกข์ยาก มีแต่ความสบาย เพราะรุ่นปู่ย่าเหนื่อยยากทำมาให้อย่างดีแล้ว ก็เกิดความยึดติดในความสบายนั้นและคิดรักษาสภาพความร่ำรวยของตนสืบไป พวกเขาไม่ใช้วิธีการบำเพ็ญเพียรเหมือนเก่า
แต่ใช้วิธีลัดบ้างวิธีที่นอกคำสอน
ที่ดีงามบ้าง เช่น การทำบุญโดยหวังผลบุญให้ออกดอกผลเพื่อสนองผลทางโลกีย์สุข ทำบุญเลี้ยงกิเลส ทำบุญต่อยอดกิเลสให้มากยิ่งขึ้นไปจริงอยู่ บุคคลทำกรรมใด ย่อมได้ผลดังนั้น พวกเขายิ่งทำยิ่งได้รับความร่ำรวย และก็ยิ่งหลงผิดคิดไปว่าพระพุทธศาสนาสอนให้ร่ำรวยทางโลก เจริญทางวัตถุได้ใครอยากรวย สวยหล่อ สุขภาพดี มีครอบครัวดี ก็ไปทำบุญเพื่อหวังผลกัน แท้จริงแล้วการกระทำที่ถูกต้องตรงทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
นั้นคือ การกระทำโดยไม่หวังผลการกระทำนั้น ๆ ทำเพราะด้วยปัญญาแจ้งแล้วว่าเป็นกิจที่ควรทำ และละเว้นในกิจที่ควรละเว้น เพราะเหตุปัจจัยภายนอกมี
มากมาย จึงทำให้เกิดทั้งผลสำเร็จและล้มเหลว สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยภายนอกไม่ใช่ตัวกูของกู ควบคุมไม่ได้ หรือแม้ควบคุมได้ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงอยู่
ในภาวะไม่เที่ยงแปรปรวนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ผู้มีปัญญาแท้จริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ทราบแจ้งชัดอย่างนี้ จึงกระทำด้วยการพุ่งไป
สู่การไม่หวังผล หรือหวังผลเป็น ศูนย์ จิตก็น้อมเข้าสู่ภาวะสุญตา ความไม่ใช่อย่างใดเลย อันนำไปสู่การมอดไหม้หมดเชื้อกิเลสไปฉะนั้น ด้วยผลจากการกระทำกรรมอันมีสภาวะเป็นศูนย์ เป็นกลาง เป็นอัพยากตธรรม ทำจนหมดเชื้อที่จะทำ ทำอย่างนี้จิตจึงตรงต่อนิพพาน คือ ทำให้จบ ทำให้หมดไม่เหลือเชื้อไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลยก็หาไม่ อุปมาดั่งเผาฟืน หากไม่ใส่เชื้อไฟเข้าไปอีกย่อมดับลงได้ในที่สุด แต่หากไม่เผาฟืนนั้น ฟืนก็ยังอยู่ กิเลสก็ยังมี รอแต่จะ
แสดงอาการเมื่อถูกกระตุ้น ผัสสะ เท่านั้น แต่หากบุคคลหวังผล จิตของเขาย่อมยึดมั่น และพุ่งไปสู่การแสวงหา การเกิดของชาติภพก็ย่อมมีขึ้นตามมาเป็นลำดับ อุปมาเหมือนผู้คอยป้อนเชื้อไฟไม่หยุดหย่อน ไฟย่อมไม่มีวันดับลงได้ฉันนั้น จิตที่หวังผลอย่างนี้ จึงไม่อาจหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้เลยจำต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น และไม่อาจเข้าถึงสภาวะนิพพานได้เลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2553 12:15:06 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 10 เมษายน 2553 10:58:07 »



บุคคลจำพวกหนึ่งเหมือนว่าจะเริ่ม ตื่นรู้ คือ เริ่มจะเห็นชัดว่าทางโลกไม่ใช่ของเที่ยง ไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่ของที่จะยึดเป็นสรณะได้แต่เมื่อพวกเขาเริ่มเดินเข้าสู่ทางธรรม กลับไม่พบธรรมแท้ พวกเขาได้รับการปลูกเชื้อกิเลสชนิดใหม่เข้าไป คือ กิเลสในทางธรรม เช่น การหลงบุญ ทำบุญหวังผลการปรารถนาจะได้นั่นได้นี่จากการทำความดี แทนที่จะเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน พวกเขาจะเป็นคนที่สังคมมองว่าเป็นคนดี แต่เฉพาะในสถานการณ์ที่
สังคมยังไม่ปรากฏคนดีที่แท้จริงขึ้นมาเท่านั้น เมื่อทองปลอมปรากฏ ผู้คนทั้งหลายไม่เคยเห็นทองแท้ เขาย่อมคิดไปว่าทองปลอมนั้นช่างมีค่าเสียยิ่งนัก
แต่เมื่อทองแท้ปรากฏขึ้นเมื่อใด พวกเขาย่อมเห็นทองปลอมเป็นของไร้ค่าเมื่อนั้น ถ้าถามว่าการกระทำของพวกเขาอย่างนี้ดีหรือเลว ก็ต้องตอบว่าดีในทางโลก ดีในสายตาชาวโลก ดีในสายตาสังคมปัจจุบันที่ไม่ได้เข้าถึงธรรมกันแท้จริงมากนัก ก็แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ปัญญาไม่ถึงอรหันต์ไฉนเลยจะทราบได้ว่าอะไรคือ ดีแท้ เมื่อพวกเขาเห็นคนดีแบบนี้ก็ย่อมให้การยอมรับนับถือเป็นธรรมดา พวกเขาทำบุญหวังผล และได้ผลบุญตามนั้น จึงทำบุญมากมาย และเขาก็ได้บุญมากมายจริงๆ บุญของเขาเหล่านี้ทำให้พวกเขาไปสูง และไปไกล คำว่าไปสูง คือ สูงเลยชั้นพระโพธิสัตว์ ชั้นดุสิตไปอีก คือ เมื่อตายลงก็จุติที่สวรรค์ชั้นที่ห้าและหก ซึ่งชั้นนี้จัดไว้เฉพาะ มาร อยู่เท่านั้นเองนี่คือ ผลบุญที่มากเกินไปทำให้ไปสูงเกินนิพพานและคำว่าไปไกล คือ ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกไกลมากเกิดกี่ที
ก็ไม่พ้นต้อง แก่ เจ็บป่วย และตาย ใครบ้างที่จะสนุกกับการแก่ เจ็บ ตาย บ่อย ๆ แต่เขาเหล่านี้ทำบุญมากเกินไป จึงรับผลบุญชาติเดียวไม่หมด จึงไปไกลหลายชาติ เกินนิพพานไปหลายชาติทีเดียว นี่เรียกว่า ดี แต่ไม่ใช่ ดีแท้ ไม่ใช่ นิพพาน




...............................พุทธพาณิชย์กับการพาณิชยกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา....................................



พุทธพาณิชย์ กับการพาณิชยกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนานั้น คนละส่วนกัน จำต้องแยกแยะออกให้ชัดเจน เช่น คนที่หล่อพระพุทธรูปขาย เขาก็ต้องเสียค่าทองเหลืองและปัจจัยอีกมาก เขาก็สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยการนำพระพุทธรูปไปขายก็ได้นี่ไม่ผิดแต่อย่างใด เพราะเขาหล่อเองไม่ได้ขโมยใครมา แต่เมื่อเวลาเขาพร้อมที่จะทำบุญ อันอาจเพราะได้เงินบางส่วนจากการขายพระพุทธรูปนั้นหรือเพราะเหตุอื่นใดก็ตาม ณ.จุดที่เขาจะทำทานนี่ละ เขาจะได้เข้าใจหรือไม่ว่า ทาน ที่ทำแล้วถูกต้องตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคืออะไร คือ จิตที่ละความตระหนี่ถี่เหนียวความยึดมั่นถือมั่นใน ทรัพย์ หรือ จิตที่มุ่งหวังไขว่คว้าเอาผลจากการทำบุญเป็นเครื่องนำพาจิตให้สร้างชาติต่อ ภพสืบไป
มนุษย์โลกในปัจจุบัน จำเป็นต้องมีอาชีพ ต้องมีปัจจัย ต้องมีเงินใช้ ดังนั้น การที่เขาจะค้าขายอย่างสุจริตนั้นไม่ผิดแต่อย่างใด และพุทธศาสนาพร้อมเสมอที่จะรอคอยเวลาที่เขาผู้นั้นจะพร้อมเข้ามาสู่พุทธ ศาสนา ไม่ว่าจะนานเพียงใด โดยไม่มีการบีบบังคับหรือเร่งลัดแต่อย่างใด เมื่อเขาผู้นั้นพร้อมเข้ามาสู่พุทธศาสนาแล้ว เขาได้เข้าถึง เข้าใจ ในธรรมอันแท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ตรงนี้เอง คือ หน้าที่ที่สำคัญของพุทธบริษัทสี่ ที่จะอธิบายถึงการเข้ามาสู่พุทธศาสนาที่แท้จริง หากเขาได้ทำบุญกับพระสงฆ์บางรูปแล้วเขาได้รับพร ได้รับของแจก ของขลัง ของแถม ฯลฯ มากมาย เป็นเครื่องล่อใจ เป็นเครื่องตอบแทน โดยไม่รู้เลยว่าการทำบุญที่แท้จริงนั้นคืออะไรการให้ที่แท้จริงคืออะไรการยอมเสียสละของตนเองไปโดยไม่หวังผลตอบแทนเลยคืออะไร นั่นแสดงว่าเขายังไม่ได้อยู่ต่อหน้าพระสงฆ์สาวกที่แท้จริงของพระศาสดาเจ้า เขาอาจนั่งอยู่ต่อหน้าผู้เป็นสมมุติสงฆ์ที่ทำหน้าที่ตามจารีตประเพณีไปเท่านั้นโดยที่สมมุติสงฆ์ผู้นั้นก็ไม่รู้เลยว่าการทำทานที่แท้จริงคืออะไร ก็ไม่สามารถสอนได้ บอกได้ ได้แต่ใช้จารีตเดิมที่ตนเข้าใจสื่อสารต่อไป เช่น ให้พร ให้ของแจกของแถมของขลัง ติดตัวไป จะได้ติดใจหลวงพ่อ ติดใจวัด แล้วกลับมาพร้อมด้วยลาภสักการะใหม่สืบไป วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2553 12:15:40 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 10 เมษายน 2553 11:01:53 »




........................................การพาณิชยกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา......................................



นับเป็นอานิสงค์ของประเทศที่มีพระ พุทธศาสนา เพราะผลจากพระพุทธศาสนา จึงทำให้เกิดจารีต ประเพณี วัฒนธรรม และตามมาด้วยกระแสการตลาด ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปได้ การพาณิชยกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา จึงเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเลย เพราะเท่ากับเป็นการโปรดสัตว์ทางโลก ทางอ้อมนั่นเอง แต่เมื่อใดก็ตามที่ความโลภ ความมุ่งหวังทางการค้า เข้าครอบงำแล้ว มันก็จะแปลงร่างกลายเป็น พุทธพาณิชย์ได้ไม่ยากนัก สิ่งนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องภายใน เป็นเรื่องของจิตไม่ใช่พฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกและเห็นได้ชัด
จึงยากนักที่จะกลายได้ว่าพุทธพาณิชย์อยู่ที่ใดบ้าง เพราะพุทธพาณิชย์แทรกอยู่ในความคิด ในจิตของเรานี่เอง
การทำพาณิชยธรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาโดยตรง เป็นเรื่องทางโลกไม่ใช่เรื่องทางธรรมดังนั้นจึงไม่ขอเข้าไปก้าวก่ายว่าดีหรือเลวประการใด เช่น กรณีคนเอารูปพระพุทธเจ้าไว้ที่กางเกงชั้นใน ซึ่งในทางวัฒนธรรมฝรั่ง ก็ไม่ถือว่าเป็นการลบหลู่ แต่สำหรับวัฒนธรรมไทย เราถือว่าเป็นการลบหลู่ดังนั้น กระบวนการดูแลตรวจสอบจึงเป็นเรื่องทางโลกที่เขาจะจัดการกันเอง ไม่ใช่กระบวนการทางธรรมอันใด เพราะในทางธรรมแล้ว ไม่มีค่าอะไรทั้งสิ้น จะสูงหรือต่ำ จะเป็นอวัยวะอะไร ก็ไม่มีค่าให้ยึดว่าดีหรือชั่ว สุดท้ายก็อนิจจัง เสื่อมสลาย แสดงธรรม แสดงอนิจจังได้เหมือนกันทั้งสิ้น ในบทความนี้ จึงไม่ได้คัดค้านหรือเห็นด้วยอันใดเลยกับพาณิชยกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระ พุทธศาสนาเพราะไม่ใช่เรื่องทางธรรม เป็นเรื่องทางโลกที่คนทางโลกเขาจะจัดการกันเองตามความเหมาะสม สำหรับผู้เขียนบทความ จะขอเพ่งเล็งเฉพาะเรื่องจิตของบุคคลที่ต้องการเข้าถึงธรรมให้ได้ธรรมจริงเท่านั้น เมื่อได้เข้าใจธรรมที่แท้จริงแล้ว จะใช้สมมุติทางโลกจัดการอย่างไรต่อไปก็สุดแล้วแต่จะพิจารณาเองเถิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2553 12:16:06 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 10 เมษายน 2553 11:12:14 »



........................ทำอย่างไรดีกับพุทธพาณิชย์และการพาณิชยกรรมที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา......................



ในทางโลกย่อมมีบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่อันโลกนี้ได้สมมุติให้เขามาดีแล้ว เช่น สมมุติให้เป็นพระสงฆ์ก็ดีตำรวจก็ดี ฯลฯ การจัดการในทางโลก ก็สามารถใช้อำนาจได้ตามสมมุตินั้น ๆ แต่ในบทความฉบับนี้ จะไม่ขอก้าวก่ายการจัดการในทางโลกแต่อย่างใด จะขอเสนอแนะวิธีการจัดการในทางธรรม คือ จัดการกับความคิด จิตใจของตนเอง ปรับเสียให้ตรงเป็นสัมมาทิฐิ มองให้ชัด ให้ทะลุ ให้แจ้งถึงความจริงในคำสอนของพระศาสนาส่วนใครจะค้าขายด้วยสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างไรก็ช่างเขาเถิด ปล่อยให้ทางโลกเขาจัดการกันเอง เรามาจัดการที่ความคิดจิตใจของเราดีกว่า
ดังต่อไปนี้...
ทำดีไม่ต้องหวังผลตอบแทน ทำให้มันหมดแรงทำ จะได้ไม่ต้องทำ ทำเหมือนเผาตัวเอง อัตตา ให้มอดไหม้ไปเป็นแสงสว่าง ปัญญา ฉะนั้นเมื่อไฟมอดหมดแล้วก็สิ้นเชื้อไฟ ไฟก็ย่อมดับลงเอง กิเลสย่อมสิ้นสุดได้ด้วยอาการอย่างนั้น ยิ่งให้แล้วไม่ได้อะไรตอบมายิ่งดี เพราะยิ่งเร่งผู้ให้ มอดไหม้หมดเชื้อโดยสิ้นเชิง
ทำดีไม่ต้องหวังให้คนชม ทำไปโดยไม่ต้องสนใจคำตัดสินของคนรอบข้าง ใครจะมาพิพากษาเราได้ ไม่มีหรอก เขามีปากพูดก็พูดไป นกมีปากมันก็ร้องไป ไก่มีปากมันก็ขันไปเรื่องของมันเรามีหน้าที่ทำก็ทำไปจนกว่าจะหมดเชื้อไฟที่จะทำยิ่งคนด่ามาก ๆ ยิ่งดีเชื้อกิเลสของเราจะมอดไหม้เร็วหมดเร็วไม่หลงตัวเองด้วย
ทำดีไม่ต้องหวังคำให้พร บางท่านไปถวายของให้พระ นั่งรอพระให้พร ถ้าพระไม่ให้พรก็ไม่ยอม เพราะยึดว่าให้แล้วต้องได้รับ ต้องมีอะไรสักอย่างที่ได้กลับคืนมาจากการให้ อันนี้ เกิดมากในคนไทยเชื้อสายจีนที่ทำอาชีพค้าขาย ติดนิสัยแบบนี้กันมาก ยังมีมากกว่านี้ คือ เอาพรแล้วยังไม่พอ จะเอาของแถมติดมือไปด้วย แม้กระทั่งชายผ้าเหลืองของพระชานหมากขี้ปากพระก็ยังจะเอาเสียให้ได้
ทำดีเมื่อใจพร้อมทำดีจริง ๆ หากยังลังเลสงสัยที่จะทำดี ให้รอไว้ก่อน ให้ใจพร้อมก็ค่อยทำก็ได้ เวลาทำดี ให้ไปพร้อมกันทั้ง มโนกรรมจีกรรมและกายกรรม อย่าให้มันเสียทรัพย์ไปเปล่า ๆ โดยได้บุญไม่เต็มบารมีบกพร่องเติมบุญให้เต็มตรงนิพพานไม่ใช่สานชาติสืบภพเมื่อพร้อมจริง ๆ ก็ทำบุญ
อย่างถูกต้องตรงทาง    
แยกแยะให้ชัดว่าขายหรือให้ เวลาจะขายก็ขายไป ไม่ต้องมาลังเลจะให้ เวลาจะให้ก็ให้ไป ไม่ต้องลังเลว่าจะได้อะไรตอบคืนกลับมา ต้องเข้าใจให้ชัดว่า ขายกับให้ ต่างกันอย่างไรถ้าให้ด้วยจิตที่ติดขายอันนี้ไม่ใช่การให้ที่แท้จริงอย่าทำเพราะยิ่งจะเอากระแสความคิดแบบค้าขายมาใส่พระให้หลงตาม ๆ
กันไปเสียด้วย
ผู้เขียนคือคุณ....................(physigmund foid)เคยเห็นคนทำทานมามาก สังเกตอาการและจิตใจของคนทำทาน มีหลากหลายเหลือเกินสมัยวัยเยาว์ไปทำบุญที่วัด ก็เห็นชาวบ้านพึมพำ ๆ
ยาวและนานทีเดียว ก็ถามว่าพึมพำอะไร เขาก็ว่าอธิษฐานขอเอาสิ อยากได้อะไรก็ขอเอา ผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่เขาทำบุญให้พระไปนั้นมันก็ไม่มากมายอะไร แต่ที่เขาพึมพำ ๆ ทำไมมันนานจัง คือ คิดหวังผลได้มากกว่าของที่ทำบุญเสียอีก กำไรเห็นๆ ผู้เขียนในวัยประมาณ 6 - 7 ขวบในตอนนั้น
ก็พิจารณาในจิตว่าไม่
เราไม่ได้อยากได้อะไรนี่นา ที่ทำก็ทำไปอย่างนั้นแหละ ดีกว่ายืนเข้าแถวหน้าเสาธงซึ่งไม่มีสาระอะไรเลย ฟังครูบ่นไปวันๆ ไม่ผ่องใส ทำบุญแล้วมันยังดีกว่ารู้สึกสบายใจดีกว่าอีก ก็คิดแค่นี้เอง เป็นคนคิดได้น้อย ได้แค่นั้น ตอนถูกจับฉีดวัคซีนก็คิดว่าเจ็บจริงๆ ถ้าเกิดมาอีกคงถูกฉีดอีกแน่ ๆ ตอนนั้นก็คิดว่าฉันไม่อยากเกิดอีกแล้ว เคยถูกถามว่ารักพ่อหรือแม่มากกว่ากัน เราก็พิจารณาว่าถ้าเราไม่ใช่ลูกแท้จริงของพ่อแม่ เขาก็คงไม่รักเรา ความรักก็เป็นแค่การยึดถือว่าเป็นลูกของตนเท่านั้น ก็เลยไม่รู้สึกรัก แต่ก็รู้ชัดว่าท่านทั้งสองมีพระคุณต้องตอบแทนแค่นั้นเอง จนกระทั่งเข้าวัยหนุ่มอกหักแล้วจึงเข้าใจถึงความรักที่แท้จริง ตอนนี้ถึงรู้สึกว่า รักพ่อรักแม่ เป็นอย่างไร บางสิ่งบางอย่างไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจกันง่าย ๆ ด้วยการอ่านหรือฟัง สุตตะ แต่จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์ซึ่งกระทบเวทนาทุกข์ - สุข อย่างถึงแก่นจิตทีเดียว แม้แต่การทำทานนี่ก็เช่นกัน ใช่ว่าท่านที่ทำทานจะเข้าใจการทำทานทั้งหมดก็หาไม่ขอฝากไว้ให้พิจารณา สำหรับบทความหน้า จะนำเสนอรูปแบบของมิจฉาทิฐิใหม่ ๆ ที่พบได้ในปัจจุบันต่อไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2553 12:16:40 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
...Larung Gar Buddhist Institute มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 7572 กระทู้ล่าสุด 03 สิงหาคม 2557 11:14:59
โดย มดเอ๊ก
หนี้แผ่นดิน เจียดเวลาหาสุข Buddhist Education, Life Education
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 959 กระทู้ล่าสุด 27 มิถุนายน 2559 23:40:20
โดย มดเอ๊ก
DO & DON’T วิธีปฏิบัติต่อพระพุทธรูป – แคมเปญดีๆ จาก KNOWING BUDDHA
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1394 กระทู้ล่าสุด 26 สิงหาคม 2559 00:01:25
โดย มดเอ๊ก
MV Guidelines for Buddhist เส้นทางจิตพุทธะ พระแม่กวนอิม Guanyin Pusa is everywhe
ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
มดเอ๊ก 0 1433 กระทู้ล่าสุด 25 ธันวาคม 2559 02:23:07
โดย มดเอ๊ก
[ไลฟ์สไตล์] - Lee Cooper สร้างตำนานบทใหม่ถ่ายทอดตัวตนผ่าน Virtual Fashion Live Commerce
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 178 กระทู้ล่าสุด 15 เมษายน 2565 03:32:25
โดย สุขใจ ข่าวสด
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.318 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 25 กุมภาพันธ์ 2567 16:44:07